dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนห้า

    ก่อนเข้านอนในคืนนั้น ฉันพบว่ามีแมวดำตัวหนึ่งมานอนเหยียดยาวอยู่บนเตียง ครางครืดๆอยากหาคนเกาหน้าเกาตัวให้เต็มที่
   ฉันก็เลยได้มิตรร่วมห้อง นอกเหนือไปจากภาพของนักบุญประจำตัว St. Alexander of Neva ที่นำติดตัวมาด้วย


    เสียงเอะอะข้างนอก..ปลุกฉันให้ตื่นขึ้นในเช้า มืดของวันรุ่งขึ้น ทีแรกก็ยังงงๆอยู่ แต่วินาทีต่อมาก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองอยู่บนเรือรบ..ไม่ใช่ที่วัง
    รีบลุกไปดูที่ช่องหน้าต่าง..เห็นว่า ท้องทะเลเต็มไปด้วยเรือใหญ่น้อย..
    น่าตื่นเต้นเสียจริง..ฉันรีบเตรียมตัวสำหรับงานของวันนี้ด้วยใจอิ่มเอม

    งานแรกของกลาสีหน้าใหม่อย่างพวกเรา..คือ ขัดถูดาดฟ้าเรือด้วยหินขัดและทราย ไม่นานดาดฟ้าของเราก็มันวับ..สะอาดเอี่ยมจนไม่กล้าเดิน..
    คาเด็ทคนหนึ่งเดินผ่าน..และทำใจกล้าทักทายมาว่า
    "สวัสดีครับ..เมื่อคืนนอนหลับดีไหม?"

    ฉันตอบไปว่า หลับสบายที่สุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

    ทีนี้หมู่คาเด็ทคนอื่นๆเริ่มตีวงเข้ามา..เพราะบัดนี้เราก็ถือว่าเป็นเพื่อนกันแล้ว
    ทุกคนยิงคำถามแบบไม่นับด้วยความกระหายอยากรู้
    "ตอนอยู่ที่วัง..ต้องนอนกี่ทุ่ม?"
    "ที่วัง..มีกี่ห้อง?"
    "จริงเหรอ..ที่พระองค์จะมาเป็นทหารเรือ?"
    "เข้าเฝ้าซาร์บ่อยไหม?"
    "จริงเหรอ..ที่ว่ากันว่าซาร์แข็งแรง มีพลังเหนือมนุษย์?"
    "จะมีแกรนด์ ดุ๊ค องค์อื่นๆอีกไหม ที่จะมาเป็นทหารเรือ?"

    พวกเขาตั้งใจฟังคำตอบที่ได้รับในทุกคำถาม และมีทีท่าพอใจที่ทราบว่า
    แม้แต่องค์รัชทายาทก็ต้องตื่นหกโมงเช้าทุกวัน และฉันเองก็เพิ่งทราบว่า
    ข่าวมาของฉันสร้างความตื่นเต้นและเป็นเกียรติให้กับทีมกองเรือ Varyag
    เขาบอกว่า..ตอไปนี้..พวกทหาร(บก) หน่วยรักษาพระองค์จะมาคุยทับเราไม่ได้แล้ว เพราะเราก็มี"เจ้า"เหมือนกัน..

    ฉัน รู้สึกเขินๆ..และได้แสดงความเสียใจไปว่า เสียดายที่ต้องแยกอยู่และลงไปร่วมโต๊ะด้วยไม่ได้ พวกเขาเข้าใจในข้อนี้ดี จากนั้นก็มีอีกหลายคำถามตามมา จนกระทั่งแปดโมงเช้าที่เราต้องเตรียมตัวเคารพธงชาติ..

    พวกเรายืนเรียงแถวเป็นระเบียบต่อหน้าเสาธง..และท่านผบ.
    ฉันรู้สึกว่าขนลุกเกรียวไปด้วยความปิติ เลือดรักชาติวิ่งพล่าน ที่เห็นธงของเราถูกเชิญขึ้นเสา ใจประหวัดไปยังข้อความที่สลักไว้บนหลุมฝังศพที่สุสานของสงครามในปี 1845 ระหว่างทหารฝรั่งเศส กับ รัสเซีย ที่ว่า
    "รวมกันเราอยู่..แยกกันเราตาย"
    หลังจากเคารพธงแล้ว..งานต่อไปคือ พวกเราต้องแยกกันลงเรือต่างๆที่มารับ
    เพื่อไปฝึกหัดการแล่นใบและฝีพาย..ที่มีท่านผบ.เฝ้าจับตามอง

    ชั่วโมงต่อมา..คือ การฝึกหัดควมคุมกระโดง และ ชักใบ ให้ไปตามทิศทาง
    จนกระทั่งถึงเวลาอาหารกลางวัน จากนั้นก็ต้องไปทำงานต่ออีกสี่ชั่วโมง
    เวลาอาหารเย็นคือ หกโมงเย็น
    สองทุ่ม..ทุกคนต้องเข้านอน


    ในระหว่างการฝึกงาน..ไม่มีชนชั้น ไม่มีเจ้า..ทุกคนต้องเหมือนกันหมด
    ความผิดพลาดใดๆก็ตาม จะมีการแจ้งอย่างเปิดเผยต่อหน้าเหล่าคาเด็ท
    โดยเฉพาะฉัน..ที่ถูกย้ำเตือนเสมอว่า..ยิ่งเป็นเจ้า..ยิ่งต้องทำงานหนักกว่าคนอื่นเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดี
    ซึ่งวิธีนี้..ฉันชอบมาก..ฉันเป็นคนเรียนเร็ว เริ่มชินกับการใช้ชีวิตในท้องทะเล
    และเริ่มสนิทกับเหล่าคาเด็ทร่วมลำ เพียงแต่..
    ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นฝั่ง"โดยลำพัง" เพราะเสด็จแม่ขอมากับท่านผบ.
    เตือนหนักเตือนหนา ที่พระองค์ต้องการแกรนด์ ดุ๊ค คนเดิมกลับไป..
    ไม่ใช่ในคราบของกลาสี..
    ใจฉันนั้นอยากจะออกไปโลดแล่นกับพวกเขาเสียจริง..ดูท่าทางสนุก
    ที่พวกเขากลับมาและมีรอยสักติดมาตามตัว..หรือ มีกลิ่นเหล้าโชยติดตัวมา
    แถมมีเรื่องสนุกๆมาเล่าสู่กันฟัง..บางคนแกล้งถามเพื่อเย้าฉันว่า
    "เป็นไงท่าน..ไปขึ้นฝั่งมา..สนุกไหม?" พร้อมหลิ่วตา

    "ก็ไม่ได้ไปไหน..แค่พระอาจารย์พาเดินเล่นนิดหน่อย"

    "น่าสงสารจริง..พวกเราไปเที่ยวกันหัวหกก้นขวิด..ไปกันถึงไหนต่อไหน...แต่ท่านอย่ารู้เลย.."

    ก็นั่นแหละ..เหมือนกันเลย..เพราะฉันก็ไม่อนุญาตให้รู้เหมือนกัน ท่านผบ.ได้มีคำสั่งเฉียบขาดให้กับพวกคาเด็ทไว้ว่า..ห้ามเล่าเรื่องที่ไม่ สมควรให้ฉันได้ฟัง โดยเฉพาะเรื่องลามกจกเปรต..

    แต่ก็ช่างเถอะ..ฉันอายุตั้งสิบหกแล้ว..พอมีจินตนาการเดาเองได้..


    เรือ Varyag

        
     
     


   

    สามเดือนของการเป็นนักเรียนนายเรือภาคฝึกหัดนี้..เราได้ ล่องไปทั่วในน่านน้ำ ฟินแลนด์ สวีเดน และ เราได้มีโอกาสสำคัญนั่นคือ การเสด็จมาเยี่ยมตรวจตราของซาร์ ซึ่งฉันดีใจเหลือเกินที่จะได้อวดท่านในความสามารถใหม่ๆที่ได้ร่ำเรียนมา อีกทั้งคนที่ตามเสด็จด้วย เช่น ซารินา นิคกี้ จอร์จี้
    แกรนด์ ดุ๊ค อเล็กซิส (ที่ต่อมาไม่ค่อยกินเส้นกับฉันเท่าไหร่) รวมทั้งคณะรัฐมนตรี

    เบื้องหน้าพระพักต์..ฉันยืนระวังตรงอยู่ในแถวของเหล่าคาเด็ทใหม่ ซาร์แย้มพระสรวลด้วยความดีพระทัยที่เห็นฉันแข็งแรง..สุขภาพดี โตเป็นหนุ่มขึ้น..
    กับนิคกี้และจอร์จี้ ที่นั่งหูผึ่งฟังฉันเล่าเรื่องสนุกๆระหว่างอาหารกลางวัน
    และเขาได้ส่งข่าวด้วยว่า พี่ชายสามคนของฉันที่แห่กันไปเข้ารวมเหล่าในกองรักษาพระองค์นั้นสุขสบายดี
    แต่ฉันกลับไม่ตื่นเต้น ซ้ำยังสงสารอีกต่างหาก
    ที่พวกเขาต้องไปอุดอู้อยู่ในเมืองทึมๆแบบนั้น และถ้าเขารู้ว่า..อยู่ในกองทัพเรือสนุกแค่ไหน..แล้วจะมาเสียดายทีหลัง..

    สี่ปีผ่านไป..ที่ฉันใช้ชีวิตอยู่แต่ในวังกับเรือรบในทะเลบอลติก
    ใน ปี 1885 คือการที่ฉันได้เลื่อนยศเป็นเรือตรี ด้วยคะแนนสูงสุดแทบทุกวิชา ยกเว้น..วิชาวิศวกรรมนาวี (ที่ทุกวันนี้ฉันก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมทหารเรือต้องมาคร่ำเคร่งเรียนวิชาต่อ เรือด้วย) แต่ก็ช่างเถอะ..ฉันไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไร

    นี่คือ สัญญาณว่าฉันได้โตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว..ไม่ต้องมีพระอาจารย์ควบคุมอีกต่อไป ยกเว้นเสด็จแม่ก็ยังเหมือนเดิม..ที่คิดว่าพวกเราเป็นเด็กๆอยู่ร่ำไป
    วันที่ ๑ เมษายน ๑๘๘๖ คือวันสำคัญ..เป็นวันเกิดครบอายุยี่สิบปีเต็ม
    แต่เช้าแปดโมงตรง มหาดเล็กของซาร์ได้นำเครื่องแบบเต็มยศของนายทหารรักษาพระองค์มาให้
    สายๆมีงานพระราชทานจัดเลี้ยงที่พระราชวัง
    ปีเตอร์ฮอฟ พร้อมคณะผู้ใหญ่ในรัฐบาล

 

    จากนั้นมีพิธีการเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ ธงประจำกองทัพเรือตั้งเด่นอยู่กลางพระวิหาร ซาร์เป็นองค์ประธาน ฉันเดินเข้าไปจนชิดธงโดยมีพระเถระอยู่ข้างๆ เตรียมที่จะส่งข้อความถวายสัตย์ฯจำนวนสองฉบับด้วยกัน
    คือ..ในฐานะที่เป็นแกรนด์ ดุ๊ค ที่ต้องมั่นคงจงรักภักดีต่อพระราชวงค์และบัลลังก์ด้วยชีวิต และในฐานะที่เป็นทหาร..
    ฉันเอื้อมไปรับธงมาเคียงตัวไว้ที่ข้างซ้าย..ยืนตัวตรง อ่านคำสัตย์ปฏิญาณสองฉบับด้วยเสียงก้องไปทั้งพระวิหาร เซ็นชื่อลงนามเป็นหลักฐาน และส่งให้กับคณะรัฐมนตรี
    เมื่อเสร็จสิ้น..จึงเข้าไปสวมกอดซาร์ และจุมพิตถ์พระหัตถ์ซารินา
    จากนั้นจึงกลับไปที่พระราชวังอักครั้ง เพราะมีงานเลี้ยงใหญ่เตรียมคอยเอาไว้

    สามสิบเอ็ดปีที่ผ่านมานี่..ที่บางครั้งฉันคิดถึงภาพนี้ขึ้นมา มีอาการเจ็บยอกใจทุกครั้งที่คิดถึงบรรดาแกรนด์ ดุ๊ค และ แกรนด์ ดัชเชส คนอื่นๆที่ต่างพากันยอมลงชื่อสละฐานันดรตามความต้องการของคณะปฏิวัติบอลเชวิค
    มีฉันนี่แหละ..ที่ไม่ยอมอย่างหัวเด็ดตีนขาด ฉันเกิดมาเป็นแกรนด์ ดุ๊ค จะไม่ยอมให้ไอ้หน้าไหนมาบังคับให้ฉันเปลี่ยนไป หรือ ลืมคำมั่นสัญญา ลืมคำถวายสัตย์ที่ว่า
    "จะจงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดินจนกว่าชีวิตจะหาไม่.."

    ในบันทึกของญาติฉัน มกุฏราชกุมารแห่งเยอรมัน ที่ทรงบันทึกไว้ถึงการสนทนาระหว่าง พระบิดาของพระองค์ กับนายพล Groehner ในวันที่ 9 ธันวาคม 1918 ว่า..ไกเซอร์ได้ถามนายพลว่า..
    "พวกข้าราชการของเราเขายังมีความจงรักภักดีกับเราจริงๆหรือเปล่า?"

    "อย่าไปหวังเลย ตอนนี้ใครๆก็ออกมาต่อต้านฝ่าพระบาท"

    "อ้าว..แล้วคำสัตย์ปฏิญาณล่ะ..ก็พวกเขาได้ถวายสัตย์ให้เราแล้วนี่.."

    "คำสัตย์ปฏิญาณ..มันก็แค่เป็นธรรมเนียมของการคล้อยตามเท่านั้นแหละพะยะค่ะ"

    ฉันรู้สึกเห็นพระทัยและสงสารไกเซอร์อย่างที่สุด เพราะว่าไปแล้วนายพลนั่นก็พูดถูก ดูจากญาติพี่น้องบางคนของฉันซิ..


    (มกุฏราชกุมารที่เราเอ่ยถึงนั้นคือ เจ้าชาย Frederick William Victor Augustus Ernest พระโอรสของไกเซอร์วิลเฮล์มที่สอง
    ที่ไม่มีโอกาสได้เป็นไกเซอร์ เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองของเยอรมัน..ไกเซอร์พระบิดาต้องสละราช บัลลังก์ไปเมื่อหลังจากที่เยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง...วิวันดา)

    
    ตามธรรมเนียมปฏิบัติเมื่อแกรนด์ ดุ๊ค มีอายุครบยี่สิบปี นั่นคือ การแยกไปมีบัญชีส่วนตัว ซึ่งจะเลือกได้ว่าจะรับเป็นเงินสดหรือฝากไว้ในบัญชีกองทุนของหลวงเป็นเวลา ห้าปี ตามแต่ซาร์จะทรงเลือกให้ เพราะจะได้ไม่ไปใช้สุรุ่ยสุร่ายก่อนถึงวัยอันควร แต่ในกรณีของฉันไม่เหมือนกับคนอื่นๆ เพราะ
    ในฐานะทหารเรืออย่างฉันที่จะต้องออกทะเลไปนานหลายๆปี ไม่อยากให้เงินไปนอนเงียบไว้เฉยๆในกองทุนหลวง..
    แต่กว่าจะได้..ก็ต้องอธิบายกันยืดยาวพอสมควรกับเสด็จพ่อ
    สรุปว่า..ฉันได้เข้ามาดูแลเงินของฉันเอง นั่นคือ สองแสนหนึ่งหมื่นรูเบิ้ลต่อปี (เท่ากับ หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นดอลล่าร์) ซึ่งเงินจำนวนนี้ ซาร์ประทานให้หนึ่งแสนห้าหมื่น  ส่วนอีก หกหมื่นมาจากเงินสะสมตั้งแต่เด็ก
    ฉันเพิ่งมาได้รับเงินบ้างก็ช่วงเป็นนักเรียนเตรียมนายเรือ (1882-1886) ที่เสด็จพ่อให้เดือนละ ห้าสิบรูเบิ้ลไว้ติดกระเป๋า แต่ก่อนหน้านั้น..ไม่เคยได้รับเงินเลย..
    คราวนี้..ได้รับก้อนใหญ่มหาศาล ..แต่ฉันเกิดมาในชีวิตที่มีวินัย ไม่ออกนอกลู่นอกทาง ไม่เคยไปติดพันหญิงที่ไหน..ไม่ชอบการพนัน ไม่ดื่มเหล้านอกจากเฉพาะที่ต้องมีสังคมบ้าง..ดังนั้น คนที่คอยรับทรัพย์ไปจากฉันรายใหญ่ก็คือ
    เหล่าร้านหนังสือดังๆในมอสควา ปารีส ลอนดอน..และ นิวเยอร์ค
    จนกระทั่ง..พัสดุเหล่านั้นมาถึงเป็นกองๆและตั้งสูงท่วมหัว
    เสด็จพ่อถามว่า..
    "เจ้าจะอ่านหนังสือพวกนั้นได้หมดหรือ..ซานโดร?"
    " ก็ไม่แน่พระยะค่ะ ลูกไม่ได้ตั้งใจจะซื้อมาอ่านเอง แต่อยากจะจัดตั้งห้องสมุดดีๆให้กับกองทัพเรือ เพราะเรายังไม่มี..ขนาดแม่ทัพเรือของเราสงสัยอะไรยังต้องเขียนจดหมายไปถาม ทางอังกฤษ"
    เสด็จพ่อทรงมีท่าทางพอพระทัยมาก แถมยังช่วยหาหนังสือมาเพิ่มให้อีกจนมันมีจำนวนมหาศาล เต็มไปด้วยหนังสือดีๆและเป็นสุดยอดของสิ่งตีพิมพ์ที่เกี่ยวกับการเดินเรือ และราชนาวี

  (ต่อมา..  รัฐบาลโซเวียตได้เอาบ้านของฉันไปทำเป็นคลับของยุวชนคอมมิวนิสต์หลังจากนั้นไม่นานเกิดเพลิงใหม้ขึ้นจากปล่องไฟที่หมักหมมสกปรก หนังสือพวกนั้นหายไปกับพระเพลิง น่าเสียดายจริง..เพราะถึงมีเงินก็หาซื้อหนังสือพวกนั้นอีกไม่ได้แล้ว..)

ฤดูหนาวมาถึง ในวันคริสมาสต์ อีฟ ฉันต้องออกท่องทะเลอีกแล้ว..คราวนี้ไปไกลนับพันไมล์ทีเดียวกับเรือ H.I.M.S. Rynda ที่จะมุ่งหน้าสู่บราซิล
    มือล้วงไปที่กระเป๋าข้าง..หยิบการ์ดใบเล็กๆออกมา เขียนว่า
    "ด้วยความปรารถนาดี..รีบกลับมานะจ๊ะ"
    ลงชื่อว่า..จากกลาสีของเธอ.. เซเนีย
   

ฉันยิ้ม..เซเนียน่ารัก อ่อนหวานดี ไม่แน่นะ..บางที..บางที..
    แต่ใครจะไปรู้ว่า ซาร์และซารินาอาจจะมีพระประสงค์ให้พระธิดาอภิเษกไปกับเจ้าชายต่างเมืองก็เป็นได้ หาทางยังอีกยาวไกล ตอนนี้เซเนียเพิ่งอายุเพีงย่างสิบสองเอง..
    ตัวฉันเองก็เพิ่งเป็นเรือตรีมาหมาดๆ ยังต้องรอนแรมฝึกฝนหาประสบการณ์ในท้องทะเลไปอีกสามปีกว่าได้จะเลื่อนยศอีกครั้ง..
    ในฐานะที่เป็นเจ้า..การเป็นทหารเรือของฉันนั้นมักจะมีสองตำแหน่งควบคู่ไปเสมอ เป็นที่หนักใจของผู้บังคับบัญชาพอสมควร เพราะยามที่อยู่ในเรือ
    ฉันคือลูกน้องที่ต้องทำตามคำสั่ง..
    ยามที่ขึ้นฝั่ง..ผบ. ต้องทำความเคารพฉัน..และ ต้องเดินระยะให้ห่างไปห้าก้าว..

