***ความเจริญของกรุงศรีอยุธยา***
avatar
ปติตันขุนทด


***ความเจริญของกรุงศรีอยุธยา***

๑.   สุนทรภู่   เขียนไว้ในนิราศพระบาท   ตอนผ่านกรุงเก่าว่า....

อนิจจาธานินทร์สิ้นกษัตริย์

เหงาสงัดเงียบไปดังไพรสนฑ์

แม้กรุงยังพรั่งพร้อมประชาชน

จะสับสนแซ่เสียงทั้งเวียงวัง

 

มโหรีปีกลองจะก้องกึก

จะโครมครึกเซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์

ดูพาราน่าคิดอนิจจัง

ยังได้ฟังแต่เสียงสกุณา

 

ทั้งสองฟากแฝกแขมแอร่มรก

ชตาตกสูญสิ้นพระชันษา

แต่ปู่ย่ายายเราท่านเล่ามา

เมื่อแรกศรีอยุธยายังเจริญ

 

กษัตริย์สืบสุริย์วงศ์ดำรงโลก

ระงับโศกสุขสุดจะสรรเสริญ

เราเห็นยับยังแต่รอยก็พลอยเพลิน

เสียดายเกิดมาเมื่อเกินน่าน้อยใจ

 

เราคนรุ่นหลัง  นับแต่  พ.ศ.  ๒๓๑๐   ที่พม่าเผากรุงเป็นต้นมาจนถึงบัดนี้   คงจะนึกถึงความเจริญ   และความงดงามของกรุงศรีอยุธยาแบบนึกเดาเอา      ซึ่งก็ไม่รู้ว่าแต่ละคนจะเดากันอย่างไร   สุนทรภู่ก็ไม่เห็น    เห็นแต่ซากกรุงเก่าที่ยับ   ว่า   "เราเห็นยับยังแต่รอยก็พลอยเพลิน"   เมื่อเราไม่เห็น   เราก็มาลองอ่านบันทึกของผู้เคยเห็นกรุงศรีอยุธยาว่า   เป็นอย่างไร

 

๒.   จดหมายเหตุของหมอแกมป์เฟอร์   ซึ่งเข้ามาเมืองไทยในสมัยแผ่นดินพระเพทราชา   ซึ่งผลัดแผ่นดินใหม่ได้สองปี   มีข้อความว่า......

เกาะที่กรุงตั้งอยู่นี้   มีสันฐานดังฝ่าเท้า   ซึ่งส้นเท้าหันไปทางทิศตะวันตก   ยาวโดยรอบราวสองไมล์เยอรมัน

พื้นที่เท่าที่มองเห็นได้   ดูแบบราบและลุ่ม   มีคลองขุดจากแม่น้ำติดกันหลายสาย   ทำให้เกิดเป็นเกาะและที่เหลี่ยมเล็ก ๆ เป็นอันมาก  ถึงกับว่าไปไหนไกลโดยไม่ใช้เรือไม่ได้

ตัวเมืองมีกำแพงอิฐล้อมรอบทางด้านใต้   และด้านเหนือสูงราว   ๔  ฟาทมกึ่ง   มีเชิงเทินและหอรบแน่นหนาแข็งแรง      แต่ด้านอื่น ๆนอกนันต่ำชำรุดทรุดโทรม   ขาดการทำนุบำรุง

กำแพงเมืองนี้มีประตูเล็ก ๆ  เปิดออกแม่น้ำหลายแห่ง    ภายในกำแพงมีเชิงเทินสำหรับวางปืนใหญ่    ห่างกันเป็นระยะ  ๆ  

ตอนท้ายกรุงทำเป็นเชิงเทินใหญ่ยื่นลงไปในน้ำ    ใกล้ๆกับเชิงเทินดินเล็ก ๆมากด้วยกัน   เชิงเทินใหญ่มีปืนใหญ่ตังจุกช่องไว้สำหรับป้องกันเรือที่จะแล่นเข้ามา

