Conspirator (2010) เปิดปมบงการ สังหารลินคอล์น
avatar
หมาป่าดำ


user image

Conspirator (2010)

เปิดปมบงการ สังหารลินคอล์น

หนังเกี่ยวกับการพิจารณาคดีลอบสังหารประธานาธิบดีลินคอล์นของผู้ต้องหาหญิงแมรี่ เซอร์แรทท์

14 เม.ย. 1865 หลังจากมีการลอบสังหารประธานาธิบดีลินคอล์น ได้มีการตามจับผู้ต้องหาและผู้ร่วมสมรู้ร่วมคิด ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ นางแมรี่ เซอร์แรทท์ เจ้าของห้องเช่าและเป็นแม่ของ จอห์น จูเนียร์ เซอร์แรทท์ หนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดในคดีนี้

จอห์น จูเนียร์ เซอร์แรทท์ ได้ใช้ห้องเช่าของแม่เป็นที่วางแผนกับพวกในการก่อการครั้งนี้ ทำให้นางแมรี่ได้รู้รู้จักกลุ่มคนเหล่านี้ด้วย นางจึงติดร่างแหตกเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด

ทนายความของนางคือ อดีตนายทหารที่ผ่านศึกสงครามกลางเมืองฝ่ายเหนือ ผู้กองเฟอเดริกค์ เอเค่น เขาเคยเป็นทนายก่อนเป็นทหารและได้รับการร้องขอจาก สมาชิกวุฒิสภาฝ่ายใต้ให้มาช่วยว่าความให้เธอ

แต่ด้วยแรงกดดันทางสังคมต่อโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น ทำให้ทางรัฐบาลรีบพิจารณาคดีนี้อย่างรวดเร็วโดยขึ้นศาลทหาร อัยการพยายามใช้บุคคลเป็นพยานใส่ความนางแมรี่ โดยทนายเฟอเดริกค์พยายามแก้ข้อกล่าวหาให้ถึงที่สุดด้วยเห็นว่าเธอบริสุทธิ์จริง แต่ก็ไม่เป็นผล ในที่สุดเธอถูกพิจารณาคดีให้มีความผิดฐานสมรู้ร่วมคิดและถูกลงโทษด้วยการแขวนคอ

ตัวหนังต้องการพูดถึงคดีในส่วนของนางแมรี่เพียงคนเดียว  เพราะเธอเป็นผู้หญิงอเมริกันคนแรกที่โดนโทษแขวนคอ และความไม่ยุติธรรมในการพิจารณาคดีในสมัยนั้นด้วยเพราะแรงกดดันจากสังคม ทางรัฐบาลต้องรีบหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษอย่างสาสมและรวดเร็ว ก่อนที่ความขัดแย้งของฝ่ายเหนือฝ่ายใต้จะปะทุขึ้นมาอีก ทำให้การพิจารณาคดีในส่วนของเธอขาดความยุติธรรมเนื่องจากหลักฐานพยานอ่อนไม่ชัดเจน แต่เธอก็ยังถูกลงโทษ

เรื่องนี้ดูเรื่อยๆ นะครับ ไม่รู้สึกกดดันหรือจะเห็นใจตัวละครเอกสักเท่าไร เนื้อเรื่องส่วนมากจะเป็นการพิจารณาคดีกันในศาลและการสืบหาพยานหลักฐานต่างๆ ของทนายซึ่งเป็นพระเอกของเรื่องและดูพระเอกจะน่าเห็นใจมากกว่า เพราะถ้าทำคดีแพ้จะโดนว่าไม่มีความสามารถแต่ถ้าทำคดีชนะจะกลายว่าไปช่วยพวกกบฏฝ่ายใต้ (ในเรื่องระหว่างพิจารณาคดีก็โดนถอดชื่อออกจากงานเลี้ยงนายทหาร โทษฐานมุ่งมั่นที่จะช่วยแมรี่มากเกินไป)

