เธอผุดมาจากอเวจี - เรื่องราวของหนึ่งในผู้นำกลุ่ม Red Army Faction รุ่นแรก
avatar
themanfromyesterday


คัดลอกจากคอลัมน์ แปลกจริงนะ เขียนโดย มารีอังตัวเน็ต ในนิตยสาร angel ฉบับสิงหาคม ปี 2541 (นิตยสารขนาด b5 ที่เคยออกในเครืออิมเมจกรุ๊ป) เนื่องจากต้นฉบับมีการสะกดชื่อเรียกและเมืองผิดในลักษณะที่อ่านตามภาษาอังกฤษ ผู้คัดลอกจึงถือวิสาสะแก้ไขชื่อเรียกและเมืองทั้งหมดให้ถูกต้องหรือใกล้เคียงภาษาเยอรมันมากที่สุด



เคยคิดจะคัดลอกมาหนนึง ตอนที่ The Baader-Meinhof Complex กำลังออกฉายในไทย  แต่ในตอนนั้นสถานที่เผยแพร่ยังอยู่ในวงจำกัด เมื่อเห็นมีเวบ iseehistory จึงได้ดำเนินการอย่างตั้งใจได้ เพราะเห็นอีกอย่างหนึ่งว่าที่นี่ยังไม่มีเนื้อหาเกี่ยวกับกลุ่ม Red Army Faction อีกด้วย  

 

อนึ่งคอลัมน์นี้ถูกพิมพ์ในนิตยสารที่มีเป้าหมายผู้อ่านตั้งแต่วัยรุ่นตอนปลายจนถึงสาววัยเริ่มทำงาน ลักษณะการเขียนจึงมีคำที่ออกอารมณ์ตามแบบฉบับนิตยสารผู้หญิงอยู่บ้าง อย่างไรก็ดี เนื้อหาเกือบทั้งหมดของคอลัมน์นี้ แทบจะตรงกับที่อยู่ในวิกิพีเดียภาคภาษาอังกฤษของอุลริเก้ ไมน์ฮอฟ ซึ่งต้องถือว่าแหล่งข้อมูลผู้เขียนคอลัมน์นี้ ยังมีน้ำหนักอยู่มาก 

 

 

 

 

เย็นวันที่ ๑๖ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๗๒ นายตำรวจที่ประสาทกำลังเครียดขมึงนายหนึ่งสาวเท้าขึ้นไปเคาะประตูแฟลตที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านแถบชานเมืองแลงเอนฮาเก้น ใกล้กับสนามบินฮันโนเวอร์



สิ้นเสียงเคาะ หญิงสาวหน้าตาบึ้งตึง ผมเผ้ายุ่งเหยิงเปิดประตูเยี่ยมหน้าออกมาจาห้อง เธอคงรู้ตัวดีว่ามีความผิด พอเห็นตำรวจวิ่งกรูมาจากทุกทิศทาง เท่านั้นแหละหล่อนดิ้นรน ต่อสู้ ขัดขืนการจับกุมของตำรวจราวกับโรคฮีสทีเรียกำลังขึ้นสมอง ทั้งอาละวาดทั้งแผดเสียงด่าอย่างหยาบโลน ทว่าที่สุดก็ต้องยอมจำนนแต่โดยดี



หลังการพยายามสืบหาคนร้ายอย่างไม่ลดละและครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของกรมตำรวจเยอรมันจบสิ้นลง สาวคลั่งลัทธิอนาธิปไตยจากครอบครัวชนชั้นกลางซึ่งใครๆ ก็ตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงที่อันตรายที่สุดในทวีปยุโรปคนนี้ก็จนมุมตำรวจเข้าจนได้



ก่อนที่จะกุมตัวหล่อนไป ตำรวจลองตรวจค้นกระเป๋าเดินทางหนึ่งในหลายใบซึ่งแพ็คไว้เตรียมขึ้นเครื่องไปกับเที่ยวบินเที่ยวใดเที่ยวหนึ่งที่จะออกจากสนามบินฮันโนเวอร์ ดูตำรวจไม่ประหลาดใจเลยเมื่อพบว่าในนั้นอัดแน่นไปด้วยปืนพกขนาด ๙ มม. ๓ กระบอก,ระเบิดมือ ๒ ลูก, ปืนกึ่งอัตโนมัติ ๑ กระบอก แถมท้ายด้วยระเบิดอานุภาพรุนแรงขนาด ๑๐ ปอนด์ อีก๑ ลูก



