ชาญชัย (Leo53)
หมายเหตุจาก Webmaster@iseehistory.com : แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่มีเนื้อหาที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในยุคสมัยใดโดยตรง แต่ได้มีการกล่าวถึงสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ของต่างประเทศ ซึ่งผู้เขียนต้องการนำเสนอแง่คิดบางประการ ในที่นี้จึงขอนำมา "ฝาก" ไว้ในกลุ่มบทความภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ ไว้ก่อน
“A time for us, some day there'll be
When chains are torn by courage born of a love that's free
A time when dreams so long denied can flourish
As we unveil the love we now must hide
A time for us, at last to see
A life worthwhile for you and me
And with our love, through tears and thorns
We will endure as we pass surely through every storm
A time for us, some day there'll be a new world
A world of shining hope for you and me”
Love Theme From Romeo and Juliet
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์รักโรแมนติคแบบเบาๆ เดินเรื่องง่ายๆไม่ซับซ้อน ผู้ชมสามารถคาดเดาเรื่องราวว่าจะดำเนินไปอย่างไรได้แทบจะทุกขั้นทุกตอน จุดเด่นของเรื่องนี้อยู่ตรงที่การเดินเรื่องโดยอิงกับ “บ้านของจูเลียต” ในเมืองเวโรน่า ประเทศอิตาลี ซึ่งปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศอิตาลี ทุกปีมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกไปเยี่ยมชมประมาณปีละกว่า 500,000 คน และเพิ่มมากขึ้นทุกๆปี นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีคนไปเยี่ยมชมมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศรองลงมาจากพิพิธภัณฑ์วาติกัน ซึ่งหลังจากภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายไปทั่วโลกแล้วตัวเลขอาจพุ่งแรงแซงพิพิธภัณฑ์วาติกันเลยก็ได้! มีผู้หญิงทุกวัยตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงวัยชราพากันไปเขียนจดหมาย หรือบันทึกข้อความ ระบายความทุกข์ ความในใจ เรื่องราวปัญหาความรัก ความสับสน และขอคำแนะนำจากจูเลียต แปะไว้ที่กำแพงใต้ระเบียงบ้านที่เชื่อกันว่าเป็นสถานที่ซึ่งโรเมโอแอบเข้าไปพบจูเลียตในค่ำคืนแรกหลังจากที่ได้พบกันในงานเลี้ยงตอนหัวค่ำ และถ้าโชคดีก็จะได้รับจดหมายตอบกลับจาก "จูเลียต" อีกด้วย!
รูปที่ 1 บ้านของจูเลียต ในเมืองเวโรน่า อิตาลี ทุกปีมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกจำนวนมากกว่า 500,000 คนไปเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ จากรูปจะเห็นคู่รัก ไปถ่ายรูปกันตรงระเบียงที่เชื่อกันว่าโรเมโอแอบเข้าไปพบจูเลียตเป็นครั้งแรก ส่วนรูปทางขวาเป็น บันทึกข้อความต่างๆเกี่ยวกับความรัก และจดหมายที่บรรดาผู้หญิงที่มีทุกข์ในรัก เขียนถึงจูเลียตเพื่อขอคำแนะนำ แปะติดไว้ที่กำแพงบ้าน และถ้าโชคดีอาจได้รับจดหมายตอบกลับจาก “จูเลียต” ด้วย