ประการหนึ่ง   เพื่อกันน้ำมิให้ไหลเซาะกำแพงเมือง   มีเขื่อนและประตูน้ำสร้างขึ้นไว้หลายแห่ง   มีคลองใหญ่ขุดจากแม่น้ำผ่านเข้าไปในเมืองจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตกบ้าง   จากทิศเหนือไปทิศใต้บ้าง   และยังมีคลองเล็ก ๆ  น้อย ๆ ซอยจากคลองใหญ่อีกเป็นจำนวนมาก   เรืออาจแล่นจากแม่น้ำเข้าไปในเมือง   และจอดเทียบท่าพระราชวัง  และตำหนักสำคัญ ๆ ได้

ถนนก็แล่นเป็นสายตรงขนานไปตามลำคลอง   บางสายใหญ่พอดู   แต่ส่วนมากทีเดียวนั้นแคบ    พูดโดยทั่วไปแล้ว   เลวและสกปรกทุกสาย   ลางสายในเวลาหน้าน้ำ  น้ำท่วมเสียด้วย

ว่าถึงความกว้างขวางใหญ่โตของกรุงเล่า    ก็ไม่สูจะมีชื่อนัก   ลางตอนผู้คนบางตาเต็มที   อาทิเช่นทางแถบตะวันตก   โดยเหตุที่อยู่ไกล  และทางแถบใต้   เพราะเหตุว่าเป็นที่ลุ่มมาก   ชาวบ้านต้องทำเรือนแพอยู่    ทั้งนี้ทำให้ที่เหล่านั้นรกร้างว่างเปล่าเสียมาก

สวนถัดถนนเข้าไปหลายแห่งเป็นไปเองตามธรรมชาติ   รกไปด้วยผักหญ้า  ละเมาะไม้ขึ้นสุมกันเป็นป่า

ถนนสายแรกที่พบเมื่อตอนเข้าไปในเมือง   คือสายที่แล่นไปทางตะวันตก   ตามคุ้มกำแพงเมืองมีบ้านเรือนอย่างดีที่สุด    ลางแห่งเดิมเป็นบ้านคนอังกฤษ  วิลันดา   และฝรั่งเศส   บ้านพักของฟอลคอนอยู่ในบริเวณนี้ด้วย

ถนนสายกลางซึ่งแล่นเหนือขึ้นไปยังพระราชวังนั้น   มีผู้คนอยู่คับคั่งที่สุด   แน่นขนัดไปด้วยร้านค้า   ร้านช่างศิลป์   และหัตถกรรมต่าง ๆ

ถนนสองสายนี้   มีบ้านคนจีน   ฮินดูสถาน  และมัวส์อยู่กว่าร้อยหลัง   สร้างด้วยหินรูปทรงเหมือน ๆกัน   ขนาดเล็กมาก   ยาวราวแปดเพช  กว้างสี่เพช   มีสองชั้น   แต่กระนั้นก็สูงไม่เกินองฟาทมกึ่ง   หลังคามุงกระเบื้องแบน ๆ    มีประตูใหญ่ดูไม่ได้ส่วน

ถนนสายอื่น   นอกจากนี้    มีคนอยู่น้อย   บ้านคนธรรมดาเป็นทับ เป็น  กระท่อมเสียเป็นพื้น   ปลูกด้วยไม้ไผ่   ซึ่งเป็นไม้กลวงหนาราว  ๒ - ๓ฝ่ามือ    พื้นปูกระดาน  หลังคามุงจากหยาบ ๆ

พวกขุนนาง   หรือเสนาบดี  และข้าราชบริพารในราชสำนัก   มีวังหรือตำหนักอยู่ต่างหาก   มีลานกว้างขวาง   แต่สกปรกมาก   

ตึกทั่วๆ ไป   แม้สร้างขึ้นด้วยหินและปูนก็ดูไม่สง่าผ่าเผยอะไร   ห้องหับไม่สู้สะอาด   หรือตกแต่งกันดีนัก   ร้านโรง  ณ  เมือง  เตี้ย   และเป็นแบบธรรมดา  ดาษ ๆ   แต่ว่าตั้งอยู่เป็นระเบียบเป็นแนวตรงอย่างแนวถนน