อุลริเก้ ไมน์ฮอฟ คือชื่อเสียงเรียงนามของหล่อน หล่อนรวมหัวกับคู่หูร่วมอุดมการณ์อย่าง อันเดรียส บาเดอร์ ก่อสงครามย่อยๆ กับทางการตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายมาตลอดระยะเวลาเกือบ ๓ ปี



กลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ทั้งคู่ก่อตั้งขึ้นออกอาละวาดก่ออาชญากรรมเป็นว่าเล่น ทำเรื่องเลวร้ายประดามีให้มากเท่าที่จะมากได้ ตั้งแต่ฆ่าคนตายไปจนถึงปลอมลายเซ็นไม่รู้กี่ครั้งกี่หน ถึงขนาดตอนแฉหลักฐานเพื่อใช้พิจารณาคดีกว่าจะลิสต์ลายเซ็นปลอมได้ครบตั้งใช้กระดาษรวมทั้งสิ้น ๓๕๔ แผ่นทีเดียว



บาเดอร์กับเพื่อนร่วมแก๊งระดับหัวหน้าอีก 2 คน ถูกจับเข้าซังเตไปก่อนหน้าสาวอุลริเก้แล้ว กระทั่งเย็นวันหนึ่งในเดือนมิถุนายน อุลริเก้ ไมน์ฮอฟ จึงถูกจับได้เป็นคนสุดท้าย ถึงอย่างนั้นตำรวจยังวางใจไม่ได้อยู่ดี เพราะหล่อนน่ะเขี้ยวลากดินแถมฉลาดชนิดหาตัวจับยาก และนี่แหละที่เป็นพลังผลักดันให้หล่อนทำทุกสิ่งทุกอย่างลงไป



สิ่งที่ทำให้หล่อนเปลี่ยนจากนักศึกษาผู้ยึดมั่นในอุดมการณ์มาเป็นพวกคลั่งลัทธิอนาธิปไตย ที่พร้อมจะฉีกร่างทุกร่างทำลายล้างทุกสิ่ง คงจะมาจากแรงอาฆาตแค้นผสานกับอารมณ์รุนแรงที่อัดแน่นอยู่เต็มอก ทั้งที่ตอนแรกหล่อนเป็นแค่ผู้หญิงเศร้าๆคนหนึ่งเท่านั้นเอง



สาวมหาภัยคนนี้เกิดที่โอลเดนเบิร์ก เมืองโลวเออร์-แซกซอนนี่ เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ค.ศ.๑๙๓๔ ในครอบครัวปัญญาชนระดับสูง ทั้งพ่อและแม่เป็นนักประวัติศาสตร์ศิลป์ พ่อตายตั้งแต่หล่อนอายุเพียง ๕ ขวบ พออายุได้ ๑๔ ปีแม่ก็ตายจากไปอีกคน



ในวัยที่ต้องดิ้นรนยืนหยัดด้วยตัวเองนั้น ศาสตราจารย์เรเนเต้ รีเม็ค เพื่อนของแม่เป็นผู้อุปถัมภ์เลี้ยงดูเธอมา ดอกเตอร์สาวผู้นี้เป็นคนฉลาดปราดเปรื่องแต่ออกจะมีทัศนคติแข็งกร้าวรุนแรงไม่น้อย กล่าวได้ว่าสาวอุลริเก้ซึมซับเรียนรู้แนวคิดเชิงสังคมวิทยาหลายต่อหลายอย่างมาจากดอกเตอร์เรเนเต้คนนี้เอง ที่สำคัญนางไม่เคยปฏิบัติตามคำสั่งของทางการโดยไม่มีข้อทักท้วงเลยแม้สักครั้ง



