***ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา***
avatar
ปติตันขุนทด


***ไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา***

ประเทศไทยซึ่งมีภูเขาอยjางสูงๆล้อมรอบนั้น  ในเวลานั้นมีเขตแดนต่อกับลาว  เขมร   มอญ  และอังวะ   ในระหว่างเข้าเหล่านั้นก็มีแม่น้ำเจ้าพระยา   บางแห่งกว้างตั้งแต่   ๘๐ถึง  ๑๐๐  ไมล์   และลำคลองและลำรางตกมาเป็นอันมาก   ซึ่งทำให้ลำแม่น้ำเจ้าพระยาใหญ่ขึ้น   แม่น้ำเจ้าพระยานี้ไหลตกในอ่าวไทย  มีปากน้ำ  ๓   ปาก  แต่ปากน้ำที่เรือเดินได้สะดวกนั้นก็ปากน้ำทางทิศตะวันออก   ทางใต้นั้นแม่น้ำนี้ใหญ่โตและสง่างดงามมาก    ลึกหลายวา   และในปีหนึ่งน้ำคงท่วมตามทุ่งนาราว   ๓  -  ๔  เดือน   ถ้าจะเทียบแล้ว   แม่น้ำเจ้าพระยานี้   เหมือนกับเป็นแม่น้ำไนล์ของเมืองอิยิปต์   ในเวลาน้ำท่วมนั้น  ก็เท่ากัเอาปุ๋ยมาใส่ตามไร่นาอันมีมากมายอย่างที่สุด  และในเมืองไทยนี้นอกจากนาซึ่งเป็นการเพาะปลูกอันเจริญนั้น  ยังมีไร่พริกไทย  เครื่องเทศ  ใบชา   และฝ้าย    ในประเทศไทยนี้ยังมี  บ่อแร่ทองแดง  ดีบุก   เหล็ก   และตะกั่ว   บ่อทองคำเป็นสาย ๆ  แม่เหล็ก   พลอยต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งสำหรับทำให้คนบริบูรณ์   และถึงจะมีพลเมืองมากกว่าที่มีอยู่ในเวลานี้สัก  ๑๐  เท่า  ของต่างๆ ที่มีในเมืองไทย   ก็ยังพอสำหรับทำให้คนบริบูรณ์ได้ทั่วหน้า

แต่พลเมืองชาวไทย    ต้องอยู่ในความกดขี่ของเจ้าแผ่นดิน   อันมีอำนาจสิทธิขาด  ซึ่งเป็นนายและเจ้าของชีวิต   และทรัพย์สมบัติของไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั่วไป  การที่ไทยต้องเสียส่วยสาอากร    ก็เพื่อประโยชน์ของพระเจ้าแผ่นดิน    การใช้จ่ายในทางราชการจะมากน้อยสักเท่าไร    ก็แล้วแต่พระทัยของพระเจ้าแผ่นดินทั้งสิ้น      ในปีหนึ่ง    คนไทยต้องถูกเกณฑ์ทำการของเจ้าแผ่นดิน  ๖   เดือน  ทำการของตัวเอง   ๖  เดือน เป็นดังนี้ทุก  ๆ  ปีและการที่ทำงานหลวงนั้นก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตัวเอง    ของหลวงหาออกให้ไม่ ส่วนการสินค้า   ที่ติดต่อกับต่างประเทศ   ก็ตกอยู่ในอำนาจพระเจ้าแผ่นดินทำแต่ผู้เดียวเท่านั้น    คนอื่นจะทำไม่ได้เป็นอันขาด    การที่เจ้าแผ่นดินกดขี่บีบคั้นราษฎรเช่นนี้   กระทำให้การหัตถกรรมทั้งปวงเสียหายไปหมด   และเป็นเครื่องกีดขวางในความเจริญของบ้านเมือง   อันได้เป็นประเทศใหญ่มาช้านานแล้ว    และซึ่งฝึกหัดเป็นทาสมาตั้งแต่ดั้งเดิม

(ฝรั่งวิจารณ์เศรษฐกิจไทย  ผูกขาดโดยพระเจ้าแผ่นดิน   ในสม้ยนั้น  ยุโรปเจริญในด้านเศรษฐกิจการพาณิชย์นานแล้ว   แต่ไทยยังเป็นสังคมเกษตร  อยู่ง่ายกินง่ายสันโดษ   ไม่โลภมาก   และไม่มีความรู้เรื่องการค้าระหว่างประเทศ   พอที่จะทำการค้าข้ามชาติได้    ---     ปติ   ตันขุนทด    คอมเมนท์)