ดีวีดีวางจำหน่ายแล้ว หาชมกันได้ครับ แต่คงเหมาะสำหรับผู้ที่สนใจประวัติศาสตร์ กฎหมาย สิทธิความยุติธรรม ของอเมริกาในยุคนั้นนะครับ

เรื่องนี้มีประโยคเด็ดๆ น่าสนใจหลายประโยคนะครับ

คำพูดดีๆ มีไว้ปลุกใจ แต่ใช้ปกครองไม่ได้

เราไม่ใช้กฎหมายของประเทศนี้เพื่อตอบสนองอารมณ์ของตนเอง

ความถูกต้องจะมีประโยชน์อะไรถ้าประเทศล่มสลาย

เมื่อไรที่เสียงปืนดังนั่นแปลว่ากฎหมายต้องเงียบเสียง

ข้อมูลหนังจาก IMDb

http://www.imdb.com/title/tt0968264/

 



ผู้ตั้งกระทู้ หมาป่าดำ (mistiest-at-hotmail-dot-com) กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-10-03 22:33:26 IP : 223.205.172.62


1

ความคิดเห็นที่ 1 (2979453)
avatar
หมาป่าดำ

รายละเอียดคดีของนางแมรี่ เซอร์แรทท์ จาก ทีมงาน นิตยสาร ต่วย"ตูน

 

“ขอร้องเถอะ อย่าปล่อยฉันตกลงไป” เป็นคำพูดสุดท้ายที่หลุดออกจากปาก ของผู้หญิงคนหนึ่ง  ที่ได้รับการบันทึกว่าเป็นสตรี คนแรกในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ที่ ถูกลงโทษตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ
 
   ผู้หญิงที่คงไม่อยากได้รับ เกียรติให้จารึก ชื่อเป็นเบอร์หนึ่งคนนี้คือ นางแมรี เซอร์แรทท์ แมรีถูกพิพากษาว่ามีความผิดใหญ่หลวง ฐานเป็นผู้สมคบคิดกันลอบสังหารอับราฮัม ลินคอล์น ประธานาธิบดีผู้โด่งดังที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา
 
 ไทยรัฐ ซันเดย์ สเปเชียล โดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูน จะมาคุ้ยประวัติศาสตร์ดูกันสักหน่อยว่าแมรี เซอร์แรทท์ “สมควร” ได้รับการจารึกชื่อเป็น หญิงคนแรกในประเทศแห่งเสรีภาพนี้ ที่ต้องลาโลกไปด้วยโทษประหารหรือไม่
 
 เป็นที่รู้กันอย่างกว้างขวางว่า อับราฮัม ลินคอล์น ถูกลอบสังหารโดยนํ้ามือของจอห์น วิลค์ส บูธ เมื่อวันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1865 หลังจากที่ลินคอล์นได้รับชัยชนะในสงครามกลาง เมืองระหว่างรัฐฝ่ายเหนือกับสมาพันธ์ฝ่ายใต้ ที่มีความเห็น ไม่ลงรอยกัน โดยเฉพาะเรื่องระบบทาสผิวสีในสหรัฐฯ ซึ่งท่านประธานาธิบดีต้องการเลิกให้หมดไป  แต่ฝ่ายใต้ไม่เห็นด้วย จนเกิดการสู้รบกันพักใหญ่ แต่ในที่สุดฝ่ายใต้
 
 ซึ่งมีกำลังพลน้อยกว่า ก็ยอมวางอาวุธ แต่ความไม่พอใจที่ ยังคงอยู่ก็นำมาซึ่งการวางแผนลอบสังหาร ซึ่งจอห์น วิลค์ส บูธ ผู้ลั่นกระสุนบันลือโลกตะโกนก้องว่า ฝ่ายใต้แก้แค้นได้สำเร็จแล้ว ก่อนจะหนีไป แต่ต่อมา ไม่นานนักก็ถูกจับตาย
 