    ที่ ปารีส..สาวสองนางที่อเมริกันบาร์ต้องตื่นตะหนกที่จู่ๆท่านผบ.ที่กำลัง คลอเคลียอยู่รีบลุกทะลึ่งพรวดทำความเคารพนายทหารหนุ่มน้อยที่เพิ่งเดินผ่าน ประตูเข้ามา..ซึ่งฉันก็ไม่ได้สนใจท่านนัก เพราะหน้าที่ของฉันตอนนั้น
    ต้องคอยดูแลวุ่นอยู่กับนายทหารพระพี่เลี้ยง Eberling เพราะนายนี่ชอบหายไปมั่วสุมอยู่แถวโรงระบำโป๊..

    เรือโท Eberling ได้รับการมอบหมายให้มาดูแลฉันใกล้ชิดจากเสด็จแม่ที่ทรงวางพระทัยเพราะเชื่อ ในใบหน้าที่ใสซื่อ ดวงตามีแววบริสุทธิ์ของเรือโทคนนี้
    ทรงเป็นห่วงนักในเรื่องของคนหนุ่มกับกรุงปารีสที่เต็มไปด้วยแสงสี
    หรือ ฮ่องกง หรือ เซียงไฮ้ ก็ตาม การเลือกตัวพระพี่เลี้ยงในครั้งนี้ของเสด็จแม่ เรียกเสียงโห่ฮาจากกลุ่มนายเรือทั้งลำ เพราะใครๆก็รู้ดีในเรื่องกิติศัพท์ของการเป็นนัก(แอบหนี)เที่ยวของเอบเบอลิ่งดี..
    พระพี่เลี้ยงของฉันมักจะอ้อแอ้..บอกเสมอ หลังจากที่กระดกบรั่นดีผสมโซดาแก้วที่ห้าว่า..
    " อย่าลืมนะ..กระหม่อมได้สัญญกับเสด็จแม่ของฝ่าบาทว่า จะดูแลชนิดไม่ให้คลาดสายตา ฉะนั้น..ฝ่าบาทจะต้องอยู่กับกระหม่อม ไม่ว่ากระหม่อมจะไปไหน หรือทำอะไร"

    ฉันได้แต่ขำ..

    

    จุดหมายต่อไป..คือท่าเรือแห่ง.. ริโอ เดอ จาเนโร

    บราซิล เป็นที่รู้จักกันก็คือ..ป่าทึบ..เสียงเพลง "La Paloma" ที่จะมีสาวเอวบางร่างน้อยมาส่ายร่ายรำตามจังหวะ และ จักรพรรดิ์ทีมีเคราสีขาว..Don Pedro 
    แต่สำหรับฉันแล้ว..ริโอ..นี้ คือสถานที่สวยงามยิ่ง..ป่าทึบนั้นเต็มไปด้วยลำธารน้ำใส มีนกนานาสี นานาชนิด ดอกไม้ที่แย่งกันขึ้นมาสีสดสวยอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน...อยากกลับมาทุกเมื่อ
    เมื่อเทียบกับความศิวิไลในยุโรป หรือ ความสะดวกสะบายในเอเซีย
    ฉันก็ยังเลือกริโอ..

    โทรเลขส่งมาจากพระราชวังที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก มารอที่ฝั่งทันทีที่มาถึง
    มีพระบัญชาให้ฉันเข้าถวายความเคารพต่อจักรพรรดิ์อย่างเป็นทางการในนามของซาร์ และตอนนั้นเป็นฤดูร้อนของบราซิล (ทั้งๆที่เป็นเดือนมกราคม)
    จักรพรรด์ ดอน เปโดร ทรงพำนักอยู่ที่พระราชวังฤดูร้อนที่อยู่บนเทือกเขา
    กว่าจะไปถึงได้ต้องผ่านเส้นทางซิกแซกที่แสนน่ากลัว ใช้เวลาสามชั่วโมง
    ฉันมีทหารติดตามไปสองคน และเมื่อถึงก็ได้พบกับทูตรัสเซียประจำบราซิล
    ที่มาคอยอยู่แล้ว..เราต่างสงสัยกันว่า ที่เรายืนอยู่นี้กลางป่าทึบนี้ จะมีมนุษย์อื่นๆที่ไหนอีก..

    จักรพรรดิ์ดอน เปโดร ทรงฉลองพระเนตรกรอบทองเรียวเล็ก ดูลักษณะเหมือนกับพวกโปรเฟสเซ่อร์ในมหาวิทยาลัย ในการสนทนา
    พระองค์ ได้ตรัสแบบน้อยพระทัยว่า.."ในสายตาของชาวยูโรเปี้ยนมักเห็นว่าเราคือชนกลุ่ม น้อยที่เกิดใหม่ แต่ความจริงแล้ว เราเก่าแก่มากอยู่มานานนับหลายพันศตวรรษแล้ว พวกที่อยากจะเปลี่ยนแปลงการปกครองก็ใฝ่ฝันกันนักที่อยากจะเป็นอย่างชาวศิวิไลนั่น.. เอาเถอะ..ฉันยอมให้ เพราะไม่อยากที่จะเห็นการนองเลือดของประชาชน ปล่อยให้พวกที่อยากจะเป็นประธานาธิบดีทั้งหลายนั่น แสดงความสามารถกันต่อไปสำหรับอนาคตของบราซิล"


    ฉันรู้สึกประทับใจ ในองค์จักรพรรดิ์มาก เราพูดกันด้วยภาษาฝรั่งเศส ที่พระองค์ทรงเชี่ยวชาญมาก สองชั่วโมงที่เราได้คุยและร่วมโต๊ะเสวยกันตรงหน้าต่างบานใหญ่ที่มองออกไป ข้างนอกเป็นสวนสวย..นกหลากสีบินว่อนหาอาหาร..ดอกไม้งามบานสะพรั่ง..
    ก่อนจากกัน..จักรพรรดิ์ได้มอบเข็มกลัดที่เป็นกางเขนอันเป็นเครื่องราชย์ชั้นสูง ของบราซิลให้ที่อกเสื้อ ซึ่งฉันได้ทูลไปว่า อยากจะได้เครื่องราชย์ที่มีนามว่า The Order of Rose มากกว่า..

    ทรงขำ และบอกว่า..The Order of Rose นั้นเป็นชั้นสามัญมาก ใครๆก็มี    
    แต่ก็เอาเถอะ..ทรงประทานให้มาทั้งสองอย่าง..

    สองปีต่อมา..บ้านเมืองถูกคุกคามมากขึ้น..องค์จักรพรรดิ์ได้สละราชสมบัติจริงๆ ตามที่ได้สัญญาไว้กับประชาชน และ พระองค์ก็ยังเป็นที่เคารพบูชาและจดจำของประชาชนอย่างมิรู้คลาย..นับว่า พระองค์ทรงพระปรีชามากที่เลือกเส้นทางนี้

   
    
 
 

 
    เราจะต้องอยู่ในริโออีกห้าวันหลังจากนั้น ผู้ที่มาให้การรับรองคือ คหบดีค้าเมล็ดกาแฟชาวรัสเซียที่มาตั้งรกรากอยู่ที่บราซิล มีภริยาเป็นเศรษฐีพื้นเมือง
    ที่เช้าๆมักจะมารับเราไปเที่ยวชมไร่ จัดให้มีการแสดงดนตรีโดยชาวพื้นเมือง
    อย่างที่ไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ตกเย็นหลังอาหารค่ำ เรานั่งที่ระเบียง
    มืดๆ ไม่จุดไฟ เพราะต้องการที่จะได้ยินเสียงป่าอย่างแท้จริง

    ภรรยาเจ้าของบ้าน มีหลานสาวสองคน สวยทั้งคู่..มาสร้างความบันเทิงโดยการเล่นกีร์ต้าและเต้นระบำในเสียงเพลง ลา ปาโลมา ได้อย่างสวยงาม..
    ฉันรู้สึกถูกใจกับคนโต..เธอก็ชอบฉันนะ..หรือ ไม่แน่อาจจะเป็นเพราะสนใจ
    หรืออยากจะเอาใจในหนุ่มน้อยที่มีคนเขาเรียกว่าแกรนด์ ดุ๊คกระมัง
    เรามีฉากโรแมนติคกันเล็กๆ..

    ถ้าเธอยังมีชีวิตอยู่..ก็อายุเข้าไปหกสิบสามแล้วตอนนี้..หวังว่าเธอคงจำความ หลังของค่ำคืนในเดือนมกราคม ปี 1886 นั้นด้วยความรู้สึกดีๆอย่างเดียวกับที่ฉันมีให้

    จากบราซิล เรามุ่งหน้าข้าม Capetown สู่ สิงคโปร์ ที่มีเส้นทางยาวไกลมาก
    เพราะต้องล่องเรือกันถึงสี่สิบห้าวัน..ไม่แวะที่ไหนเลย
    ที่สิงคโปร์..ฉันอยากจะให้พวกมาดามผู้ดีที่นั่งจิบชาในคฤหาสน์ที่อังกฤษ
    พวกที่มีสามีมาทำงานที่สิงคโปร์ และมักจะบ่นเสมอว่า คุณผู้ชายของตัวเองทำงานอย่างหนักกว่าจะหาเงินมาซื้อเพชร ซื้อเสื้อผ้าแพงๆได้
    อยากจะบอกให้นัก..ว่า เงินที่ได้มานั้น..มันไม่ได้หายากหาเย็นอะไรนักหนา
    เพราะบ้านเมืองมีโรงฝิ่นอยู่เต็มเมือง คนจนต้องมาซื้อจากพ่อค้าคนรวย
    ชาวบ้านอยู่กันอย่างน่าสงสาร เด็กผู้หญิงอายุขนาดเก้าขวบยังไม่มีเสื้อผ้าใส่..นั่งอยู่บนตักของคนที่เป็นโรคเรื้อน..
    แต่ท่ามกลางโรงฝิ่นที่เป่ากันควันโขมงนั้น ก็แซมไปด้วยคฤหาสน์ที่แสน
    โอ่อ่าของชาวอังกฤษ..

    ถ้าฉันต้องทนอยู่ในสภาพอย่างนี้ไปอีกอาทิตย์เดียว ต้องล้มป่วยอย่างแน่นอน โชคดีที่มีคำสั่งให้ถอนสมอไปต่อที่ฮ่องกงโดยด่วน..ต้องขอขอบคุณพระเจ้าเลยทีเดียว..

    
    วันเกิดครบยี่สิบเอ็ดปีของฉันได้มาถึง (หนึ่งเมษายน) ใครๆทั้งเรือก็อยากจะจัดงานฉลองให้ด้วยกันทั้งนั้น..เพราะโดยตามปรกติ แล้ว..ในเรือมีกฏห้ามดื่มสุรา(แบบเมามาย) แต่คราวนี้ทุกพร้อมใจกันที่จะ"ฝ่า"กฏ เพราะ ถือเป็นหน้าที่ถวายพระพรและความจงรักภักดีที่ต้องฉลองให้กับฉัน
    พอเริ่มมึน..ในหมู่ผู้ชายหนุ่มฉกรรจ์อย่างพวกเรา..การสนทนาก็หนีไปพ้นเรื่อง"ผู้หญิง"

    พระพี่เลี้ยงตัวดีของฉันเริ่มคุยฟุ้งว่า..พิชิตมาหมดแล้วทั้งท่าที่ริโอ และ สิงคโปร์
    เรือโท.อีกคนหนึ่งก็ทับว่า..สาวดัทช์ที่อเมริกาใต้นั้นช่างร้อนแรงอย่าบอกใคร..
    เรือตรี..อีกคนหนึ่งเสริมว่า..ท่าไหนก็ไม่มีพลาด กวาดมาทั่วโลกแล้ว..

    แล้วทุกคนก็หันมาทางฉัน..ที่รับเสียงอ่อยๆ..ว่า..ไม่เคยเลย..

    ทุกคนทำท่าตกใจ..และรีบตักเตือนกันอย่างรัวเร็วว่า..ระวังจะเสียสุขภาพ
    เพราะอายุปาเข้าไปตั้งยี่สิบเอ็ดแล้วจะมัวมารักษาความบริสุทธิ์อะไรกันอยู่..
    โธ่ เอ๊ย..ว่าแล้วทุกคนทำท่าเสียดาย..เพราะที่ผ่านมาแต่ละท่านั้น"เด็ดๆ" ทั้งนั้น ทั้งริโอ และ สิงคโปร์..แต่ก็ยังไม่สาย เพราะที่ฮ่องกง เป้าหมายต่อไปนี่ก็มีสาวอเมริกันสวยๆเยอะแยะ..

    พระพี่เลี้ยง Eberling ตัวดีของฉัน เริ่มร่ายยาว..ว่า..
    "นี่ถ้าพระองค์รู้นะ..ได้พลาดอะไรไปบ้างแล้วจะเสียดาย..ในชีวิตนี้ไม่มีอะไรดีเลิศไปว่า"ผู้หญิง" มานี่..กระหม่อมจะสอนให้ในฐานะที่อาบน้ำร้อนมาก่อน สาวๆที่ฮ่องกงนี่เด็ดนัก กระหม่อมทราบดีว่าฝ่าบาทไม่โปรดสิงคโปร์ แต่ที่ฮ่องกงเนี่ยนะ...มีสาวๆอเมริกันกระหม่อม..แจ๋วจริงๆ"

    ว่าแล้วนายตัวดีนี่ก็เอานิ้วมาห่อแล้วจ๊บไปที่ปากดังจ๊วบ..เพื่อยืนยันว่าเด็ดจริง
    ต่อด้วย
    "สาวๆอเมริกันที่นี่นับเยี่ยมที่สุดในโลก ไม่มีที่ไหนเหมือน กระหม่อมว่า..สาวที่นี่คนเดียว ดีกว่าสาวปาริเชี่ยนนับพัน..เอาเถอะ กระหม่อมจะพาไปเอง  รับรองว่าดีจริง..เลิศจริง เพราะเป็นผู้หญิงชั้นดี มีอพาร์ทเม้นต์เป็นของตัวเอง
    ไม่ใช่พวกที่หากินตามโรงแรมถูกๆ..เอ..ขอนึกก่อน..เบ๊ตตี้..เอ..ใช่ชื่อนี้หรือ ปล่าวนะ บางทีอาจจะเป็นอีกคนหนึ่งที่เซี่ยงไฮ้ เอาเหอะ ชื่ออะไรก็ช่าง..แต่..สูงโปร่ง ผมดำ ตาสีฟ้า..สวยหยดเลย..อ้อ..โจน อีกคนหนึ่งที่ฝ่าบาทค์จะต้องโปรด ผมทอง ตาสีเขียว อย่าเพิ่งตื่นเต้น..ยังมีอีก....แม่สาวน้อยแพทซี่..ก็อ้อนแอ้น สูงประมาณห้าฟุตห้า..ผิวงี้..เนียนละเอียด..ยังกะ..ยังกะ..
 งาช้างแน่ะ..เอ..ทรวดทรง..กระหม่อมจะเทียบกับอะไรดีนะ..อ้อ..นึกได้แล้ว..รูปปั้นไง..รูปปั้นที่แอร์มิตาจมิวเซียมในพระราชวังหลวงไง.."

   

    ฉันก็ไม่รู้หรอกนะ ว่า รูปปั้นไหนที่เรือโทพระพี่เลี้ยงได้อ้างถึง เพราะความรู้ของเขาเกี่ยวกับแอร์มิตาจมิวเซียมนั้นช่างน้อยนิด..เอาเรื่อง เอาราวไม่ค่อยได้ แต่ตอนนี้สมองของฉันเริ่มสับสนในข้อมูลที่น่าสนใจ และเชื่อว่าไม่มีคนหนุ่มในวัยเดียวกับฉันคนไหนที่จะทนความเย้ายวนของการปลุก ระดมนี้ได้

    ในยามเย็นที่เราถึงท่าที่ฮ่องกง..ฉันตัดสินใจที่"ร่วม ก๊วน" กับหมู่นายเรือตัวฉกาจ ในอพาร์ตเม้นท์ที่ไปนั้น..เราได้สวนกับนายทหารสองคนที่ค่อนข้างตกใจที่พบกับ ฉันในสถานที่อโคจรแบบนั้น
    การตกแต่งภายใน..นับว่ามีรสนิยมล้ำเลิศ..สาว งามสามคนที่ทำหน้าที่ต้อนรับนั้นแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ดูดีมีรสนิยมหรู อีกทั้งมารยาทที่ถูกฝึกมาอย่างดีเยี่ยม..

    ทันที่เรานั่งลง..แชมเปญถูกรินส่งมาให้ การพูดคุยพวกหล่อนได้รักษาระดับเสียงในโทนที่พอดีๆ และสามารถคุยอย่างสนุกสนานได้ทุกเรื่อง..
    เมื่อถึงเวลา..พวกเขาปล่อยให้ฉันอยู่คนเดียวกับสาวคนที่สวยที่สุด..
    เธอพาฉันไปเยี่ยมชมที่ห้องส่วนตัว..!!!

    จากเย็นวันนั้นมา เราก็เป็นเพื่อนกัน..เพราะฉันพาเธออกไปดินเนอร์ และนั่งรถชมวิวที่ Pique เพื่อที่จะมองลงมายังวิวของเมืองฮ่องกงทั้งหมด..
    เธอคนนั้น.. เป็นชาวซาน ฟรานซิสโกโดยกำเนิด ยอมรับว่า อยากมี อยากได้ จึงได้เลือกเส้นทางนี้ ไม่เคยบ่นถึงชะตาชีวิต ไม่เคยก่นด่าชายที่ทำให้ผิดหวังหรือสร้างความเจ็บช้ำให้มาในอดีต เพราะเธอถือว่า อะไรก็เปลี่ยนสิ่งที่ผ่านมาไม่ได้
    ฉันรู้สึกเสียดายที่เราต้องจากกัน เมื่อถึงเวลาที่จะต้องไปต่อที่ญี่ปุ่น..
    มันไม่ใช่ความรัก หรือ หลง...แต่มันเป็นความรู้สึกดีๆที่มีให้กับใครคนหนึ่ง
    เราเขียนจดหมายถึงกันประมาณปีหนึ่งในฐานะเพื่อน หรือทุกครั้งที่ เรือ Rynda ผ่านฮ่องกง ฉันก็แวะเยี่ยมเสมอ
    จวบจนปี 1890 ที่ทราบว่าเธอได้เสียชีวิตไปแล้วด้วยโรคปอด..