คลองอันมีอยู่มากมายนั้น    ทำให้มีสะพานข้ามเหลือหลาย    ที่ข้ามคลองใหญ่มักสร้างด้วยหิน   มีเสาตะม่อก่อด้วยหินเหมือนกัน   แต่เพราะที่เหล่านี้   ไม่ใช้รถหรือเกวียน   จึงสร้างไว้แคบๆ  ตัวสะพานยาวราวแปดสิบศอก   กลางโค้งขึ้นไปสูง   แต่สะพานข้ามคลองเล็ก ๆ  ไม่เป็นแบบแผนก่อสร้างอย่างใด   เป็นสะพานไม้เสียมากที่สุด

ในกรุงมีโบสถ์วิหารอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง  มีบริเวณพอสมกับถนน    และเต็มไปด้วยถูปเจดีย์ปิดทองขนาดต่างๆ  ความใหญ่โตไม่เท่าโบสถ์ของเรา    แต่ความงามภายนอกนันยิ่งกว่ามากนัก   เพราะขมีช่อชั้นหลังคางอน  ซ้อนสลับกันเป็นอันมาก   ด้านหน้าปิดทอง  มีบลันไดลาด   มีเสาค้ำเสาเสริม

ถัดจากโบสถ์ไป   ก็เป็นที่อยู่ของพระสงฆ์   เป็นเพียงเรือนเล็ก ๆ   ทางด้านหนึ่งเป็นห้องโถงสาธารณะ   หรือที่แสดงพระธรรมเทศนา   เรียกว่าพระกุฏิ  ซึ่งตามธรรมดาเป็นโรงไม้กระดานใหญ่   คล้ายโบสถ์มาก   ชายคาปิดทอง    มีบันยได  ๒ - ๓  ขั้น     มีฝาไม้ระแนงแทนหน้าต่าง    เป็นช่องลม

นายนิโกลาส  แชรแวส   ได้เข้ามาเมืองไทยพร้อมกับทูตฝรั่งวเศส   ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณมหาราช   พรรณาไว้ว่า.......

แม่น้ำใหญ่ติดชายกำแพงด้านเหนือ   ด้านตะวันออก  และด้านตะวันตก   แล้วไหลผ่านเข้าไปใอง  เป็นทางน้ำสามสาย   ตลอดหัวเมือง   ท้ายเมือง   กลายเป็นเมืองเวนิซขึ้นอีกแห่งหนึ่ง    อาจจะกล่าวได้ว่า   สถานที่ดังนี้จะอำนวยประโยชน์ได้อีกมาก   ถ้าไม่มุ่งแต่จะก่อสร้างอาคารบ้านเรือนให้งดงามถึงเท่านี้   แล้วละเลยการปรับปรุงทางน้ำเสีย

ในลางแห่ง   ยังมีพระที่นั่งองค์เก่าของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ก่อน ๆ  ซึ่งนับถือก้นว่า   เป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์   มีต้นไม้หลายแถวประดับสองข้างทาง   เย็นตาและร่มรื่นดี

พระที่นั่งองค์ที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดิน    อยู่ที่ลานชั้นในสุด   เพิ่งสร้างขึ้นใหม่   ทองคำที่ประดิษฐ์ประดับไว้ให้รุ่งระยับ   อยู่ในที่ตั้งพันแห่งนั้นเป็นที่สังเกตได้โดยง่าย   จากพระที่นั่งองค์อื่น ๆ  สร้างเป็นรูปกากบาท    หลังคาพระที่นั่งประดับฉัตรหลายชั้น   อันเป็นเครื่องหมายหรือตราแผ่นดิน    กระเบื้องที่ใช้มุงนั้นทำด้วยดีบุก   งานสถาปัตยกรรมที่ปรากฎอยูทุกด้านทุกมุมนั้นงดงามมาก