 จอห์น วิลค์ส บูธ ไม่ได้เป็นคนเดียวในแผน การลอบสังหาร มีพลพรรคอีกหลายคนที่ร่วมอยู่ในขบวนการวางแผนปลิดชีพ ลินคอล์น ซึ่งเป้าหมายของการ สืบสวนทั้งหมด พุ่งตรงไปที่บ้าน
 
 2 หลัง ที่แรกคือบ้านในชนบทของครอบครัวเซอร์แรทท์  ที่อยู่ในเขตปรินซ์จอร์จ ห่างจากวอชิงตันไม่มากนัก คือใช้เวลาขี่ม้า ไปราวๆ 2 ชั่วโมง เป็นสถานที่ซึ่งจอห์นและแมรี เซอร์แรทท์ คู่สามี-ภรรยาซื้อที่ดินผืนใหญ่ไว้  สร้างเป็นโรงแรม และพื้นที่นี้ก็รู้จักกันดีในนาม “เซอร์แรทท์วิลล์” เป็นที่ซึ่งลูกๆของทั้งคู่เติบโตขึ้น โดยเฉพาะลูกคนหัวปีของครอบครัวคือ จอห์น จูเนียร์
 
 บ้านอีกหลังหนึ่งที่ตำรวจสืบเสาะไปถึง ก็ยัง เป็นบ้านของแมรี เซอร์แรทท์ ที่ถนนไฮด์ในวอชิงตัน เป็นบ้านที่เธอย้ายมาอยู่หลังสามีเสียชีวิต และเปิดธุรกิจห้องเช่า  ส่วนบ้านในชนบทที่เซอร์แรทท์วิลล์นั้น ได้ปล่อยให้อดีตนายตำรวจที่ชื่อจอห์น ลอยด์ เช่าอยู่
 
 เหตุผลที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองสืบเสาะไปถึงที่กบดาน ทั้ง 2 แห่งของตระกูลเซอร์แรทท์  ก็เพราะว่าได้พบ หลักฐานการสมคบคิดเพื่อวางแผนลอบสังหารโดยบุคคลหลายคน นอกจากจอห์น วิลค์ส บูธ แล้ว ก็ยังมีกลุ่มเพื่อนๆ เช่น จอห์น จูเนียร์ เซอร์แรทท์ ลูกชายเจ้าของบ้าน รวมถึงเดวิด ฮาโรลด์, เลวิส พาวเวลล์ และจอห์จ แอทซีรอดท์ โดยเฉพาะจอห์น จูเนียร์ที่มีการสืบพบว่าตัวอยู่เหนือ แต่ใจเป็นฝ่ายใต้ ลอบทำตัวเป็นสายลับส่งข้อมูลให้ฝ่ายใต้อยู่เรื่อยๆ ก็ ไม่แปลกหากจะถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารนี้ และยังพาเพื่อนๆ มา ประชุมวางแผนกันที่บ้านแม่อยู่หลายครั้งก่อนลงมือ
 
 
 
 ปัญหา ก็คือ ในการมาร่วมประชุมกันบ่อยๆนั้น  ผู้เช่าบ้านรายหนึ่ง ซึ่งก็เป็นเพื่อนเกลอกันของพวก ผู้ก่อการนี้ด้วย คือ หลุยส์ ไวช์แมน ได้พบเห็นอาการพิรุธของกลุ่มสมคบคิดนี้บ่อยครั้ง และเมื่อเกิดเหตุขึ้น ไวช์แมนก็ตัดสินใจเป็นพยานให้ฝ่ายรัฐ ให้การปรัก-ปรำคุณนายแมรีเจ้าของบ้านว่ารู้เห็นเป็นใจ และแถมยังน่าจะร่วมวางแผนด้วย โดยไวช์แมนให้การว่า เห็นแม่ม่ายเซอร์แรทท์กระซิบกระซาบกับมือปืน จอห์น วิลค์ส บูธ อยู่บ่อยครั้ง
 