    
เมื่อเราถึงท่าเรือ นางาซากิ..พรรคพวกนายทหาร และ ต้นหนของเรือ Vestnik ที่มาประจำท่าอยู่ก่อนแล้วได้เข้ามาเยี่ยมเยียนทักทาย..พร้อมกับช่วยเป็นพี่ เลี้ยงสั่งสอนการดำเนินชีวิตของพวกเราในญี่ปุ่น เพราะจะต้องปักหลักอยู่ถึงสองปี..
    ต่อมาฉันพบว่า..พวกเขาทุกคนต่างมี"เมียชั่วคราว" เป็นชาวญี่ปุ่น ที่ไม่ได้มีพิธีแต่งงานหรือการจดทะเบียนใดๆทั้งสิ้น แต่อยู่กินด้วยกันในบ้านกระดาษหลังเล็กๆนั่น ทุกอย่างเล็กไปหมด ต้นไม้เล็กๆ ลำธารเล็กๆ
    พวกเขาบอกว่า ผู้บังคับการท่านไม่ได้ว่าอะไร ซ้ำยังมาเป็นประธานในงานกินเลี้ยงแต่งงานให้ด้วย เพราะท่านผบ.เข้าใจดีว่า พวกผู้ชายที่ต้องจากบ้านมานานสองปีอย่างนี้ ย่อมเปล่าเปลี่ยวเป็นธรรมดา ..
    เรื่องแบบนี้..มันเรื่องสามัญในญี่ปุ่น มีมานาน..นานก่อนที่นิยายรักรันทด
    Madame Chrysantheme หรือ Madame Butterfly จะถูกเขียนมาซะอีก

    ในตอนนั้น เราต้องประจำที่หมู่บ้าน อินาสซา (Inassa)ที่อยู่ไม่ห่างไปจากเมืองนางาซากิเท่าไหร่ ที่นี่..มีร้านอาหารชั้นดีเยี่ยมร้านหนึ่ง เจ้าของเป็นหญิงม่าย นาง โอมาติซัง ที่จัดว่าเป็นแม่ทูนหัวของชาวรัสเชี่ยนเลยทีเดียว
    เพราะมีกุ๊กเป็นรัสเชี่ยน ตัวเธอเองพูดภาษารัสเชี่ยนได้คล่องแคล่ว ในร้าน
    มีดนตรีเล่นเพลงรัสเชี่ยน..อาหารก็เสริฟอาหารรัสเชี่ยน เช่น ใข่ต้ม โรยหอมซอย โรยหน้าด้วยคาเวียร์ ทุกอย่างในร้านของเธอเหมือนนั่งอยู่ในร้านอาหารชายเมืองมอสควาอย่างไรอย่างนั้น..
    ที่สำคัญ..โอมาติซัง ยังทำหน้าที่เป็นแม่สื่อแม่ชัก หาสาวๆที่มีคุณสมบัติเป็นแม่บ้านที่ดีมาให้กินอยู่กับพวกเราชาวเรือรัสเชี่ยนด้วย
    การอนุเคราะห์ของโอมาติซังดังกล่าว เป็นการทำด้วยมิตรจิตมิตรใจ ไม่ได้หวังลาภผลหรือมีชักค่านายหน้าอย่างไรทั้งสิ้น

    ที่ร้านของเธอนี่เอง..ที่เหล่านายเรือรุ่นพี่จาก Vestnik ได้ทำการจัดงานเลี้ยงต้อนรับเรา..
    ในงานนี้..โอมาติซังแสดงฝีมือเต็มที่ ของดีๆมีเท่าไหร่ยกมาหมด เช่น
    วอดก้าชั้นดีที่มีตราอิมพีเรียลประทับ คาเวียร์ชั้นเลิศ ปลาสเตอเจียนทั้งตัว
    พวกเราสนุกสานกับดนตรี..ร้องเพลงกันเสียงลั่น
    ฉันสังเกตดูเหล่า"แม่บ้าน" ร่างจิ๋วๆพวกนั้น..พวกเขาพากันหัวเราะกิ๊กกั๊กแบบเหนียม ดื่มก็ไม่ดื่ม..ทุกคนท่าทางเรียบร้อย..ผู้หญิงอย่างพวกเขาไม่ได้เป็นที่ยอม รับในสังคม เพราะถูกตราหน้าเอาไว้ จึงเกาะกลุ่มคบหากันเอง..
    ต่างยังมีความหวังว่าสักวันหนึ่ง อาจจะได้แต่งงานกับชายชาวญี่ปุ่นด้วยกัน มีครอบครัวเล็กๆ อยู่กินกันตามสถานะ..
    แต่ในช่วงที่ต้อง"ทำมาหากิน" กับชายชาวต่างชาตินี้..หญิงพวกนั้นถือว่าเป็นการทำธุรกิจอย่างหนึ่ง นี่คือระบบความคิดอย่างมีเหตุผลที่น่านับถือ
    อย่าเอาไปปนกับนิยาย ดราม่า มาดามบัตเตอร์ฟลายที่เนื้อเรื่องนั้นเป็นที่ชวนหัวของชาวญี่ปุ่นทั่วไป..ไม่มีหรอก..ที่หญิงในกิโมโนในชุดไหน ไม่ว่าจะลายดอก หรือ ลายทาง ที่จะมาคร่ำครวญ ปักหลัก รอ"สามีชั่วคราว" ชาวต่างชาติ
    จนเกิดโศกนาฏกรรม..
    เพราะ อย่างที่บอกมาว่า..เป็น "ธุรกิจ" ที่มีสัญญาต่อกัน หนึ่งถึงสามปี แล้วแต่ว่าเรือจะจอดอยู่นานแค่ไหน เมื่อหมดสัญญากับคนนี้..เรือลำใหม่ ทหารคนใหม่ก็มาเทียบท่าแทน..

    ถ้าหล่อนคนนั้นโชคดี..เจอคนใจป้ำ..กระเป๋าหนัก อาจจะมีรางวัลให้จุใจก่อนจากไป..ชนิดเอาไปตั้งตัวได้ไม่ต้องมาทำธุรกิจอย่างนี้อีก..


    ฉันไปเยี่ยมเพื่อนๆที่มี"ครอบครัว" บ่อยๆ..ในฐานะชายโสด ซึ่งเป็นที่กังขาของเหล่าพวกแม่บ้านพวกนั้นยิ่งนัก เพราะ"ซามูไร"
    (พวกเขาเรียกฉันว่า ซามูไร เพราะ มีคนไปบอกว่า แกรนด์ ดุ๊ค แปลว่า ซามูไร) คนนี้ทำไมเที่ยวไปนอนตามหน้าเตาผิงในห้องรับแขกเล็กๆของคนนั้นคนนี้ ทำไมไม่มี"แม่บ้าน" ของตัวเอง หรือ ซามูไรคนนี้ขี้เหนียวจนเกินขนาด..

    ในที่สุด..ฉันตกลงใจที่จะมี"แม่บ้านชั่วคราว" กับเขามั่ง..
    ข่าวนี้กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว..ทั้งๆที่ฉันต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปอย่าง เงียบเชียบ..แต่ห้ามไม่ทัน มันกลายเป็นงานใหญ่ เหล่าฝูงสหายร่วมกองเรือทั้งหกลำที่จอดอยู่ที่นางาซากีต่างถือเป็นโอกาสอัน ดีที่จะร่วมมือกัน
    จัดงานเสี่ยงพวงมาลัยหาสาวๆมาให้"ซามูไร" เลือก..
    ตัวกลางจัดหาคือ โอมาติซัง..ที่รับหน้าที่จัดงานเลี้ยงในร้านของเธอ และป่าวประกาศหาหญิงงามให้อย่างพร้อมพรัก

    มาถึงยามที่ต้องเลือก..นี่คือสิ่งที่ยากยิ่ง..เพราะทุกคนหน้าตาจิ้มลิ้ม เหมือนๆกันไปหมด..และไม่ใช่น้อยๆ มากันร่วมหกสิบคน..ตาลายไปหมด..
    ฉันไม่กล้าสบตานายทหารพระพี่เลี้ยงตัวดี เรือโท เอบเบอริ่ง เลย เพราะ
    เกรงว่าจะระเบิดหัวเราะกันออกมา..
    ในที่สุด..ฉันตัดสินใจเลือกเอาจากสีที่ชอบ..ชี้เลือกสาวในกิโมโนสีน้ำเงินแซฟไฟร์แซมด้วยดอกไม้สีขาวดอกโต..

    เอาละ ทีนี้ฉันก็มีบ้านและแม่บ้านกับเขาเสียที..เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันหัดเล่น บทเป็นพ่อบ้าน..เช้าหกโมงต้องรีบไปทำงานที่เรือ เลิกหกโมงเย็น
    เพราะนี่คือกฏเหล็กที่ผบ.เรือได้วางไว้
    พอหกโมงครึ่ง.. ก็กลับมาเอ้อระเหย นั่งรออาหารเย็นพร้อมเสิรฟที่บ้าน
    ตุ๊กตาของฉัน..แม่บ้านที่ได้มาช่างวิเศษเสียจริง ยิ้มแย้ม..ไม่เคยบ่น ไม่เคยหน้างอ ทำงานทั้งวัน
    ฉันชอบให้เธอใส่กิโมโนสวยๆ..เลยซื้อผ้าไหมให้เป็นพับๆ..ซึ่งสร้างความตื่นเต้น ให้กับเธออย่างมหาศาลถึงกับวิ่งเอาไปอวดชาวบ้านเขาทั่วไปหมด
    ต่างพาสรรเสริญว่า"ซามูไร"ของเธอ..ใจกว้างราวกับแม่น้ำ

    เธอได้พยายามเย็บกิโมโนให้ฉันใส่.. เมื่อลองให้ดูแล้วก็หัวเราะใหญ่
    เพราะเธอคงไม่เคยเห็นกิโมโนที่ไหนจะดูดีในร่างของชายที่สูงถึงหกฟุตสองนิ้ว..

  
 

    เวลามีแขกมาเยี่ยมเยือน..เธอจะวุ่นอยู่แต่กับการจัด เลี้ยงจนอิ่มหนำกันไปตามๆกัน บางครั้ง..ฉันก็พาออกไปดินเนอร์ข้างนอกเช่นกัน หรือพานั่งรถลากไปเที่ยวตามชนบท..
    เหล่าพวกทหารเรือแอบเรียกเธออย่างขำ ว่า.."แกรนด์ ดัชเชส" แต่..พวกชาวบ้านกลับเห็นเป็นเรื่องจริงจัง..เพราะบางทีฉันเดินในหมู่บ้าน พวกคนแก่ๆบางคนมาจับไม้จับมือ ถามไถ่ว่า สุขสบายดีหรือ มีใครทำอะไรให้ขัดเคืองใจหรือไม่..

    ในเมื่อฉันจะต้องอยู่ที่นี่อีก นานถึงสองปี ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ต้องเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นไว้บ้าง..ครูที่ดีก็ไม่ ต้องไปหาที่ไหน..แม่บ้านนี่แหละ..สอนกันตัวต่อตัว ทุกวัน ไม่เก่งก็ให้มันรู้ไป..
    ไม่นานฉันก็สามารถพูดจาภาษา"ประจำวัน" พอรู้เรื่อง..

    โทรเลข จากซาร์ได้มาถึงในวันหนึ่ง..ทรงมีพระบัญชาให้ฉันไปเข้าเฝ้าเยี่ยมคำนับพระราชวงค์ที่พระราชวังมิกาโด..ทูตของเราที่โตเกียวจะจัดการเรื่องหมายกำหนดการ ของการเลี้ยงรับรองมาให้ เพราะเท่ากับว่า ฉันจะเป็นเจ้านายยูโรเปี้ยนคนแรกที่ได้รับเกียรติเป็นราชอาคันตุกะของจักรพรรดิ์แห่งญี่ปุ่น ท่านทูตได้บอกว่าเตรียมล่ามไว้ให้แล้ว เพราะ พระราชวงค์ไม่ตรัสภาษาอื่น นอกจากภาษาญี่ปุ่น..
    ซึ่ง..ฉันขำในใจ..เพราะเชื่อว่าอาจจะพอสื่อสารกันรู้เรื่องด้วยตัวเองบ้าง

   

    หมู่บ้านอินาสซ่าที่อยู่..ต่างพากันเงียบกริบ..เพราะช๊อค
    ที่จู่ๆ"ซามูไร"คนหนึ่ง..กำลังจะไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ์อย่างเป็นทางการ
    ทุกคนไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไรกับฉัน..บางคนไม่กล้าเข้ามาพูดด้วยเช่นเคย
    บางคนพอเดินผ่านก็รีบยืนขึ้นและโค้งคำนับให้..

    แม่บ้านของฉันตื่นตระหนกจนน่าสงสาร..เพราะเธอไปพบภาพฉันในหนังสือพิมพ์ที่มีข่าวกำกับว่า นายทหารเรือหนุ่มที่มาปฏิบัติงานที่อินาสซ่าอย่างเงียบๆนั้นคือ แกรนด์ ดุ๊คคนสำคัญจากรัสเซีย
    เธอละล่ำละลัก..ไม่แน่ใจว่าสมควรที่จะเรียกฉันว่า San (ย่อมาจากซานโดร) เช่นเดิมหรือไม่..
    กว่าจะปลอบให้ขวัญที่บินหายไป ให้กลับมาคืนร่างได้ก็ต้องเป็นผ้าไหมสีเขียว สีชมพูไปอีกห้าสิบหลา..

    เจ้ากรมพิธีการของพระราชวงค์ คือ อดีตเจ้าหน้าที่ฝ่ายในของจักรพรรดิ์แห่งเยอรมัน ที่มาต้อนรับฉันที่โยโกฮามาและที่โตเกียว
    เมื่อถึงโยโกฮามา..มีการยิงสลุตต้อนรับร้อยหนึ่งนัด และจากนี้ไปสิบวัน คือการที่ฉันต้องทิ้งยศเรือตรีไปก่อน..กลับไปเป็นแกรนด์ ดุ๊ค ที่ต้องทำหน้าที่ต่างพระเนตร พระกรรณ..
    ขบวนรถไฟพิเศษได้ถูกส่งมารับที่โยโกฮามา..เพื่อไปยังโตเกียว..และจากโตเกียว มีขบวนรถม้ามารับไปยังพระราชวัง..

    องค์จักรพรรดิ์ และ เอมเปรส เสด็จออกมาต้อนรับในทันที่ที่ถึง พาไปสู่ห้องโถงใหญ่ที่เต็มไปด้วยเหล่าเจ้าหญิง เจ้าชายน้อยใหญ่ที่มาคอยอยู่แล้ว..
    ฉันได้เอ่ยถวายข้อความถึงการเข้าเยี่ยมด้วยมิตรไมตรีจากซาร์
    ซึ่งองค์จักรพรรดิ์ได้กล่าวตอบ..และขอให้ความเจริญจงมาสู่มิตรภาพของรัสเซีย-ญี่ปุ่น
    ข้อความดังกล่าวได้ถูกแปลด้วยล่ามจากสถานทูตของเรา..
    ฉันรู้สึกแปลกๆที่ต้องมายืน"เทิ่ง" ในหมู่คนที่เตี้ยกว่ามาก และพยายามอย่างยิ่งที่จะทำตัวให้เล็กลงให้มากที่สุด..

    

    อาทิตย์เต็มๆที่เป็นการเยี่ยมชมเมือง..เยี่ยมกรมทหาร และคืนนั้นก็มาถึง
    คืองานดินเนอร์เลี้ยงรับรองที่เป็นพิธีการ..

    ฉันนั่งอยู่ข้างขวาของเอมเปรส ซึ่งฉันได้ทักทายพระองค์ด้วยภาษาญี่ปุ่น
    ซึ่งทรงประหลาดพระทัยในทีแรก ต่อมาก็ทรงแย้มพระสรวลรับ..
    นับว่าใจชื้นขึ้นมาหน่อย แสดงว่า..ท่านฟังรู้เรื่อง..
    ในการสนทนาต่อมา..ฉันหลุดปากไปด้วย"คำอุทาน"ที่เคยได้ยินบ่อยๆจาก"ที่บ้าน"
    สิ้นเสียง..ฉันได้ยินเสียงประหลาดอันเหมือนเสียงกลั้นหัวเราะในพระศอของเอมเปรส ..พยายามกลั้นโดยการกัดพระโอษฐ์ จากนั้นพระอังสะก็ไหวกระเพื่อม..หลุดพระสรวลจนได้
    เจ้าชายองค์ที่นั่งถัด ไปทางข้างซ้ายของพระองค์ ขำจนต้องก้มลงหัวเราะเช่นกัน เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าน้ำหูน้ำตาไหล..ต่อมาทั้งโต๊ะเสวยก็พากันขำกลิ้ง ..ฉันถึงกับงง..ว่า..เมื่อกี้ก็ไม่ได้พุดอะไรที่ขบขันสักหน่อย..
    เมื่อทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปรกติ..เอมเปรสส่งสัญญาณให้เจ้าชายคนนั้นคนที่น้ำหู น้ำตายังเต็มหน้าอยู่นั่น..พูดกับฉันเป็นภาษาอังกฤษว่า..
    "ไม่ทราบว่าฝ่าบาทเรียนภาษาญี่ปุ่นจากที่ไหนหรือพะยะค่ะ?"
    "ทำไมหรือ..กระหม่อมพูดอะไรผิดไปหรือ..?"
    "โอ..ไม่ผิดเลย..ฝ่าบาทตรัสได้ชัดเจนดี เพียงแต่มันเป็นอีกชนิดหนึ่งของภาษาเรา เอ..กระหม่อมจะบอกอย่างไรดี เอาเป็นว่า ฝ่าบาทประทับอยู่ที่นางาซากินานเท่าไหร่..และฝ่าบาทได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียน หรือไปเที่ยวที่
    อินาสซ่าบ้างหรือไม่..?"

    สรุปว่า..ดินเนอร์ในคืน นั้นเต็มไปด้วยความครื้นเครง เพราะความ"เชย" ของฉัน..แม้แต่ท่านเจ้ากรมพิธีการได้มาบอกทีหลังว่า ไม่เคยเห็นองค์จักรพรรดิ์และเอมเปรสมีอารมณ์ดีเช่นนี้มาก่อน เขาบอกว่า..
    " กระหม่อมอยากรู้จักผู้หญิงคนนั้นเหลือเกิน อยากจะขอบใจเธอในนามขององค์จักรพรรดิ์ที่สามารถสอนภาษาแสลงให้ฝ่าบาทด้วย หลักสูตรพิเศษเฉพาะตัว..ว่าแต่ว่า..ฝ่าบาทได้เรียนมากี่คำล่ะเนี่ย หรือ เรียนมาหมดเลย?"

 

    ในฤดูใบไม้ผลิของปี 1889 คือเวลาที่เรือของเราได้ถอนสมอ ล่องกลับยุโรป
    โดยใช้เส้นทางผ่านคลองสุเอซ และ อียิปต์
    ฉันหยุดแวะที่กรีซด้วยเพื่อถวายความเคารพกับพระราชินีออลก้า อันเป็นพระญาติ หรือ ลูกผู้พี่ เพราะเป็นพระธิดาของเสด็จลุงคอนแสตนติน ( หรือที่เรียกกันว่า K.R.) ที่อภิเษกไปกับ King George I (กรีซ)

    จากนั้นก็แวะที่ Monte Carlo เพราะ เสด็จพ่อ เสด็จแม่ พี่หญิงอนาสตาเซีย มาคอยพบ..
    จากนั้น เราก็ล่องเรือต่อไปที่อังกฤษ
    ในครั้งนี้ ซาร์ได้ทรงมีพระบัญชามาอีกแล้ว..ให้เข้าถวายความเคารพแก่สมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียแทนพระองค์ เพราะตอนนั้นความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับอังกฤษค่อนข้างตึง..ฉันเองก็หวาดๆ เพราะใครๆก็รู้กันดีว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯนั้นค่อนข้างจะชาเย็น..ถ้าเข้าแบบผิดที่ผิดทางละก้อ ถูกแช่แข็งแน่เลย..