พระที่นั่งที่ประทับของสมเด็จพระราชินี   พระราชธิดา  และพระสนม   ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ระที่นั่งที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดินนั้น   ดูจากด้สนนอกแล้วก็เห็นว่างดงามดี   หันหน้าเข้าสู่อุทยานทำนองเดียวกัน   ทางเดินนั้นมีลำคูตัดผ่านเป็นตาหมากรุก   เสียงน้ำไหลริน   เชื้อเชิญบุคคลที่นอนอยู่บนสนามหญ้าเขียวขจีที่ขอบคูดินนั้น   ให้เคลิบเคลิ้มเป็นที่ยิ่งนัก

นอกเขตพระราชฐานทางซ้ายมือของฝั่งแม่น้ำ   มีโรงใหญ่อยู่หลายโรง   ใช้เป็นที่เก็บเรือพระที่นั่ง   มีอยู่ด้วยกันกว่า   ๑๕๐  ลำ   งดงามเท่า ๆ  กับที่นำไปรับท่านราชทูตฝรั่งเศส   ทางขวามือมีอุทยานใหญ่   แต่ก่อนนี้เป็นสถถานที่ต้อนช้างมาฝึกให้พระราชวงศ์  ทอดพระเนตรโดยประทับอยู่   ณ  บัญชรที่ตึกเล็ก ๆ หลังหนึ่ง   ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่นั่งนัก

เขตอื่นในเมืองแบ่งให้เป็นที่อยู่อาศัยของชาวต่างประเทศ  มีคนชติจีน  แขกมัวร์  และชาวยุโรปเล็กน้อย   มีตกก่ออิฐถือปูนเหมือนกัน   มีถนนผ่านเข้าในเขตทั้งสาย   มีผู้คนอยู่หนาแน่น   และเป็นสถานดำเนินการค้าใหญ่ ๆ     เรือทั้งหลายก็มาจอดเทียบท่าที่ตรงนี้   เพราะแม่น้ำตอนนี้เว้าเข้ามาเป็นอ่างใหญ่   เหมาะสำหรับเทียบเรือ   และกำลังทำท่าเรือใหม่  ๆ  เพิ่มขึ้นทุกวัน

เขตที่สาม  เป็นเขตที่อยู่ของคนพื้นเมือง   อันเป็นเขตใหญ่ที่สุด   มีช่างฝีมือมาก   ตามถนนสายใหญ่มีร้านค้าเต็มไปทั้งสองข้างทาง   และมีสถานที่ใหญ่เปิดเป็นตลาดด้วยหลายแห่ง    ตลาดเหล่านี้ติดทุกวัน   ทั้งเย็นและเช้า   อุดมสมบูรณืไปด้วยปลา  ไข่  ผลไม้   ผัก  และสิ่งอื่น ๆ อีกเป็นอันมาก   แต่ไม่เห็นมีเนื้อขายกันเลย   ผู้ที่มาชุมนุมกันเป็นอันมาก  ณ  ที่นั้นหนาแน่น   จนบางครั้งเดินแทรกผ่านเข้าไปไม่ได้    ถนนส่วนใหญ่มีต้นไม้งาม ๆ  รายเรียงทังสองฟากทาง   นับว่าให้คุณประโยชน์แก่ผู้สัญจรไปมามาก  เพราะเหตุว่าทำให้ร่มรื่นอยู่ตลอดวัน   ลางสายปูอิฐ   ลางสายก็ไม่ได้ปู  โดยที่เมืองนี้มีลำคลองตัดผ่านเป็นอันมาก  จึงจำเป็นต้องใช้สะพานโค้งก่ออิฐถือปูน  ๕ - ๖  แห่ง  งดงามแข็งแรงพอใช้   แต่ที่ลางแห่งเป็นสะพานไม้ไผ่   แคบมาก   และไม่ค่อยแข็งแรงนัก   อันยากที่จะข้ามไปโดยปลอดภัย   หรือไม่ก็กลัวหล่นตูมตามลงไปลอยคออยู่ในน้ำได้