 

ทำเลอันเป็นที่ตั้งของประเทศไทยนั้น   ดูก็จะเป็นทำเลอันเป็นท่ามกลางสำหรับทำการค้าขายในเมืองต่างๆ ในประเทศอินโดจีน    เพราะเมืองไทยอยู่ในท่ามกลางเมืองอินเดีย   เมืองจีน เมืองญี่ปุ่น    และเกาะฟิลิปปินส์   และอยู่ตรงกับเกาะสุมาตรา    เกาะยะวา   เกาะบอนิโอ    และเกาะต่างๆในแหลมมลายู     ทั้งมีอ่าวถึงสองอ่าว   อันเรือจะเดินได้อย่างสะดวก   และอยู่ตรงกับปากช่องอันเป็นหนทางสำคัญ    ซึ่งสินค้าทั่วโลกจะผ่านทางนั้น  ทั้งชายทะเลของประเทศไทย   ก็มียืดยาวด้วย  เพราะฉะนั้น  ประเทศไทยจึงเป็นทำเลอันเหมาะ   สำหรับการที่พระเจ้าหลุยส์ที่   ๑๔   จะหาที่มั่นในฝ่ายทิศตะวันออก    สำหรับจะต่อสู้ทางฝ่ายทะเลกับอังกฤษและฮอลันดา    และจะทรงหาที่สำหรับให้บริษัทฝรั่งเศส   ในฝ่ายอินเดียตะวันออก    ได้ตั้งห้างสำหรับต่อสู้ในการค้าขายกับบริษัทอังกฤษและฮอลันดาด้วย

อนึ่งตามชายทะเลของประเทศไทยนั้น  ก็มีท่าเรือที่เป็นทำเลเหมาะและมั่นคงหลายแห่ง คือเมืองตะนาวศรี  เมืองมะริด  เมืองภูเก็ต   อยู่ทางอ่าวทะเลเบงคอล   ตรงที่ตั้งค้าขายของฝรั่งเศสคอรอมันเดล  เมืองสงขลา   เมืองนครศรีธรรมราช  เมืองเพ็ชรบุรี   ก็อยู่ทางอ่าวไทย    และบางกอก  ซึ่งเท่ากัยเป็นลูกกุญแจของประเทศไทยฝ่ายใต้   ก็เป็นทำเลอันสินค้าทั้งหลายทั้งปวงต้องมารวมอยู่ด้วยทั้งสิ้น    เพราะเหตุว่า   บางกอกตั้งอยู่ใกล้กับปากน้ำเจ้าพระยา   เป็นเมืองซึ่งอาจแข่งกับบาตาเวีย   ทั้งสิงคโปร์ซึ่งในทุกวันนี้เป็นที่ประชุมของเรืองทั้งปวงในทวีปทั้งสอง   ในเวลานั้นก็เป็นแต่เกาะเล็ก ไม่มีมนุษย์อยู่   หรือเป็นที่ชุมนุมของเรือเท่านั้น

ข้างฝ่ายทางบกนั้นเล่า    อาณาเขตของประเทศไทยก็มีชายแดนอันอุดมไปด้วยสรรพสิ่งต่าง ๆ ข้างฝ่ายตะวันตก   ก็มีเมืองกาญจนบุรี   ข้างเหนือนั้น  ก็มีเมืองพิษณุโลก ข้างตะวันออก   ก็มีเมืองนครราชสีมา   และเมืองจันทบุรี  เมืองเหล่านี้    ก็ล้วนแต่ส่งสินค้าไปแลกเปลียนกับเมืองมอญ   เมืองจีน  เลืองลาว   เมืองเขมร และเกาะต่าง ๆตามแหลมมลายูสินค้าที่ส่งไปแลกเปลี่ยนนั้นมีงาช้าง   ข้าวสาร  ข้าวเปลือก   พริกไทย  นอแนด  หนังสัตว์ต่าง   รงค์   อ้อย   ยาสูป   หนังต่าง ๆ  ฝ้าย พิมเสน   ครั่ง  ไหม   ดีบุก  ตะกั่ว   ไม้  มีราคาต่างๆ  ไข่มุก เพ็ชร  และของอื่นๆอีกหลายอย่าง   เวลานั้นเจ้าแผ่นดินเขมร  ยะโฮร์  ปัตตานี   ไทรบุรี    และยำปี  ก็ล้วนแต่เป็นเมืองขึ้นของกรุงไทยทั้งนั้น    และทุก ๆ ปี  ก็ต้องส่งต้นไม้ทอง เงิน  และเครื่องราชบรรณาการมาถวายพระเจ้ากรุงไทย