    ในบัตรเชิญ..บอกด้วยว่าจะต้องร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารกลางวัน..
    ฉันยิ่งแหยงเข้าไปอีก..เพราะแค่เข้าพบถวายความเคารพอย่างเดียวก็แย่แล้ว..จะให้ไปนั่งร่วมเสวยนานนับชั่วโมงอีก..เห็นทีจะหนักหนา
    ก็รู้ทั้งรู้เต็มอกว่า..พระองค์ไม่เคยโปรด"รัสเซีย"เลย..

    เมื่อถึงพระราชวังก่อนเวลานัด..ฉันคอยเพียงไม่กี่นาที จากนั้นก็มีมหาดเล็กแขกฮินดูร่างใหญ่สองคนเข้ามาโค้งคำนับ เพื่อพาไปยังพระราชฐานชั้นใน และพบกับหญิงร่างป้อมประทับยืนคอยอยู่ตรงธรณีประตูห้องโถง
    ฉันเข้าไป จุมพิตพระหัตถ์..และ..เริ่มการสนทนา ซึ่งต้องพบกับความประหลาดใจในพระอิริยาบท เพราะ ตามที่คาดเอาไว้ว่า พระองค์จะต้องตรัสถึงการเปลี่ยนแปลงในเรื่องนโยบายระหว่างประเทศของเราเป็น สิ่งแรก..
    แต่กลายเป็นว่า..
    "ฉันได้ยินแต่เรื่องดีๆของเธอนะ.." ทรงแย้มพระสรวลอย่างพระทัยดี และต่อว่า "อยากจะขอบใจเธอด้วยที่ได้ดูแลสหายของฉันเป็นอย่างดี"
    ฉันยิ่งงงเข้าไปใหญ่..จำไม่ได้ว่าเคยไป"ทำดี" กับสหายของสมเด็จพระนางเจ้าองค์ไหน หรือ คนไหน..??
    "อ้าว..เธอลืมไปแล้วหรือ..ก็ Munchi (พระราชา) ไงล่ะ เขาเป็นอาจารย์ฮินดูของฉันเอง"

    อ้อ.. นี่เอง..ที่ทำให้พระองค์ถึงพระทัยดีกับฉันนัก..แปลกจริง..ที่ พระราชามันชี ไม่เคยบอกเลยว่าเป็น"พระสหาย"..เรารู้จักกันเมื่อครั้งไปอินเดีย เพื่อเยี่ยมชมทัช มาฮาล..เขาเป็นคนเก่งและปราชญ์เปรื่องในเรื่องของศาสนาต่างๆในอินเดีย ที่ฉันรู้สึกประทับใจถึงกับยอมรับเชิญเมื่อเขาชวนไปวังพร้อมเลี้ยงอาหารค่ำ ไม่เคยคิดสักนิดหนึ่งเลยว่าการสนทนาอย่างออกรสของเราในค่ำคืนวันนั้น ทำให้พระราชาถึงกับนำไปเล่าถวายให้สมเด็จพระนางเจ้าฯฟัง
    พร้อมกับสรุปคุณสมบัติฉันว่า เป็นคนดี มีเมตตา

    ทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปสั่นกระดิ่งเป็นสัญญาณ ประตูได้เปิดออก ร่างของพระราชามันชี ก็ได้ก้าวเข้ามา..เราต่างเข้าทักทายกันด้วยความตื่นเต้น..ประหลาดใจ..ไม่คาดคิด..
    ภาพทั้งหมดนี้..สมเด็จพระนางเจ้าทรงทอดพระเนตรด้วยความชื่นชม..


    
 
 
ตลอดเวลาที่ร่วมโต๊ะเสวย ฉันรู้สึกสบายใจและไม่ต้องเกร็งอย่างที่คิด
    สามารถสนทนาโต้ตอบกับสมเด็จพระนางเจ้าได้ในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอเมริกาใต้ ญี่ปุ่น จีน..
    ขอบอก ไว้ตรงนี้เลยว่า ชาวอังกฤษสมควรที่จะต้องภูมิใจในพระปรีชาสามารถของพระมหาราชินีองค์นี้.. เพราะทรงบริหารจัดการประเทศราชในทุกส่วนของมุมโลกได้อย่างเหมาะเจาะลงตัว.. จาก..โต๊ะทำงานในห้องทรงพระอักษรในพระราชวัง..

    ผู้ร่วมโต๊ะเสวยในวัน นั้น มีเพียงพระราชวงค์ชั้นใน รวมทั้ง Prince and Princess of Wales ( ต่อมาคือ King Edward VII และ Queen Alexandra)

    Princess of Wales หรือ เจ้าหญิงอเล็กซานดราแห่งเดนมาร์ก เป็นพระภคินีของ ซารินามารี (พระราชินีของซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สาม หรือว่าง่ายๆคือ แม่ของนิคกี้..วิวันดา) ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลสำหรับฉัน
    พระองค์อยากทราบเรื่องราวและความเป็นไปของเหล่าพระนัดดาในรัสเซีย
    ที่ฉันต้องตอบถวาย แต่เนื่องจากทรงมีปัญหาที่พระกรรณตึง..ไม่ค่อยได้ยิน
    จึงจำเป็นต้องตอบไปด้วยเสียงดังกว่าปรกติ
    ฉันก็เกรงเหลือเกินว่า จะถูกตำหนิว่าเอานิสัยของกลาสีมาใช้..จึงได้เหลือบตาไปยังสมเด็จพระนางเจ้าฯ และพบว่าทรงพยักพระพักต์..อันเป็นสัญญาณว่า ทรงเข้าใจดีในความจำเป็น..ซึ่งไม่ใช่แต่ฉันคนเดียว..
    เพราะทุกคนในโต๊ะเสวย..ต่างก็ต้อง"โหน"เสียงด้วยกันทั้งนั้น ยามที่ต้อง
    พูดคุยกับเจ้าหญิงแห่งเวลส์ที่ทรงพระสิรืโฉม   

    ใครที่ว่า"ดัง" แล้วก็ยังไม่เท่ากับพระสวามีของพระองค์เอง เจ้าชายแห่งเวลส์
    เพราะถ้าเป็นคนแปลกหน้าหลุดเข้ามาเจอฉากพระกระยาหารกลางวันนี้แล้วละก้อ..จะต้องนึกว่า บ้านนี้เขากำลังทะเลาะกัน..!!


    ภาพ.. Princess of Wales เมื่อตอนที่ขึ้นเป็น Queen Alexandra แห่ง บริเตน

 


    สองวันต่อมา..ฉันได้รับเชิญให้ไปร่วมโต๊ะเสวยมื้อค่ำ..
    จาก นั้นมา..ก็ได้รับเทียบเชิญจากสมเด็จพระนางเจ้าอีก ให้ไปเข้าเฝ้าที่ เมือง Nice ที่ Hotel Cimiez เพราะเสด็จไปประทับแปรพระราชฐานที่นั่นในทุกฤดูใบไม้ผลิ

    ซึ่งมันก็เป็นเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่สำหรับเรือตรีเล็กๆที่ขึ้นมาทะเลสดๆอย่างฉัน ..เป็นเพราะด้วยพระบารมีที่ยิ่งใหญ่ของซาร์ที่ประจักษ์ต่อใครต่อใครในราช วงค์อังกฤษจึงพลอยให้งานเลี้ยงรับรองเล็กระดับน้ำชาไปจนถึงพระกระยาหารค่ำ จึงได้ตามมา..
    ฉันได้เริ่มสานสัมพันธ์ต่อกับ Alfred, Duke of Edinburgh
    (พระอนุชาของปรินซ์ ออฟ เวลส์) ผู้ซึ่งเราเคยเจอกันเมื่อวันราชาภิเษกในปี 1883 ผู้ซึ่งมีพระชายาคือ ลูกผู้พี่..ญาติฉันเอง Grand Duchess Marie Alexandrova (พระธิดาของซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สอง หรือ พูดง่ายๆว่า น้องสาวของซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สาม หรือ เป็น อาของนิคกี้..วิวันดา)

    ทั้งสองพระองค์นี้..มีพระธิดาด้วยกันสี่พระองค์ สวยเท่าๆกันหมดจนถ้าเข้าประกวด..กรรมการคงตัดสินใจยาก..
    คนที่หนึ่งคือ Missy (Princess Marie ต่อมาคือ ควีนแห่งโรมาเนีย)

    คน ที่สอง คือ Ducky (Princess Victoria Melita คนนี้ต่อมาแต่งงานกับเจ้าชายแห่งเฮสส์ พี่ชายของอลิกซ์ ซึ่งจะเล่าต่อถึงเธออีกในกาลข้างหน้า..เพราะจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับรัสเซีย.. วิวันดา)

    คนที่สาม คือ Sandra (Princess Alexandra ต่อมาคือ เจ้าหญิงแห่ง Hohenlohe-Langenburg

    คนสุดท้าย คือ Baby B. ( Princess Beatrice ต่อมาคือ Infanta Beatrice of Spain)



    ภาพ..สี่สาวงาม..

        
     
 Hotel Cimiez   

 

    ที่ลอนดอน..ฉันได้ยินชื่อเสียงของมหาเศรษฐีอเมริกันคน หนึ่ง Mr. B ที่อาศัยแบบถาวรอยู่ในเรือยอร์ทที่มีชื่อว่า Lady Torfrida ที่แสนสวยงามจอดนิ่งอยู่ที่ท่าชายเมือง..ที่ว่าอาสัยอยู่ถาวรนั้น เพราะเขากินอยู่ในนั้นมานานถึงสิบห้าปีแล้ว..และจะจอดตามท่าโน้นท่านี้นาน ถึง สามปี ห้าปี
    ไม่ชอบขึ้นฝั่ง..ไม่ชอบการสมาคมกับคนอื่น

    ปัญหาคือ..ฉันอยากได้เรือลำนั้น..อยากขอซื้อมาไว้ในครอบครอง
    ท่าน ทูตทหารเรือของเรา..เตือนด้วยความหวังดีว่า..นายบีคนนี้..ไม่ใช่ธรรมดา พูดจาไม่ถูกหูอาจจะเอาไปฟ้องสมเด็จพระนางเจ้าได้..จะทำให้เป็นที่รกพระ กรรณ..
    แต่ฉันก็ยังยืนยันที่จะพบกับนายบีนี้ให้ได้...เป็นไงก็เป็นกัน..
    ขอให้จัดการนัดให้ด้วย..

    แล้ว ฉันก็ไปพบนายบีคนนี้ที่ดาดฟ้าเรือ..ขวดเหล้านานาชนิดนอนแช่อยู่ในถังข้างตัว ..ท่าทางไม่เป็นมิตร..เพราะเขาไม่เข้าใจว่า..ทำไมแกรนด์ ดุ๊ค
    จากรัสเซียถึงอยากจะมาซื้อเรือของเขานัก..

    ฉัน ได้อธิบายไปว่า..ในความใฝ่ฝันที่มีมานาน คือ อยากจะล่องเรือไปเที่ยวยังประเทศต่างๆตามสบายใจ..ไม่ต้องมีทีมลูกเรือ ไม่ต้องกังวลกับกำหนดการหรือตารางงาน และอยากจะเริ่มทำให้ฝันเป็นจริงในฤดูใบไม้ผลิที่จะมาถึงนี้..ถ้าจะต้องสั่ง ต่อเรือใหม่..ก็ต้องคอยเป็นปีๆ..

    นายบี..ตวาดแว๊ดกลับมา..ว่า..

    "อ้อ..แล้วท่านจะให้ผมไปอยู่ที่ไหน..ในขณะที่ผมก็ต้องสั่งซื้อเรือใหม่เนี่ย..
    จะให้ไปนอนอยู่ข้างถนนหรือไง..หรือท่านคิดว่าจะให้ผมไปอยู่ตามโรงแรม
    บัดซบพวกนั้น.."

    "มิได้เลย...เพียงแต่ฉันคิดว่า..ท่านอาจจะสั่งซื้อเรือใหม่ ขนาดใหญ่กว่า ดีกว่าได้ทันที โดยผ่านทางเอเย่นต์รัสเซียของเรา"

    " ใครที่บ้ากันแน่..ท่านหรือผม..ทีท่านจะซื้อเรือใหม่ แต่กลายเป็นเรื่องใหญ่ยุ่งยากไปหมดไป แต่ทีผมจะต้องมาขายเรือผมให้ท่าน แล้วผมไม่ยุ่งยากวุ่นวายหรือไง...?"

    "ไม่ใช่เช่นนั้น..แต่ฉันคิดว่า..สุภาพบุรุษระดับท่าน..เหมาะที่จะมีเรือยอร์ท
    ที่กว้างขวางใหญ่โตกว่านี้มากนัก"

    นาย บี..รู้ทัน..ไม่ตกหลุมพรางง่ายๆ..แต่ฉันก็ยังตื้อไม่เลิก จนสองชั่วโมงต่อมา..นายนี่คงเหนื่อยใจเต็มประดา ฉันเลยถือโอกาสขอไปล่องเรือด้วยในวันหยุดนี้เลย..นายบีตอบว่า
    "เฉพาะท่านกับผมเท่านั้นนะ อ้อ เอาไวน์มาด้วย"

    ตีห้าของวันจันทร์ เราสองคนกลับมา...เมากันจนแทบยืนไม่ติดที่..
    นาย บีตกลงใจขายเรือให้...สัญญาซื้อขายลงนามเสร็จสิ้น ฉันก็ได้ครอบครองเรือยอร์ทลำงามนั้นสมใจ นายบีเตรียมจัดการขนของย้ายไปลงเรือลำใหม่ เขาสั่งว่า..

    "จำไว้นะ..ว่าตามสัญญา..ผมขายเพราะว่าจะได้เรือในคลาสที่ใกล้เคียงกัน
    และอีกอย่างหนึ่ง..ชื่อเรือ Lady Torfrida เนี่ย..ผมไม่ให้..ท่านต้องไปหาชื่อใหม่เอาเอง.."

    ไม่มีปัญหา..เพราะฉันตั้งใจจะใช้ชื่อ Tamara อยู่แล้ว..
    "ชื่อใครกันน่ะ..?"
    "ทามาร่า..เป็นราชินีของจอร์เจียน มีชื่อเสียงในการจับชู้รักโยนออกจากหอคอย"
    "ดีจัง..ท่านรู้จักเธอหรือเปล่า?"
    "โอย..เสียดายจัง..เธอตายไปก่อนนานหนักหนา..ไม่มีชีวิตอยู่คอยฉันหรอก"
    "นั่นซิ..พวกผู้หญิงชอบ"ทิ้ง"เราไปก่อนเสมอ.." ว่าแล้ว นายบีก็เปิดแชมเปญ
    ซดต่อ..

    หลายปีต่อมา..ฉันไปลอนดอนอีกครั้ง พบข้อความในหนังสือพิมพ์ไทม์ ว่า
    นาย บีเสียชีวิตในเรือที่แม่น้ำเทมส์ อายุได้แปดสิบสอง..ฉันก็ต้องให้เครดิตในการใช้ชีวิตของเขา..เพราะมันมีรสชาติ ไม่ว่าจะไวน์หรือเหล้าที่เขาไม่เคยถอย..หรือพยายามที่จะตี(กอล์ฟ)ให้ได้โฮลอินวันที่เขาไม่เคยท้อ..
    และมาทราบทีหลังว่า..ชื่อ Lady Torfrida นั้น คือชื่อของสาวงาม นัยตาสีเขียว ที่เคยเป็นคู่หมั้น..แต่กลายพักตร์...ชิ่งไปแต่งงานกับชายชาวอังกฤษ..


    ฤดูร้อนของ 1889 เรือ Rynda หมดภาระกิจ กลับมาจอดแน่นิ่งอยู่ที่ท่าเรือ
    ฉันก็ต้องกลับไปอยู่ที่วังเช่นเดิม..
    ทุกอย่างมันช่างขัดอกขัดใจไปหมด..ชีวิตวันๆน่าเบื่อหน่าย เพราะที่นี่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย..อาหารเสิรฟวันละสามมื้อเช่นเดิม..
    มื้อกลางวัน..เสด็จพ่อรีบเสวย..รีบไปทรงงาน เพราะตอนนั้นท่านมีตำแหน่งใหม่ คือ ประธานองค์มนตรี..
    พวกผู้หญิงก็ยังช่างนินทาเหมือนเดิม..มหาดเล็กรับใช้ก็คนเดิม..
    คนครัวก็ยังเป็นไอ้หัวดื้อคนเดิม..

    อะไรมันทำให้ฉันรู้สึกหน่ายชีวิตถึงขนาดนี้..?

    เสด็จแม่มีอาการพระหทัยกำเริบ..เหนื่อยง่าย เวลาไปเดินด้วยกัน ต้องหยุดพักบ่อยๆ ท่านบอกฉันว่า ดีใจที่กลับมาบ้าน เพราะตลอดเวลาที่ไปท่องทะเลนั้น ท่านไม่เคยบรรทมหลับสนิทจนกว่าจะได้รับโทรเลขยืนยันว่าเรือถึงท่าอย่าง ปลอดภัย...
    ฉันก็อยากจะซาบซึ้งในความรักของเสด็จแม่ที่มีให้..แต่ทำไม่เป็น...เพราะ
    มันสายไป..ในขณะที่ฉันอยู่ในวัยที่ต้องการและโหยหาความรักความอบอุ่น..ท่านไม่เคยแสดงออกให้เราเห็นเลย..
    พี่ชายทั้งสาม..ยังปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยราชองค์รักษ์
    น้องชายอีกหนึ่ง..อเล็กซิส..ยังเด็กเกินไป..

    ฉันพบกับเซเนีย..ตอนนี้ไม่ใช่ทอมบอยเหมือนอย่างแต่ก่อนแล้ว..อายุย่างเข้าสิบสี่เริ่มแตกเนื้อสาว..ท่าทางเธอ"ชอบ" ฉัน..

    ไปเยี่ยมนิคกี้ที่ค่ายทหารใน Kaporskoie เขาเพิ่งสอบผ่านเข้าหน่วยนักเรียนเตรียมนายร้อยฮัสซาร์ ที่มี นิโคลาชาเป็นผู้บังคับการ..
    (Nicholasha คืออริกับพี่ชายของซานโดร เป็นลูกของเสด็จลุง Nicholas
    เล่าไว้แล้วในตอนก่อน..วิวันดา)
    นิคกี้อยู่ในเรือนพักที่เป็นบังกะโลไม้เล็กที่สร้างเฉพาะให้เขา..เราคุยกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ผ่านมาแก่กัน

    ฉัน..เล่าเรื่อง..การล่าสัตว์ที่อินเดีย..
    เขา.. เล่าเรื่อง..ความเป็นไปในโรงเรียนนายร้อย..และบอกว่า จอร์จิ (พระอนุชา) อ่านเรื่องราวสนุกๆที่ฉันเล่ามาแล้วทนไม่ไหว..เลือกหน่วยไปเป็นทหารเรือ แล้ว..

