ประวัติศาสตร์ความขัดแย้งพรมแดน ไทย-กัมพูชา
avatar
หมาป่าดำ


เนื่องจากความขัดแย้ง ไทยกับกัมพูชา เรื่องพรมแดนและปราสาทพระวิหาร ในปัจจุบัน ผมเห็นมีบทความน่าสนใจ จึงนำมาให้อ่านกัน

รู้เขารู้เรา เพื่อจะได้หาทางออกที่ดีกับทุกฝ่ายครับ

พรมแดน ไทยในทัศนะ เขมร

 

ดร. ศานติ ภักดีคำ สาขาวิชาภาษาเขมร ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

บทนำ

 

ปัญหาความขัดแย้งเรื่องพรมแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ที่เริ่มจากประเด็น ′ปราสาทพระวิหารปัจจุบันยังเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหาข้อยุติได้ เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งนี้มีมาเป็นเวลานานและมีความซับซ้อนหลายอย่าง จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาในประเด็นดังกล่าวอย่างรอบคอบและรอบด้าน ทัศนคติหรือความคิดของชาวกัมพูชาที่มีต่อปัญหาความขัดแย้งทางพรมแดนระหว่างไทย-กัมพูชา เป็นสิ่งหนึ่งที่ควรศึกษาเพื่อพิจารณาประกอบด้วย

 

ทั้งนี้เนื่องจาก ′ไทยและ กัมพูชาต่างก็มีวาทกรรมในเรื่องพรมแดนที่แตกต่างกัน เช่น ในขณะที่ไทยมองว่าการที่ฝรั่งเศสเข้ามาปกครองกัมพูชาในฐานะอาณานิคมเป็นการสูญเสียดินแดนแต่ในมุมมองของกัมพูชากลับเป็นการที่ฝรั่งเศสช่วยให้ตนเองรอดพ้นจากการคุกคามของสยาม

 

ทัศนะของชาวกัมพูชาในลักษณะดังกล่าวปรากฏในงานเขียนเรื่องบ็อณฎำตาเมียะฮ์ (คำสั่งตาเมียะฮ์) ว่า "...ตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระนโรดมเสวยราชย์เรื่อยมาถึงบัดนี้ ในเมืองเขมรทางด้านวิชาความรู้ก็มีความเจริญและรุ่งเรืองขึ้นกว่าแต่เดิมนั้นมากและไม่มีศัตรูมาเบียดเบียน เพราะมีผู้มีบุญอำนาจซึ่งทำนุบำรุงเราครอบครองพวกญวนในโคชินจีน และสยามมากลัวไม่กล้ามาเบียดเบียนอีกตั้งแต่เวลาตอนนั้นเรื่อยมา..."๑

 

ดังนั้น ′ทัศนะของกัมพูชาที่มีต่อเรื่อง พรมแดนระหว่างไทย-กัมพูชา จึงเป็นประเด็นหนึ่งที่มีความน่าสนใจ ที่ยังไม่ค่อยมีใครกล่าวถึงนัก บทความเรื่องนี้ผู้เขียนจึงขอนำเสนอเกี่ยวกับ พรมแดนไทย-กัมพูชาในทัศนะของชาวกัมพูชา เพื่อให้เห็นและเข้าใจความคิดและทัศนคติของชาวกัมพูชาที่มีต่อประเด็นดังกล่าวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น


พรมแดนไทย-กัมพูชา ในทัศนะเขมร

 

ต้นเหตุแห่งปัญหาพรมแดนไทย-กัมพูชาในปัจจุบันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากผลของสมัยแห่งการล่าอาณานิคม พรมแดนดังกล่าวจึงเป็นสิ่งที่กำหนดขึ้นโดยสนธิสัญญาระหว่างรัฐบาลสยามกับฝรั่งเศสซึ่งเวลานั้นปกครองอินโดจีนฝรั่งเศส ส่วนกัมพูชาในเวลานั้นเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ได้รับดินแดนเหล่านี้สืบทอดมาภายหลังจากได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสในปี ค.ศ. ๑๙๕๓

 

ด้วยเหตุนี้ต้นเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นจึงสามารถกล่าวได้ว่ามาจากแผนที่ซึ่งรัฐบาลฝรั่งเศสในเวลานั้นได้จัดทำขึ้น ไม่ว่ารัฐบาลสยามจะรับรู้หรือยอมรับหรือไม่ก็ตาม

 

อย่างไรก็ตามสำหรับในทัศนะของกัมพูชา ′พรมแดนระหว่างไทย-กัมพูชา มิใช่ปัญหาที่เพิ่งเกิดขึ้นในปัจจุบันอันเนื่องมาจากผลของการล่าอาณานิคม แต่เป็นผลพวงที่เกิดขึ้นมาช้านานโดยเฉพาะตั้งแต่ในสมัยที่ไทยอพยพมาตั้งอาณาจักรสุโขทัย และไทยได้พยายามขยายอาณาเขตของตนจนกระทั่งสามารถตีเมืองพระนครของอาณาจักรกัมพูชาโบราณได้สำเร็จ

 

ทัศนะเรื่อง ′พรมแดนดังกล่าวสามารถพบได้ทั่วไปในหนังสือประวัติศาสตร์กัมพูชาที่เขียนขึ้นโดยนักวิชาการชาวกัมพูชา โดยเฉพาะในหนังสือ ความขัดแย้งพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (ทํนาส่พฺรํแฎนรวางปฺรเทสไถ นิงปฺรเทสชิตขาง)ที่เรียบเรียงโดยสถาบันความสัมพันธ์นานาชาติกัมพูชา (วิทฺยาสฺถานทํนาก่ทํนงอนฺตรชาติกมฺพุชา)และจัดพิมพ์เมื่อปี ค.ศ. ๒๐๑๐ (พ.ศ. ๒๕๕๓) ดังมี บุพกถาที่น่าสนใจตอนหนึ่งว่า

 

ผลงานเรื่อง ′ความขัดแย้งพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นผลของการค้นคว้าของนักวิชาการของสถาบันความสัมพันธ์นานาชาติกัมพูชา ตามการแนะนำอันสูงส่งของ ฯพณฯ ซก อาน (สุข อาน) รองนายกรัฐมนตรีรับผิดชอบที่ว่าการคณะรัฐมนตรี ผลงานเรื่องนี้ได้ค้นคว้าและจัดทำขึ้นในระยะเวลาอันสั้น ต่อจากปราสาทพระวิหารได้รับเข้าเป็นมรดกโลกในวันที่ ๗ เดือนกรกฎาคม ปี ๒๐๐๘ แล้วภายหลังประเทศไทยก็เริ่มก่อปัญหาพรมแดนกับประเทศกัมพูชาตลอดมา

 

