Gladiator 2000
นับว่าคลาสสิกมากๆ ที่เลือกเปิดฉากหนังด้วยฉากการสู้รบระหว่างกองทัพโรมันกับชาวบาร์บาเรียนผู้น่าหวาดหวั่นภายในป่าที่เปียกชื้นลื่นโคลน
ผลงานของรัสเซล โครว์เรื่องนี้เป็นการปลุกกระแสหนังสงครามยุคโบราณให้กลับมาโลดแล่นบนจอภาพยนตร์อีกครั้ง
พร้อมกับการมาถึงของยุคดิจิตอลในการสร้างฉากสงครามอันโดดเด่น
Braveheart 1995
เมล กิ๊บสันในเรื่องนี้รับบทเป็นวิลเลียม วอลเลซ ผู้นำกองทัพของชาวสก็อตที่ต่อสู้เยี่ยงกวีนักรบเพื่อกอบกู้เอกราช
จากประเทศอังกฤษที่กดขี่พวกเขามาอย่างยาวนาน แม้ชัยชนะอันยิ่งใหญ่เหนือทุ่งสเติร์ลลิงแทบจะไม่ใช่สิ่งที่เชื่อถือได้ตามหลักวิชาการทางประวัติศาสตร์
แต่ต้องยอมรับโดยดุษฎีว่าเป็นฉากที่น่าดูชมมากๆ และถ้าหากออสการ์มีรางวัลสำหรับการพูดปลุกใจยอดเยี่ยมแล้วละก็ กิ๊บสันคงต้องคว้ารางวัลนี้ไปอย่างไร้คู่แข่ง
"พวกเขาอาจจะพรากชีวิตจากเราไป แต่มันไม่มีวันพรากอิสรภาพจากเราไปได้!" เท่ห์จิงๆ
Zulu 1964
การถ่ายทอดเรื่องราวในสมรภูมิรูคส ดริฟท์ระหว่างทหารอังกฤษเพียงหยิบมือและชาวพื้นเมืองซูลูนับพันเมื่อปี 1879
ซึ่งนับเป็นฉากที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับหนังหลายเรื่องตั้งแต่เฮล์มส ดีพของปีเตอร์ แจ็คสัน จนถึง Starship Troopers ของ พอล เวอร์โฮเวน
ฉากการรับมือของทหารอังกฤษ 150 คนต่อกองทัพชาวซูลูที่ถลาลงมาจากเขาอย่างไม่หยุดหย่อนทำให้ผู้ชมหายใจไม่ทั่วท้องมาแล้ว
Tora! Tora! Tora! 1970
ในโลกนี้มีหนังที่ถ่ายทอดเรื่องราวในเหตุการณ์ถล่มเพิร์ล ฮาร์เบอร์ของกองทัพญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้อย่างดีเยี่ยมอยู่ 2 เรื่อง
และไม่มีเรื่องไหนถูกตั้งชื่อว่าเพิร์ล ฮาร์เบอร์ เหตุการณ์ครั้งนั้นได้เปี่ยมชั้นเชิงแล้วละก็ Tora! Tora! Tora! ก็ทำหน้าที่ในการบอกเล่าความกล้าหาญ
ในความเสียสละอย่างไม่มีสิ้นสุดของเหล่าทหารชาวญี่ปุ่นได้อย่างถึงแก่น ด้วยทุนสร้าง 25 ล้านเหรียญซึ่งถือว่ามโหฬารมากๆ ในยุคนั้น
ผ่านมุมมองของผู้กำกับ 3 คน(1 อเมริกัน 2 ญี่ปุ่น) ถือเป็นต้นแบบแห่งมหากาพย์ภาพยนตร์อย่าง
A Bridge Too Far 1977
เล่าถึงปฏิบัติการณ์ Operation Market Garden หรือภารกิจปลดปล่อยฮอลแลนด์ของฝ่ายพันธมิตรในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
เมื่อกองทัพฝ่ายพันธมิตรนับพันต้องถูกส่งไปปฏิบัติการข้างหลังแนวรบของฝ่ายอักษะในฉากการกระโดดร่มที่ตระการตายิ่ง
ต่อด้วยฉากไคลแม็กซ์การรบอันดุเดือดของเหล่าทหารและรถถังเหนือสะพานในสมรภูมิอาร์นเฮม โดยผลงานของแอตเทนเบอโรว์เรื่องนี้
ยังเป็นการรวมนักแสดงชายที่ยอดเยี่ยมครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ด้วย
(แอนโธนี ฮ็อปกินส์, ลอเรนซ์ โอลิเวียร์, ฌอน คอนเนอรี, เดิร์ค โบการ์ด, ไรอัน โอนีล และโรเบิร์ต เรดฟอร์ด) กับผลงานยอดเยี่ยมที่ไม่ต้องง้อเทคนิค CGI ใดๆ ทั้งสิ้น
Saving Private Ryan 1998
แค่ฉากเปิดตัวของผลงานเรื่องเยี่ยมของสปิลเบิร์กเรื่องนี้ก็ทำให้ผู้ชมส่วนใหญ่อยู่ในอาการช็อคไปตามๆ กัน โดยเฉพาะผู้ชมที่เป็นชาวอเมริกัน
คงจะไม่มีสิ่งใดเหนี่ยวนำย้ำเตือนพวกเขาให้นึกถึงวีรชนที่พลีชีพเพื่อชาติในสมรภูมินอร์มังดีเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ชัดเจนเท่านี้
ทั้งเทคนิคในการถ่ายทำด้วยกล้องแฮนดีแคมที่สั่นไหวให้อารมณ์ดิบเหมือนอยู่ในเหตุการณ์จริง, การเล่นกับโทนสีแบบ desaturated color
รวมถึงการบอกเล่าเรื่องราวของกลุ่มทหารที่ถูกส่งไปต่อสู้ในสภาพที่ไม่ต่างจากเป้านิ่งของข้าศึกที่อยู่ในชัยภูมิที่เหนือกว่า
ทั้งหมดรวมกันเป็นผลงานที่สะท้อนความรู้สึกสะอิดสะเอียนต่อความโหดร้ายป่าเถื่อนของมนุษย์ ที่หนังสงครามเรื่องไหนก็เทียบชั้นไม่ได้
Apocalypse Now 1979
"ฉันชอบกลิ่นนาปาล์มตอนเช้าๆ มันกลิ่นเหมือนชัยชนะ" เป็นคำกล่าวของพันโทวิลเลียม คิลกอร์ ที่รับบทโดยโรเบิร์ต ดูวัล ผู้ที่นำฝูงบินเฮลิคอปเตอร์นับสิบๆ ลำ
ถล่มหมู่บ้านชาวเวียดนามในระหว่างสงครามของสหรัฐฯกับกองทัพเวียดกง ซึ่งคำสั่งสังหารชาวบ้านตาดำๆ ทั้งหมดเนื่องจากกองทัพภายใต้การนำของเขา
(ที่ปลุกใจด้วยการเปิดเพลง Ride of the Valkyries ของวากเนอร์) ต้องการแค่ที่เหมาะๆ ในการเล่นวินเซิร์ฟเพื่อผ่อนคลายหลังจากการรบอันตึงเครียดนั่นเอง
ซึ่งไม่มีฉากใดในภาพยนตร์เรื่องไหนที่จะจับอารมณ์โง่เขลา, บ้าคลั่ง และความไร้ค่าของชีวิตมนุษย์จากสงครามเวียดนามได้ดีไปกว่านี้
|