    

    มารู้จักพี่ๆน้องของท่านผู้เขียนก่อนนะคะ

    พระเชษฐาองค์โต..Grand Duke Nicholas Mikhailovich of Russia (1859-1919)

        
     
     


 

    องค์ที่สอง..Grand Duchess Anastasia Mikhailovna of Russia (1860-1922)

        
     
     


 

    องค์ที่สาม..Grand Duke Michael Mikhailovich of Russia (1861-1929)
 


 

    องค์ที่สี่..Grand Duke George Mikhailovich of Russia (1863-1919)


        


    องค์ที่ห้า..ท่านผู้เขียน..Grand Duke Alexander Mikhailovich (Sandro) (1866-1933)

 

    องค์ที่หก..Grand Duke Sergei Mikhailovich of Russia (1869-1918)

    

    องค์สุดท้อง..เสียชีวิตก่อนวัยอันควร..
    Grand Duke Alexei Mikhailovich of Russia (28 December 1875 Tbilisi,Georgia - 1 March 1895 Sanremo, Italy)


    ในที่สุด..เรือ Tamara ของฉันก็เดินทางมาถึง..ฉันลิงโลดดีใจ จัดงานเลี้ยงอาหารกลางวันฉลองในหมู่ครอบครัวเป็นการฉลอง..
    เสด็จพ่อเมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นเรือ ตรัสถามว่า..
    "ซานโดร..นี่เจ้ากำลังจะบอกพ่อว่า..เจ้าจะเอาไอ้กระทงนี่ไปล่องทะเลรอบโลกหรือนี่..เสียสติไปหรือเปล่า?"

    พระองค์จะไปเข้าใจอะไรกับเรื่องการล่องเรือ..ก็เป็นหน่วยทหารปืนใหญ่
    พูดกันไม่มีวันรู้เรื่อง..มีคนเดียวที่เข้าใจและเห็นดีงามด้วยคือ ซาร์
    เพราะพระองค์ก็มีความฝันเช่นเดียวกับฉัน..ชอบล่องเรือไปเที่ยวตามน่านน้ำต่างๆ ด้วยเรือส่วนพระองค์ Czarevna
    ทรงว่าฤดูร้อนนี้ ลองไปกับฉันในเรือทามาร่า..

    วันนั้นก็มาถึง..วันที่ฉันได้พาพระองค์และครอบครัวไปล่องในหมู่ซอก Fjord ของน่านน้ำสแกนดิเนเวีย กลางวันในช่วงเวลาเสวย..ฉันนั่งติดกับเซเนีย..
    กลางคืน เราเล่นไพ่กัน..

    เดือนกันยายน..พอกันทีกับเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก เราจะไม่เจอกันอีกสองปีเชียวนะ ฉันกับเซอเก น้องชาย..เรากำลังแพลนกันว่าจะล่องทามาร่าออกจากแม่น้ำเนวาไปยังอินเดีย และ ดินแดนในตะวันออกไกล
    บางทีเราอาจจะไปเจอกับนิคกี้ในที่ใดที่หนึ่ง เพราะเขากำลังจะออกไปท่องรอบโลกเช่นกัน..
    แต่โชคช่างไม่เข้าข้างเราเสียเลย..เพราะออกมาไปได้ไม่เท่าไร..ที่บ้านก็เกิดเหตุใหญ่..
    พี่ชาย..มิเกล..ไปตกร่องปล่องชิ้นแต่งงานกับหญิงที่ไม่มีชั้นวรรณะ..ไม่มียศมีศักดิ์ เป็นแค่หญิงธรรมดาสามัญ..นี่คือเรื่องใหญ่
    พี่ชาย..จอร์จี้...ล้มป่วย..หมอบอกว่าเป็นโรคปอดในระยะร้ายแรง เพราะระบาดไปทั้งสองข้างจนต้องนำตัวกลับไปที่คอร์เคซัส

    ขณะที่เรากำลังท่องอินเดียอยู่นั้น..โทรเลขได้มาถึง แจ้งข่าวว่า..
    เสด็จแม่สิ้นพระชนม์ด้วยโรคหัวใจ..บนรถไฟขณะที่เสด็จกำลังจะเสด็จไปวังที่ไครเมียที่ทรงโปรดปราน

    เราทิ้งเรือทามาร่าไว้ที่ท่าเมืองบอมเบย์ และรีบขึ้นเรือโดยสารกลับรัสเซียด่วน..
    จากนั้นมา..ฉันไม่เคยได้กลับไปเหยียบอินเดีย ดินแดนที่แสนศักดิ์สิทธินั่นอีกเลย..

    

  
ความโศกเศร้าเข้ามาครอบคลุมวังมิเกลโลวิชของเรา..เสด็จพ่อเดินไปเดินมาจากห้องโน้นไปห้องนี้..เงียบขรึม สูบซิการ์มวนต่อมวน พระเนตรเหม่อมองออกไปข้างนอกระเบียงอย่างไร้จุดหมาย โดยหวังที่จะได้ยินเสียงของเสด็จแม่ที่มักเตือนทุกครั้งว่า..อย่าสูบในห้องรับแขก..

    ท่านกล่าวโทษว่าเป็นเพราะ มิเกลที่ไปด่วนแต่งงานกับหญิงสามัญ..จึงทำให้เสด็จแม่ร้าวรานพระทัยจนต้อง จากไป และ โทษพระองค์เองที่ปล่อยให้เสด็จไปไครเมียโดยลำพัง..
    เสด็จพ่อ..เพิ่งมีพระชนมายุแค่ห้าสิบเก้า..แต่การสูญเสียบุคคลที่รักไปทำให้
    ท่านดูโทรมไปถนัดใจ เพราะตลอดพระชนมายุ สิ่งที่สำคัญที่สุดของพระองค์
    มีอยู่สองอย่าง..คือ..แคว้นคอเคซัส และ เสด็จแม่
    ตอนนี้..มันไม่เหลืออะไรสักอย่าง..เพราะความขี้อิจฉาของใครบางคน (ที่ทำให้เสด็จพ่อต้องปรับเปลี่ยนตำแหน่งไปเป็นประธานองคมนตรี)
    และพระประสงค์ของพระเจ้า (ที่พรากเสด็จแม่ไป)

    ท่านยังมีลูกๆเหลืออยู่..ไม่ใช่น้อยๆ ตั้งเจ็ดคนด้วยกัน..หากแต่..เราทุกคน
    โตขึ้นมาด้วยการเลี้ยงดูแบบที่เห็นพ่อเป็นพระเจ้า..ยามที่พูดคุยกัน เราต้อง
    เรียก ท่านว่า..มิเกล นิโกเลวิช ต้องระมัดระวังในคำพูดทุกคำ ต้องควบคุมกิริยา..ทำให้เราไม่รู้ว่าจะแสดงความสงสารเห็นใจท่านในยามนี้ได้ อย่างไร
    จึงได้แต่จับกลุ่ม..นั่งเงียบ มองหน้ากันเอง..

    เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ช่างน่าเบื่อยิ่งไปกว่าทุกครั้ง..ฉันได้กราบบังคมทูลซาร์ขอไปทำงานในทะเลดำ ..พระองค์ได้ประทานอนุญาตให้ไปควบคุมเรือ  Sinope ซึ่งฉันฝังตัวทำงานในนั้นตลอดสองปีต่อมา..
    จะมีขอลาหยุด..ก็ช่วงแค่สองอาทิตย์ ในเดือนกุมภาพันธ์ 1892
    เพื่อไปเยี่ยมเยียน จอร์จิ (พระอนุชาของนิคกี้)ที่ Abbas-Tuman (คอเคซัส) ที่ไปพักผ่อนรักษาตัวอยู่ในบ้านบนเชิงเขา
    เขาอยู่เพียงลำพัง..วันๆก็สนุกอยู่แต่กับการตักหิมะออกจากหลังคาบ้าน..
    หมอบอกว่า..อากาศเย็นๆจะช่วยรักษาปอดให้ดีขึ้น..เราเลยต้องนอนซุกตัวในผ้าห่มหนาๆ ภายในบ้านที่หน้าต่างเปิดโล่ง..ที่มีอุณหภูมิลบสิบ..

    จอร์จิทราบดีว่า..ฉันแอบหมายปองเซเนีย น้องสาวของเขาอยู่..อีกทั้งเขาอยากจะเป็นทหารเรืออย่างเหลือเกิน สัมพันธภาพของเราทั้งสองเกินกว่าญาติ เกินกว่าคำว่าเพื่อนสนิท..มันแนบแน่นราวกับเป็นพี่น้องคลานตามกันมา
    เรา คุยกันอย่างไม่มีวันเบื่อถึงสมัยที่โตขึ้นมาด้วยกัน..รวมไปถึงเรื่องในอนาคต ..อนาคตของรัสเซียที่จะมีนิคกี้เป็นซาร์ ก็ได้แต่หวังว่า..นิคกี้คงไม่เป็นซาร์เร็วจนเกินไปนัก เพราะเขายังไม่พร้อมด้วยประการทั้งปวง..

    
 
    ฤดูใบไม้ผลิ..ฉันได้ถูกส่งไปทำงานในทะเลบอลติค ทราบว่าซาร์ทรงพอพระทัยในรายงานการทำงานของฉัน..หลังจากสองเดือนที่ ได้รับการมอบหมายให้ดูแลเรือตอร์ปิโดขนาดร้อยตัน..ฉันได้รับการเลื่อน ตำแหน่งเป็นผบ. กองเรือตอร์ปิโด (สิบสองลำในใต้บังคับบัญชา)

    ในฤดูร้อน..ฉันได้รับมอบหมายให้ฝึกการปฏิบัติการในงานที่ยากยิ่ง..
    นั่นคือ การซ้อมโจมตีเป้าหมาย..เป้าหมายที่ว่านั่นคือ เรือพระที่นั่งของซาร์
    เป็นใครใครก็สั่น..เพราะแค่พระปรมาภิไธยที่โดดเด่นเห็นอยู่ที่หัวเรือ
    ใครก็ไม่กล้า..แต่ฉันสั่งดำเนินการไปตามยุทธวิธี..
    ปรากฏว่า ผลออกมาเป็นที่พอใจ..แม้แต่พระอาจารย์คนที่เคยปรามาสฉันไว้ว่า ชาตินี้เห็นทีจะเอาดีทางทหารไม่ได้ ..ก็ยังส่งจดหมายมาชมเชย บอกว่า
    ฉันทำได้ดีกว่าที่เคยคาดหวังไว้..
    มันทำให้อนาคตข้างหน้าในอาชีพทหารเรือของฉัน..มีความมั่นคงขึ้น

    เดือนมกราคม 1893 ฉันได้ข่าวว่า เรือเดินทะเลลำใหม่เอี่ยมของเรา
    Dimitry Donskoi กำลังจะกลับมาจากเมืองจีน และจะออกต่อไปยังอเมริกา
    เพื่อที่จะไปขอบคุณต่อชาวอเมริกันในการที่ได้ช่วยเหลือเราเมื่อปีที่แล้ว ที่รัสเซียเกิดภาวะข้าวยากหมากแพง..
    ฉันจึงอยากจะติดเรือไปด้วย..เพราะ..อเมริกาคือดินแดนในฝัน(มาแต่ไหนแต่ไร)
    ก่อนที่จะส่งเอกสารไปกราบบังคมทูลเพื่อไปปฏิบัติการในครั้งนี้..มีสิ่งหนึ่งที่ ฉันคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่จะต้องรวบรวมความกล้า..ขอพระองค์เสียทีเดียวด้วยกันเลย..นั่นคือ..การสู่ขอพระธิดาเซเนีย..ให้รู้เรื่องรู้ราวไปว่าจะทรงว่า อย่างไร เพราะฉันไม่แน่ใจว่าการไปอเมริกาในครั้งนี้ จะกลับมาโสดหรือไม่..เพราะใครๆรู้ว่า สาวอเมริกันนั้นช่างงดงาม ยั่วยวนใจนัก..
    ความเป็นแกรนด์ ดุ๊คของฉันอาจจะขาดผึงได้ทันทีที่เหยียบถึงท่าเรือนิวยอร์คก็เป็นได้..ใครจะไปรู้..

  Dimitry Donskoi
   

เมื่อถึงเวลาที่เข้าเฝ้า..ซาร์ทรงต้อนรับฉันด้วยพระกรุณามหาธิคุณเช่นเคย
    ไม่ว่า..ฉันจะเติบใหญ่แค่ไหน..ฉันก็ยังเป็น "ซานโดรน้อย" ของพระองค์อยู่นั่นเอง..ทรงตรัสถามว่า
    "มีอะไรลับลมคมในนักหรือ..เจ้าก็พบกับเราบ่อยๆนี่นา..นี่ถึงขนาดขอเฝ้าเชียว.."

    ฉันกล่าวขอพระราชทานอภัย เพราะอาจจะไม่สมควรนักในการขอเข้าเฝ้าในครั้งนี้..แต่สายพระเนตรที่จับจ้อง มา..ทำให้เริ่มมีอาการติดอ่าง..ตะกุกตะกัก
    ถ้อยคำสวยๆที่เตรียมซ้อมมาจาก ในห้องที่บ้าน..ที่คิดว่าฟังดูดี มันหายไปหมด เพราะตอนซ้อมพูดกับฝาผนัง กับรูปภาพ..บรรยากาศไม่เครียดอย่างนี้
    กว่าจะหลุดไปได้..แทบขาดใจ

    ทรงตรัสตอบว่า...
    "เรื่องขอไปทำงานที่เรือ ดิมิทรี ดอนสโกอี นั้น..ไม่มีปัญหาอะไรนี่นา..
    เพราะเป็นโอกาสอันดีที่เจ้าจะไปพบกับท่านประธานาธิบดี เป็นตัวแทนเพื่อขอบคุณเขาในนามของพวกเราทั้งหมดด้วย..ส่วนเรื่องการสู่ขอเซ เนีย..ฉันคิดว่าเจ้าต้องไปพูดกับเจ้าตัวเขาเองก่อน..แล้วค่อยมาถามฉัน.."

    "หม่อมฉันได้พูดคุยกับเซเนียแล้ว..เธอตกลงใจพระยะค่ะ และให้มาทูลขอกับพระองค์"

    " อ้อ..ถ้างั้นฉันก็ไม่มีอะไรขัดข้องนะ ในเมื่อเธอทั้งสองรักกัน ไม่น่าจะมีอุปสรรคอะไร แต่..ต้องคอยไปก่อน เพราะแม่ของเขายังไม่อยากให้ลูกสาวออกเรือนไปเร็วนัก..เอาเป็นว่าเรามาคุย เรื่องนี้กันอีกทีปีหน้าแล้วกัน.."

    ฉันถวายคำนับขอบพระทัยในความกรุณา..รีบนำความกลับไปบอกเซเนียให้ทราบถึงทางสะดวก.. ด่านเดียวที่เหลือคือ..ซารินา..

    ฉันออกเดินทางไปสู่อเมริกาได้อย่างหมดห่วง..อีกทั้งสบายใจ..โล่งใจ..และ ชุ่มชื่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก

วันที่เดินทางถึงอเมริกา..ในช่วงครบรอบอายุยี่สิบเจ็ดปีพอดี เมื่อ
    เรือเข้าทอดสมอที่ Hudson River เมื่อต้นฤดูใบไม้ผลิ 1893
    ฉันมีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามที่ได้รับพระราชโองการมาจากซาร์ให้เข้าพบท่าน ประธานาธิบดี Cleveland เพื่อทำการขอบคุณในการที่อเมริกาเคยส่งเสบียงกรังมาช่วยเมื่อครั้งที่เรา เกิดภัยธรรมชาติเมื่อปีก่อน..แต่นอกเหนือไปจากหน้าที่นั้น ฉันก็อยากท่องเที่ยวหาประสบการณ์ในโลกใหม่ใบนี้..

    อีกประการหนึ่งคือ ..การตื่นเต้นต่องานใหญ่ที่จะมาถึงในนครชิคาโกในเดือนพฤษภาคม..นั่นคือ The World's Fair อันหมายถึงงานแสดงสินค้าโลก..ที่ทุกประเทศจะมาเข้าร่วมกันอย่างพร้อม หน้า..เช่น อังกฤษ.ฝรั่งเศส,เยอรมัน,อิตาลี,รัสเซีย,ออสเตรีย, อาร์เจนตินา ที่ต่างส่งเรือเดินสมุทรบรรทุกสิ่งของที่จะมาโชว์มาจอดกันเต็มท่าเรือ นิวยอร์ค

    ในเย็นย่ำของเดือนมิถุนายน..ที่ได้นั่นรถท่องเที่ยวไปตามท้องถนนของ Fifth Avenue และได้แวะชมอาณาจักรของอภิมหาเศรษฐี นาย John Jacob Astor ที่ทิ้งเอาไว้ให้ทายาทพร้อมกับโฉนดที่ดินเกือบทั้งหมดในแมนฮัตตัน
    ทั้งๆที่เขาเริ่มต้นมาจากพ่อค้าจนๆที่อพยพเข้ามาในโลกใหม่นี้แท้ๆ..
    หลังจากที่ได้เห็นความโอ่อ่าตระการตาของบ้านเมืองและความเป็นอยู่ของประชาชนแล้ว..
    ฉันรู้จักกระตุกในใจ..เพราะนี่คือดินแดนแห่งความฝันของมนุษย์เดินดินจริงๆ
    แทบไม่น่าเชื่อว่า สงครามที่ทารุณและความขัดสนเพิ่งผ่านมาแค่ยี่สิบเก้าปีเท่านั้น บ้านเมืองจะเจริญรุดหน้าได้ถึงขนาดนี้..
    ถ้าไม่เห็นด้วยตาตัวเอง..ฉันเองยังแทบไม่เชื่อ..มันไม่น่าจะเป็นไปได้
    หรือทั้งหมดนี้อาจจะเป็นภาพลวงตา..?

    สมองเริ่มคิดถึงบ้าน..รัสเซีย..คิดถึงเหล่าพระประยูรญาติและบรรพบุรุษ
    พวกเราได้เข้าครอบครองพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ กว้างใหญ่มหาศาล
    มีทรัพย์ในดินครบทุกอย่าง..ไม่ว่าจะเป็นแร่โลหะ..น้ำมัน เพชร พลอย
    ทองคำ..จะว่ากันจริงแล้ว..รวยกว่าอเมริกาหลายเท่าตัวนัก..
    แถมถ้าจะทำการกสิกรรมเพาะปลูกกันจริงๆ..ผลิตผลของเรามีมากพอที่จะ
    เลี้ยงชาวโลกให้อิ่มหนำได้เลย..
    แต่..ทำไมประชาชนของเราส่วนใหญ่ยังยากจนหนักหนา
    พวกเราทำอะไรผิดพลาดไปอย่างนั้นหรือ?
    ทำไมเราไม่เอาอย่างอเมริกาเขาล่ะ..ทำไมเราไม่เอาระบบเขามาใช้?
    ทำไมเราต้องเอาตามอย่างชาวยุโรป..อะไรอะไรก็ต้องยุโรป..
    ก็เพราะเอาตามอย่างยุโรปนี่ละซิ..เราถึงได้พากันล้าหลัง ตามเขาไม่ทันอยู่อย่างทุกวันนี้..

    เพียงแค่ระยะเวลาที่ท่องไปตามท้องถนนนั้นเอง..ฉันคิดวาง แผนพัฒนาบ้านเกิดเมืองนอนไปตามประสาคนหนุ่มที่มีสมองและพลกำลังที่อยากจะ สร้างนั่นสร้างนี่..อยากจะดำเนินรอยตามวิถีชีวิตของ John Jacob  Astor

    ความประทับใจนั้น..ไม่ได้จางหายเพราะฉันมักจะนำออกมาเป็นหัวข้อสนทนาบ่อยๆ..จนใน วันหนึ่งของเดือนมิถุนายน (1893) ที่ฉันได้เอ่ยถึงเรื่อง
    ความก้าวหน้ารุ่งเรืองของอเมริกานี้กับกลุ่มของนาย John Jacob Astor III (ทายาท) ในช่วงที่ได้รับเชิญไปร่วมรับประทานอาหาร..