จุดประสงค์ของการศึกษานี้ เพื่อชี้แจงประชาชนทั่วไปและนานาชาติ เช่น นักการเมือง และนักวิชาการต่างๆ ได้เข้าใจชัดเจนถึงนโยบายอมิตร และความขัดแย้งพรมแดนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในสมาคมอาเซียนร่วมกัน รวมทั้งเราใคร่แสดงให้เห็นว่า ปัญหาพรมแดนทั้งหลาย ซึ่งมักเกิดมีระหว่างประเทศกัมพูชา กับประเทศไทยในเวลานี้ ก็เหมือนกับในเวลาที่ผ่านมา คือประเทศไทยเป็นผู้ก่อขึ้นทั้งหมด...การแก้ไขปัญหาพรมแดนกับประเทศไทยในเวลาที่ผ่านมา ประเทศกัมพูชาได้ถือเอาท่าทีอดทนเป็นอย่างยิ่ง...๒

 

จาก ′บุพกถาที่แปลมาข้างต้นแสดงให้เห็นว่าหนังสือเล่มนี้ได้มีการเรียบเรียงขึ้นภายหลังเกิดปัญหาความขัดแย้งเรื่องพรมแดนและปัญหาเกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร โดยเรียบเรียงขึ้นตามการแนะนำของ ซก อาน (สุข อาน) รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา หนังสือดังกล่าวจึงมีความเกี่ยวข้องกับปัญหาเรื่องปราสาทพระวิหารโดยตรง จึงทำให้หนังสือเล่มนี้มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

 

หนังสือเล่มนี้ได้กล่าวถึงความขัดแย้งเรื่อง ′พรมแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ตั้งแต่อดีตเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันหลายประเด็นโดยแบ่งตามลำดับยุคสมัยไว้ดังนี้

 

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1299920023&grpid=&catid=53&subcatid=5300



ผู้ตั้งกระทู้ หมาป่าดำ (mistiest-at-hotmail-dot-com) กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-06-28 16:26:14 IP : 223.205.54.206


1

ความคิดเห็นที่ 1 (2978879)
avatar
หมาป่าดำ

ความขัดแย้งระหว่างสยาม-เขมร สมัยพระนคร

             

หนังสือ ′ความขัดแย้งพรมแดนฯกล่าวถึงประเด็นความขัดแย้งเรื่อง ดินแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาว่าเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยที่ไทยตั้งอาณาจักรสุโขทัยขึ้น จากนั้นไทย (สยาม) ได้ขยายอำนาจไปและผนวกเอาดินแดนบางส่วนของ กัมพูชาตั้งแต่สมัยพระนครไว้ แล้วครอบครองเป็นของตนจนถึงปัจจุบัน ดินแดนเหล่านี้ได้แก่ดินแดนบริเวณอีสานใต้และภาคตะวันออกของไทยในปัจจุบัน ดังนี้

 

"...นับตั้งแต่การเข้ามาถึงของชนชาติสยาม และก่อเกิดเป็นรัฐในสุโขทัย การขยายดินแดนของอาณาจักรนี้ได้กลายเป็นปัญหาต่อชนชาติต่างๆ ซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง โดยเฉพาะชนชาติเขมร และประเทศเขมรซึ่งเคยเป็นเจ้าของเหนือแผ่นดินนี้ตั้งเนิ่นนานมาแล้ว เขมรได้สูญเสียแผ่นดินจำนวนมากตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๓ มา ซึ่งมีแผ่นดินตั้งแต่ที่ราบลุ่มแม่น้ำเมณาม (แม่น้ำเจ้าพระยา) จนถึงพรมแดนจังหวัดพระตะบอง และเสียมราบในปัจจุบัน แผ่นดินที่สูญเสียไปทั้งหมด แล้วตั้งอยู่ภายใต้การครอบครองของสยาม จนถึงปัจจุบันนี้มี เช่น จังหวัดนครราช (นครราชสีมา) บุรีรัมย์ ขุขันธ์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ ประจิมบุรี (ปราจีนบุรี) จันทบุรี ตราด และจำปาศักดิ์ ฯลฯ

 

หลังจากประเทศสยามได้ขยายอำนาจของตนไปที่ราชธานีอยุธยาแล้ว ในปี ๑๓๕๑ กษัตริย์สยามรามาธิบดี๓ ได้ทำการตีบุกเข้ามาในประเทศเขมร ราชธานีพระนครถูกสยามรุกรานเป็นของตน ตั้งแต่ปี ๑๓๕๒-๑๓๕๗ นับตั้งแต่เวลานั้นมา แม้ว่าพระราชาเขมรที่มีความเก่งกล้า สามารถขับไล่สยามผู้รุกรานให้ออกจากพระนคร อย่างไรก็ตาม การรุกรานของสยามยังเกิดมีขึ้นเป็นลำดับต่อมา จนทำให้พระราชาเขมร ละทิ้งราชธานีหลายครั้งหลายหน เช่น ราชธานีพระนคร ตวลบาสาน จตุมุข และลงแวก (ละแวก)..."๔

ความขัดแย้งระหว่างสยาม-เขมร สมัยลงแวก (ละแวก)

 

ประเด็นความขัดแย้งเรื่องพรมแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาสมัยลงแวก (ละแวก) เป็นความขัดแย้งอีกสมัยหนึ่งที่มีกล่าวถึงไว้ด้วย โดยเน้นให้เห็นถึงการเจริญสัมพันธไมตรีและการกำหนดเขตแดนของอยุธยากับลงแวก (ละแวก) ในรัชกาลสมเด็จพระปรมินทราชาแห่งลงแวก กับสมเด็จพระมหาธรรมราชาแห่งกรุงศรีอยุธยา รวมทั้งเรื่องราวเกี่ยวกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราชตีเมืองละแวกด้วย ดังนี้

 

"...ในสมัยละแวก พระบาทจันทราชา และพระบรมราชาที่ ๔ ทรงได้ยกทัพไปตีปลดปล่อยเอาอาณาเขตภาคตะวันตก โดยทำการตีบุกจนถึงราชธานีอยุธยา แผ่นดินอาณาเขตทางตะวันตกของประเทศกัมพูชาได้ถูกปลดปล่อยออกจากกำมือสยาม

 

ต่อหน้าสถานการณ์ที่หนักหน่วงแบบนี้ ได้ทำให้กษัตริย์สยามเปลี่ยนแปลงท่าที แล้วหันมาขอผูกสัมพันธไมตรีกับประเทศเขมรในปี ๑๕๗๔ การทำสัมพันธไมตรีนี้มีจุดประสงค์เพื่อแก้ไขพรมแดน โดยพระราชาเขมรได้ตีเอา เกี่ยวข้องกับปัญหาพรมแดนระหว่างประเทศเขมร กับประเทศสยาม เราสังเกตเห็นมีการกำหนดสำเร็จไปแล้วระหว่างประเทศทั้งสองตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๖ มาแล้ว สัตยสัญญาตกลงกันนี้ ได้ทำขึ้นในวันขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือนผลคุน พ.ศ. ๒๑๑๘ ค.ศ. ๑๕๗๔ โดยมีการเข้าร่วมจากพระราชาของประเทศเขมร พระบาทปรมินทราชา (บรมราชาที่ ๔) และพระราชาของประเทศสยาม พระบาทธรรมราชา พร้อมทั้งมีการเข้าร่วมจากนาหมื่นสรรพมุขมนตรี สมเด็จสงฆ์ มหาสงฆ์ และพระราชาคณะสำรับเอก โท ตรี จัตวา ของประเทศทั้งสอง ๒๘ องค์ด้วย...

