The Last Days of Hitler วาระสุดท้ายของฮิตเลอร์
avatar
หมาป่าดำ


user image

 The Last Days of Hitler

วาระสุดท้ายของฮิตเลอร์ 

ฮิวจ์ เทรเวอร์-โรเปอร์ เขียน 

จักรกฤษณ์ อุทโยภาศ แปล

สนพ. มติชน พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม 2555   352 หน้า

หนังสือเล่มนี้แปลจาก The last days of Hitler  ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 7 ปี 1995 โดยโรเปอร์ผู้ได้รับหน้าที่ทำการสืบสวนและทำ "รายงานข่าวกรองเรื่องฮิตเลอร์ตายของอังกฤษ" จากนั้นเขาได้นำรายงานนั้นมาเขียนเป็นหนังสืออีกที ในปี 1947

เนื้อหาเป็นเรื่องราวในช่วง 10 วันสุดท้ายก่อนฮิตเลอร์เสียชีวิตจนถึงการยอมแพ้ของเยอรมัน ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับตัวฮิตเลอร์เองและบุคคลรอบข้าง ทั้งเรื่องส่วนตัว หน้าที่การงาน และการศึกการสงคราม โดยสอบสวนจากพยานบุคคลผู้อยู่ในเหตุการณ์และบันทึกเอกสาร ซึ่งนอกจากเรื่องของฮิตเลอร์แล้ว ยังมีการขยายความไปยังบุคคลสำคัญต่างๆ ของ "ราชสำนักของฮิตเลอร์" ขณะนั้น ว่าใครทำอะไรกันในช่วงนั้น มีทั้งเกมการเมือง การช่วงชิงอำนาจ การทรยศหักหลังและการพยายามรักษาชาติให้ดำรงต่อไปให้ได้

บทสุดท้ายเป็นการวิเคราะห์ของผู้เขียนถึงวัฒนธรรมทางการเมืองของคนเยอรมันที่นำมาสู่การมีฮิตเลอร์

ในบทนำมีการพูดถึงการใช้เรื่องการเสียชีวิตของฮิตเลอร์เป็นเกมการเมืองของรัสเซียอีกด้วย

อ่านจบแล้วหนังสือเล่มนี้ถือได้ว่าเป็นรายงานที่สมบูรณ์ที่สุดเกี่ยวกับการเสียชีวิตของฮิตเลอร์  ส่วนในเรื่องบุคคลรอบข้างต่างๆ ของฮิตเลอร์ถือว่าธรรมดาในการพยายามช่วงชิงอำนาจกัน อาจจะด้วยการเป็นคู่สงครามกันหรือกระแสชิงชังนาซีในช่วงนั้น ผู้เขียนจึงพยายามเขียนเชิงตำหนิกลุ่มคนเหล่านั้น

 

ถ้อยคำน่าสนใจจากหนังสือ

 

ใครก็ตามที่อยู่ในฐานะต้องรับผิดชอบสอบสวนเรื่องเช่นนี้ ในไม่ช้าก็จะพบกับความจริงสำคัญข้อหนึ่งที่ว่า คำให้การของคนเราแต่เพียงอย่างเดียวนั้นไม่มีค่าใดๆ เลย นี่เป็นข้อให้นักประวัติศาสตร์พึงมีสำนึกระวังไว้ (28)
 
นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษชื่อเจมส์ สเปดดิง กล่าวไว้ว่า เมื่อต้องพิสูจน์ความจริง นักประวัติศาสตร์ทุกคนควรตั้งคำถามว่า ใครเป็นคนพูดคนแรก? และเขารู้เรื่องมาอย่างไร? (28)
 
ทรราช นั้นจะต้องถูกทำลายให้ย่อยยับ แต่การฆ่าประจานเอาขึ้นตะแลงแกงให้เลือดนองก็มีอันตรายในตัว การกำจัดเช่นนั้นถึงแม้จะได้ผลดีในเวลานั้น แต่ก็มักจะตามมาด้วยการหลั่งเลือดในภายหลัง
เพราะจะทำให้เกิดอนุสรณ์สถานของความตาย มีคนมาสักการะที่ประหาร โดยทั่วไปพวกบอลเชวิกรัสเซียจึงชอบวิธีกำจัดอย่างเงียบๆ ให้ชื่อศัตรูค่อยๆ เลือนหายไปในหลุมศพที่ไร้ชื่อ ในวันที่ไม่แน่นอน และไม่มีอนุสรณ์ใดเหลือให้เคารพ (69)
 