    เจ้าภาพและผู้ร่วมโต๊ะ..ต่างมองฉันด้วยสายตาที่แปลกประหลาด..ต่างถามว่า
    "ฝ่าบาทคงไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับเช้านี้"
    "คงยังไม่ได้ทรงทราบถึงข่าวร้าย.."

    ข่าวนั้นคือ..ตลาดหุ้นล่ม..(เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในอเมริกาตอนนี้...วิวันดา)
    มิสเตอร์ แอสเตอร์ ได้กล่าวขึ้นมาว่า..
    " พวกที่อยู่ในถนน (หมายถึงวอล สตรีท) มันกำลังเล่นวิชามารกัน..ผมไม่อยากจะบอกเลยว่า สภาพเศรษฐกิจเของเราตอนนี้มันเปราะบาง ใกล้แตกหักเต็มที.." ว่าพลาง เขาส่งหนังสื่อพิมพ์มาให้อ่าน..พร้อมกล่าวต่อว่า..
    "ผมหวังใจว่า..ฝ่าบาท คงอ่านให้ถี่ถ้วน..เพราะจะได้ทรงทราบว่าสภาพเบื้องลึกของอเมริกานั้นเป็น อย่างไร และจะส่งผลอย่างไรในอนาคต..ผม..ในฐานะเจ้าของกิจการขอถือเป็นหน้าที่ที่จะ ต้องเตือนให้ลูกค้าทราบ..เพื่อการตัดสินใจต่อไปในภายภาคหน้า.."

    หนังสือ พิมพ์ฉบับนั้น..ยังอยู่ในความครอบครองของฉันถึงจนทุกวันนี้..แม้ว่ามันจะ เหลืองกรอบเต็มที่ แต่ข้อความประหนึ่งข่าวร้ายที่อยู่ในนั้นยังคงชัดเจน
    แต่ ฉัน..ถือว่ามันเป็นการปลุกขวัญอย่างหนึ่ง..เพราะในยามที่เพื่อนๆพวกที่หวาดๆ ต่ออนาคตของอเมริกา ฉันมักจะเอาข้อความนี้มาอ่านให้ฟัง..
    และถือให้เป็น บทเรียน..ว่า..เมื่อเคยล้มแล้ว..ไม่ใช้หมายถึงการหมดหนทางเสียเมื่อไหร่.. โอกาสลุกขึ้นมาใหม่มีเสมอ..อาจจะแข็งแรงกว่าเดิมด้วยซ้ำ

    
 
 


    สูจิบัตร The World's Fair 

        
     มุมสูง
     

อีกมุมหนึ่ง ของอังกฤษ

        

    
 
 

    ถนนกลางงาน

        
     

    
 
 
    นิทรรศการโรงสีข้าว

        
     
     


 

    อันนี้ ส่วนจัดแสดงของประเทศญี่ปุ่น

        
     
 

    maxico อารยธรรม aztec

        
     


    การเดินทางมาอเมริกาครั้งแรกนี้..ฉันได้รับบทเรียนใหม่ๆหลายอย่าง
    หนึ่งในนั้นคือ..การไม่มีช่องว่างระหว่างชนชั้น ไม่มีศักดินา..
    นี่คือปัจจัยหนึ่งในการก้าวกระโดดของบ้านเมือง..
    ถ้า รัสเซีย..สามารถทำได้ก็น่าจะดี..แต่คงเป็นไปไม่ได้..เพราะชนชั้นปกครองของ เรานั้น มักถนัดลอกไอเดีย ลอกกฏหมายบทบัญญัติของเก่าๆมาจากฝรั่งเศส ที่ขยันเขียนกันจนเกิดปฏิวัติประชาชนลุกฮือขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า..
    ปฏิวัติ..เกิดขึ้นมาได้..ก็ดับไปได้(ด้วยกำลังของรัฐ) แต่ไม่ได้หมายความว่า
    ความคิดที่แตกต่างนั้นสูญสลายหมดสิ้นไป...มันเป็นการถ่ายจากพ่อสู่ลูก..
    เพียงแต่รอโอกาสที่จะประทุเท่านั้น..
    เรื่อง การเท่าเทียม สิทธิเสรีภาพของอเมริกานั้นเป็นที่กล่าวขวัญของใครต่อใครเสมอ ที่มักพูดว่า อยากให้ยุโรปได้มีการบริหารจัดการแบบอเมริกา..
    เพียงแต่..ไม่มีใครรู้ว่า..จะล้าง..จะเปลี่ยนกันอย่างไร..ในเมื่อระบบเก่าๆนี้มันหยั่งรากฝังลึกจนเกินเยียวยาไปแล้ว..

    สิ้น ฤดูร้อนนั้น..ได้เวลาที่ต้องเดินทางกลับรัสเซีย..แต่หวังใจเสมอว่าจะกลับมา อีกในเร็วๆนี้..ในฐานะเจ้าอย่างฉัน..การที่จะทำอะไรตามใจตัวจนออกนอกลูกนอก ทางนั้น..เป็นไปไม่ได้เลย..

    เมื่อกลับไปถึงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์กได้ไม่นาน..เสด็จพ่อเรียกให้หา...และถามว่า..

    "เมื่อไหร่จะแต่งงานซะที..?"
    "ลูกต้องรอคำตอบที่แน่นอนจากซาร์และเอมเปรสพะยะค่ะ.."
    " ไม่ได้เรื่องเลยเราน่ะ..ดีแต่เดินทางไปที่โน่นที่นี่กับรอนั่นคอยนี่อยู่ นั่น..เหลวไหลจริง..เจ้าสมควรมีเหย้ามีเรือนได้แล้ว..นี่มันก็ครบปีแล้วไม่ ใช่หรือ
    ที่เจ้าไปทูลสู่ขอเซเนียกับซาร์น่ะ..ไปเข้าเฝ้าเลยซิ..ไปทูลถามให้ชัดแจ้งไปเลย"
    "ลูกไม่กล้า..เกรงว่าจะทรงรำคาญ..เดี๋ยวจะกริ้วเอา.."
    "ดีละ..ซานโดร..ถ้าเป็นยังงั้น..พ่อจะจัดการธุระเรื่องนี้เอง.."

    ว่าแล้ว..เสด็จพ่อเสด็จไปยังพระราชวังอานิชคอฟเพื่อเข้าพบกับซารินาด้วยองค์เอง
    ปล่อย ให้ฉันอยู่บ้าน..เฝ้าคอยคำตอบด้วยใจระทึก ทั้งนี้ทั้งนั้น เพราะเป็นที่รู้ๆกันว่า..เสด็จพ่อทรงโปรดพระปนัดดาเซเนียมาก..อยากจะได้มา เป็นลูกสะใภ้
    จนออกนอกหน้า..และฉันก็รู้ดีวา..ที่ซารินาบอกมาว่าไม่อยาก ให้คำตอบเพราะไม่ชอบความเร่งเร้านั้น..ความจริงแล้ว..ทรงหวงพระธิดาองค์นี้ มาก..
    เผลอๆ..อาจจะปฏิเสธเสด็จพ่อมาก็ได้..
    ยิ่งคิดยิ่งว้าวุ่น..นั่งคอยการกลับมาของเสด็จพ่อในห้องทรงงาน..คอยไปก็หักดินสอไปนับโหล..ดูเหมือนว่าเวลามันช่างผ่านไปช้าเหลือเกิน..

    
 
 

    the residence of John Jacob Astor ในปี 1894

        
     
     

    
 

    การตกแต่งภายใน

        

    ในที่สุด..เสียงกระดิ่งดังขึ้นที่ห้องมหาดเล็ก อันเป็นสัญญาณว่าเสด็จมาถึงแล้ว..ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยดังขึ้นมา เป็นจังหวะตามขั้นบันได..
    เพียงแต่คราวนี้เป็นการก้าวขึ้นที่ถี่กระชั้น..ผิดวิสัยของเสด็จพ่อ เพราะมันบ่งบอกได้ว่า ท่านกำลังวิ่งขึ้นบันไดมา..
    เมื่อทรงก้าวเข้ามาห้อง..พระพักต์แดงก่ำไปด้วยความตื่นเต้น ดีพระทัยกระชากตัวฉันเข้าไปกอดแน่นแทบหายใจไม่ออก....
    "ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว..ลูกรัก เดี๋ยวสี่โมงครึ่ง..เจ้าเตรียมตัวไปพบเซเนียได้เลย.."
    "ซารินาทรงว่าอย่างไรบ้าง..กริ้วลูกหรือเปล่า..?"
    " กริ้ว..คำนี้ยังน้อยไป..ถึงขั้นพิโรธเลยลูกเอ๋ย..ตีโพยตีพายใหญ่..หาว่าพ่อ พยายามทำให้พระองค์หมดความสุข หาว่าพ่อจะมาพรากลูกพรากแม่..
    เท่านั้นไม่ พอ..บอกว่าจะไม่พูดกับพ่ออีก..กล้าดีอย่างไร แก่แล้วก็ไม่อยู่ส่วนแก่ ขู่ฟ่อสารพัด..ว่าจะฟ้องซาร์ให้เอาเรื่องกับเราทั้งครอบครัว.."
    "แล้วเสด็จพ่อตรัสตอบไปว่าอย่างไรพระยะค่ะ?"
    "เยอะแยะ..แต่ในที่สุด เราก็ชนะ..ซานโดรลูกรัก..เซเนียจะมาเป็นครอบครัวเดียวกับเราแล้ว.."

    (มหาดเล็ก คนสนิทของเสด็จพ่อได้มาบอกกับฉันทีหลังว่า..ในตอนนั้นเขาเองก็ยังงงๆอยู่ว่า ..ใครกันแน่ที่จะเป็น"เจ้าบ่าว" เพราะถ้าดูจากอากัปกิริยาแล้ว..
    ใครที่ไม่รู้ก็จะคิดว่า..น่าจะเป็นเสด็จพ่อมากกว่า)

    จาก วินาทีนั้นไป..ฉันนั่งซึม พูดไม่ออก..กินไม่ได้ นอนไม่หลับ..เป็นเพราะความตื่นเต้น ปิติ..ความฝันกลายมาเป็นความจริง เพราะตลอดเวลาหลายปีมานี้..ความรักที่มีต่อเซเนียคือความฝันลมๆแล้งๆ และที่สำคัญสุดๆคือ..
    ฉันรู้ดีว่า เซอเก น้องชายที่รักก็แอบหมายปองเธออยู่เช่นกัน..เราเคยตกลงกันไว้ว่า..ไม่ว่าจะ คุยกันถึงเรื่องอะไรก็ตาม..เราจะไม่พูดถึงเธอในทุกกรณี..
    ตอนนี้..เซอเกจะว่าอย่างไร..จะโกรธแค้นฉันสักเพียงใด..จะเข้าใจไหมว่า
    คนที่เลือกนั้นไม่ใช่ฉัน..หากแต่เป็นเซเนียต่างหาก..
    สงสารเซอเก ก็สงสาร..แต่ความรักนั้นมันไม่เข้าใครออกใคร..


    
   สี่โมงสิบห้า..ฉันถึงพระตำหนักของเซเนียที่พระราชวังอานิชคอฟก่อนเวลาเพราะใจร้อนเป็นไฟ..
    หลบสายตาของมหาดเล็กที่จ้องมาอย่างเขินๆ..เพราะพวกเขาคงรู้กันแล้วว่า
    มาทำไม..
    เขินมหาดเล็กประจำลิฟท์ด้วย..ขี้เกียจไปปั้นหน้า..เลยเดินขึ้นบันไดไปเอง
    มหาดเล็กองครักษ์ Beresin นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่เก้าอี้..ที่หน้าประตู
    ฉันบอกไปว่า..
    "ไปทูลให้แกรนด์ ดัชเชสทรงทราบว่า..ฉันมาพบ"
    เขาทำท่าตกใจพอสมควร..เพราะความสนิทสนมที่มีมาแต่ไหนแต่ไร..มาครั้งใดก็ก้าวเข้าไปได้เลย..ไม่เคยกล่าวเป็นงานอย่างนี้มาก่อน
    แต่ ต่อมาก็ยิ้มอย่างเข้าใจในสถานะการณ์ เชื้อเชิญสู่ห้องรับแขก ห้องเดียวกับที่เมื่อวานนี้เองแท้ๆที่เรามีปาร์ตี้น้ำชากันอย่างสนุกสนาน..
    แต่วันนี้..มันดูเปลี่ยนไปแบบคนละอารมณ์..สายตาจับจ้องไปยังทิศทางของห้องบรรทมของเซเนีย..พลางนึกขำในใจว่า..
    "คอยมาได้ยังไง..ตั้งหลายปี"

    เซเนียปรากฏตัวงดงามทั้งร่างด้วยเสื้อไหมสีขาว กระโปรงสีฟ้า..มาหยุดยืนนิ่งที่หน้าประตู
    ฉันเข้าไปจูงมือเธอไปนั่งด้วยกันที่เก้าอี้ เราคุยกันจุ๋งจิ๋ง ปนกระซิบกระซาบ
    คราวนี้..เป็นครั้งแรกที่เราได้ประทับรอยจุมพิตให้แก่กันด้วยดวงจิตพิสวาท..ไม่ใช่จูจุ๊บเล็กๆน้อยๆแบบญาติอย่างแต่ก่อน..

    เซเนียบอกว่า..
    "เราต้องไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ เสด็จแม่..แต่ต้องระวังเสด็จแม่หน่อยนะ เพราะยังกริ้วอยู่ไม่หาย..เห็นบอกว่าจะเล่นงานให้เต็มที่เลยนะ.."
    ฉันหัวเราะแบบกลั้นไม่อยู่ ..ตอนนี้ต่อให้สิบซารินาก็ไม่กลัวแล้ว..

    เมื่อไปเข้าเฝ้าจริงๆ..ซารินาทรงแกล้งปั้นสีหน้าให้ขึงขัง ทำท่ากระฟัดกระเฟียด ยามที่ต้องเข้ามาจูบฉัน (ในฐานะว่าที่ลูกเขย)
    และกระทบกระเทียบว่า..
    "ฉันไม่น่าจะต้องมาทำดีเธอเลยนะ..คนอะไรเที่ยวมาขโมยลูกสาวเค้าไป..
    เจ็บใจนัก..นี่..ไปบอกพ่อเธอด้วยนะว่า..ปีนี้ทั้งปี..อย่ามาฉันให้เห็นหน้า"

    ซาร์แอบหลิ่วพระเนตรให้ฉันเป็นนัยๆให้ทราบว่า เสด็จพ่อกำลังจะมาถึง เพราะซาร์ได้โทรศัพท์ไปหาแล้ว..
    สักพัก..หมู่เจ้าหน้าที่ คุณพนักงาน กรมวังทั้งหลายก็ได้ทะยอยเข้ามาในห้องโถง..ไม่มีใครสนใจต่อพระพักต์ที่บึ้งตึงของซารินา..
    ทุกคนได้รับสนองพระบัญชาของซาร์ที่ทรงประกาศว่า..
    สองทุ่มครึ่ง..ให้เตรียมพระกระยาหารค่ำเพื่อเป็นการเลี้ยงฉลองให้กับว่าที่คู่หมั้นทั้งสอง
    ที่โต๊ะเสวยมื้อนั้น..ฉันนั่งคู่กับเซเนีย..บรรยากาศชื่นมื่น ซาร์ทรงพระเกษมสำราญ..ดื่มอวยพรกันซ้ำไปมาหลายรอบ
    ฉันเหลือบตาไปมองเซอเก..น้องชายยิ้มตอบกลับมาด้วยท่าทีเปิดเผย..
    เพราะคงเข้าใจดีในความรู้สึกแย่ๆของฉัน..เขาอยากให้ฉันมีความสุขในวันสำคัญของชีวิตนี้อย่างเต็มที่..
    เพียงแต่สิ่งที่อยู่ในใจของเขานั้น..ไม่มีใครรู้
    แต่..เซอเก..ได้พิสูจน์ในวันนั้นแล้วว่า เขาเป็นคนที่มีน้ำใจเป็นนักกีฬาอย่างแท้จริง..


    เซเนีย 1893       

        
     
 
    วันอภิเษกกำหนดไว้ว่า..เป็นปลายเดือนกรกฏาคม..ฉันแย้งว่า ทำไมมันนานนัก
    อีกตั้งหกเดือนเชียว..
    แต่"ผู้รู้" ได้เตือนสติไว้ว่า.."โชคดีเท่าไหร่แล้ว ที่รอเพียงหกเดือน..ตอนนี้น่ะ
    เตรียมสวดมนต์อ้อนวอนพระเจ้าได้เลย ขอให้ชุดเจ้าสาวเสร็จทันในหกเดือนนี้ เพราะบางทีกว่าจะตัดเย็บเสร็จใช้เวลานานเกือบปี.."

    หลังจากนั้นคือการไปฮันนีมูนที่ Ay-Todor อันเป็นพระตำหนักของเสด็จแม่
    ที่ประทานให้ฉัน..มันได้ถูกทิ้งไว้นานแล้ว เพราะเมื่อก่อนสมัยโสดๆก็ไม่เคยได้สนใจ แต่ตอนนี้กำลังจะเป็นหัวหน้าครอบครัว เลยต้องทำให้เป็นพิธีการ
    ตามระเบียบ..เช่นต้องจัดเตรียม นางพระกำนัลสองคน หนึ่งกรมวังสำหรับดูแลทั่วไป มหาดเล็กประจำตัว..และ ข้ารับใช้อีกจำนวนหนึ่ง..

    ต้นเดือนพฤษภาคม..เป็นพระประสงค์ของซารินาที่จะเสด็จเยี่ยมจอร์จิ พระโอรสที่ Abbas-Tuman เพราะการที่เซเนียจะออกเรือนไป ทำให้พระองค์เริ่มโหยหาพระโอรสองค์โปรด อยากจะไปเยี่ยมเยือนเพื่อดูอาการ..
    จอร์จิ..ผ่ายผอมไปมาก..หน้าตาซีดเซียว อาการไม่ดีขึ้น
    สี่ อาทิตย์ที่เราอยู่ดูแลจอร์จิ และเที่ยวทัศนาจรไปตามเชิงเขารอบๆด้วยความสุข ไปปิคนิค คุยเล่นเฮฮา เพื่อว่าจะช่วยให้จอร์จิมีกำลังใจ..ต่อสู้ความเจ็บป่วย แต่..เขาก็ยอมรับสภาพในความเป็นจริงว่า อาจจะไม่ได้เหยียบเซนต์
    ปีเตอร์สเบอร์กอีกแล้ว..ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกใจไม่ค่อยดี ขมขื่นเอาการ
    ทำไม..เราจึงไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลย..ทั้งๆที่มีพร้อมทุกอย่าง

    ใน เดือนมิถุนายน..เราได้ร่วมโดยเสด็จไปกับซาร์ ในเรือ Czarevna ที่เที่ยวล่องในเขตน่านน้ำของฟินแลนด์ ซาร์ดูซูบพระองค์ไปมากในระหว่างที่พวกเราไม่อยู่
    และทรงเปรยว่า..หมู่นี้ เหนื่อยง่าย..พวกบรรดาหมอต่างวินิจฉัยว่า เป็นเพราะทรงงานหนักตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา..จึงได้ถวายการแนะนำให้พักผ่อน

    ทุกคนมองข้ามไปเลยว่า..สิ่งที่บั่นทอนนั้นมาจาก"ภายใน" พระวรกายต่างหาก..นั่นคือ..การหย่อนสมรรถภาพของพระวักกะ (ไต)


    หมายเหตุ..เรื่องพระวักกะนี้..ขอเล่าให้ฟังเสริมว่า..เริ่มมาจากการลอบปลงพระ ชนมส์ในปี 1887 ที่มี นักศึกษาหัวรุนแรงสองพี่น้อง คือ Alexander Ulyanov และ Vladimir Ilyich Ulyanov ที่เผอิญว่าไม่สำเร็จ ตัวของพี่ชาย..นายอเล็กซานเดอร์ถูกจับก่อน เพราะมีระเบิดซ่อนไว้ในตำราเรียน เมื่อถูกจับได้ก็ได้ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ ต่อมาในปี 1888 ขบวนรถไฟส่วนพระองค์ถูกวางระเบิดในขณะที่เสด็จพร้อมครอบครัว.. โบกี้พลิกคว่ำ หลังคากำลังจะยุบลงมา ซาร์ได้ใช้พละกำลังอันมหาศาลที่มี ใช้พระอังสาดันขึ้นไป เพื่อให้ซารินาและพระโอรส พระธิดา ให้รีบออกไปจากโบกี้อย่างปลอดภัย..
    จากนั้นก็ทรงรู้สึกว่า เจ็บที่พระปฤษฏางค์บ่อยๆ ซึ่งมาจากอาการของไต..