 

...พ.ศ. ๒๑๒๑ ค.ศ. ๑๕๗๗ ม.ศ. ๑๔๙๙ จ.ศ. ๙๓๙ ปีฉลู นพศก วันพฤหัสบดี ขึ้น ๘ ค่ำ เดือนกัตติก เป็นวันได้ฤกษ์ประชุมปักหลักสีมาจารึก สัตยาธิษฐาน ในศิลาบาททางตะวันตกเป็นแดนสยาม ทางตะวันออกเป็นแดนเขมร เขมรได้ตั้งเจ้าเมืองให้รักษาเมืองเหล่านั้น จึงที่นั้นเรียกว่า โรอางศิลา (รอางสิลา) มาจนถึงปัจจุบันนี้"๕

 

แต่การผูกพระราชไมตรีนี้ต้องสลายไป ด้วยการละเมิดจากฝ่ายประเทศสยาม เพราะหลังจากการตกลงนี้ได้จบลงไม่กี่ปี ประเทศสยามถูกพม่าโจมตี เวลานั้นประเทศสยามได้ขอความช่วยเหลือจากกัมพูชาโดยอ้างความสัมพันธ์ระหว่างเขมร-สยาม เมื่อปี ๑๕๗๔ พระบาทสัตถาที่ ๑ ก็ได้ส่งกองทัพช่วยเหลือแก่สยาม จนตีพม่าได้ชัยชนะ เวลาที่นำทัพกลับมาพระนเรศวรทอดพระเนตรเห็นพระศรีสุริโยพรรณประทับห้อยพระบาทไม่ได้กราบเหมือนคนทั้งปวง ทรงพระพิโรธมาก พระบาทศรีสุริโยพรรณทรงพิโรธจากเรื่องนี้มากก็นำทัพกลับเข้านคร กษัตริย์สยามไม่สำนึกบุญคุณเขมรได้นำทัพของตนตีประเทศเขมร กษัตริย์สยามเข้าใจว่าเมื่อเขมรช่วยสยามนั้นทำให้ประเทศสยามเสื่อมเกียรติยศและเสียหน้า ดังนั้นพระนเรศวรมักมีความแค้นอยากเอาเขมรเป็นเมืองขึ้น โดยละเมิดการเจรจา ในปี ๑๕๘๑ พระราชาเขมรนำทัพปลดปล่อยได้เมืองนครราชสีมา จันทบุรี...แต่มาถึงปี ๑๕๘๒ พระนเรศวรได้ตีชิงเอาคืน

 

ในปี ๑๕๘๖ พระนเรศวรพิโรธพระสัตถาที่ ๑๖ จึงได้ยกทัพตีเขมรเอาเมืองพระตะบอง โพธิสัตว์ และเข้ามาถึงลงแวก ทำการล้อมเมืองเป็นเวลา ๓ เดือน ด้วยสยามขาดเสบียง เกิดโรคระบาดในกองทัพตายไปเป็นจำนวนมาก สยามได้ถอยกลับไป ทัพเขมรออกจากบันทายไล่ตีสยามหนีกระจัดกระจาย ก่อนสยามจะถอยทัพไปสยามได้ใช้อุบายกลยิงเงินพดด้วงจำนวนมากเข้าไปในกอไผ่ ซึ่งเป็นรั้วป้องกันอย่างมั่นคงของบันทายลงแวก สยามได้จัดจารบุรุษสองคนเข้ามาทำเวทมนตร์ และทำให้เกิดจลาจลภายในของเขมร มหาดเล็กสยามได้แกล้งทำเป็นนักบวชนามติปัญโญ และสุปัญโญ เข้ามาทำพิธีถอนศิลปศาสตร์อาคมซึ่งบรรจุในรูปเทวรักษ์ สุปัญโญใช้มนตร์อาคมทำให้ชาวเมืองป่วย ส่วนติปัญโญเป็นคนแก้ให้ดี ราษฎร์เขมรหลังจากที่รู้ว่ามีเงินพดด้วงในกอไผ่ มีใจยินดีอย่างยิ่งพากันตัดโค่นป่าไผ่เพื่อเอาเงิน แม้มีการปรามจากพระราชาก็ตาม ราษฎร์เขมรยังตัดโค่นจนกอไผ่ทะลุทลายหมด เรื่องนี้รู้ไปถึงกษัตริย์สยาม แล้วในปี ๑๕๙๓ สยามก็ยกทัพเข้าตีกรุงลงแวกสามทาง ที่สุดสยามแย่งชิงได้กรุงลงแวก...๗

 

เรื่องราวที่ปรากฏในข้อความที่ยกมาแสดงให้เห็นถึง ′ทัศนะในด้านลบที่กัมพูชามีต่อไทย โดยเฉพาะในกรณีการที่ไทยละเมิดสัญญาการปักปันเขตแดน และมีเรื่องราวหลายเรื่องซึ่งเป็นที่รับรู้กันดีในสังคมกัมพูชาแต่ไม่เป็นที่รับรู้มากนักในสังคมไทย เช่น กรณีพระศรีสุริโยพรรณที่พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยามองว่าฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดพระราชไมตรี ดังความในพระราชพงศาวดารกรุงสยามว่า

 

"...แต่พระศรีสุพรรมาธิราชนั้นมิได้หมอบ นั่งดูเสด็จอยู่ ก็ทรงพระพิโรธ...ฝ่ายพระศรีสุพรรณมาธิราชเห็นดังนั้นก็น้อยพระทัยคิดอาฆาต...ฝ่ายพระศรีสุพรรณมาธิราชนั้นคิดแค้นอยู่มิได้ขาด...พญาละแวกแจ้งดังนั้นก็ทรงพระโกรธ ตรัสว่าเราก็เป็นกษัตริย์มาดูหมิ่นกันดังนี้ ไหนกรุงกำภูชาธิบดีกับกรุงศรีอยุทธยาจะเป็นพระราชไมตรีกันสืบไปได้..."๘

    