ด้วยเหตุทั้งปวงเหล่านี้   จึงเป็นข้อสำคัญ   ที่ฝรั่งเศสจะต้องไปตั้งอยู่ในประเทศไทย   และจะต้องจัดการแข่งขึ้นหน้าพวกฮอลันดา  และอังกฤษ   ซึ่งมีความริษยาพวกฝรั่งเศสมาก    การที่พระเจ้าหลุยที่   ๑๔   ได้แต่งทูตไปเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์นั้น   ก็ต้องเชื่อใจได้แน่ว่าไทยคงจะจัดการต้อนรับเป็นอย่างดี   เพราะการที่แต่งทูตไปคราวนี้    ก็โดยพระราชประสงค์ของสมเด็จพระนารายณ์   ชึ่งได้รับคำแนะนำของคนโปรด  ผู้ที่มีความรักใคร่นับถือพระเจ้าหลุยที่   ๑๔  มากนั่นเอง

(หลวงวิจิตรวาทการ     พงศาวดารฉบับความสำคัญ  เล่ม  ๕   สำนักพิมพ์เพลินจิตต์  พิมพ์ที่บริษัทศิริอักษรจำกัด  2494)



ผู้ตั้งกระทู้ ปติตันขุนทด (suchati2495-at-yahoo-dot-com) กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2010-03-07 17:07:54 IP : 113.53.198.212


1

ความคิดเห็นที่ 1 (2976897)
avatar
โรจน์ (Webmaster)

"ประเทศไทย" ที่เราอยู่อาศัยกันในเวลานี้ เกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดก็ตอนที่รัชกาลที่ 5 ท่านทรงปฏิรูปการปกครอง  สมัยกรุงศรีอยุธยาเรายังอยู่กันเป็นอาณาจักร หลายจังหวัดในปัจจุบันสมัยนั้นยังเป็นแว่นแคว้นหรือนครรัฐที่ไม่ขึ้นกับอยุธยาเลยครับ  ถ้าใช้คำกลางๆ ว่า "เมืองไทย" อาจจะเหมาะกว่ามั๊ง? หนังสือของหลงงวิจิตรวาทการท่านก็มีคุณค่าในบริบทหนึ่ง  แต่ปัจจุบันมีการค้นคว้าที่ต่อยอดออกไปมากแล้วครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น โรจน์ (Webmaster) (webmaster-at-iseehistory-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2010-03-08 22:23:41 IP : 115.87.113.143


ความคิดเห็นที่ 2 (2976901)
avatar
ปติตันขุนทด

***คำว่าไทยนี้   คือคนไทย   ถ้าเป็นเรียกอาณาจักร   สมัยก่อน  เรียกว่า  สยาม   ต่างชาติเรียกเมืองไทยว่า   สยาม   อาณาจักรสยาม

***เพลงสยามมานุสสติ   ในรัชการที่หก  ทรงพระนิพนธ์ว่า   "หากสยามยังอยู่ยั้ง    ยืนยง   แสดงว่า  ในรั๙กาลที่  ๖  ยังเรียกเมืองไทยว่า  สยาม   คำว่าประเทศไทย   จำได้คลับคล้ายว่า  เรียกในสมัยจอมพล  ป.   จะค้นคว้าว่า   ไทยแลนด์นี้  เปลี่ยนเมื่อวันเดือนไปใด    แต่ว่า  ความมีลักษณะเป็นไท  รักอิสรเสรี  คงเป็นลักษณะนิสัยเฉพาะตัวของคนไทย   จึงเรียกทั้งคนและประเทศว่า  ประเทศไทย   คงจะมีมานานแล้ว   ก่อนรัชกาลที่   ๕   ครับผม

ผู้แสดงความคิดเห็น ปติตันขุนทด (suchati2495-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2010-03-09 10:16:29 IP : 118.175.149.154



1


Copyright © 2010 All Rights Reserved.