    ส่วน น้องชายนาย Vladimir Ilyich Ulyanov ที่รอดไปได้นั้น เชื่อว่าเป็นตัวการของเรื่องนี้..และเขาไม่ใช่ใครอื่นไกล..เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนเสียงใหม่ว่า..
    Vladimir Ilyich Lenin หรือ V.I. Lenin นั่นเอง...........วิวันดา

    
 

    วันที่ 20 กรกฏาคม คือวันที่เราต้องกลับมาเพื่อดูความเรียบร้อย และ ตรวจรับเครื่องทรงภูษาอาภรณ์ อันเป็นมหกรรมใหญ่ที่ต้องใช้เนื้อที่ในท้องพระโรงใหญ่ทีเดียว เพราะ มันคือ..โต๊ะที่จัดวางเรียงออกไปสุดลูกหูลูกตา..
    สิ่งของบนโต๊ะนั้น..จะเรียงไปตามลำดับตามหมวดหมู่..เริ่มจาก

    หมวดชุดแต่งกาย..ที่มี สำหรับเวลาเช้า..ชุดสบายๆ ชุดบ่าย ชุดเย็น และ ชุดราตรี

    หมวดเสื้อโค๊ต...สำหรับฤดูหนาว..ฤดูใบไม้ผลิ..ฤดูร้อน และ ฤดูฝน

    หมวดเสื้อขนสัตว์ทั้งตัวและชนิดคลุม..มีจากสัตว์ที่มีขนแทบทุกชนิด เออร์มีน,ชินชิลล่า,บีเวอร์,มิงค์,

    หมวดจุกจิก เช่น หมวกทุกทรง ถุงน่องถุงเท้า ร่ม ถุงมือ ที่กองเป็นภูเขาเลากา

    หมวดลินิน ที่มีผ้าปูโต๊ะ ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน จำนวนมาก

    หมวด เครื่องเงินเครื่องกระเบื้องเครื่องแก้ว....ที่มีครบหมด ตั้งแต่ชุดชากาแฟ ช้อนส้อมมีด และมีจำนวนสำหรับใช้เลี้ยงคนได้เก้าสิบหกคน

    เครื่องประดับ..มีครบหมดตั้งแต่ใข่มุกไปจนถึงเพชรนิลจินดา เข็มกลัด
    ทั้งหมดออกแบบโดยช่างฝีมือหนึ่งของรัสเซีย..ในตอนนั้น เราไม่เคยดู"ค่า"
    ของเครื่องประดับด้วยราคา หากแต่..ค่าของมันนั้นอยู่ที่การออกแบบที่เหมาะเจาะ และ สวยงามลงตัว

    นั่นแค่ของเซเนีย..ส่วนของฉันอยู่อีกแถวหนึ่ง..ที่ยาวเหยียดไม่แพ้กัน..
    ที่ถูกจัดมาให้จากสำนักพระราชวัง..ทุกอย่างเป็นจำนวนเท่าๆกัน..อย่างละสี่โหล..
    นับตั้งแต่ชุดเช้าไปจนถึงค่ำ ชุดกีฬาไปจนถึงชุดราตรี..
    แต่ ที่น่าสนใจที่สุด คือ ชุดที่จะใช้แต่งในพิธีอภิเษก คือเสื้อคลุมชั้นนอกที่ทำด้วยเงิน..พร้อมรองเท้าที่ทำด้วยเงินเช่นกัน เจ้ากรมพิธีการได้บอกสั้นๆว่า.."น้ำหนักสิบหกปอนด์.."
    "หา..อะไรนัก สิบหกปอนด์เนี่ยะนะ..ใครจะใส่เข้าไปได้" ฉันโวย
    เจ้ากรมคนนั้นคงรู้สึกหน่ายกับว่าที่เจ้าบ่าวไม่เอาไหนอย่างฉันพอประมาณ
    ท่านได้อธิบายให้ฟังว่า..นี่คือธรรมเนียมของพระราชวงค์ฝ่ายในของ
    โร มานอฟที่ยึดถือปฏิบัติมาหลายร้อยปีแล้ว...บ่าวสาวจะต้องแต่งชุด"พิเศษ"นี้ สู่ห้องหอในคืนอภิเษก และ ในธรรมเนียมเดียวกันนี้ ได้มีกฏห้ามเจ้าบ่าวเจอกับเจ้าสาวในวันก่อนแต่งงานหนึ่งวันด้วย..

    เพราะนี่คือราชประเพณีของเรามาช้านาน..ฉันจะไปเปลี่ยนอะไรได้..ว่าอย่างไรก็ต้องว่าตามกัน..

    

    ยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ต้องอยู่คนเดียว..น่าเบื่อจริง..ตามธรรมเนียมของโบร่ำโบราณ
    กว่าจะถึงวันสำคัญของชีวิต..
    งานพิธีของเราจะมีขึ้นในพระวิหาร Peterhof อันเป็นที่เดียวกับที่ฉันได้เข้าพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเมื่อแปดปีก่อน..

    ส่วนการแต่งองค์ของเจ้าสาวนั้น ผู้รับไปดำเนินการคือ ซารินาและทีมนางสนองพระโอษฐ์ชั้นผู้ใหญ่ ที่ว่ากันว่าใช้เวลากว่าสามชั่วโมง..
    พระ เกศามีการทำเป็นหลอดม้วน เกล้าขึ้นเพื่อให้เหมาะกับศิราภรณ์ และจะต้องตรึงให้แน่น..ไม่ว่าจะมีการอธิบายให้เข้าใจถึงวิธีการที่แสนซับ ซ้อนอย่างไร ฉันก็ยังต้องขอแสดงความนับถือในมือมนุษย์ที่ช่างมีความสามารถหนักหนา
    เท่าที่พอรู้..ว่า..เซเนียจะต้องแต่งองค์ด้วยชุดพิธีสีเงินที่เจ้าสาว
    โรมานอฟต่างๆในอดีตเคยทรงมา รวมทั้งพี่หญิงอนาสตาเซียด้วย(ในพิธีอภิเษกของเธอ)

    ในที่สุด..ฉันก็ได้อนุญาตให้พบกับเจ้าสาว..นำมาโดย ซารินา...
    หมู่ พระญาติเข้ามายืนเรียงแถวข้างหลังของเรา..ต้องกลั้นหัวเราะแทบแย่ เพราะ Misha น้องชาย และ Olga น้องสาวคนเล็กของเซเนีย..พยายามยักคิ้วหลิ่วตาให้ฉัน..ทุกคนพร้อมใจกันร้อง เพลงรักหวานซึ้งให้
    ฉันเองในใจยังพะวงไม่หายเกี่ยวกับการเดินทางของน่ำผึ้งพระจันทร์ที่พระตำหนัก ที่ Ay-Todor (ยูเครน) เลยไม่ทันได้ฟัง..
    พระตำหนักนี้..เสด็จแม่ซื้อทิ้งไว้ตั้งแต่พวเรายังเป็นเด็กๆ เมื่อก่อนเป็นแค่ที่ดินชายทะเลดำ หลายปีต่อมาจึงพัฒนามาเรื่อยๆ มีสวนดอกไม้ มีไร่องุ่น..
    ต่อมามีกระโจมไฟที่มีสัญญาณไฟแว๊บๆให้เห็นเด่นชัดในยามที่หมอกลงจัด
    พวกเรารักที่นั่นมาก..เพราะทุกอย่างคือสัญญลักษ์แห่งความสุขในวัยเด็ก
    ฉันได้แต่หวังว่า..เซเนียคงจะรักมันเช่นกัน

    เมื่อ พิธีเสร็จสิ้น..เราก็เดินออกจากพระวิหาร เพียงแต่ คราวนี้..ฉันเป็นฝ่ายได้เซเนียมาคล้องแขนเคียงข้าง..เจ้าสาวของฉันกระซิบ กระซาบบอกมาว่า
    "อยากจะเปลี่ยนไอ้เจ้าชุดนี้ออกเต็มที หนักเหลือเกิน ไม่รู้ว่าดินเนอร์จะต้องนั่งกันนานแค่ไหน..ดูเสด็จพ่อซิ..ท่าทางท่านหนื่อ ยเหลือเกิน"
    นั่นซิ..ซาร์ดูอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปมากจริงๆ...แต่กระนั้น พระองค์ก็ยังฝืนพระวรกายประทับอยู่ในงานเลี้ยงจนเสร็จสิ้นไป

    กว่าเราจะมีโอกาสเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ ก็เมื่อเวลาห้าทุ่มเศษ เพื่อที่จะเดินทางไปพักค้างคืนที่พระตำหนัก Ropsha ที่อยู่ชานเมือง
    ก่อนที่จะเดินต่อไปยัง..Ay-Todor ในวันต่อไป..
    แต่การไปยัง พระตำหนัก Ropsha ในคืนแรกของการแต่งงานของเราล่าช้าไปนิดหน่อย เพราะมีเหตุอุบัติขึ้น..

    คือ ว่า..พ่อสารถีผู้ควบคุมรถม้าพระที่นั่ง..ไม่คุ้นกับเส้นทาง..อีกทั้งแสงไฟ จากพระราชวัง Ropsha ที่ส่องสว่างจ้าเข้าตา..ทำให้เขาไม่ทันเห็นสะพานเล็กๆสำหรับให้ข้ามไป..ผล คือ รถพระที่นั่งที่เทียมด้วยม้าสามตัว..พร้อมคู่บ่าวสาวลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่ใน ชายคูน้ำ..
    พ่อสารถีตัวดีและผู้ช่วย กระเด็นตกลงไปอยู่ในน้ำ
    เซเนียกลิ้งโค่โล่ไปอยู่ที่พื้น..ฉันกลิ้งตามไปกดทับตัวเธออยู่ ทุลักทุเลสิ้นดี
    แต่..ไม่มีใครบาดเจ็บ..
    รถม้าของเหล่าผู้ติดตามได้มาช่วยเหลืออย่างทันที..
    เสื้อคลุมเฟอร์ขนเออร์มีนอันหรูหราของเซเนียเปรอะเปื้อนเลอะเทอะไปด้วยคราบโคลน..หน้าและมือของฉันดำปี๋ไปด้วยโคลนเช่นกัน..

    ยังสงสัยอยู่หมือนกันว่า..นายพล Wiazemsky ที่คอยรับเสด็จอยู่ที่พระตำหนักมาเจอเราปรากฏตัวไปในสภาพนี้จะคิดอย่างไร?
    แต่..เขาก็ทำหน้าเฉยๆนะ คงคิดว่านี่คือการปรากฏตัวของคู่บ่าวสาวในสมัยใหม่ที่ต้องไปว่ายน้ำในโคลนในชุดเต็มยศก่อนก็เป็นได้

    ในที่สุด..เราก็ได้อยู่กันลำพังสองคนจริงๆ..และนี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่มีพิธี หมั้นมา..แทบไม่น่าเชื่อ เราสองคนเหลือบตาไปที่ประตูพร้อมกันอย่างช่วยไม่ได้
    แล้วก็ต้องหันมาหัวเราะให้กัน เพราะแน่ใจแล้วว่า..เราอยู่กันสองคนจริงๆ
    ฉันได้หยิบกล่องเครื่องเพชรของเก่าของเสด็จแม่..ส่งมอบให้กับเซเนีย
    พระ ชายา..แม้ว่าของเหล่านี้แทบไม่มีความหมายอะไรกับเธอเลย..แต่..เซเนียก็ยังอด ชมความงดงามของศิราภรณ์เพชร และ ชุดแซฟไฟร์ของเสด็จแม่ไม่ได้

    เราแยก จากกันเมื่อเวลาตีหนึ่ง..เพื่อที่ฉันต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็น"ชุดเต็มยศสี เงิน" พร้อมรองเท้าเงินที่หนักสิบหกปอนด์นั่น ตามพระราชประเพณีโบราณว่าเจ้าบ่าวต้องเข้าห้องหอด้วยชุดนี้..
    หลังจาก แต่งตัวเสร็จ..ตามทางเดินที่จะไป"ห้องหอ" นั้น ต้องผ่านกระจกบานใหญ่ ที่ฉันต้องหยุดมองตัวเอง.. เผลอหัวเราะออกมาอีกก๊ากใหญ่..เพราะดูสภาพตัวเองแล้ว..ไม่ต่างอะไรกับตัว ละครที่เล่นเป็นสุลต่าน..ในชุดฟินาเล่สุดยอด !!

   

        
    พระตำหนัก Ay-Todor

        
     
  ของขวัญจากพระประยูรญาติ ในงานอภิเษกไม่มีภาพของจริง หาได้เพียงภาพสเกตช์

        
     
     


   

 
        
     
     



   

        
     
     


    47 Diamond, ruby and pearl necklace From Nikolai, Georgij, Sergei and Aleksei จาก บรรดาพี่ชายและน้องชายเจ้าบ่าวครับ

    50 ปิ่นปักผม จาก uncle Bertie and aunt Alix

        


    
 
 

  

    และท้ายที่สุดที่หาเจอ

    48: Heart-shaped sapphire cabochon framed with diamonds From Micha on the wedding จากพี่ชายเจ้าสาว Grand Duke Mikhail Alexandovich.

   

    49 Five-point star brooch with diamonds From Nicky and Alix จากอนาคต ซาร์ นิโคลัส II กับอนาคต ซารินา อเลกซานดรา

        
     
     


 
  
    
 
 

   
    เรื่องแคตตาล๊อกเครื่องเพชรของแกรนด์ ดัชเชส เซเนีย นี่คือสิ่งที่เป็นพยานหลักฐาน...พวกเจ้านายจำเป็นต้องมีสมุดประจำพระองค์แบบนี้
    เป็นที่รวบรวมเครื่องเพชรพลอย สมบัติมีค่า มีการวางหมายเลข และ ภาพ
    พร้อมทั้งประวัติที่ได้มาอย่างเรียบร้อย เวลาจะใช้ก็ให้ต้นห้องไปหยิบมา
    สั่งตามหมายเลข..

 

    ท่านผู้เขียนท่านมีอารมณ์ขันน่ะค่ะ ตอนที่ท่านเขียนไว้ว่า...
    "I resembled an operatic Sultan in the grand finale." ดิฉันอ่านไปก็หัวเราะกั๊กๆอยู่คนเดียว เพราะเห็นภาพชัดเจน แต่บอกตรงๆว่าไม่สามารถจะอธิบายได้ชัดเจนอย่างภาพในสมอง คืองี้ค่ะ คำว่า grand finale กับ operatic Sultan นั้นเป็นคำสองคำก็จริง แต่ความหมายนั้นมากกว่าพันคำ
    ขออธิบายดัง นี้ค่ะ ในยามที่มีมหาอุปรากร หรือ การแสดงบนเวที ซึ่งเป็นมหรสพที่นิยมในยุคนั้น..เครื่องแต่งกายมักจะอลังการ ยิ่งเป็นละครหลวงด้วยแล้ว..จะยิ่งโอ่อ่า แวววับ..ถ้าตัวละครเป็น สุลต่าน..ก็ลองนึกถึงภาพนะคะ..

    ในฉาก grand finale หมายถึง ตอนจบของละคร ที่ตัวละครทั้งหมดจะต้องแต่งกันเต็มยศ เต็มที่ ชุดที่ใส่ต้องโอ่อ่าออกมาหน้าเวที เพื่อรับการปรบมือชมเชย..และในโอกาสนี้อาจต้องเข้าเฝ้าเจ้านายเพื่อรับ รางวัลจากพระหัตถ์
    ตัวเด่นจะออกมาก่อนทีละคน..อย่างสุลต่านเป็นต้น..


    นี่ละค่ะ..คืออะไรที่บอกตรงๆว่า..จะ"สื่อ"ออกมาให้ได้ดังใจนั้น ยากมาก..
    ขืนมาอธิบายกันยืดยาว..อาจจะได้ใจความ..แต่เสียในเชิงอรรถรส
    เพราะท่านผู้เขียนท่านอยู่ในอารมณ์สัพยอกตัวเอง..ไม่ได้คิดว่าจะมีคนบ้าที่ไหนจะเอาไปแปลเป็นไทย..

    
 


    เช้าวันรุ่งขึ้น เราต้องกลับไปที่พระราชวังหลวงอีกครั้ง เพราะมีงานเลี้ยงจากคณะทูตรออยู่ และต้องไปทำความเคารพสุสานแห่งบรรพบุรุษที่ป้อม Peter and Paul
    จากนั้นก็ไปขึ้นรถไฟขบวนพระที่นั่งที่จัดพิเศษเพื่อไปยังเรือนฮันนีมูนของเราที่ต้องใช้เวลาเจ็ดสิบกว่าชั่วโมงกว่าจะถึง..

    เรา มีแผนที่จะใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุข สงบสันติ เพราะกว่าจะได้ลงเลยกันนั้น มันช่างนานหนักหนา..แต่..เพียงไม่กี่เดือนไปเหตุร้ายได้เกิดขึ้นกับเราจนได้ นั่นคือ ซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สามสิ้นพระชนม์อย่างกระทันหัน ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 1894 พระชนมายุเพียงแค่สี่สิบเก้า..อีกทั้งพระโอรสที่จะต้องมารับช่วงในภาระ บริหารประเทศที่แสนกว้างใหญ่ต่อไปนั้น..ยังเยาว์วัยและอ่อนหัดเสียเหลือ กิน..