ส่วนกัมพูชามองว่า กรณีนี้เป็นเรื่องที่ ′ไทยไม่รู้บุญคุณ เขมรในการที่ยกทัพไปช่วยรบพม่า รวมทั้งยังมีการกล่าวถึงตำนานเรื่องการที่สยามวางอุบายยิงกระสุนเงินพดด้วงที่กอไผ่เมืองละแวก ทำให้ชาวเมืองละแวกไปตัดไม้ไผ่ที่เป็นรั้วล้อมเมืองลงแวกเพื่อหาเงินพดด้วงจนเสียเมืองลงแวก

 

วาทกรรมเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการรับรู้ทางประวัติศาสตร์คนละชุด และเป็นสิ่งที่สังคมไทยไม่เคยรับรู้และตระหนัก ในขณะที่วาทกรรมดังกล่าวนอกจากปรากฏในหนังสือเล่มนี้แล้ว ยังปรากฏในแบบเรียนประวัติศาสตร์ของกัมพูชา รวมทั้งหนังสือประวัติศาสตร์กัมพูชา ซึ่งเป็นการตอกย้ำวาทกรรมเหล่านี้ในสังคมกัมพูชา



 

ผู้แสดงความคิดเห็น หมาป่าดำ (mistiest-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-06-28 16:30:55 IP : 223.205.54.206


ความคิดเห็นที่ 2 (2978880)
avatar
หมาป่าดำ

ความขัดแย้งระหว่างสยาม-เขมร สมัยอุดงค์

             

สำหรับความขัดแย้งระหว่างสยาม-เขมร สมัยอุดงค์ หนังสือเล่มนี้ได้กล่าวว่า "ตั้งแต่เวลานั้นมา แผ่นดินเขมรในอาณาเขตภาคตะวันตกถูกประเทศสยามแย่งชิงเอาใหม่ แล้วก็เป็นเวลาที่แผ่นดินเขมรเริ่มหดเข้าทีละน้อยๆ โดยประเทศสยามไม่เคยระลึกถึงพรมแดนแต่ก่อนเลย..."๙ นอกจากนี้ยังกล่าวว่าการที่ในสมัยนี้พระศรีสุริโยพรรณต้องไปผูกไมตรีกับกรุงเว้ (เวียดนาม) ก็เพื่อ ′...เพื่อหลบหลีกจากอิทธิพลของสยาม...๑๐ ทำให้สยามยกทัพมาตีเขมรในปี ๑๖๒๒ และ ๑๖๒๓ แต่สยามแพ้ถอยกลับคืนไป

 

นอกจากนี้ยังกล่าวถึงความขัดแย้งในสมัยปลายอุดงค์ซึ่งสยามข่มขู่ให้พระบาทองค์ด้วง๑๑ เกรงกลัว เนื่องจากการที่กัมพูชาจะทำสนธิสัญญาทางการค้าและศาสนากับฝรั่งเศส ทำให้ สมเด็จองค์ด้วง ซึ่งอยู่ภายใต้การตรวจตราของขุนนางสยามและกลัวภัยเหล่านั้น ได้ปฏิเสธไม่ยอมพบกับบาทหลวงฝรั่งเศสนั้นเลย...๑๒


ความขัดแย้งระหว่างสยาม-เขมร สมัยอาณานิคมฝรั่งเศส

             

ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาในยุคนี้เกี่ยวเนื่องกับความพยายามควบคุมกัมพูชาไว้ในอำนาจของไทย โดยเฉพาะการข่มขู่สมเด็จพระนโรดมบรมรามเทวาวตาร (พระองค์ราชาวดี) ทำให้พระองค์ต้องทรงยอมทำตามข้อตกลง ๑๑ ข้อของสยาม ทำให้ "...ประเทศกัมพูชากลายเป็นรัฐส่วยของสยาม สูญเสียอิสรภาพทั้งปวง ประเทศสยามมีสิทธิ์ยื่นมือเข้ามาในความขัดแย้งระหว่างเขมรกับเขมร หรือความขัดแย้งในประเทศเขมรโดยสามารถใช้สอยกำลังทัพ และอาจจับคุมขังญาติวงศานุวงศ์เขมรได้อีกด้วย ประเทศกัมพูชาต้องรับภาระในการนำส่วยสาอากรไปประเทศสยามโดยขาดไม่ได้ ประเทศสยามให้ประเทศกัมพูชารับทราบในการสูญเสียเมืองพระตะบอง เสียมราบ และต้องให้ประเทศกัมพูชามอบแผ่นดินเมืองโพธิสัตว์ และกำพงสวายเพิ่มอีกด้วย ประเทศกัมพูชาไม่อาจติดต่อกับมหาอำนาจ และส่งกองทัพของประเทศเหล่านั้นมาในกัมพูชา

    

ตามสนธิสัญญานี้ ประมุขรัฐของกัมพูชาสามารถแต่งตั้งขึ้นได้โดยมีการอนุญาตจากกรุงเทพ ตามคำแถลงของข้อตกลงนี้ พระมหากษัตริย์พระบาทนโรดมต้องสูญเสียสิทธิ์ทั้งหมดเหนือเมืองพระตะบอง และเมืองพระนคร ไม่เพียงเท่านั้น สยามได้ขยายสิทธิ์รวบเอาเมืองโพธิสัตว์ และกำพงสพืออีก หากพระมหากษัตริย์กัมพูชามีความประพฤติไม่ดีกับประเทศสยาม..."๑๓

 

"...สนธิสัญญานี้ ไม่มีจุดใดแสดงถึงปัญหาพรมแดนระหว่างประเทศกัมพูชากับประเทศสยามเลย มันเป็นสถานการณ์หนึ่งที่แสดงถึงการบีบของกษัตริย์สยามเหนือพระบาทนโรดม และการละเมิดของสยามเหนือสนธิสัญญา วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๑๘๖๓ ซึ่งพระบาทนโรดมได้ลงพระนามกับประเทศฝรั่งเศส ซึ่งทำให้ประเทศสยามต้องสูญเสียผลประโยชน์เหนือประเทศกัมพูชา..."๑๔

 

ข้อความที่กล่าวมาแสดงให้เห็นว่า ′ทัศนะของกัมพูชาที่มีต่อไทยเป็นภาพเชิงลบ เนื่องจากกัมพูชามองว่า สยามเป็นผู้แย่งชิงดินแดนของกัมพูชาไป ดังนั้นเมื่อกัมพูชาตกเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส มุมมองของไทยจึงเปลี่ยนไปจากเดิม เนื่องจากแต่เดิมเป็นปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา แต่เมื่อกัมพูชาเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส ปัญหาเรื่องพรมแดนไทย-กัมพูชาจึงกลายเป็นปัญหาระหว่างรัฐบาลสยาม-ฝรั่งเศส

 