เขามักจะพูดว่าหนทางที่จะยกคนเป็นพระเจ้าได้ จะต้องมาจากการทำลายล้างที่ติดตาติดใจอย่างแซมซันที่กาซา ที่ลากเอาวิหารของศัตรูพินาศไปพร้อมกับตัว (70)
 
หมีรัสเซียตายแล้ว แต่ยังไม่ยอมแพ้เท่านั้นเอง (83) 
 
"ถ้าประชาชนเยอรมันแพ้ในคราวนี้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ชนชาตินี้อ่อนแอเกินกว่าจะคงอยู่ในประวัติศาสตร์โลกได้อีก สมควรแต่จะต้องถูกทำลายไปเสีย" (130)
 
คำสอนของพารีโต "รัฐควรหาประโยชน์จากเรื่องที่คนจดจำไว้ในใจ อย่าเสียเวลาไปพยายามลบมันเสีย" (130)
 
เราว์ชนิงที่เขียนไว้ว่า "นัยน์ตาของฮิตเลอร์ไม่เป็นสีฟ้าจัดและดูไม่ลึก เวลามองใครก็เหมือนจ้องอย่างเย็นชา ไม่มีประกายสุกใสแสดงชีวิตชีวาให้เห็น" ...ฮิตเลอร์มีดวงตาของนักสะกดจิต สามารถสะกดให้คนอื่นรักใคร่นับถือ และตกอยู่ใต้อำนาจ...แม้แต่คนอย่างพวกหมอ
ก็ยังยอมรับว่าดวงตาสีฟ้าปนเทาที่ดูไม่ใสสว่างคู่นี้มีเสน่ห์ดึงดูดใจอย่างประหลาด เป็นจุดเด่นชดเชยให้ส่วนอื่นที่ดูไม่ได้เลยของฮิตเลอร์ และยังบอกว่า "รูปถ่ายไม่มีทางจะถ่ายทอดเสน่ห์อำนาจของใบหน้านี้ออกมาได้เหมือนจริงเลย" อำนาจดึงดูดใจนี้ยังคงอยู่กับฮิตเลอร์
จนวาระสุดท้าย และสิ่งนี้เองที่ทำให้อธิบายได้ว่า "ทำไมฮิตเลอร์จึงยังคงสามารถควบคุมผู้คนอยู่ได้จนถึงสัปดาห์สุดท้ายของชีวิต (156)
 
แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เคยคิดอยากจะเป็นเหมือนคนอื่นๆ ที่ใส่ร้ายเขาเพื่อแก้ตัวให้ตัวเอง" สเปียร์ (170)
 
สเปียร์พูดถึงอีวา เบราน์ไว้ว่า "นักเขียนประวัติศาสตร์ทุกคนต้องผิดหวังในตัวอีวา เบราน์ คนอ่านประวัติศาสตร์ก็คงต้องผิดหวังเช่นกัน ชีวิตของผู้หญิงคนนี้ไม่ได้มีสีสันเหมือนเมียเก็บของทรราชคนอื่นๆ ...แต่จะว่าไปแล้วฮิตเลอร์ก็ไม่เหมือนทรราชทั่วไปเช่นกัน
เขาไม่ใช่คนชนิดที่จะปล่อยตัวให้หมกมุ่นในราคะ ภายใต้อารมณ์ดุเดือดเผ็ดร้อน ความมักใหญ่ใฝ่สูง และความเชื่อมั่นในตัวเอง ตัวตนฮิตเลอร์ที่แท้จริงเป็นแค่คนชั้นกลางธรรมดารักบ้านช่อง และชอบกินอยู่อย่างธรรมดา เพราะเหตุนี้เขาจึงรักผู้หญิงธรรมดาๆ อย่างอีวา เบราน์ (181)
 
จริงๆ แล้วก็ดูเหมือนว่าฮิตเลอร์ติดจะกลัวผู้หญิงด้วยซ้ำ กลัวว่าผู้หญิงจะมาแทรกแซงการเมือง เขาเกลียดกลัวการเมืองประเภท "เข้าทางหลังบ้าน" ที่สุด (182)
 
 

 



ผู้ตั้งกระทู้ หมาป่าดำ (mistiest-at-hotmail-dot-com) กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2012-05-16 02:06:34 IP : 223.206.29.238