 ไม่เพียงเท่านั้น ไวช์แมนยังมีคำให้การสำคัญว่า ก่อนเกิดการลอบสังหารไม่กี่ชั่วโมง คุณนายเซอร์แรทท์ได้ขอให้เขาช่วยว่าจ้างรถเพื่อเดินทางไปเซอร์แรทท์วิลล์ และตอนนั้นนั่นเอง ที่ไวช์แมนอ้างว่าเห็นคุณนายพกห่อกระดาษยาวประมาณ 6 นิ้วไปด้วย จนเกิดการสันนิษฐานกันว่า มันอาจจะเป็นปืน และหลังจากกลับมา วอชิงตันแล้ว จอห์น วิลค์ส บูธ ก็ยังมาหา พูดคุยกับ แมรี ซึ่งไวช์แมนก็ช่างสังเกต และให้การว่า หลังจากคุยกันแล้ว จู่ๆคุณนายเจ้าของบ้านก็เกิดอาการกระสับกระส่าย อยู่ไม่สุข และอีกไม่ถึง 7 ชั่วโมงหลังจากนั้น การลอบสังหารก็เกิดขึ้น
 
 นอกจากไวช์แมนแล้ว  คนเช่าบ้านที่เซอร์แรทท์วิลล์ คือ จอห์น ลอยด์ ก็เป็นอีกคนที่ให้การปรักปรำคุณนาย โดยลอยด์ให้การว่า เจ้าลูกชายตัวดีของแมรี ได้นำข้าวของมาทิ้งไว้จำนวนมาก เช่น เชือกยาว ปืนพร้อมเครื่องกระสุน  ซึ่งเมื่อนำมาแล้ว ก็เอาไปเก็บซ่อนไว้ที่ชั้น 2 และก่อนการลอบสังหารจะเกิดขึ้น 3 วัน คุณนายเซอร์แรทท์ก็ยังมาเล่าให้ฟังเป็นนัยๆเรื่องแผนการลอบสังหารด้วย
 
 และ ในวันเกิดเหตุ หลังมรณกรรมของลินคอล์น ไม่นาน เดวิด ฮาโรลด์ หนึ่งในแก๊งสมคบคิดก็เดินทางมาเอาปืน แถมยังปากโป้งบอกลอยด์อีกว่า ไปร่วม ขบวนการลอบสังหารประธานาธิบดีมา และฮาโรลด์คนนี้นี่เอง ที่ได้หลบหนีไปพร้อมมือปืนสะท้านโลก ก่อนจะไปจนมุมพร้อมกัน แต่ฮาโรลด์ชิงมอบตัวก่อนถูกวิสามัญ
 
 คำให้การของไวช์แมนและลอยด์ ต่างเป็นคำให้การที่ปรักปรำคุณนายแมรีว่า มีส่วนสมคบคิดวางแผน และจัดการให้มีการลอบสังหารประธานาธิบดีแน่ๆ เจอแบบนี้ ต้องเรียกว่างานเข้าเต็มๆ แถมคุณนายแมรียังต้องเจอกระแสเกรี้ยวกราดจากประชาชนผู้โกรธแค้น ในขณะที่รัฐบาลที่ รับหน้าที่สืบต่อจากลินคอล์นก็กำลังถูกมหาชนกดดันอย่างหนัก เพื่อให้หาคนผิดมาลงโทษโดยเร็ว
 
 ดังนั้น  แม้ทนายความของแมรีจะพยายามแก้ต่างอย่างสุดความสามารถ และตอกย้ำถึงคำให้การของพยานว่าไม่น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะลอยด์ ซึ่งเป็นคนขี้เหล้าเมายา ที่สำคัญ หากเราวิเคราะห์จาก คำให้การต่างๆของลอยด์แล้ว ก็ดูจะไม่สมเหตุผลที่ผู้สมคบคิดทำการใหญ่จะมาเล่าโน่นเล่านี่ให้ขี้เมาคน หนึ่งฟัง
 