ไม่ช้าสาวน้อยผมแดงเจ้าเสน่ห์คนนี้ก็ฉายแววปราดเปรื่องในทางปรัชญาจนใครๆต้องยอมรับ ปี ๑๙๕๗ ตอนอายุ ๒๓ ขณะเป็นสาวสะพรั่งหล่อนเข้าเรียนวิชาปรัชญาและสังคมวิทยาที่มหาวิทยาลัยมึนสเตอร์ หนำซ้ำยังเข้าร่วมรณรงค์ต่อต้านการใช้ระเบิดปรมาณู, การส่งทหารอเมริกันไปรบในเวียดนาม หรือแม้แต่การเผาอาวุธยุทธภัณฑ์ที่ส่งไปให้ทหารซึ่งนักศึกษาหัวรุนแรงกำลังให้ความสนใจหล่อนก็เคยมีส่วนร่วมมาแล้ว



แล้ววันหนึ่งหล่อนได้รับการแนะนำให้รู้จักกับหนุ่มหล่อหน้าเรียวเล็กนาม เคล้าส์ ไรเนอร์ รอห์ล เขาเป็นเจ้าของนิตยสารฝักใฝ่ฝ่ายซ้ายที่ชื่อ "Konkret" พอเขาออกปากชวนให้ไปร่วมงานด้วย หล่อนก็ตอบตกลงทันที



ไม่นานนักอุลริเก้ก็สร้างชื่อให้ตนเองจนขึ้นแท่นเป็นนักหนังสือพิมพ์ชั้นแนวหน้า เธอเขียนคอลัมน์ได้โดดเด่นและน่าอ่านมาก จึงได้รับคำชมอยู่เนืองๆ แม้แต่คนนอกรั้วมหาวิทยาลัยยังกล่าวขวัญถึง หล่อนเข้าไปตรวจสอบระบบเศรษฐกิจของเยอรมัน, ยุ่งเกี่ยวกับข้อพิพาทในสังคมที่คนส่วนมากรู้สึกไม่ชอบมาพากล รวมทั้งเขียนบทความเกี่ยวกับทุกขเวทนาของคนยากคนจน



จากนั้นไม่นาน เคล้าส์ ไรเนอร์ รอห์ล ก็ขอหล่อนแต่งงานพร้อมกับเลื่อนตำแหน่งให้เป็นบรรณาธิการหนังสือของเขา



นิตยสารฉบับดังกล่าวประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ แต่ก็ยังไม่ใช่หนังสือขายดีที่สุด ต่อมาเมื่อรอห์ลเกิดปิ๊งไอเดียวที่ว่าน่าจะเสริมเรื่องเซ็กซ์เข้าไปเจือจางเนื้อหาสาระหนักๆทางการเมืองบ้าง ทั้งคู่ก็ทำเงินเข้ากระเป๋าได้อีกมหาศาล ล่ำซำถึงขนาดซื้อบ้านสวยหรูอยู่ แถมมีรถเมอร์ซิเดสเบนซ์ สีขาวคันเบ้อเริ่มไว้ขับโฉบเฉี่ยวไปไหนมาไหน



มาบัดนี้ อุลริเก้กลายเป็นแม่ของลูกสาวฝาแฝดไปเสียแล้ว หล่อนพบว่าตัวเองเป็นที่รักใคร่ของคนในสังคมหัวรุนแรงซึ่งกำลังเห่อกันมากในยุคนั้น และเป็นบุคคลที่ประชาชนคุ้นหน้าทางทีวีคนหนึ่ง ทว่าความสำเร็จและชีวิตอันรุ่งโรจน์ก็เป็นแค่เปลือกที่เห็นอยู่ภายนอกเท่านั้น ลึกๆแล้วหล่อนกำลังร้อนเร่าด้วยไฟโทสะเมื่อค้นพบในที่สุดว่าสามีเป็นเสือผู้หญิงตัวฉกาจ หล่อนสุดจะทนกับสันดานมากรักของเขา หลังอยู่ร่วมกันได้แค่ ๗ ปี ทั้งคู่ก็หย่าขาดจากกัน



หล่อนเลิกทำงานกับสามีแล้วย้ายไปอยู่กรุ่งเบอร์ลิน ส่วนลูกน้อยทั้งสองถูกส่งเข้าโรงเรียนกินนอนเคร่งระเบียบที่แสนจะคร่ำครึ