ประการหนึ่ง   เมืองนี้มีผู้คนหนาแน่นเสียจนกระทั่งว่า   เมื่อพระเจ้าแผ่นดินมีพระราชประสงค์   จะเกณฑ์คนเอาไปเป็นทหารถืออาวุธแล้ว   ก็จะได้หกหมื่นคนในทันที   และอาจจะได้จำนวนคนเป็นทวีคูณ   ถ้านับเอาจำนวนคนในตำบลตรงกันข้ามฝั่งแม่น้ำ    ซึ่งนับว่าเป็นชานพระนครรวมกันเข้าด้วยกันอีก      แต่สิ่งทีเชิดชูความงาม   และความวิเศษของเมืองนี้ก็คือ   วัดอันมีจำนวนมากกว่า   ๕๐๐  ซึ่งตั้งอยู่ในที่ทั่วไป    และจำนวนพระพุทธรูป   ฉาบด้วยทองคำในวัดเหล่านั้น   ซึ่งทำให้ชาวต่างประเทศที่ไม่คุ้นเห็นสิ่งเหล่านี้มาแต่ก่อน   นึกถึงความมั่งคั่งสมบูรณ์ของพระมหานครนี้ไปได้โดยนัยต่าง ๆ กัน

บาทหลวง  เดอ  ชัว  ชี  ผู้ช่วยทูตฝรั่งเศส   ได้เล่าเกี่ยวกับสิ่งที่พบเห็นในกรุงศรีอยุธยาว่า .......

เมื่อออกไปกลางแจ้ง   ใคร ๆ  ก็คงจะต้องเห็นช่อฟ้าฟลังคาโบสถ์   และยอดพระเจดี   ซึ่งปิดทองถึง   ๓  ชั้น  มีอยู่ดารดาษทั่วไป   ดูออกสะพรั่งพราวตาก   ข้าพเจ้าไม่ทราบแน่ว่าข้าพเจ้าจะทำให้ท่านนึกเห็นสิ่งงาม ๆ  เหล่านี้ไปด้วยหรือไม่   ขอจงเชื่อเถิดว่า   ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นสิ่งใดที่จะสวยงามยิ่งไปกว่านี้   ถึงแม้ว่าพระเจดียจะสูงชันตระหง่าน  เป็นของแปลกตาอยู่บ้าง    แต่งอื่น ๆ ก็เป็นไปตามธรรมชาตินั่นเอง

ตอนกลางมีพระมหาปราสาท  ๕  หรือ  ๖  องค์   มีทางเดินกว้างขวางโดยรอบ   และมีพระตำหกนักแทรกกลาง  แบ่งออกเป็นตอน ๆ  หลังคาพระตำหนักเหล่านี้มุงด้วยกระเบื้องเคลือบ   แกร่งแข็ง  และเป็นเงาบนหลังคามียอดแหลม   ปิดทองเหมือนกับพระเจดีย์ทุกหลัง

บาดหลวง  เดอ  ชัวชี  พรรณาวัดพระศรีสรรเพชญ์ว่า..........