นางเอก โซฟี ฮอล (อาแมนดา ไซเฟรด) ทำงานเป็นผู้ตรวจหาข้อเท็จจริง (Fact Checker) .ให้กับนิตยสารเดอะนิวยอร์คเก้อร์ ในอเมริกา เธอเดินทางไปพักผ่อนที่อิตาลีกับคู่หมั้นของเธอ วิคเตอร์ (กาเอล กาเซีย เบอร์นัล) นัยว่าเพื่อกระตุ้นความรักให้สดใสซาบซ่าอีกครั้งก่อนที่จะกลับมาเข้าพิธีแต่งงาน เมื่อถึงอิตาลีแล้ววิคเตอร์ก็มัวแต่ใช้เวลาจดจ่ออยู่กับการติดต่อหาสูตรอาหารและไวน์เด็ดๆของอิตาลี่เพื่อจะนำกลับไปใช้กับภัตตาคารของเขาที่อเมริกา โซฟีเบื่อที่จะต้องเดินทางเป็นเพื่อนเขาไปติดต่อเรื่องสูตรอาหารสูตรไวน์ทุกวัน เธอจึงใช้เวลาท่องเที่ยวไปดูสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในอิตาลี่
รูปที่ 2 โซฟี ฮอล นางเอกทำงานเป็นผู้ตรวจสอบความจริงของนิตยสารแห่งหนึ่ง คู่หมั้นของเธอ วิคเตอร์ เป็นเจ้าของภัตตาคารแห่งหนึ่ง เขาหมกมุ่นอยู่กับการคิดสูตรอาหารและสูตรไวน์ต่างๆ เขาชวนเธอไปเที่ยวอิตาลีด้วยกันเพื่อพักผ่อนก่อนจะกลับมาเข้าพิธีแต่งงาน
เธอเดินไปตามถนนในเมืองจนกระทั่งพบ “บ้านของจูเลียต” ซึ่งทำให้เธอรู้สึกแปลกใจและประทับใจ เพราะมีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมกันมาก มีทั้งคู่รักที่ไปถ่ายรูปกันโดยเฉพาะตรงระเบียงที่เชื่อกันว่าเป็นระเบียงที่โรเมโอแอบไปพบจูเลียตเป็นครั้งแรก และผู้หญิงจำนวนมากกำลังเขียนจดหมายเพื่อแปะไว้ที่กำแพง บางคนก็กำลังร้องไห้ ในขณะที่กำลังจะเดินกลับออกมานั้นเธอก็เผอิญเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง “อีซาเบลล่า” ถือตะกร้าเดินเก็บจดหมายทุกฉบับที่แปะอยู่บนกำแพง เธอจึงเดินตามไปจนถึงห้องทำงานของอีซาเบลล่า เธอจึงได้ทราบว่าที่บ้านของจูเลียตนั้น ทางการของอิตาลีได้จัดให้มีมีอาสาสมัครหลายคนมานั่งทำงานทุกวันในฐานะ “เลขาของจูเลียต” ผู้หญิงเหล่านี้ทำหน้าที่สำคัญคือช่วยกันอ่านจดหมายทุกฉบับที่เขียนถึงจูเลียต และถ้าฉบับใดเห็นว่าสมควรจะต้องให้คำแนะนำก็จะตอบจดหมายฉบับนั้นในนามของ “จูเลียต”
รูปที่ 3 เมื่อไปถึงอิตาลี วิคเตอร์เอาแต่ออกไปติดต่อหาสูตรทำอาหาร สูตรไวน์ ฯลฯ เพื่อนำกลับไปพัฒนารายการอาหารที่ภัตตาคารของเขา โซฟีจึงขอไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในเมืองแทน และเธอก็เดินมาถึง “บ้านของจูเลียต”
อีซาเบลล่าและทีมงานชวนโซฟีไปทานอาหารเย็นวันรุ่งขึ้น เมื่อโซฟีไปถึงและช่วยอีซาเบลล่าเก็บจดหมายใส่ตะกร้านั้น อิฐก้อนหนึ่งหลุดออกมาพร้อมกับจดหมายที่เธอดึงออก เมื่อเธอมองเข้าไปก็พบจดหมายฉบับหนึ่งเขียนไว้โดย “แคลร์ วาเนสซ่า เรดเกรฟ)” ซึ่งเขียนทิ้งไว้ 50 ปีแล้ว เมื่อเธออ่านจดหมายของแคลร์แล้วเธอรู้สึกต้องการจะตอบจดหมายฉบับนี้ซึ่งอีซาเบลล่าและเพื่อนๆก็อนุญาต หลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ ชาลี (คริสโตเฟอร์ อีแกน) หลานชายของแคลร์ก็พาแคลร์มาอิตาลี และพบกับโซฟี
รูปที่ 4 พวกผู้หญิงพากันเขียนโน้ตบ้างจดหมายบ้างบรรยายความในใจเกี่ยวกับความรักของพวกเธอ บางฉบับก็เป็นจดหมายขอคำแนะนำจากจูเลียต หลายคนก็กำลังร้องไห้อยู่ด้วย