นี่เองทำให้หล่อนมีอิสระเสรีพอจะร่วมหัวจมท้ายกับกลุ่มคนหนุ่มสาวซึ่งมีทัศนคติและแนวคิดรุนแรงติดขอบ คนพวกนี้เชื่อว่าหากจะเปลี่ยนแปลงสังคมต้องใช้ความรุนแรงสถานเดียว ความคิดดังกล่าวหยั่งรากลึกลงในตัวหล่อนด้วย ไม่นานนักหล่อนก็กลายเป็นมือวางเพลิงตามที่สาธารณะตัวฉกาจ เป็นพวกต่อต้านกระหายเลือด และเป็นอาชญากรหนึ่งในกลุ่มผู้ก่อการร้ายตามเมื่องใหญ่ๆ



แต่ก่อนจะผันตัวมาร่วมต่อต้านทางการเมือง หล่อนจำต้องขจัดความขมขื่นส่วนตัวออกไปให้สิ้น เริ่มด้วยการก่อหวอดต่อต้านอดีตสามีและนิตยสารของเขา แล้วคืนวันหนึ่งหล่อนก็ขจัดความอาฆาตแค้นออกไปได้สมใจ เมื่อยกพวกเข้ากวาดล้างทำลายบ้านผัวซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นความภาคภูมิใจของหล่อนเองจนย่อยยับไม่เหลือดี



หล่อนเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับ อันเดรียส บาเดอร์ มือวางเพลิงและนักปลุกระดมมวลชนมามากพอดู เป็นที่รู้กันว่าบาเดอร์ถูกตัดสินจำคุกในข้อหามีส่วนพัวพันคดีลอบวางเพลิงห้างสรรพค้าในเมืองแฟร้งเฟิร์ต วันหนึ่งหล่อนมีโอกาสพบกับแฟนสาวนักปฏิวัติของบาเดอร์ เธอเป็นสาวผมบลอนด์ ร่างสูงเพรียว ชื่อ กูดรุน เอนส์ลิน พ่อเป็นพระสมณศักดิ์ชั้นปาสเตอร์ และเธอชอบศึกษาวิชาปรัชญา กูดรุนบอกอุลริเก้ว่าจะต้องช่วยแฟนหนุ่มแหกคุกออกมาให้จงได้ พร้อมกันนั้นก็เอยปากขอความช่วยเหลือจากหล่อน หลังจากตรึกตรองแผนการกันอย่างรอบคอบ ที่สุดมนุษย์ขวงโลกกลุ่มนี้ได้นัดหมายกันว่า วันใดที่บาเดอร์ได้รับการผ่อนผันให้ออกมาทำงานนอกเรือนจำที่หอสมุดในกรุงเบอร์ลิน วันนั้นแหละจะบุกทะลวงเข้าไปชิงตัวเขาออกมา



และแล้วในวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ค.ศ.๑๙๗๐ อุลริเก้ก็นำกลุ่มผู้ก่อการร้ายอาวุธครบมือบุกตะลุยเข้าไปในหอสมุดก่อนจะล่าถอยออกจากที่นั่น พร้อมกับทิ้งร่างพรุนไปด้วยรูกระสุนของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไว้ข้างหลัง



หลังจากปรึกษาหารือกันแล้วทั้งอันเดรียสและอุลริเก้ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าจะก่อตั้งแก๊ง "บาเดอร์-ไมน์ฮอฟ" ขึ้นมา โดยมีพวกบ้าลัทธิอนาธิปไตยขนาดหนักอีก ๒๔ คนมาร่วมแก๊ง ที่เหลือเป็นสมาชิกระดับหัวหน้า อันได้แก่ กูดรุน แฟนสาวของบาเดอร์ และแยน-คาร์ล ราสเป้ ที่ต่อมากลายเป็นคู่รักของอุลริเก้



อันเดรียส บาเดอร์ รับตำแหน่งหัวหน้าอย่างเป็นทางการส่วนอุลริเก้ได้รับยกย่องให้เป็นพลังและสมองของกลุ่ม



หลังลงมือก่อวินาศกรรมมนุษย์มหาภัยทั้งสี่เตรียมตัวหนีออกนอกประเทศ และวางแผนย้อนกลับมายังตะวันออกกลางอีกที เพื่อร่วมฝึกยุทธวิธีรบกับกองกำลังปลดแอกแห่งชาติปาเลสไตน์ (PLO) เมื่อเข้าไปอยู่กับ PLO ผู้หญิงสองคนของกลุ่มกลับถูกมองว่าเป็นพวกเผด็จการและตัวก่อกวน ไม่ช้า PLO ก็ลงมติว่าสองสาวเป็นกบฏทั้งที่ยังมิได้สืบหาข้อเท็จจริงใดๆเลย แล้วหล่อนก็ถูกขับออกจากกองทัพในที่สุด