1

ความคิดเห็นที่ 1 (2980428)
avatar
หมาป่าดำ

 น่าเศร้าที่ไม่มีนายทหารสักนายใส่ใจศพท่านผู้นำเลย มีแต่ฉันคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าศพอยู่ที่ไหน (305)

 
นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษชื่อทอมัส คาร์ลือเลอ มีความเห็นว่าอำนาจนั้นคู่ควรกับบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ กับวีรบุรุษที่กำหนดตัวเองได้ ไม่ใช่กับสถาบันหรือคนอื่นๆ ที่ด้อยกว่า หากชาติใดเกิดมีบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ขึ้นแล้ว
ชาตินั้นก็ควรจะยินดีเดินตามความคิดเขา ไม่ใช่หาทางจำกัดความยิ่งใหญ่ของคนผู้นี้ ... หลักการของคาร์ลือเลอ ข้อแรกคือ "ความยิ่งใหญ่" ที่ว่าต้องไปในทางที่ถูก และข้อที่สอง ตัวตนของคนผู้นั้นต้องคงที่เสมอ เพราะบุคคลผู้ยิ่งใหญ่จะคงอำนาจเด็ดขาด
อยู่ได้ก็ตราบเท่าที่เขายังคง "ยิ่งใหญ่" อยู่ (334)
 
 
เขาจับจุดประชาชนได้และใช้มันเป็นแรงกระตุ้นมวลชน...ฮิตเลอร์ค้นพบวิธีใหม่ๆ เพื่อหาประโยชน์จากเรื่องพวกนี้ แล้วเขาก็กล้าพอที่จะใช้มัน แถมยังใช้ได้อย่างฉลาดเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย จุดมุ่งหมายของเขาชัดเจน นโยบายของเขา
คงเส้นคงวา วิธีการของเขาหลากหลาย ใช้ได้จริงและมีประสิทธิภาพ (335)
 
ปราชญ์คนหนึ่งที่เสียดสีชะตากรรมของพวกกาฝากจักรวรรดิโรมันไว้ว่า "เมื่อวานนี้ยังเป็นตัวตลกประจำหมู่บ้าน วันนี้ได้เป็นถึงตุลาการชี้เป็นชี้ตาย พรุ่งนี้ต้องกลายเป็นคนเฝ้าส้วมไปเสียแล้ว" (338)
 
และเพื่อช่วยบรรเทาความรู้สึกผิดชอบในใจ คนเยอรมันจึงได้คิดปรัชญาใหม่ๆ ขึ้นมาปลอดบใจตัวเอง คือปรัชญามาร์กซิสต์ที่บอกว่า การเมืองเป็นแค่รูปหนึ่งของความสัมพันธ์ในสังคมเท่านั้น
ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร และปรัชญาของพวกเทคโนแครตที่เห็นว่าไม่จำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวกับการเมือง (344)
 
นาซีนั้นไม่เคยชนะหรือเกือบชนะสงครามเลย สิ่งที่เกือบจะชนะสงคราม คือการอุตสาหกรรมและกองทัพของเยอรมันต่างหาก" (344)
ผู้แสดงความคิดเห็น หมาป่าดำ (mistiest-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-05-16 02:11:40 IP : 223.206.24.146


ความคิดเห็นที่ 2 (2980429)
avatar
หมาป่าดำ
image

 หนังสือเล่มนี้เคยแปลมาแล้ว โดยผู้ทรงแปลพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ แบบย่อความ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น หมาป่าดำ (mistiest-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-05-16 02:19:54 IP : 223.206.24.146


ความคิดเห็นที่ 3 (2980430)
avatar
หมาป่าดำ
image

 ทรงนิพนธ์ส่วนหนึ่งของคำนำในฉบับแปลไว้ว่า

"แต่ถ้าจะแปลหนังสือเหล่านั้นอย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบก็จะเสียวเวลามากและจะทำให้ได้แต่น้อยเรื่อง ไม่สมประสงค์ที่จะให้คนไทยมีหนังสือที่สำคัญและแพร่หลายได้อ่านมากๆ จึงได้คิดจะย่อหนังสือเหล่านั้นและแปลออกมาอีกทีหนึ่ง พอให้ได้ความตอนสำคัญ  หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้าง..."

ผู้แสดงความคิดเห็น หมาป่าดำ (mistiest-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-05-16 02:25:10 IP : 223.206.24.146



1


Copyright © 2010 All Rights Reserved.