ด้วยเหตุนี้เมื่อไทยมองว่าเราเสียดินแดนให้ฝรั่งเศส กัมพูชากลับมองต่างไปว่า "...แผ่นดินเขมรซึ่งประเทศสยามมอบมาให้ฝรั่งเศสตามอนุสัญญาลงวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๑๙๐๔ นั้น รัฐบาลฝรั่งเศสมอบกลับมาคืนให้เขมร..." ซึ่งเท่ากับว่ากัมพูชาได้รับดินแดนเหล่านั้น คืนจากฝรั่งเศส หลังจากที่กัมพูชาได้เคย เสียให้กับไทยมาก่อนหน้านี้

 

นอกจากนี้หนังสือ ′ความขัดแย้งพรมแดนฯยังนำสนธิสัญญาระหว่างรัฐบาลสยาม-ฝรั่งเศสมากล่าวถึงด้วย รวมทั้งในเรื่องการปักหลักเขตแดนและการเขียนแผนที่ ทั้งยังได้กล่าวถึงทัศนะต่อท่าทีของไทยต่อการเสียดินแดนว่า

    

"...การสูญเสียแผ่นดินตั้งแต่ปี ๑๘๙๓ ผู้นำประเทศสยามไม่ได้อยู่เฉย โดยได้ทำการทวงดินแดนเหล่านี้คืนจากฝรั่งเศส เขาคิดว่าการทวงนี้เป็นเหตุผลหนึ่งประกอบด้วยความถูกต้องทำให้หายซึ่งสภาพอยุติธรรมในเวลาที่ประเทศสยามกำลังเผชิญหน้ากับมหาอำนาจฝรั่งเศส..."๑๕

    

ความขัดแย้งระหว่างสยาม-เขมร สมัยสังคมราษฎร์นิยม

 

ประเด็นสำคัญของความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา สมัยสังคมราษฎร์นิยม คือปัญหาปราสาทพระวิหาร หนังสือ ′ความขัดแย้งพรมแดนฯกล่าวว่า "...ประเทศไทยภายหลังมาเหมือนกับได้ลืมซึ่งปัญหาเหล่านี้แล้วตั้งตนเป็นเจ้าของเหนือปราสาทพระวิหาร..." และกล่าวว่า สาเหตุที่ประเทศไทยคิดเช่นนี้อาจเนื่องมาจากปราสาทพระวิหารเป็นผลงานศิลปะที่งดงามไม่มีที่ติ

 

รวมทั้ง ภายหลังจบสงคราม อาณานิคมฝรั่งเศสไม่ทันมีความสามารถในการปกป้องแผ่นดินอาณานิคมของตน โดยเฉพาะไม่อาจกำหนดพรมแดน หรือตรวจสอบพรมแดนได้ดี อีกอย่างหนึ่งสยามไม่เคยรับรู้ว่าตนมีที่มาจากสุโขทัย และไม่เคยรับรู้ผลงานสถาปัตยกรรมเขมรแม้แต่ครั้งเดียว

 

ดังนั้นประเทศไทยได้ฉวยโอกาสนี้ โดยทำเพิกเฉยไม่ยอมมอบปราสาทพระวิหารคืนให้เขมร เหมือนข้อตกลงลงวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๑๙๔๖ ได้ชี้แจงเลย ในเวลานี้เองเรื่องพิพาทก็เริ่มเกิดเป็นรูปเป็นร่างขึ้น...๑๖

 

สมเด็จพระนโรดมสีหนุ นายกรัฐมนตรีประเทศกัมพูชาในเวลานั้น จึงได้นำคดีนี้เสนอต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ศาลโลก และศาลโลกตัดสินให้ ′ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอธิปไตยของประเทศกัมพูชา๑๗

 

นอกจากนี้ หนังสือ ′ความขัดแย้งพรมแดนฯยังได้กล่าวถึงความขัดแย้งอื่นๆ ที่เกิดขึ้น รวมทั้งการกำหนดพรมแดนและการละเมิดพรมแดนที่เกิดขึ้นอีกในช่วงเวลานั้น ทั้งนี้โดยได้สรุปเกี่ยวกับปัญหาปราสาทพระวิหารไว้ว่า

 

"...รวมมาเรื่องพิพาทปราสาทพระวิหารที่เกิดขึ้น โดยการถือเอาความคิดย้อมความจริงรวมผสมกับความคิดชาตินิยมของผู้นำไทย ในสมัยนั้นต้องการครอบครองปราสาทพระวิหารอย่างขาดไม่ได้ ความคิดนี้ไม่ได้ประสบความสำเร็จเลย เนื่องจากมีการเรียกร้องอย่างมากจากรัฐบาลฝรั่งเศส และรัฐบาลเขมรหลังจากได้รับเอกราชจากฝรั่งเศส แล้วปัญหาที่ทำให้ตุลาการตัดสินใจให้ประเทศเขมรชนะในเรื่องพิพาทนี้เกิดมาจากหลักฐานชัดเจนบนแผนที่ทางการทั้งหมด และมรดกประวัติศาสตร์ซึ่งบรรพบุรุษเขมรสมัยก่อนเหลือไว้ ปัญหาความขัดแย้งปราสาทพระวิหาร ได้จบแต่เรื่องราวนี้ได้หลงเหลือร่องรอยหยาบๆ ในความรู้สึกของชนชาติเขมรและชนชาติไทย ไม่ง่ายที่จะลืมได้เลย..."๑๘

 

ผู้แสดงความคิดเห็น หมาป่าดำ (mistiest-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-06-28 16:34:51 IP : 223.205.54.206


ความคิดเห็นที่ 3 (2978881)
avatar
หมาป่าดำ

ความขัดแย้งระหว่างเขมร-สยาม ในปัจจุบัน

               

นอกจากหนังสือ ′ความขัดแย้งพรมแดนฯจะนำเสนอเรื่องราวความขัดแย้งเรื่อง "พรมแดน" ระหว่างไทยกับกัมพูชาในอดีตแล้ว หนังสือเล่มนี้ยังได้สรุปถึงเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างเขมร-ไทยที่เกิดจากกรณีปราสาทพระวิหารในปัจจุบันด้วยว่า

 

"...กรณีพิพาทนี้เกิดขึ้นในเวลาที่ประเทศสยามได้ประกาศว่า แผ่นดินบริเวณรอบปราสาทพระวิหาร ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ ๔.๖ ตารางกิโลเมตร เป็นของเขา การอ้างนี้ตรงข้ามกับคำตัดสินของศาลโลก...ว่าบริเวณพระวิหารเป็นอธิปไตยของเขมร

    

ไม่เพียงแต่บริเวณพระวิหารเท่านั้น ที่กองทัพสยามละเมิดและอ้างว่าเป็นของตน แม้แต่ปราสาทต่างๆ ตามแนวพรมแดนบนพนมดงรัก เช่น ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมืองโตว์จ ปราสาทตาควาย และปราสาทอีกจำนวนหนึ่งสยามก็จัดว่าเป็นของตนด้วย ปัญหาเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดเป็นกรณีพิพาทกันขึ้น..."๑๙

 

ในตอนท้ายได้มีการสรุปเรื่องราวกรณีพิพาท โดยเฉพาะในเรื่องการเจรจาแก้ไขกรณีพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา เกี่ยวกับพรมแดน ซึ่งแสดงให้เห็นถึง ′ทัศนะของฝ่ายกัมพูชาได้เป็นอย่างดี ดังนี้

             

"...ประเทศไทยมักละเมิดแผ่นดินเขมรตลอด แต่ประเทศนี้ไม่เคยรำลึกเลยเกี่ยวกับแผ่นดินเขมร ที่ตนได้ละเมิดเอาไปและวางอยู่ภายใต้เขาตั้งแต่อดีตกาล เขายังทำเป็นลืมอีกเกี่ยวกับชนชาติเขมรนับล้านคนที่อาศัยอยู่ในบรรดาจังหวัดภาคอีสานประเทศไทยปัจจุบัน และประชาชนเหล่านั้นยังรักษาวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และอารยธรรมเขมรอย่างเหนียวแน่นตลอดมา ไม่เพียงแต่เท่านั้น ประเทศไทยไม่เคยได้รับรู้ว่า ตนเองได้ยืมภาษา วัฒนธรรม และอารยธรรมเขมรนั้นเลย ไทยลืมอีกว่า ประเทศของตนเพิ่งจะเกิดขึ้นในศตวรรษที่ ๑๓ โดยการแย่งชิงแผ่นดินเขมรส่วนหนึ่ง..."๒๐

 

บทสรุป

 

จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า ′ทัศนะของชาวกัมพูชาที่มีต่อปัญหาความขัดแย้งในเรื่อง พรมแดนมีความแตกต่างจากไทยมาก ความขัดแย้งในเรื่องของพรมแดนระหว่างไทย-กัมพูชา มิได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่หากพิจารณาลงไปในตัวบททางประวัติศาสตร์แล้วจะพบว่ามีความขัดแย้งกันอยู่โดยตลอด ดังมุมมองที่ปรากฏในหนังสือ ความขัดแย้งพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (ทํนาส่พฺรํแฎนรวางปฺรเทสไถ นิงปฺรเทสชิตขาง)ที่กล่าวถึงประเด็นความขัดแย้งเรื่องพรมแดนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะกัมพูชา

 

ในหนังสือเล่มนี้ได้มีการจัดแบ่งประเด็นความขัดแย้งเรื่องดินแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาออกเป็นสมัยต่างๆ คือ สมัยพระนคร สมัยลงแวก (ละแวก) สมัยอุดงค์ สมัยอาณานิคมฝรั่งเศส สมัยสังคมราษฎร์นิยม และสมัยปัจจุบัน ซึ่งเมื่อพิจารณาจากมุมมองของกัมพูชาจะพบว่า ′ทัศนะที่มีต่อกรณีพิพาทนั้นฝ่ายกัมพูชามองว่าเกิดจาก ไทยเป็นผู้ทำให้เกิดปัญหาในยุคสมัยต่างๆ ซึ่งรวมถึงกรณีปัญหาปราสาทพระวิหารด้วย

 

อย่างไรก็ตามหนังสือเล่มนี้เป็นเพียงตัวแทน ′ทัศนะในมุมหนึ่งของชาวกัมพูชาที่มีต่อความขัดแย้งเรื่อง พรมแดนระหว่างไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะมุมมองที่มีต่อ ไทยซึ่งเป็นสิ่งที่คนไทยควรรับรู้เพื่อสร้างความเข้าใจต่อ ทัศนะของชาวกัมพูชาได้มากขึ้น และอาจเข้าใจที่มาที่ไปของปัญหาจากแง่มุมของกัมพูชา เพื่อลดความขัดแย้งระหว่างชาวไทย-กัมพูชา ที่กำลังรุนแรงอันเนื่องมาจากกรณีพิพาทปราสาทพระวิหารนั่นเอง


เชิงอรรถ

 

     ๑ ฆีง หุกฑี. บณฺฎำตามาส. (ภฺนํเพญ : บณฺณคารองฺคร, ๒๐๐๗), น. ๒๔.

     ๒ วิทฺยาสฺถานทํนาก่ทํนงอนฺตรชาติกมฺพุชา. ทํนาส่พฺรํแฎนรวางปฺรเทสไถ นิงปฺรเทสชิตขาง. (ภฺนํเพญ : โรงพุมฺพพนฺลืแขฺมร, ๒๐๑๐), น. ๑.

     ๓ หมายถึง สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) - ผู้แปล.

     ๔ เรื่องเดียวกัน, น. ๒๒๔-๒๒๕.

     ๕ โปรดดูเรื่องนี้ใน ศานติ ภักดีคำ. "ด่านพระจารึก" อยู่ที่ไหน เหตุใดต้อง "จารึก" จากจุด "ปักปันเขตแดน" สู่ "ด่าน" ไทยสมัยอยุธยาถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์," ใน ศิลปวัฒนธรรม. ปีที่ ๓๑ ฉบับที่ ๑๑ (กันยายน ๒๕๕๓), น. ๑๓๐-๑๔๒.

     ๖ ตามเอกสารไทยคือ นักพระสัตถา พระยาละแวก - ผู้แปล.

     ๗ เรื่องเดียวกัน, น. ๒๒๕-๒๒๙.

     ๘ ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๒, (กรุงเทพฯ : กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, ๒๕๔๒), น. ๙๐.

     ๙ วิทฺยาสฺถานทํนาก่ทํนงอนฺตรชาติกมฺพุชา. ทํนาส่พฺรํแฎนรวางปฺรเทสไถ นิงปฺรเทสชิตขาง. น. ๒๒๙.

     ๑๐ เรื่องเดียวกัน.

     ๑๑ คือ สมเด็จพระหริรักษ์รามาอิศราธิบดี (พระองค์ด้วง), ผู้แปล.

     ๑๒ เรื่องเดียวกัน, น. ๒๓๐.

     ๑๓ เรื่องเดียวกัน, น. ๒๓๑-๒๓๒.

     ๑๔ เรื่องเดียวกัน, น. ๒๓๒.

     ๑๕ เรื่องเดียวกัน.

     ๑๖ เรื่องเดียวกัน, น. ๒๕๕-๒๕๖.

     ๑๗ เรื่องเดียวกัน, น. ๒๖๔.

     ๑๘ เรื่องเดียวกัน, น. ๒๖๙.

     ๑๙ เรื่องเดียวกัน, น. ๒๗๐.

     ๒๐ เรื่องเดียวกัน, น. ๒๘๑.


 

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1299920023&grpid=&catid=53&subcatid=5300

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น หมาป่าดำ (mistiest-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-06-28 16:35:54 IP : 223.205.54.206


ความคิดเห็นที่ 4 (2978882)
avatar
หมาป่าดำ

รศ. 112 ไทยถูกปล้น

 

                       วันนี้...ประเทศไทยตัดสินใจถอนตัวจากการ เป็นสมาชิกคณะกรรมการมรดกโลกเพราะเงื่อนปมแผนบริการจัดการปราสาทพระวิหารของกัมพูชา ที่ผูกโยงกับพื้นที่ที่อยู่ในอธิปไตยไทย 4.6 ตารางกิโลเมตร ให้ย้อนถึงวันวาน...วิกฤตการณ์ ร.ศ.112 ซึ่งผลที่ตามมา สยามมิเพียงเฉือนดินแดนบางส่วนไปอย่างเจ็บปวด แต่ยังต้องเสียเงินสดๆ จำนวน 3 ล้านฟรังก์ให้ฝรั่งเศสไปภายใน 48 ชั่วโมง เพื่อรักษาอธิปไตยเอาไว้

 

                       เหตุการณ์ ร.ศ.112 นั้น ตรงกับวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ.2436 ผ่านมาแล้ว 118 ปี เป็นเวลากว่า 100 ปีที่บางบรรทัดประวัติศาสตร์แห่งยุทธนาวีบันทึกไว้ว่า เจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสเสมือนหนึ่งสุนัขป่าเจ้าเล่ห์ ต้องการไล่ต้อนกัดกินลูกแกะสยาม  ผู้ไล่ล่าเต็มไปด้วยแสนยานุภาพ ทั้งเขี้ยวเล็บทางทหารอันแหลมคม เกรียงไกร ผู้ถูกล่าตั้งรับอยู่ในบ้านเมืองที่อยู่กันมาอย่างสงบงาม เหมือนลูกแกะที่เพลินอยู่กับยอดหญ้าอันเขียวขจี ท่ามกลางทรัพยากรธรรมชาติอันสมบูรณ์ แต่ก่อนที่คมเขี้ยวหมาป่าจะขยุ้มคออย่างสามหาว ลูกแกะน้อยก็ยังได้ไหวตัวและตั้งรับอย่างเต็มกำลังสามารถ

 

เย็นวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ.2436 ปรากฏเรือฝรั่งเศส 3 ลำ เข้ามาปิดปากอ่าวสยาม บริเวณปากน้ำเจ้าพระยา ภาพเหตุการณ์วันนั้น ไกรฤกษ์ นานา สอบค้นและบันทึกไว้ว่า...เวลา 18.05 น. หมู่เรือรบฝรั่งเศสผ่านเข้ามาในปากน้ำเจ้าพระยา โดยมีเรือ เจ.เบ.เซ. แล่นนำหน้า ตามด้วยเรือรบติดอาวุธมีเรือ แองกองสตอง และเรือโกแมตเรียงเป็นกระบวนเข้ามา  ระหว่างนั้น ปืนใหญ่อาร์มสตรองบนป้อมพระจุลฯ ยิงด้วยนัดดินเปล่าไม่บรรจุกระสุนสองนัด เป็นสัญญาณเตือนมิให้เข้ามาแต่ไม่ได้ผล นัดที่ 3 และ 4 จึงถูกยิงออกไป  

 

ยุทธนาวีไทยได้ปกป้องอธิปไตยอย่างกล้าหาญ กระสุนปืนใหญ่ หรือปืนเสือหมอบกระหน่ำออกมาอย่างไม่ระย่อ ภายใต้การบัญชาการของพระยาชลยุทธโยธิน ผู้บัญชาการรบฝ่ายไทยชาวเดนมาร์ก และยังมีปืนชนิดเดียวกันประจำการอยู่ที่ป้อมปืนผีเสื้อสมุทร ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก แต่แรงต้านของสยามหาได้หยุดนักล่าอาณานิคมจากแดนไกลไม่   สิ้นเสียงปืน ทหารไทยพลีชีพไป 8 นาย บาดเจ็บ 40 นาย ส่วนทหารฝรั่งเศสตาย 3 นาย บาดเจ็บอีก 3 นาย การต่อสู้นี้ แม้สยามจะทำเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ และยิงเตือนผู้รุกรานไปก่อนตามกติกาสากล แต่ลูกแกะสยามอย่างไรก็เป็นลูกแกะผู้เสียเปรียบอยู่วันยังค่ำ จึงต้องเป็นฝ่ายชดใช้ค่าปรับสงคราม

 

ฝรั่งเศสเรียกร้องค่าเสียหาย ด้วยอ้างว่าฝ่ายสยามเป็นผู้เปิดศึกก่อน ไม่ว่าจะเจรจาความกันอย่างไรสยามก็ต้องเสียเปรียบอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง ต้องเสียเงินให้กับฝรั่งเศสไป 3 ล้านฟรังก์ ภายใน 48 ชั่วโมง  สยามไม่มีเงินเพียงพอ ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประชุมเสนาบดีเจ้ากระทรวงต่างๆ ทั้งหมด เพื่อหาทางที่พระที่นั่งจักรีฯ เป็นการด่วน เนื่องจากเงินสยามไม่ได้มีมากมายในท้อง พระคลัง ในที่สุดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็โปรดให้นำเงินถุงแดงออกมาให้ฝรั่งเศส  คำว่าเงินถุงแดง อาจเรียกตามถุงที่เก็บเงินไว้ เป็นพระราชทรัพย์ที่เก็บไว้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ชนิดของเงินชาวบ้านสมัยนั้นเรียกว่า เงินเหรียญนก เป็นเงินของประเทศเม็กซิโก เงินของสยามแม้จะมี แต่ไม่ได้รับการยอมรับในตลาดค้าขายต่างประเทศ สยามจึงหันไปใช้เงินเหรียญนกของเม็กซิโกเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนซื้อขายกับชาวต่างประเทศ แน่นอนว่า ฝรั่งเศสไม่รับเงินพดด้วง หรือเงินไทยแน่ๆ

 

ความเป็นมาของเงินถุงแดง มีเรื่องเล่าว่า สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงรับสั่งให้เก็บเงินไว้ในถุงแดง มีเจ้านายคนหนึ่งถามว่า จะเก็บเงินส่วนนี้ไว้ทำอะไร ทรงมีพระราชดำรัสเล่นๆ ว่า จะเก็บเอาไว้ไถ่บ้านไถ่เมืองไม่คาดฝันว่า ในที่สุดก็ได้นำมาไถ่บ้านไถ่เมืองจริงๆ

 