    การจากไปอย่างกระทันหันของซาร์...ประหนึ่งเป็นการกระตุ้นให้รัสเซียในระบบซาร์ได้ล่มสลายไปเร็วกว่ากำหนดถึงยี่สิบถึงยี่สิบห้าปี

    เพราะช่วงรอยต่อนั้น..หมายถึงเมื่อซาร์สิ้นพระชนม์ไป..เป็นช่วงที่ประเทศชาติได้มีแบ่งกันเป็นสามฝ่าย..
    หนึ่งคือ..ซาร์องค์ใหม่ นิโคลาส ที่สอง
    สอง คือ พระราชวงค์ที่เป็นอยู่ในส่วนของการปกครอง
    สาม คือ..กลุ่มหัวหอกที่ต่อต้านเคลื่อนไหวอย่างเงียบๆ
    ทั้งสามส่วนนี้ เหมือนกับเป็นการแข่งขันกันที่จะได้ใจจากประชาชนจำนวนร้อยห้าสิบล้านคน ใครชนะ..ก็อยู่ยาว..
    ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่กับความฉลาดในการใช้กลยุทธ"แย่งใจ"

    หมายเลขหนึ่งและสามนั้น..ค่อนข้างมีความชัดเจนในตัว..
    แต่หมายเลขสอง..หลายคนอาจจะไม่เข้าใจว่าหมายถึงใครบ้าง..
    ก็ จะมาขยายให้ฟังกันตรงนี้..กล่าวคือ เมื่อซาร์พระโอรสต้องเข้ามารับหน้าที่ปกครองบ้านเมืองต่อไป ด้วยความไร้ประสบการณ์และไม่ประสีประสา
    พระองค๋จึงต้องหันไปพึ่งเหล่าพระญาติผู้ใหญ่ที่แต่ละองค์ล้วนแต่มี"ปม"ของตัวเอง..

    
 
 

  
    ใครเป็นใครบ้าง..ก็จะเล่าให้ฟังในตรงนี้..

    ในสายพระอัยกา..

    นิคกี้มีปู่น้อย (น้องชายของพระอัยกา..ซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สอง)อยู่สามพระองค์ ทั้งหมดนี่อยู่ในสายของ Nicholaevich ตามพระนามของเสด็จทวด
    Nicholas I

    Grand Duke Constantin Nicholaevich (Konstantin) ซึ่งเกษียณพระองค์เองออกไปพักผ่อนที่วังส่วนพระองค์ในไครเมีย อยู่กับพระชายาองค์ใหม่ ที่มีอดีตเป็นนางระบำบัลเลต์

    Grand Duke Nicholas Nicholaevich (นิโคลาส) รับราชการในกองทัพ เหล่าทหารม้า เป็นที่ชื่นชอบของพวกทหารระดับนายพัน แต่..ความสัมพันธ์ไม่ค่อยลงรอยกับเหล่าเสนาบดีด้วยกัน

    Grand Duke Mikhail Nicholaevich (หรือ มิชา..พระบิดาของผู้เขียน) ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นประธานองคมนตรี และยังมีตำแหน่งอยู่ในกองทัพบก หน่วยปืนใหญ่

    ในสามคนนี้..เสด็จพ่อของฉันนับว่ายังอายุน้อยที่สุด ผ่านงานมากที่สุด เพราะเคยผ่านศึกสงคราม..เคยปกครองแคว้นคอเคซัส ต่างพระเนตรพระกรรณมาช้านาน..
    แต่..ในฐานะที่ซาร์คือเจ้าชีวิต แม้ว่าจะเป็นเพียงพระนัดดาก็ตาม..เสด็จพ่อ
    ของฉันไม่เคยบังอาจไปสั่งสอน เฝ้าแต่รอรับสนองพระบัญชาเพียงอย่างเดียว

    
 
 


    ทีนี้ก็สาย เสด็จอา..คือ เหล่าน้องชายของซาร์อเล็กซานเดอร์ ที่สาม..อันเป็นพระโอรสของซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สอง ซึ่งอยู่ในสายสกุล Alexandrovich เริ่มจาก

    Grand Duke Vladimir ผู้ซึ่งพูดจาไม่ค่อยเข้าหูใคร..แต่เป็นคนที่ชื่นชอบในศิลปทุกแขนง.. ชอบอาหารฝรั่งเศสและไวน์ดีๆ ไปฝรั่งเศสทีไร แจกเงินไปทั่ว..มีพระชายา Grand Duchess Maria ที่น่ารัก อ่อนหวาน เป็นเจ้าหญิงจากเยอรมัน Mecklenberg-Schwerin (ไม่ใช่ใครอื่นไกล พระอนุชาของเธอ คือ เจ้าชาย Friedrich เป็นพี่เขยของฉันเอง..พระสวามีของพี่หญิงอนาสตาเซีย)

    Grand Duke Alexis เป็นทหารเรือ องค์นี้จัดว่าทรงพระสิริโฉมที่สุดในกลุ่มโรมานอฟ เจ้าชู้ตัวฉกาจ เวลาเมาชอบเล่าเรื่องสงครามในน่านน้ำต่างๆที่โน่นที่นี่ซ้ำไปซ้ำมา

    Grand Duke Sergei ไม่เก่งในเรื่องอะไรเลย..เป็นทหารหน่วยรักษาพระองค์ ได้ตำแหน่งเป็นเหมือนประหนึ่งผู้ว่าราชการประจำกรุงมอสควา
    อารมณ์ร้อน ยะโส และที่สำคัญคือ เป็น คู่เขยกับนิคกี้ เพราะ พระชายา
    ของ เซอเก คือ พี่สาวของอลิกซ์ (ซารินา) แปลกแต่จริง..ที่คนคู่นี้มาลงเอยกันได้ ทั้งๆที่บุคคลิกต่างกันราวขาวกับดำ..เอลล่า เป็นคนรื่นเริง ใจดี
    มีเสน่ห์ ใครเห็นใครรัก..แต่พระสวามี ตรงกันข้ามทุกอย่าง..

    Grand Duke Paul (Pavel) เป็นคนที่น่ารักที่สุด ในขบวนทั้งหมด เต้นรำสวย สังคมดี ทรงอภิเษกกับ เจ้าหญิงแห่งกรีซ แต่ต่อมาพระชายาได้สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ยังอายุไม่เท่าไหร่ พระองค์ก็เลยอภิเษกใหม่กับแม่ม่ายของนายพันคนหนึ่ง ซึ่งทำให้แกรนด์ ดุ๊ค พอล และภรรยาต้องเนรเทศตัวเองไปอยู่ที่ปารีส เพราะในฐานะเจ้า..พระองค์ได้ทรงทำความผิดถึงสองสถาน
    หนึ่ง คือ อภิเษกกับหญิงสามัญ
    สอง.คือ..เป็นแม่ม่าย
    ทั้งสองประการนี้คือกฏเหล็กและ ข้อห้ามของโรมานอฟ..



    
 
 

   
 
    อยากให้ตั้งใจอ่านตาม สายญาติต่อไปนี้ให้ดีๆ..เพราะจะเรียงให้เป็นชั้นและเป็นสาย..เพราะเหตุนี้ นี่ละค่ะจึงยังขึ้นกระทู้ใหม่ไม่ได้ มันจะขาดแหว่งไป..

    ที่เรียงมาแล้วข้างต้น..คือสายตรงของนิคกี้..
    คือ ปู่..และ..เหล่าน้องชาย คือ ปู่น้อย , พ่อ..และเหล่าน้องชาย คือ ท่านอาทั้งหลาย..


    สายตรงต่อไปนี้..จะเป็น..น้องชายแท้ๆของนิคกี้

    Grand Duke George Alexandrovich หรือ จอร์จิ ที่เล่ามาแล้วเรื่อยๆว่า เป็นเพื่อนสนิทของซานโดร และ ป่วยหนัก

    Grand Duke Michael Alexandrovich หรือ มิชา ที่มีอายุอ่อนกว่านิคกี้ถึงสิบเอ็ดปี เป็นคนสุดท้อง เป็นคนหงิมๆ เรียบร้อย ใจดี อ่อนโยน พอโตขึ้นมาเป็นหนุ่ม กลับสร้างความผิดหวังให้กับทุกคนโดยการที่ไปหลงรักแม่ม่ายผัวหย่า Mrs. Woulfert ถึงกับหนีไปแต่งงานกันที่เวียนนา และ อพยพกันไปอยู่ที่ลอนดอน

    ทั้งหมดนี้คือ..สายตรงของนิคกี้ หรือ ซาร์นิโคลาสที่สอง

    แต่ยังไม่หมดแค่นั้นค่ะ..

 
    อย่าเพิ่งเบื่อนะคะ เพราะบุคคลเหล่านี้มีบทบาทสำคัญทั้งสิ้นของโรมานอฟ
    ถ้าไม่อรรถาธิบายกันตรงนี้..ต่อไปจะอ่านไม่สนุก..(ขอเตือน..)

    ทีนี้มาสายรอง..เริ่มจาก เหล่าลูกๆของปู่น้อย หรือ พวกท่านที่มีศักดิ์เทียบ
    "ท่านอา" เริ่มจากสาย..ปู่น้อย Grand Duke Konstantin Nicholaevich ..


    Grand Duke Nicholas Konstantinovich เป็นทหาร หน้าตาหล่อเหลา
    เจ้าชู้จนไปพลาดท่ากับสาวอเมริกัน ที่หลงเสียจนขโมยเพชรของแม่ตัวเองไปปรนเปรอ ในที่สุด..ก็ถูกตัดขาดออกไปจากครอบครัว..

    Grand Duke Konstantin Konstantinovich ( หรือใช้ด้วยอักษร C แทน K
    เห็นมั๊ยคะ ว่า จะมีชื่อของบิดาต่อด้วย ovich อันหมายถึงแจงว่าเป็นลูกใคร) คนนี้ เป็นที่รู้จักกันในนามว่า K.R. (อันเป็นนามปากกาย่อมาจาก Konstantin Romanov)
    คนนี้เป็นปราชญ์ อัจฉริยะ เคร่งศาสนา และมีตำแหน่งทางทหารด้วย
    โปรดการเขียนหนังสือ เขียนกาพย์กลอน เป็นคนแรกที่สามารถแปลเรื่อง Hamlet เป็นบทละครในภาษารัสเซีย ชอบใช้ชีวิตด้วยการสอนหนังสือ
    สอนให้กับนักเรียนนายร้อย จัดระเบียบการสอนให้ใหม่แบบทันสมัย
    แต่เกลียดการเมือง ไม่ชอบนักการเมือง
    ดังนั้น..ความอัจฉริยะและสามารถที่มีจึงไม่สามารถช่วยเหลืออะไรให้กับ
    นิคกี้ได้เลย


    Grand Duke Viacheslav Konstantinovich เสียชีวิตไปตั้งแต่ตอนวัยรุ่น

    Grand Duke Dimitri Konstantinovich เป็นทหารที่สนใจแต่เรื่องงาน และ
    ชอบม้าเป็นชีวิตจิตใจ ไม่สนใจเรื่องผู้หญิง อายุมากขึ้น สายตาสั้นมากจนเกือบบอด..

    ทีนี้สายลูกของปู่น้อย Grand Duke Nicholas Nicholaevich ที่มีศักดิ์เป็นท่านอาของนิคกี้ เริ่มจาก


    Grand Duke Nicholas Nicholaevich Jr, (สังเกตไหมคะ ว่าลูกชายคนโตมักจะชื่อเดียวกับพ่อ) คนนี้คือ Nicholasha (นิโคลาชา..ที่ไม่ต้องชะตากับพี่ชายของซานโดรอย่างแรง..เป็นอย่างนั้นไปตลอดชีวิต) แต่เขาเป็นคนเก่ง เป็นทหารที่มีคุณภาพ มีความสามารถในการบริหารจัดการกองทัพ ทำให้นิคกี้วางใจ ไว้ใจ จนพากันล่ม..(จะเล่าในทีหลัง)
    แต่งงานกับ Princess Anastasia of Montenegro (หรือ Stana)ไม่มีลูกด้วยกัน

    Grand Duke Peter Nicholaevich เป็นทหารเช่นกัน แต่สุขภาพไม่ดี เป็นโรคปอด เปลี่ยนอาชีพจากทหารไปเป็นสถาปนิก ต่อมาต้องไปอยู่ที่อียิปต์หลายปี ปล่อยให้เมีย..Princess Milica of Montenegro (หรือ Militza) ดูแลและเป็นตัวแทนอยู่ในรัสเซีย

    ขอให้ดูดีๆว่า..สองชายนี้ มีเมียเป็นพี่น้องกันเช่นกัน และไม่ใช่พี่น้องสองสาวธรรมดาแต่เป็นพี่น้องที่สร้างประวัติศาสตร์ให้กับโร มานอฟจนถึงทุกวันนี้ ในนามของสองพี่น้องจาก Montenegrin ( ชาว Montenegro) ที่ชักนำให้นิคกี้และอลิกซ์หันมาเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์
    เวทมนต์ และมนต์ดำ และเป็นผู้ชักนำให้พวกพ่อมด หมอผี อย่าง
    Phillipe และ Rasputin ให้มาในวงจรฝ่ายใน
    เท่านั้นไม่พอ..สองพี่น้องนี้ได้เข้าไปวุ่นวายกับเรื่องการบริหารบ้านเมืองจนเกินขอบเขต..สร้างความแตกร้าวไปทั่วในพระประยูรญาติ


    ต่อมาคือสายของปู่น้อยองค์สุดท้อง.. Grand Duke Mikhailovich Nicholaevich ที่เหล่าบรรดาลูกชายมีศักดิ์เป็นอาของนิคกี้

    Grand Duke Nicholas Mikhailovich (หรือ Bimbo) ที่เก่งกาจไปหมดทุกเรื่อง จบจากโรงเรียนนายร้อยได้คะแนนสูงสุด มีความสามารถในการเขียนหนังสือ และเชี่ยวชาญเรื่องประวัติศาสตร์ ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับชีวประวัติของบรรพบุรุษ Emperor Alexander I อย่างละเอียดจนปัจจุบันได้ใช้เป็นตำราเรียน..รวมทั้งความสามารถในเรื่องของ นโปเลียนที่สนใจถึงขนาดไปใช้ชีวิตอยู่ในฝรั่งเศสแบบเซอร์ๆ ในโรงแรมเล็กๆ ชนิดดีแต่ไม่หรูหรา ปะปนอยู่กับนักศึกษาในมหาวิทยาลัย จนไม่เหลือคราบของแกรนด์ ดุ๊ค
    ที่สำคัญ..คือ การที่ได้เรียนในฝรั่งเศสจนเชี่ยวชาญทางด้านการทหารและการเมืองนั้น แกรนด์ ดุ๊ค Bimbo ได้พยายามเตือนนิคกี้เสมอถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึงรัสเซียจากการ ตื่นตัวของประชาชน..เพราะทุกคนต้องการประชาธิปไตย..
    ไม่แต่งงาน เพราะผิดหวังกับความรัก เพราะรักกับญาติสนิท Princess Victoria of Baden (หลานแท้ๆของแม่)ที่ทางศาสนาได้ห้ามไม่ให้แต่งงานกัน

    Grand Duke Michael Mikhailovich (หรือ มิช-มิช, Miche-Miche) ที่ไม่มีอะไรเทียบได้กับพี่ชายเลย พออายุได้ยี่สิบ ได้รับเงินก้อนโต..ก็ไปซื้อคฤหาสน์ส่วนตัวหรูหรา เพราะตั้งใจอยากจะแต่งงาน ตั้งครอบครัว
    แต่ยังไม่มีเป้าหมายกับหญิงคนไหน ในที่สุดก็ไปตกร่องปล่องชิ้นกับหญิงที่ต่ำศักดิ์กว่า แถมมีเลือดผสมของชนผิวดำจากอาฟริกาใต้นิดหนึ่ง
    ดังนั้นจึงต้องเนรเทศตัวเองไปอยู่ที่ลอนดอน
    แต่ต่อมาลูกสาวของ มิช-มิช คนหนึ่ง Nadejda Mikhailovna ไปแต่งงานกับ Prince Battenberg
    พระญาติของพระราชินีแห่งสเปน และมีไตเติ้ลเป็น Lady Milford-Haven

    Grand Duke George Mikhailovich (หรือ จอร์จี้) เป็นทหารปืนใหญ่เหมือนพ่อ ชอบวาดรูป แต่งงานกับ Princess Maria of Greece and Denmark

    Grand Duke Alexander Mikhailovich หรือ ซานโดร ท่านผู้เขียน..
    คงไม่ต้องอธิบายอะไรกันอีก

    Grand Duke Sergei Mikhailovich เซอเก น้องชายที่มีอายุอ่อนกว่าซานโดรสามปี ชีวิตน่าสงสารในเรื่องความรัก เขียนไว้แล้วข้างบน ที่ไปหลงรักนางระบำ..สนมเก่าของนิคกี้..

    Grand Duke Alexis Mikhailovich เสียชีวิตไปตั้งแต่อายุได้ยี่สิบ ด้วยโรคปอด..


    นี่ คือสายหลักๆทั้งหมด พระโอรสและพระธิดาของสายเหล่านี้ ถ้ามีมารดาที่เป็นเจ้าศักดิ์เสมอกัน ลูกๆก็จะได้ใช้ไตเติ้ล เป็น Grand Duke หรือ Grand Duchess นำหน้า แต่ยังมีพวกเจ้าที่แตกแยกมาจากสายถิ่นฐานอื่น หรือเกี่ยวข้องในการ"ดอง" ..ก็จะได้แค่ยศ Prince หรือ Princess

    จากนี้ไปนะคะ..จะเขียนถึงท่านต่างๆเหล่านี้โดยใช้การผูกญาติตามลำดับความสำคัญกับซาร์นิโคลัสที่สองเป็นหลัก
    เพราะ..ซานโดร ท่านผู้เขียนได้กลายสภาพจาก"อา" มาเป็นน้องเขยซาร์ซะแล้ว..

    แต่จะแยกให้ชัดเจนไปอีกนิดว่า..ถ้าเป็น ปู่น้อย..จะใช้ว่าพระอัยกา
    ถ้าเป็น อาแท้ๆ หมายถึง พระอนุชาของซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สาม จะใช้ว่า
    "เสด็จอา"

    และถ้าเป็นอา กลุ่มที่เป็นพระโอรสของปู่น้อย..จะใช้ว่า ท่านอา..

    ส่วนโอรสและธิดาของเสด็จอา และ ท่านอา ในรุ่นต่อๆมา..จะอธิบายกันอีกทีเมื่อถึงเวลา..


  

  
 
  
    แกะสาแหรกมาให้ดูค่ะ ปักหมุดไว้ด้วย

    ปักหมุดฟ้า = ซาร์องค์ปัจจุบัน
    ปักหมุดเหลือง = ปู่น้อยองค์สุดท้อง.. Grand Duke Mikhailovich Nicholaevich ที่เป็นพระบิดาของผู้เขียนค่ะ
    ปักหมุดสีส้ม = ผู้เขียน ที่ตอนนี้มีศักดิ์เป็นน้องเขยซาร์แล้วค่ะ

 
 
    ดิฉัน อยากจะให้"ทริค" นิดหนึ่งค่ะ..ถ้าเราเทียบเอาเป็นญาติของเรา เพราะว่าครอบครัวไทย..สายญาติแบบนี้เรามีหมดละค่ะ..ปู่น้อย..ลูกของปู่น้อย ก็เป็นอาเรา ลูกของอาก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของเรา เพียงแต่ของเขามีเยอะกว่าเท่านั้นเอง..

   




เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ โดย วิวันดา

เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบหก
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบห้า
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบสี่
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบสาม
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบสอง
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบเอ็ด
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบ
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนเก้า
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนแปด
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนเจ็ด
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนหก
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสี่
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสาม
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสอง
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนหนึ่ง



1

ความคิดเห็นที่ 1 (102087)
avatar
siamฯ

**อ่านแล้ว..รู้**

ผู้แสดงความคิดเห็น siamฯ (aeiou-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2012-06-20 00:41:03 IP : 125.25.90.56



1


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker