ข่าวในวงการหนังสือตอนนี้คงพอทราบกันแล้วว่า นิตยสาร "สกุลไทย" ที่อยู่กับสังคมไทยมากว่า 60 ปี กำลังจะจากแผงหนังสือไป พอดีทีมงานของสกุลไทยที่เคยมาสัมภาษณ์ผมเมื่อปีก่อนนู้นได้ติดต่อมาทางแมสเสจของ Facebook ว่าขอให้ช่วยแชร์บทความข้างล่างนี้หน่อย ครั้นจะไว้ที่เพจของ IseeHistory ก็กลัวว่านานไปจะหาไม่เจอ แล้วก็อยากจะเพิ่มข้อมูลเว็บบอร์ดบ้าง เลยขอตั้งเป็นกระทู้ใหม่แล้วค่อยเอาไปแชร์ดีกว่า แล้วก็ต้องขออภัย “อาจารย์มกุฏ อรฤดี” ด้วยนะครับที่ไม่มีโอกาสได้ขออนุญาตก่อนจะคัดลอกบทความมา
-----------------
กรณียุตินิตยสารสกุลไทย กรณีศึกษาการอ่านของสังคมไทย
“อาจารย์มกุฏ อรฤดี” บรรยายในห้องเรียนวิชาบรรณาธิการศึกษา
ภาควิชาบรรณารักษศาสตร์
คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
๑๖ กันยายน ๒๕๕๙
ครูถือว่าข่าวการประกาศปิดตัวของนิตยสารสกุลไทยเป็นข่าวสำคัญ ครูจึงนำมาเป็นหัวข้อการเรียนในวันนี้ซึ่งตรงกับวิชาบรรณาธิการศึกษาที่เรากำลังเรียนกันอยู่
“เนื่องด้วยสภาพเศรษฐกิจ พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป และเอเย่นต์จัดจำหน่ายที่ลดลง ทำให้นิตยสารกระดาษค่อยๆลดบทบาทลงในยุคของสื่อดิจิตอลเช่นทุกวันนี้ ด้วยเหตุนี้ สกุลไทยจำเป็นอย่างที่สุดที่ต้องแจ้งต่อท่านผู้อ่านว่า คณะผู้บริหารนิตยสารสกุลไทยได้มีมติให้ยุติการจัดทำนิตยสารสกุลไทย โดยฉบับที่ ๓๒๓๗ ซึ่งจะวางจำหน่ายวันจันทร์ที่ ๓๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ จะเป็นฉบับสุดท้าย...”
หนังสือที่จะอยู่ได้ นิตยสารที่จะอยู่ได้ จะต้องเศรษฐกิจดี ถ้าเศรษฐกิจไม่ดีอยู่ไม่ได้หรอก
ส่วนเศรษฐกิจดีของนิตยสารมาจากว่า มีคนซื้อ มีผู้อ่าน ก็คือรายได้จากการขายนิตยสารนั้น และ รายได้จากโฆษณา
ในกรณีของสกุลไทย แสดงว่ารายได้จากการขายนิตยสารและรายได้จากโฆษณาลดลง
รายได้หลักของนิตยสารทั่วโลก ไม่ได้อยู่ที่การขายนิตยสาร แต่อยู่ที่รายได้จากโฆษณา ถ้าสังเกตย้อนกลับไปประมาณ ๕ ปีที่แล้ว สกุลไทยมีจำนวนหน้ามากกว่านี้ เพราะว่ามีหน้าโฆษณาหลายหน้า
ถามว่าคนอ่านสกุลไทยน้อยลงมั้ย มีคนให้ความเห็นว่าผู้อ่านสกุลไทยไม่ได้น้อยลง แต่ซื้อน้อยลงเนื่องด้วยสภาพเศรษฐกิจ ดังนั้น ย่อมมีคนอีกจำนวนมากไปอ่านสกุลไทยจากห้องสมุด หรือในครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อน ซื้อเพียงฉบับเดียวแล้วหมุนเวียนกันอ่าน เพราะฉะนั้น คนอ่านสกุลไทยจึงมิได้ลดน้อยลง
แล้วทำอย่างไรละ ที่จะให้นิตยสารนี้อยู่ได้?
ถ้าเราพิจารณาสกุลไทยทั้งฉบับ ประมาณครึ่งฉบับเป็นสาระ อีกครึ่งฉบับเป็นบันเทิงคดีนวนิยายซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะดึงดูดให้คนอ่าน
ครูคิดว่าคนอ่านนิตยสารสกุลไทย ประมาณ ๘๐% อ่านเพราะนวนิยาย
นอกจากนั้น สกุลไทยยังมีคอลัมน์ที่น่าสนใจอยู่มาก มีเนื้อหาสาระที่น่าสนใจอยู่มาก และเนื้อหาสาระที่น่าสนใจเหล่านี้ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับกระทรวงวัฒนธรรม
เราเป็นประเทศด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนา เราจึงวัดการอ่านจากหนังสือที่เรียกว่า Book ไม่ได้ เพราะยังไกลเกินไปที่จะให้คนอ่านหนังสือเล่มหนาๆ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าประเทศไหนก็ตามที่อยู่ในกลุ่มประเทศด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนา เช่น ประเทศอินเดียเมื่อ ๖๐ ปีที่แล้ว ก็เริ่มต้นให้ประชาชนรู้จักการอ่านด้วยนิตยสารเล่มบางๆที่มีเนื้อหาสาระต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันของประชาชน รวมทั้งนิทานบันเทิงคดีด้วย เมื่อเขาเริ่มการอ่าน ใฝ่หาการอ่าน หลังจากนั้นเขาจึงไปอ่านหนังสือที่หนาขึ้นๆ
นี่คือตัวอย่างการจัดการเรื่องการอ่านของนักจัดการเรื่องการอ่านของภาครัฐในประเทศอินเดีย ขณะที่เราจัดการเรื่องการอ่านแบบจัดงานอีเว้นท์ ตบแต่งซุ้มในงานอย่างสวยงาม เพื่อให้คนแห่กันไปดู แล้วหลังจากนั้นเงินจำนวน ๑๐-๒๐-๓๐ ล้านบาท ก็สูญสลายไป วิธีการอย่างนี้ไม่เป็นผล
แต่วิธีที่จะเป็นผลที่สุด ก็คือ สื่อซึ่งอยู่ในใจของคนมาเป็นเวลา ๖๑ ปีแล้ว ถ้านักจัดการหนังสือที่ฉลาด เขาจะใช้สื่อนี้แหละ เพราะอะไร เพราะว่าสกุลไทยลงทุนให้รัฐบาลมาตั้ง ๖๑ ปีแล้ว ทำไมรัฐบาลไม่ถามสกุลไทยสักคำว่า คุณขาดทุนเดือนละเท่าไหร่ ถ้าครูเป็นรัฐบาล แค่หยิบเอาค่าโฆษณาของกระทรวงวัฒนธรรมมาสักจำนวนหนึ่ง ค่าโฆษณาของกระทรวงศึกษาธิการอีกสักจำนวนหนึ่ง ค่าโฆษณาของกระทรวงสาธารณสุขอีกสักจำนวนหนึ่ง และค่าโฆษณาจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาอีกจำนวนหนึ่ง ฯลฯ ในที่สุดเมื่อรวมทั้งหมดก็พอที่จะให้สกุลไทยไม่ขาดทุนและอยู่ต่อไปได้ โครงสร้างการอ่านก็ไม่สูญสลายไป นี่เป็นวิธีคิดที่ง่ายที่สุด
แต่บังเอิญรัฐบาลไม่มีคนที่จะมาคิดและรับผิดชอบเรื่องหนังสือและการอ่านของประเทศ จึงปล่อยให้นิตยสารดีๆต้องล้มหายจากไป
เมื่อ ๔-๕ ปีที่แล้ว ร้านหนังสือเล็กๆแห่งหนึ่งในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ประกาศว่าจะต้องปิดกิจการ เนื่องจากดำเนินการต่อไปไม่ได้ ประสบกับภาวะขาดทุน วันรุ่งขึ้น รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมของฝรั่งเศสไปที่ร้านหนังสือแห่งนั้น เพื่อที่จะบอกว่าหยุดไม่ได้นะ แล้วผมจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ร้านหนังสือของคุณอยู่ได้ จะด้วยวิธีไหนก็ตาม
สำหรับนักจัดการเรื่องหนังสือและการอ่าน นิตยสารที่มีคนอ่านมากกว่า ๑ หมื่นคนขึ้นไป ถือว่าเป็นเครื่องมือสาธราณะ เพราะเราจะใส่สาระอะไรลงไปก็ได้ เพื่อที่จะดึงคนอ่านอย่างพื้นฐานที่สุด จนกระทั่งอ่านสูงขึ้น
ถามว่ามีอาจารย์มหาวิทยาลัยที่จบปริญญาเอกหรือนักวิชาการระดับสูงถึงระดับศาสตราจารย์เป็นจำนวนมากแค่ไหนหรือไม่ที่อ่านนิตยสารสกุลไทย มีบุคคลที่ประสบความสำเร็จกี่คนที่เริ่มการอ่านจากนิตยสารเล่มนี้ หรือใช้นิตยสารเล่มนี้เป็นองค์ประกอบในชีวิตด้วย
เมื่อ รัฐบาลไม่มีหน่วยงานที่จะมาจัดการดูแลเครื่องมือสาธารณะเกี่ยวกับเรื่องหนังสือและการอ่าน
แต่นิตยสารสกุลไทยคือเครื่องมือสาธารณะชิ้นหนึ่งที่มีอยู่เป็นเวลานานแล้ว เพียงแต่ไม่มีใครบอกว่านี่คือเครื่องมือของรัฐบาล
ถ้าเปิดดูเนื้อหาข้างใน นิตยสารสกุลไทยทำในบางคอลัมน์ได้ดีกว่ากระทรวงการท่องเที่ยวฯ ในบางคอลัมน์ทำได้ดีกว่ากระทรวงศึกษาธิการ แต่บังเอิญกระทรวงเหล่านี้ไม่รู้จักใช้เครื่องมือ แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป ถ้าเราหมดเครื่องมือนี้ไป
|