 แต่ทั้งนี้ก็ไม่มีอะไรยืนยันได้เลยว่า  แมรีรู้เห็น เป็นใจด้วยหรือเปล่า และจะว่าไป  ผู้หญิงส่วนใหญ่ในยุคนั้นก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องการเมืองสักเท่าไร จึงชวน สงสัยว่า แมรีจะเป็นเพียงคุณนายบ้านเช่าที่บังเอิญดวงซวย มีคณะผู้ก่อการร้ายมาประชุมกันอยู่ใต้หลังคา บ้านเท่านั้นเอง
 
 ไม่ว่า ความจริงจะเป็นอย่างไร ด้วยแรงกดดันของพลเมืองอเมริกัน  รัฐบาลต้องเร่งคลายความขุ่น แค้นของสาธารณชนด้วยการลงโทษใครสักคนโดยเร็วที่สุด คำแก้ต่างของแมรี เซอร์แรทท์ จึงถูกละเลย คณะผู้ตัดสินประกาศว่า แมรีเป็นผู้ผิด โทษถึงประหารชีวิต
 
 
 อย่างไรก็ตาม 5 ใน 9 ของคณะผู้พิพากษาเห็นว่า เธอเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ แถมอายุก็เยอะแล้วสำหรับยุคนั้น คือ 45 ปี ดังนั้น จึงเสนอลดโทษเป็นจำคุกตลอดชีวิต แต่แอนดรู จอห์นสัน รองประธานาธิบดีผู้ก้าวมารับตำแหน่งแทนลินคอล์น  กลับไม่ยอมลงนามลดโทษให้แมรี  เซอร์แรทท์ จึงถูกแขวนคอเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ.1865 หรือไม่ถึง 3 เดือน
 
 หลังมรณกรรมของท่าน ประธานาธิบดี  เรียกว่า เป็นคดีที่รวดเร็วเป็นอย่างยิ่งเธอถูกประหารพร้อมๆกับคณะผู้ก่อ การอีก 3 คน คือ จอร์จ แอทซีรอดท์, เลวิส พาวเวลล์ และเดวิด  ฮาโรลด์  ในขณะ ที่จอห์น จูเนียร์ ลูกชายตัวดีผู้ชักศึกเข้าบ้าน หลบหนีไปต่างประ-เทศ ก่อนจะถูกจับกลับมาดำเนินคดีในภายหลัง ที่สำคัญ “รอด”ไม่ได้รับการลงโทษอีกต่างหาก เลยยิ่งตอกย้ำคำถามที่ว่า การพิจารณาคดีครั้งแรกทำกันเร็วเกินไปหรือเปล่า ถูกกดดันมากไป หรือไม่
 
 นัก ประวัติศาสตร์และนักกฎหมายรุ่นหลังๆ นำคดี ของแมรี เซอร์แรทท์ มาศึกษากันอย่างกว้างขวาง  รวมถึงมี การนำเรื่องราวการต่อสู้ในศาลมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง The Conspirator ซึ่งเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ และสภาพสังคมในขณะนั้น ทำให้คนจำนวนไม่น้อย เลยที่ฟันธงว่า แมรีเป็นเพียงเหยื่อของขบวนการที่เรียกร้องความยุติธรรม แต่ไม่ได้มีความยุติธรรมในตัวเอง
 
 แมรี เซอร์แรทท์ จึงเป็นผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ถูกแขวนคอด้วยความยุติธรรมอัน เป็นข้อสงสัย และไม่สามารถพิสูจน์ มีเพียงคำพูด สุดท้ายที่บ่งบอกได้ว่า แมรีไม่ใช่ผู้หญิงใจแข็งอะไรนัก เมื่อเธอวิงวอนว่า “ขอร้องเถอะ อย่าปล่อยฉันตกลงไป แต่ในที่สุด ร่างเธอก็ตกลงไป ทิ้งไว้เพียงรอยด่างของกระบวนการยุติธรรมสหรัฐฯตลอดกาล.
 
 
 ทีมงาน นิตยสาร ต่วย"ตูน
 
 
 
ผู้แสดงความคิดเห็น หมาป่าดำ (mistiest-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-10-03 22:37:12 IP : 223.205.172.62



1


Copyright © 2010 All Rights Reserved.