รูปที่ 5 อาสาสมัครที่ทำหน้าที่เลขาของจูเลียตจะเก็บจดหมายและโน้ตที่กำแพงมาทุกวันและอ่านดูถ้าพบว่ามีฉบับใดสมควรได้รับคำแนะนำก็จะเขียนตอบและลงชื่อผู้ตอบว่า “จูเลียต” ภาพทางขวาโซฟีไปช่วยเก็บจดหมายและก้อนอิฐก็ตกลงมาขณะที่เธอดึงจดหมาย (ผู้เขียนคือแคลร์) ออกมา เมื่อมองเข้าไปเธอพบจดหมายถึงจูเลียตฉบับหนึ่งซึ่งอยู่ที่นั่นมาแล้ว 50 ปี เมื่ออ่านเนื้อความเธอต้องการที่จะตอบมาก และบรรดาเลขาของจูเลียตก็อนุญาตให้เธอเขียนตอบได้
รูปที่ 6 โซฟีอาสาไปช่วยแคลร์ตามหาลอเรนโซ (คนรักเก่าของแคลร์)ให้ ทักษะที่เธอมีในฐานะผู้สอบหาความจริงทำให้เธอช่วยแคลร์ได้มาก
เนื่องจากแคลร์บังคับให้ชาลีพาเธอมาอิตาลีเพื่อพบกับเลขาของจูเลียตคนที่ตอบจดหมายของเธอ เขาต่อว่าเธอว่าจดหมายของเธอไม่เหมาะสมกับเวลาขณะนี้มันควรจะมาถึงย่าของเขาเมื่อ 50 ปีก่อน และเขาไม่เห็นด้วยกับการที่ย่าของเขาจะมาตามหาคนรักเก่า (ลอเรนโซ)ในขณะนี้เพราะอาจทำให้เธอเสียใจได้ในหลายๆกรณีเช่น ลอเรนโซ (คนรักเก่าของย่าเขา ไม่ต้องการพบเธอ, เขาป่วยหนักและเสียชีวิตไปแล้ว ฯลฯ เขาปฏิเสธไม่ให้โซฟีพบย่าเขา แต่นางเอกก็ติดตามเขาไปจนกระทั่งได้พบกับแคลร์ โซฟีขอร่วมเดินทางติดตามหาลอเรนโซ กับแคลร์ด้วยเนื่องจากคู่หมั้นของเธอยุ่งอยู่กับงานเขาและเธอมีเวลาพอที่จะเดินทางไปด้วย และเธอเห็นว่าเรื่องของแคลร์น่าสนใจมาก เธออยากนำไปเขียนเป็นบทความต่อไป ซึ่งแคลร์ดีใจและยินดีให้เธอร่วมทางไปด้วย
รูปที่ 7 มีคนนามสกุลลอเรนโซหลายคนในเมืองนี้ แคลร์ต้องผิดหวังหลายครั้ง และเมื่อเธอตามไปจนพบหลุมศพของผู้ชายที่ชื่อลอเรนโซคนหนึ่ง เธอจึงถอดใจยอมแพ้และตั้งใจจะเดินทางกลับอังกฤษ
รูปที่ 8 ในระหว่างเดินทางกลับนั้นเอง โดยไม่คาดคิด และอาจเป็นสวรรค์บันดาล แคลร์ก็ได้มีโอกาสพบคนรักของเธอ ลอเรนโซ
ในระหว่างการติดตามหาลอเรนโซ โซฟีได้ใช้ความรู้ในการสืบหาบุคคลในฐานะที่เธอมีอาชิพเป็นผู้ตรวจหาความจริงช่วยในการติดตามหาลอเรนโซ อย่างไม่ย่อท้อแม้จะผิดหวังหลายครั้งหลายครา โดยทั้งแคลร์และโซฟีไม่หมดกำลังใจแม้ว่าชาลีจะไม่เห็นด้วยก็ตาม จนกระทั่งได้พบกับลอเรนโซในที่สุด ในขณะนั้นลอเรนโซก็เป็นพ่อม่ายเช่นเดียวกันทั้งสองคนดีใจมากที่ได้พบกันอีกและตกลงแต่งงานกัน ในระหว่างนั้นชาลีเองก็เกิดหลงรักโซฟีขึ้นมาเช่นกัน แต่เขาไม่กล้าเอ่ยปากแสดงความในใจออกมา จนกระทั่งแคลร์ต้องบอกเขาว่าถ้าไม่อยากต้องเสียเวลาในชีวิตไปสูญเปล่าเหมือนย่าเขาก็ให้รีบตามไป หลังจากนั้นพระเอกก็ติดตามนางเอกไปแต่ก็มีเหตุบังเอิญให้ต้องคลาดกันและเข้าใจผิดกันจนพระเอกถอดใจยอมแพ้ แต่ในที่สุดนางเอกก็รู้สึกว่าจริงๆแล้วตัวเองไม่ได้รักคู่หมั้นอีกต่อไปแล้วแต่รักพระเอก เธอจึงบอกยกเลิกการแต่งงานและเดินทางไปพบชาลีในงานวันแต่งงานของแคลร์กับลอเรนโซ แล้วเรื่องก็จบลงด้วยความสุขแฮปปี้เอนดิ้งตามที่ผู้ชมทุกคนสามารถคาดได้