กระนั้นอุลริเก้ก็ยังชื่นชอบคนปาเลสไตน์อย่างไม่ลืมหูลืมตา ระหว่างเดินทางกลับเมืองไส้กรอกหล่อนทำให้ ใครๆ ถึงกับช็อกเมื่อตัดสินใจจะส่งลูกสาวตัวน้อยทั้งสองคนเข้าไปฝึกยุทธวิธีการรบแบบกามิกาเช่โจมตีอิสราเอลร่วมกับเด็กๆชาวปาเลสไตน์ที่ค่ายผู้อพยพในจอร์แดน



โชคดีของเด็กที่แผนล้มเหลวเพราะเผอิญ เคล้าส์ ไรเนอร์ รอห์ล พ่อเด็กแล่นกลับมาหาลูกที่เยอรมนีเสียก่อน เขาทราบข่าวลับสุดยอดนี้ได้ทันท่วงทีจากนักสืบที่ว่าจ้างมาคอยติดตามลูก เด็กๆ จึงถูกพาตัวออกจากค่ายอพยพในปาแลร์โม่ทันเวลา เมื่อแรกหนูน้อยทั้งสองดูจะเกลียดพ่ออยู่ไม่น้อย ค่าที่ถูกปลูกฝังให้รู้สึกเข่นนั้นมาตลอด แต่เพราะสำนึกในความบกพร่องของตนเอง คาร์ลจึงกลับมาเป็นพ่อที่ดีและน่านับถือจนชนะใจลูกๆ อีกครั้ง



ต่อมาเมื่อแก๊งเริ่มขยายใหญ่ขึ้นโดยมีสมาชิกทั้งหมด ๑๕๐ คน คนพวกนี้พกอาวุธติดตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่ว่าจะเป็นปืนพกขนาดเล็ก ปืนกึ่งอัตโนมัติ ระเบิดมือ ตลอดจนระเบิดขนาดใหญ่ คอยวางแผนเข้าปล้นธนาคารอยู่เป็นระยะเพื่อหาเงินทุนมาซื้ออาวุธสะสม มีอยู่ครั้งหนึ่งแก๊งนรกออกก่อวีรกรรมโหดที่สาขาของธนาคารเพื่อการจำนองและแลกเปลี่ยนเงินตราแห่งชาติบาวาเรี่ยน (น่าจะเป็นเหตุการณ์ในไกเซอร์สเลาเทิร์น ในธันวาคมปี ๑๙๗๑-ผู้คัดลอก) วินาศกรรมครั้งนั้นนับเป็นการจงใจฆ่าเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเลือดเย็นที่สุด



การก่อวินาศกรรมหนนี้มีสมาชิกใหม่ที่ชื่อ อิงเกบอร์ก บาร์ซ ร่วมด้วย หลังออกปฏิบัติการนองเลือดหล่อนเกิดอาการจิตหลอนจนเปลื่ยนใจอยากจะกลับบ้านขึ้นมากระทันหันเลยแอบโทรหาพ่อแม่ที่กรุงเบอร์ลิน นั่นนับเป็นครั้งสุดท้ายที่บุพการีมีโอกาสได้ยินเสียงลูกสาว เพราะหลังจากนั้นอุลริเก้ก็เรียกเธอ (หมายถึงบาร์ซ-ผู้คัดลอก) ไปพบ แล้วลวงไปฆ่ายัดบ่อกรวดในที่ลับตาคน



นับวันเหตุการณ์จะทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ แม้แต่คนเดินถนนธรรมดา เวลาไปไหนมาไหนต้องคอยกวาดตามองอย่างระแวงภัย ตลอด ๒ ปีที่ผ่านมามีคนโดนยิงตายไป ๔ ราย บางทีก็โดนสะเก็ดระเบิดฉีกร่างเป็นชิ้นๆ มีการฆาตกรรมกันถี่ถึง ๕๔ ครั้ง นอกจากนี้ยังมีวินาศกรรมสะเทือนขวัญอีกนับครั้งไม่ถ้วน รวมถึงมีการวางระเบิดต่อต้านกองทัพอเมริกันในเยอรมนีอยู่เนืองๆ



มาบัดนี้อุลริเก้มองไม่เห็นคุณค่าของชีวิตมนุษย์ด้วยกันไปเสียแล้ว หล่อนทึกทักเอาเองว่าสิ่งที่ทำไปทั้งหมดคือความมีมนุษยธรรม อันจะขจัดความอยุติธรรมในสังคมตามสายตาหล่อนให้หมดสิ้นไป แท้ที่จริงหล่อนกำลังใช้การก่อการร้ายเป็นเครื่องมือปลดเปลื้องความเกลียดชังและความปวดร้าวขมขื่นของตัวเองต่างหากเล่า



กรมตำรวจจัดคนดีมีฝีมือเตรียมรับการจู่โจมจากเหล่าร้ายซึ่งเกิดขึ้นทั่วไปในเยอรมันตะวันตก แล้วฟ้าก็เป็นใจในวันหนึ่ง เมื่อตำรวจได้ข่าวลับซึ่งไม่ระบุแหล่งที่มาตอนต้นปี ๑๙๗๒ ว่าจะมีคนเอาระเบิดไปซุกไว้ในโรงรถแห่งหนึ่ง บนถนนแฟร้งเฟิร์ตยามดึกสงัด



ตำรวจรีบขนกระสอบทรายถึง ๒ คันรถบรรทุกใหญ่วิ่งตะบึงไปแหล่งเป้าหมายเพื่อสร้างกำแพงกันระเบิดเป็นการด่วน คงเพราะตำรวจใส่ชุดโอเวอร์ออลแบบกรรมกร จึงดูคล้ายกับคาราวานคนสวนกำลังง่วนกับการแบกกระสอบถ่านพีท คนร้ายเลยไม่ทันระวังตัว



ชั่วประเดี๋ยวรถปอร์เช่สีดอกไลแลคคันเท่ก็วิ่งเข้ามาจอด ชาย ๓ คนในชุดแจ๊คเก็ตหนังค่อยๆ คลานลงจากรถ สองในนั้นมุ่งหน้าไปยังโรงรถ ส่วนคนที่สามยืนดูลาดเลาอยู่ตรงทางเท้า ตำรวจพุ่งเข้าชาร์จจับตัวเจ้านี่ไว้ได้ ปรากฏว่าเขาคือ แยน-คาร์ล ราสเป้ หนึ่งในผู้ก่อการร้ายระดับหัวแถว คนรักของอุลริเก้นั่นเอง



หลังจากตำรวจโอบล้อมอย่างแน่นหนาอยู่นานสองนาน โฮลเกอร์ ไมนส์ ก็ถูกลากตัวออกมาเป็นรายต่อไป และพอสิ้นเสียงดวลปืนช่วงสั้นๆ ถัดจากนั้นตำรวจก็ลากหนุ่มผิวเข้มที่บิดตัวเร่าด้วยความเจ็บปวดจากพิษกระสุนตรงต้นขาออกมาได้เป็นคนสุดท้าย เขาคือ อันเดรียส บาเดอร์ หัวหน้าแก๊งนั่นเอง



ต่อมาไม่นาน กูดรุน เอนส์ลิน ก็ถูกรวบตัวขณะเดินอยู่ในร้านเสื้อสตรีแห่งหนึ่งในเมืองฮัมบวร์ก เพราะพนักงานขายบังเอิญเหลือบไปเห็นปืนซ่อนอยู่ในแจ๊คเก็ตแล้วโทรไปแจ้งตำรวจ ถึงตอนนี้อุลริเก้รู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายเป็นที่สุด หลายเดือนต่อมาหล่อนเริ่มตระหนักว่า แม้แต่เพื่อนที่ฝักใฝ่ฝ่ายซ้ายด้วยกันยังแสยงที่จะคบค้าด้วยเพราะเห็นหล่อนเป็นตัวอันตราย