พอย่างเข้าไป   ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นโบสถ์อย่างของเรานั้นเอง   ที่ระเบียงโบสถ์มีเสากลมใหญ่เป็นอันมาก   แต่ไม่มีลวดลายพิสดารอะไรเลย   เสาใหญ่ ๆ  ตามทางเดิน    และที่ชานระเบียงปิดทองตลอดทั้งต้น  ทุกต้น   ส่วนกลาง   ในที่ใกล้กับแท่นอันประดิษฐานพระพุทธรูปนั้น   ประดับประดางดงามมาก   บนฐานมีพระพุทธรูปทองคำอยู่  ๓  องค์  ขนาดเท่าคนธรรมดา   นั่งอยู่ในท่าที่ชาวเมืองชอบนั่งกันเสมอเป็นนิจ   มีเพชรเม็ดใหญ่ประดับอยู่ที่พระนลาต  และนิ้วพระหัตถ์   เทวรูปองค์ที่ตั้งอยู่ทางซ้ายมือ   เมื่อขาเข้ามานั้น     เป็นที่เคารพบูชาของชนชาวสยามทั่วไป   เป็นสมมุติอเทวรูปแห่งเทพยดาของชาวสยาม    ซึ่งเมื่อสองหรือสามพันปีมาแล้ว   อยู่ที่เกาะลังกา   ต่อมาประเทศอื่น ๆ ที่ใกล้เคียงได้ไปรักษาไว้   และในที่สุดพระเจ้ากรุงสยามมีชัยชนะในการสงคราม   จึงอัญเชิญเทวรูปนั้นมาประดิษฐานไว้ที่พระอารามนี้    บรรดาพระเจ้า   พระสงฆ์  ชาวบ้าน   ชาวเมืองโจษกันว่า  เทวรูปนี้บางทีแสดงปาฏิหารย์ออกไปนอกพระราชวัง   ในเมื่อนึกอยากจะออกไป

ส่วนกลางพระอารามนี้   ค่อนข้างจะคับแคบและมือดไปสักหน่อย   มีชวาลาจุดตามประทีปไว้   ๕๐  ดวง   พอไปถึงที่สุดตอนกลาง   พวกเราก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอันมาก   ด้วยได้เห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่หุ้มทองหนาถึง   ๓  นิ้วฟุต  ทั้งองค์  (พระศรีสรรเพชญ์   ทองคำหุ้มหนัก   ๒๘๖  ชั่ง)   เป็นความจริง   พุทธรูปองค์นี้สูงประมาณ   ๔๒  ฟุต   ส่วนกว้างประมาณ  ๑๓,   ๑๔  ฟุต   เขาพูดกันว่าทอง่คำที่หุ้มนันมีน้ำหนักถึง  ๑๒,๔๐๐,๐๐๐  ปอนด์ฝรั่งเศส     นอกจากนี้เรายังได้เห็นพระพุทธรูปทองคำที่ในโบสถ์อื่น ๆ ใพระอารามหลวงอีกหลายองค์สูง  ๑๗,  ๑๘  ฟุตเท่านัน  ขนาดเท่าคนก็มี   และแทบทุกองค์  มีอัญมณีประดับอยู่ที่พระนลาฏ   และนิ้วพระหัตถ์   ข้าพเจ้ารับรองว่านิ้วพระหัตถ์นันเป็นทองคำแท้ทีเดียว   พวกเราลองจับและลูบคลำดูทุก่คน   ส่วนพระพุทธรูปองค์ใหญ่นั้นข้าพเจ้ามิได้แตะต้อง   เป็นแต่ยืนอยู่ห่างประมาณ  ๕,๖  ฟุต   แต่ก็เชื่อแน่ว่าคงเป็ฯทองคำเช่นเดียวกับพระพุทธรูปองค์อื่น ๆ เหมือนกัน  เพราะลักษณะสีสันวรรณะเท่าที่แลเห็นนั้น   ก็เป็นอย่างเดียวกันทั้งสิ้น   นอกจากพระพุทธรูปเหล่านี้แล้ว   ยังมีพระพุทธรูปซึ่งประดับด้วยเครื่องทองคำอีก   ๓๐  องค์เศษ   และยังมีอีก   ๓  องค์  สูง  ๒๕  ฟุต   และอี   ๑๕๐  องค์   ขนาดเท่าคนธรรมดา   พระพุทธรูปเหล่านี้มีอยู่  ๒,  ๔  องค์  ที่หุ้มทองคำ   ข้าพเจ้าเห็นพระพุทธรูปเงิน  ๒  องค์เท่านั้น   และที่เป็นทองสัมฤทธิ์ก็มีบ้าง   ท่านอยากจะรู้จักชื่อพระพุทธรูปองค์ใหญ่ไหม ?  พระพุทธรูปองค์ใหญ่นันมีชือเดียวกับพระอาราม   (วัดพระศรีสรรเพชญ์)   พระพุทธรูปบางองค์สูงเพียง   ๒  ฟุต  ก็มี  ทำด้วยทองคำ   และทองแดงผสมกัน   (คือนาก)  มีรัศมีอร่ามสุกใสยิ่งเสียกว่าทองคำแท้ ๆ   เรียกว่า    "พระธรรมภาคี"  (Tamdague)   ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าจะสวยงามสมจริงดังคำเล่าลือเลย   บางทีจะทำด้วยแร่ทองขาวก็เป็นได้   พระพุทธรูปองค์นี้เป็นอนุสาวรีย์สมมุติว่าเป็น  โซโลมอน   ข้าพาเจ้าได้สังเกตดูต้นไม้ที่ตั้งไว้เป็นพุทธบูชานั้น   ต้นลำกิ่งก้านและใบทำด้วยทองคำอย่างประณีต   ต้นไม้ทองคำเหล่านี้เป็นเครื่องราชบรรณาการ   ซึ่งเจ้าประเทศราชอันเป็นเมืองขึ้นของสยามประเทศ   ส่งมาถวายพระเจ้ากรุงสยาม   เมื่อได้ดูทองคำเสียจนจุใจลานลานาตาแล้ว   เราก็เลยพากันไปชมปืนใหญ่มหึมา

ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะหาคำอะไรมาใช้จึงจะเหมาะกับสิ่งที่ได้เห็น   คำว่าวิจิตรรจนาสง่าโอ่โถง   ก็หายังพอกับสิ่งนั้น ๆ ไม่

พระเจ้ากรุงสยามเสด็จโดยทางชลมารควิถี   การเสด็จประพาสเช่นนี้  นาน ๆ  จึงจะมีสักครั้งหนึ่ง    เข้าใจว่าพระองค์มีพระราชประงค์จะให้พสกนิกร  ทวยราษฎร์ทั้งหลายได้ชื่นชมพระบารมีของพระองค์ด้วย

กระบวนแห่นั้นดูมโหฬารดิเรกพันฤก   พรั่งพร้อมไปด้วยท้าวพระยาสามนตราชเสนาบดี   มนตจรีลูกขุนทั้งหลายเรียงรายกันเป็นขนัด  สมกับที่พระองค์ทรงพระนามว่า   "พระเจ้าช้างเผือก"   พยุหยาตราโดยทางชลมารควิถีครั้งนี้   มีเรือข้าทูลละอองธุลีพระบาท   ใหญ่น้อย  ทั้งหลายเข้ากระบวนถึง  ๒๐๐  ลำเศษ   จัดเป็นลำดับกันไปตามฐานานุกรม    ก่อนที่จะไปลงเรือ  มีพวกทนายเข้าเป็ฯกระบวนดินนำหน้า   ถัดไปมีพวกบารอน  เคาน์  มาควิส  และดยุ้ก    แล้วพวกนี้ก็พากันลงเรือปิดทองมากน้อยตามยศของตน   ขุนนางเหล่านี้มียศและตำแหน่งต่างๆ กัน  ท่านคงจะไม่เคยได้ยินเลย   เป็นต้นว่าออกญา,   ออกพระ ,  ออกหลวงวัง ,  ออกขุน ,  ออกหมื่น ,  ฯลฯ   เรือพระที่นั่งนั้นวิจิตรรจนาสง่างามยิ่งนัก   สุดที่จะพรรณนาให้ท่านฟังโดยถ้วนถี่ได้   มีฝีพายประจำเรือประมาณ   ๑๕๐  คน  ถือพายปิดทองทุกคน     พระเจ้ากรุงสยามทรงเครื่องฉลองพระองค์ล้วนแล้วไป้ยเพชรพลอย   ฝีพายเรือใส่เสื้อ  และสวมหมวกสีทอง  เครื่องประดับก็ปิดทองด้วยเหมือนกัน