รูปที่ 9 .ในงานแต่งงานของแคลร์กับลอเรนโซ โซฟี่บอกเลิกกับคู่หมั้นของเธอและเดินทางไปร่วมงานแต่งงาน และหลังจากความเข้าใจผิดระหว่างกันได้รับการแก้ไขแล้ว เรื่องก็จบลงด้วยความสุข แฮปปี้เอนดิ้ง ตรงระเบียงบ้านทำนองเดียวกับที่โรเมโอได้เคยพบและบอกรักกับจูเลียตนั้นเอง
ดังที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่าประเด็นที่น่าสนใจของภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ตรงที่การเดินเรื่องโดยอิงกับ “บ้านของจูเลียต” เป็นฉากหลังที่สำคัญ บ้านของจูเลียตนี้นับได้ว่าเป็นผลงานชิ้นเอกชิ้นหนึ่งของทางการท้องถิ่นในเมืองเวโรนาที่ รู้จักใช้ประโยชน์จากวรรณกรรมชิ้นเอกของโลกที่กล่าวถึงเรื่องราวในตำนานที่อิงถึง จูเลียต คาปูเล็ท และบ้านของเธอในเมืองเวโรน่า ความจริงแล้วไม่มีหลักฐานแน่ชัดใดๆเลยที่ชี้บอกว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านของจูเลียต ในวรรณกรรมอมตะของเช็คเสปียร์ บ้านหลังนี้เป็นบ้านของตระกูล Capello ในราวศัตวรรษที่ 13 ซึ่งอยู่ในเมืองเวโรน่า และอ่านออกเสียงใกล้เคียงกับ Capulet :ซึ่งเป็นนามสกุลของจูเลียต โดยทั่วไปเชื่อกันว่าเช็คสเปียร์นำนิยายพื้นบ้านปรัมปราที่เคยเกิดขึ้นในเมืองเวโรน่าไปแต่งเป็นบทละครเรื่อง Romeo and Juliet ขึ้นมา (ทำนองเดียวกับที่ไทยเราก็มีการแต่งเรื่องแม่นาคพระโขนง และแผลเก่า ฯลฯ จากนิยายพื้นบ้านเช่นกัน) ผู้ที่ไม่เห็นด้วยโต้แย้งว่าบ้านหลังนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆกับจูเลียตในวรรณกรรมอมตะของเช็คสเปียร์ โดยเฉพาะระเบียงบ้านที่อ้างว่าเป็นสถานที่ที่โรเมโอแอบเข้าไปพบกับจูเลียตเป็นครั้งแรกนั้น ไม่ได้มีมาพร้อมกับตัวบ้านแต่เพิ่งจะมาสร้างขึ้นในภายหลัง!
รูปที่ 10 โอลิเวียร์ ฮัซซีย์ “จูเลียต” ใน Romeo and Juliet เวอร์ชั่น ปี 1968 ที่ถือกันว่าเป็นเวอร์ชั่นคลาสสิค และ จูเลียตในเรื่องเป็นจูเลียตที่สวยที่สมบทบาทที่สุดในทุกๆเวอร์ชั่นที่เคยมีการสร้างกันมา ในภาพ จูเลียตกำลังรำพึงรำพรรณความในใจของตนที่เกิดรักแรกพบ และคร่ำครวญถึงโรเมโอ
การลงทุนของทางการอิตาลีที่สร้าง “บ้านของจูเลียต” ขึ้นมาจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มเกินคุ้ม เพราะบ้านหลังเดียวไม่กี่สตางค์ กับค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาบ้าน และการจัดให้มีอาสาสมัครมาทำหน้าที่เลขาของจูเลียตนั้น เมื่อเทียบกับรายได้มหาศาลที่ประเทศอิตาลีได้จากนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกนั้นเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย เหตุผลที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกแห่กันมามากมายนั้นน่าจะเป็นเพราะความขลังของ “จูเลียต” ในวรรณกรรมเรื่อง “โรเมโอกับจูเลียต” ที่ประทับตราตรึงอยู่ในใจของคนเกือบทั้งโลกมากกว่าที่จะเป็นตัวบ้านที่ถูกกำหนดให้เป็น “บ้านของจูเลียต” นับว่าอิตาลีสามารถใช้ประโยชน์จากวรรณกรรมเรื่องโรเมโอกับจูเลียตที่มีเนื้อหาพาดพิงถึงเมืองเวโรน่า ได้อย่างดีที่สุด