เมื่อโปรดเกล้าฯให้เอาออกมานับ ปรากฏว่าได้ถึง 3 หมื่นชั่ง หรือประมาณ 2,400,000 ฟรังก์เท่านั้น ส่วนที่ยังขาดอยู่ จำเป็นต้องหามาเพิ่มเติม ถ้าหามาไม่ได้ทันเวลาที่กำหนด บ้านเมืองสยามยามนั้น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า หมาป่าเจ้าเล่ห์จะตะครุบอะไรสวาปามเข้าไปอีก เมื่อประชุมกันแล้ว ทางออกก็คือ รวบรวมเอาจากพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการฝ่ายใน กลางสถานการณ์คับขัน บ้านเมืองตกอยู่ในมรสุมอันบ้าคลั่ง ทุกคนต่างช่วยผ่อนคลายได้ดี ในที่สุดเงิน 3 ล้านฟรังก์ก็ได้ครบจำนวน  เงินนี้ ต้องใช้รถม้าบรรทุกกันออกมาจากพระบรมราชวังเป็นขบวนยาวเหยียด ผ่านฝูงชนที่มามุงดูกันที่ประตูวังแน่นขนัด ต่างพากันส่งเสียงร้องไห้กันระงม เซ็งแซ่ ล้อรถม้าบดเป็นทางยาวไปบนหินปูนบนถนนในวังเป็นรอยล้อรถที่ขนเงินจำนวนมากมหาศาลไปครั้งนั้น ซึ่งหนักมากเพราะเป็นเงินแท้ๆ หลายร้อยถุง

 

รอยล้อรถม้าที่บดหินแตกด้วยความหนักของเงิน ไหนเลยจะเท่าความปวดร้าวของใจชาวสยามยามเมื่อ พ.ศ.2436 นั้น แม้เราจะสูญเสียอย่างหนักหน่วง แต่ฝรั่งเศสกลับหาได้เอมอิ่มกับน้ำตาของสยามไม่ ในหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศส ยังตัดพ้อขุนนางสยามด้วยว่า นำเงินใส่กระสอบป่านคุณภาพไม่ดีเอาไปให้ ทำให้ฝรั่งเศสต้องลำบากในการขนย้าย  ดังปรากฏว่าข้อในหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศส ฉบับวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ.1893 ว่า  เรือลูแตงของเราได้ขนย้ายเงินอันเป็นสินไหม ค่าปรับในการของเราที่ปากน้ำเป็นเหรียญเงินเม็กซิโกจำนวน 801,282 เหรียญ โดยมีน้ำหนักเหรียญละ 27 กรัม รวมทั้งสิ้น 23 ตัน แล้วในที่สุดเงินก็ถูกขนออกมาจากบางกอกโดยเรือเพียงลำเดียว  เมื่อมาถึงนั้น เรือเพียบหนักจนกราบเรือปริ่มน้ำหมด ทุกห้องในเรือใช้บรรทุกกระสอบใส่เงินกองเป็นภูเขาเลากา เสนาบดีคลังของสยามนี้น่าถูกตำหนิที่สุด ได้ใช้กระสอบป่านคุณภาพเลวใส่เหรียญจำนวนมากนี้ทำให้กระสอบขาดชำรุดในระหว่างเดินทางมา คนของเรานำขึ้นมาจากเรือไม่ได้ ต้องนำถังตวงนับร้อยใบลงเรือไปขนขึ้นมา

 

หลังเหตุการณ์ ร.ศ.112 สยามต้องเสียเงินไป 3 ล้านฟรังก์ ด้วยน้ำตาที่ร่ำไห้ด้วยความเจ็บแค้น เนื่องจากฮึดฮัดอะไรออกมา ก็ต้องเสียเปรียบทุก ประตู ไล่เลียงจากการเสียเงินค่าปรับสงครามเป็นต้นมา สยามต้องเสียการดูแลในลาว เขมรส่วนนอก อันหมายถึงบริเวณพนมเปญเรื่อยไปจดเวียดนาม ต่อมาก็เสียการดูแล เขมรส่วนใน อันหมายถึง พระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ตามสนธิสัญญาที่ตามมาคือ สนธิสัญญา ค.ศ.1904 และ ค.ศ.1907 ปราสาทพระวิหารถูกฝรั่งเศสขีดเส้นไป เมื่อทำแผนที่สยามกับอินโดจีนฝรั่งเศส หลังสนธิสัญญา ค.ศ.1907 แต่เนื่องจากอยู่ในป่ารกเรื้อ ทั้งสยามและเขมรต่างไม่ได้เข้าไปดูแล สืบมาสยามเข้าไปดูแลก่อน และได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของไทยไว้

 

ต่อมาปี พ.ศ.2502 เจ้านโรดมสีหนุได้ฟ้องศาลโลก ให้สยามที่เป็นไทยไปแล้วคืนปราสาทพระวิหารให้กับกัมพูชา ในที่สุดศาลโลกตัดสินให้ไทยคืนปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาไปเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ.2505 เป็นที่ชัดเจนว่า ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาไปแล้ว ตามคำตัดสินของศาลโลก นับแต่บัดนั้น แต่ปัญหาเรื่องเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชายังดำรงอยู่ เพราะแนวเขตแดนยังมีอยู่หลายจุดที่ยังตกลงกันไม่ได้ ทำให้เกิดปัญหากระทบกระทั่งระหว่างกันเรื่อยมา  อาจกล่าวอย่างรวบรัดได้ว่า เราต่างมีแผลใจที่นักล่าอาณานิคมเปิดไว้ให้ แผลจะขยายออกหรือสมานเป็นเนื้อเดียวกัน ย่อมขึ้นอยู่กับผู้นำทั้งสองประเทศจะนำพาไปทางไหน  ผู้นำเราเข้าใจประวัติศาสตร์และรู้เท่าทันหรือไม่ สงครามระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ควันปืนยังไม่ทันจาง ย่อมเป็นคำตอบได้ดี.

 

 

http://www.thairath.co.th/column/pol/page1scoop/182118

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น หมาป่าดำ (mistiest-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-06-28 16:38:44 IP : 223.205.54.206


ความคิดเห็นที่ 5 (2979083)
avatar
jaka

ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆนะคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น jaka วันที่ตอบ 2011-07-24 16:23:22 IP : 125.24.19.222


ความคิดเห็นที่ 6 (2979328)
avatar
soontorn1

บ้านเรือนเคียงกันเป็นมิตรกันดีกว่าเป็นศัตรู ช่วยกันหาผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ มาแบ่งปันกันน่าจะมีความสุขทุกๆฝ่าย อย่าให้พวกโลภมาก มาเสี้ยมให้ทะเลาะกันเลย สงสารทหารที่ไปรบครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น soontorn1 (soontorn1-at-sanook-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-09 22:00:45 IP : 110.77.238.240



1


Copyright © 2010 All Rights Reserved.