เมื่อวันที่  ๑๙  เดือน  กุมภาพันธ์   ได้จัดการถวายพระเพลิงพระศพสมเด็จพระนารายณ์   ซึ่งได้สวรรคตตั้งแต่เดือนกรกกฎาคมท   พ.ศ.  ๒๒๓๑   การถวายพระเพลิงนี้   ได้ทำการอย่างใหญ่โต   งดงามมาก  เจ้าพนักงานได้เตรียมารถวายพระเพลิงนี้ถึง   ๑๘  เดือน   พระเมรุนั้นทำเป็นรูปปิรามิด   คือฐานใหญ่ยอดแหลม   มีหลายหลังเรียงกันเป็นแถว   ใช้เสาต้นใหญ่ ๆ  แลฐานก็วางคานใหญ่   นอกนั้นใช้ไม้ไฝ่ทังสิ้น    จำนวนไม้ไผ่ที่ใช้นั้น   เป็นจำนวนมากนับไม่ถ้วน    พระเมรุนั้นปิดด้วยกระดาษสีและกระดาษทอง   แต่ที่จริงก็ทาสีให้ดูเหมือนปิดทอง   ถ้ามองดูก็งามแก่ลูกตามาก   พระเมรุใหญ่ที่อยู่กลางนั้น   เขาพูดกันว่าสูงถึง   ๔๓   วา  ในพระเมรุองค์กลางนี้ได้นเป็นห้องใหญ่   ที่กลางห้องได้องไม้หอมสำหรับเป็นที่ถวายพระเพลิง

พวกเรามีความน้อยใจเป็นอันมากที่ทราบว่า   ในห้องสำหรับถาวายพระเพลิงนี้   เจ้าพนักงานได้เอารูปอย่างที่งาม ๆ  ที่เกี่ยวด้วยการศาสนาของเรา   แลรูปพระเยซูเจ้าตรึงอยู่กับไม้กางเขนมาแขวนไว้   ณ   ที่นี้   การที่เช่นนี้ก็ด้วยความเกลียด    แลดูถูกเพื่อสำหรัเอามาประจานให้มหาชนทุกชาติทุกภาษาที่มาช่วยในการถวายพระเพลิงนี้   ได้มาเห็นแลเยาะเย้ยต่าง ๆ  แลยังไม่ใช่แต่เท่านี้   แต่เจ้าพนักงานมี่ความประสงค์จะประจานด้วย   จึงได้เอารูปของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส   แลรูปข้าราชการ  เจ้านายผู้ใหญ่ของฝรั่งเศสมาแขวนไว้ด้วย

 

 

 

 

 

 



ผู้ตั้งกระทู้ ปติตันขุนทด (suchati2495-at-yahoo-dot-com) กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2010-03-10 14:30:31 IP : 113.53.199.2


1

ความคิดเห็นที่ 1 (2976913)
avatar
thiti

พรรณาจนมองเห็นเป็นภาพเลยครับ อยากย้อนเวลาไปได้จัง

ผู้แสดงความคิดเห็น thiti ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2010-03-11 11:17:31 IP : 58.10.84.21


ความคิดเห็นที่ 2 (2976914)
avatar
ปติตันขุนทด

 

ช่วยกันศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทยเน้อ   อดีตสอนให้เรารู้สิ่งที่ผิดพลาด   ปัจจุบันสอนให้เรารู้จักรักษาสิ่งที่ดีแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด   อนาคต  เราจะต้องใช้อดีต  และปัจจุบันที่ดี   เป็นปัจจัยให้เกิดความรุ่งเรืองข้างหน้า    เป็นหน้าที่ของทุก่คนที่จะต้องกระตุ้นคนรุ่นหลังให้รักการเรียนประวัติศาสตร์  เพื่อรักษาชาติ   ครับผม

ผู้แสดงความคิดเห็น ปติตันขุนทด (suchati2495-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2010-03-11 12:16:19 IP : 125.26.101.11



1


Copyright © 2010 All Rights Reserved.