สำหรับคนไทยเราอาจรู้สึกแปลกๆที่คู่แต่งงานในเรื่องคือ แคลร์กับลอเรนโซนั้น อายุอยู่ในราว 70 ปีด้วยกันแล้วทั้งคู่ สามารถอธิบายได้ด้วยคำคมที่งดงามในภาพยนตร์ คือประโยคที่ โซฟี ตอบ ชาลี ตอนที่เขากล่าวโทษเธอว่าการตอบจดหมายของเธอไร้สาระเพราะควรจะตอบมาตั้งแต่เมื่อ 50 ปีที่แล้ว โซฟีตอบว่า “I’m sorry. I didn’t know true love had an expiration date (ดิฉันขอโทษคะ ดิฉันไม่ทราบว่ารักแท้มีวันหมดอายุด้วย)” ส่วนที่ผมแปลกใจก็คือผู้หญิงที่มีทุกข์ในรักจำนวนมากเหล่านี้ คิดได้ยังไงถึงเขียนจดหมายขอคำแนะนำจากจูเลียต สำหรับคนไทยเราอาจรู้สึกแปลกๆที่คู่แต่งงานในเรื่องคือ แคลร์กับลอเรนโซนั้น อายุอยู่ในราว 70 ปีด้วยกันแล้วทั้งคู่ สามารถอธิบายได้ด้วยคำคมที่งดงามในภาพยนตร์ คือประโยคที่ โซฟี ตอบ ชาลี ตอนที่เขากล่าวโทษเธอว่าการตอบจดหมายของเธอไร้สาระเพราะควรจะตอบมาตั้งแต่เมื่อ 50 ปีที่แล้ว โซฟีตอบว่า “I’m sorry. I didn’t know true love had an expiration date (ดิฉันขอโทษคะ ดิฉันไม่ทราบว่ารักแท้มีวันหมดอายุด้วย)” ส่วนที่ผมแปลกใจก็คือผู้หญิงที่มีทุกข์ในรักจำนวนมากเหล่านี้ คิดได้ยังไงถึงเขียนจดหมายขอคำแนะนำจากจูเลียต จูเลียตจะช่วยพวกเธอได้ยังไง ในเมื่อจูเลียตเองนั้น ตัวเธอเองยังเอาตัวไม่รอดเลย?
ภาพปกของภาพยนตร์
หมายเหตุ:
ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ : Letters to Juliet
ชื่อภาษาไทย : สะดุดเลิฟที่เมืองรัก
ผู้กำกำกับ : Gary Winick
บทภาพยนตร์ : Jose Rivera, Tim Sullivan
ผู้สร้าง : Summit Entertainment, Applehead Pictures
ผู้แสดง :
Amanda Seyfried Sophie
Marcia DeBonis Lorraine
Gael García Bernal Victor
Giordano Formenti Viti Coltore
Paolo Arvedi Signor Ricci (Olive Farmer)
Dario Conti Cheese Supplier
Ivana Lotito Young Girl
Luisa Ranieri Isabella
Marina Massironi Francesca
Lidia Biondi Donatella (as Lydia Biondi)
เนื่องจากบทความนี้เป็นลิขสิทธิ์อัน ชอบธรรมของผู้เขียน และอาจะมีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลบ้างตามความเหมาะสม ในการนำบทความไปเผยแพร่ในเว็บไซต์อื่นๆ จึงขอความร่วมมือให้ใช้วิธีการคัดลอกเฉพาะ Link หรือ URL Address แทนการคัดลอกบทความทั้งหมด หากมีการคัดลอกไปในลักษณะแอบอ้างเป็นผู้เขียน หรือมีเจตนาอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อทางเว็บ iseehistory.com แล้ว จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดตามกฎหมาย
กระทู้ที่เกี่ยวข้อง
เรียนเชิญสมาชิกร่วมแสดงความคิดเห็นที่ด้านล่างสุดของหน้าเว็บ (ต้องสมัครและ Login ก่อน) ผู้ชมทั่วไปหรือสมาชิกที่ต้องการโพสต์รูป เชิญร่วมแสดงความเห็นได้ที่เว็บบอร์ด "คุยกันหลังฉาก" ในกระทู้ที่มีอยู่แล้ว หรือ สร้างกระทู้ใหม่ (คลิกที่นี่) ครับ
ภาพยนตร์ตัวอย่าง (Trailer) จาก www.youtube.com
ทางเว็บไม่มีนโยบายนำภาพยนตร์ฉบับ เต็มมาให้ดูออนไลน์หรือให้ดาวน์โหลดเนื่องจากเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์และไม่ มีพื้นที่สำหรับเก็บไฟล์ภาพยนตร์