เวลาผ่านไป จนคืนหนึ่งในเดือนมิถุนายน ตอนที่อุลริเก้ตัดสินใจมุ่งหน้าไปสนามบินฮันโนเวอร์ หล่อนรู้มาว่าอาจารย์นิยมซ้ายเช่นเดียวกับหล่อนท่าหนึ่งมีแฟลตอยู่แถวๆนั้น เลยหอบกระเป๋าเดินทางหลายใบไปขอพักกับท่าน



เผอิญช่วงนั้นท่างเพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นประธานสมาพันธ์ครูซึ่งคนทั่วไปยกย่องนับถือ เหตุนี้การยอมให้อุลริเก้มาเป็นแขกของบ้านจึงเป็นสิ่งสุดท้ายที่อยากจะทำ พอคิดไม่ตกท่านเลยไปขอคำแนะนำจากเพื่อน ทุกคนเตือนให้โทรไปบอกตำรวจโดยด่วน ซึ่งท่านก็ทำตามแต่ยังกลับมานอนแฟลตทำทีเป็นไม่รู้ไม่ชี้ จนอุลริเก้จนมุมตำรวจในที่สุด



อุลริเก้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในเรือนจำหรือไม่ก็ห้องพิจารณาคดี เวลามาขึ้นศาลหล่อนเอาแต่ตะโกนก่นด่าผู้พิพากษา การพิจารณาคดีแก๊งบาเดอร์-ไมน์ฮอฟซึ่งเป็นแก๊งวางระเบิดมือฉมังสั่นคลอนขวัญเจ้าหน้าที่มากเสียจนต้องมีการเสริมกำลังป้องกันห้องพิจารณาคดีอย่างแน่นหนา นอกจากนี้ยังสร้างห้องขังพิเศษขึ้นที่เรือนจำระบบความปลอดภัยสูงสุดที่สแตมม์ไฮม์ในเมืองสตุทท์การ์ทอีกด้วย เพราะเกรงว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ยังหลงเหลืออยู่ข้างนอกจะมีมาตรการตอบโต้เป็นการล้างแค้น



เมื่อถูกขังเดี่ยว ต้องอยู่คนเดียวเปลี่ยวเอกา มีเพียงเครื่องพิมพ์ดีดกับหนังสือเท่านั้นเป็นเพื่อนแก้เหงา หล่อนจึงเริ่มคิดมาก ครั้นพอความกดดันถึงขีดสุด เช้าวันที่ ๙ พฤษภาคม ค.ศ.๑๙๗๖ หล่อนเลยผูกคอตายในห้องขัง



พรรคพวกหล่อนปฏิเสธหัวชนฝาไม่เชื่อว่าหล่อนฆ่าตัวตาย ซ้ำยืนยันว่าหล่อนจะต้องถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจฆ่าแน่ๆ ในงานศพมีคนมาร่วมในขบวนแห่ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเบอร์ลินมากถึง ๔,๐๐๐ คน ส่วนใหญ่ใส่หน้ากากปิดหน้าเอาไว้ ตำรวจต้องตรึงกำลังตรวจตราอย่างเข้มงวด เพื่อกันคนร้ายลักลอบเอาระเบิดเข้ามาในงาน แม้จะระแวดระวังขนาดนั้นตำรวจก็ยังไม่วายต้องเผชิญกับการตอบโต้เพื่อแก้แค้นจากกลุ่มผู้ก่อการร้ายอยู่นั่นเอง



ต่อมาภายหลังบาทหลวงซึ่งรู้จัก อุลริเก้ ไมน์ฮอฟ เป็นอย่างดีเผยว่า "พ่อคิดว่าเธอคงปลงตกในที่สุด ว่าตัวเองหลงเดินทางผิดมาเสียนาน เธอมาไกลจนสุดปลายทางเสียแล้ว"



ผู้ตั้งกระทู้ themanfromyesterday กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-10-29 23:47:03 IP : 124.121.252.77


1

ความคิดเห็นที่ 1 (2979588)
avatar
soontorn1

ขอบคุณครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น soontorn1 (soontorn1-at-sanook-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-10-30 00:39:10 IP : 110.77.238.116


ความคิดเห็นที่ 2 (2979600)
avatar
หมาป่าดำ

 

Danke!

ผู้แสดงความคิดเห็น หมาป่าดำ (mistiest-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-11-03 09:49:47 IP : 223.205.112.118



1


Copyright © 2010 All Rights Reserved.