***อาริสตอเติล***
avatar
ปติตันขุนทด


***อาริสตอเติล***

อาริสตอเติล    ท่านได้เคยเป็นพระอาจารย์ประจำพระองค์ของ   ...อเล็กซานเดอร์มหาราช...    มหาราชได้ช่วยเหลือ เกี่ยวกัยการงานของท่านเป็นอย่างมาก          อาริสตอเติลมิได้ทำตนให้ลำบากลำบนไปกับปัญหาต่าง  ๆ  ของปรัชญา  เช่น โซคระติส   และพลาโต   ท่านทุ่มเทความสนใจไปในการสังเกตสิ่งต่าง ๆ  ในธรรมชาติ    และในการเข้าใจวิธีการต่างๆ   ของธรรมชาติมากกว่า     นี้เรียกกันว่า  ปรัชญาทางธรรมชาติ    ที่เดี๋ยวนี้มักเรียกกันเนือง ๆว่า  วิทยาศาสตร์    โดยประการฉะนี้      อริสตอเติลจึงเป็นคนหนึ่ง    ในจำนวนนักวิทยาศาสตร์รุ่นแรกๆ

อาริสตอเติล   ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาวิชาการปกครองเปรียบเทียบ   ท่านได้ตระเวนศึกษาการปกครองของเมืองต่าง ๆ ถึง  ๑๕๘  เมือง    และได้นำมาวิเคราะห์เป็นการปกครอง  ๒  รูปแบบใหญ่ๆ  คือการปกครองที่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของส่วนรวม    และการปกครองที่รับใช้ผลประโยชน์ส่วนตัวของคนคนเดียว   หลายคนหรือคนข้างมาก   แต่ละแบบจะมีชื่อต่างกัน  แล้วแต่ว่าจะจัดการปกครองโดยคน้อย  หรือคนมาก

อาริสตอเติล   แยกรูปแบบการปกครองออกเป็น  ๖  รูป  คือ   รูปที่แท้จริง  ๓  รูป   คือ  ราชาธิปไตย  ๑  อภิชนาธิปไตย  ๑  และแบบรัฐธรรมนูญ  ๑   แบบรัฐธรรมนูญ  คือปกครองบ้านเมืองโดยถือประโยชน์ของส่วนรวม   และรูปแบบที่ปลอม  เพราะผันแปรเสื่อมทรามลงไปเพราะยึดถือประโยชน์ส่วนตัวของผู้ปกครอง  ซึ่งควรจะเรียกว่าเป็นระบบ      ทรราช   ๑  คณาธิปไตย  ๑   และ  ประชาธิปไตย  ๑

อาริสตอเติล   ไม่นิยมชมชอบการปกครองแบบประชาธิปไตยล้วน   ซึ่งเขาหมายถึงการปกครองโดยคนจน  เพื่อคนจน  เพราะจะขัดกับความมีเสถียรภาพทางศีลธรรม  และการเมืองของสังคมสมัยนั้น     เพราะถ้าทุกคนถือว่าเท่าเทียมกันหมดแล้ว   ต่างคนก็จะทำการอะไรตามใจตนเอง   ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของส่วนรวมจะเกิดขึ้นได้ยาก

อาริสตอเติล   ได้ให้คำจำกัดความ   ประชาธิปไตยไว้ดังนี้.....

"ประชาธิปไตยคือ  สภาวะที่คนที่เป็นไทและคนยากจน   ซึ่งมีจำนวนข้างมากในสังคม  ได้รับมอบหมายให้กำอำนาจของรัฐไว้ในมือ   ประชาธิปไตยที่บริสุทธ์ที่สุดได้รับการเรียกเช่นนั้นได้ก็เพราะมีสภาพแห่ง่ความเสมอภาคปรากฎอยู่ในที่น้น  และกฎหมายของรัฐมมุ่งรับรองความเสมอภาคนั้น   และเพราะว่าคนยากจนจะไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฏหมายต่ำต้อยกว่าคนร่ำรวย   หรือว่าอำนาจสูงสุดจะไม่ต้องอยู่ในกำมือของฝ่ายใด   แต่ทั้งสองฝ่ายจะมีส่วนใชอำนาจนั้นด้ยกัน   ถ้าตามที่คนส่วนใหญ่เห็นว่าเสรีภาพและความเสมอภาคจะมีอยู่ในประชาธิปไตยแล้วทุกแผนกการของรัฐบาลก็จะต้องเปิดประตูให้แก่ทุกคน   ดังนั้นที่ใดที่เป็นประชาชนฝ่ายข้างมาก   และสิ่งที่พวกเขาบลวงคะแตนแล้วจะป็นกฎหมาย   จึงเป็นข้อพิสูจน์ได้ในสภาวะเช่นนั้น  ก็ควรจะเรียกได้ว่าเป็น  ประชาธิปไตย"

(เนรูห์       มองประวัติศาสตร์โลก     แปลโดย    เพื่อน     ทวยประชา)

(อมร   รักษาสัตย์   ประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน)



ผู้ตั้งกระทู้ ปติตันขุนทด (suchati2495-at-yahoo-dot-com) กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2010-02-21 08:39:03 IP : 118.175.149.154


Copyright © 2010 All Rights Reserved.