(เผยแพร่ครั้งแรกที่ rojn.blogth.com/HistoryMovies/ Sun-21-May-2006 )
บิสมาร์ค อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่อันเนื่องจากการรวมแว่นแคว้นต่างๆ ในเยอรมันเป็นประเทศได้สำเร็จ ได้เคยพูดแบบกึ่งเตือนกึ่งพยากรณ์เอาไว้ว่า เยอรมันจะเป็นมหาอำนาจได้แต่ในทางบกเท่านั้น หลังจากนั้นเป็นต้นมา สงครามโลกทั้งสองครั้งได้พิสูจน์คำพูดของบิสมาร์คได้เป็นอย่างดี
โดยเฉพาะในสงครามโลกครั้งที่สองนั้น ในช่วงแรกหลังจากกองทัพนาซีปะสพความสำเร็จในการรบทางบก จนถึงขั้นยึดประเทศฝรั่งเศสได้ และทำเอากองทัพอังกฤษเกือบตกทะเลที่เมืองดันเคิร์ก ไปแล้วนั้น ปัญหาสำคัญคือจะจัดการกับอังกฤษต่อไปอย่างไรดี เพราะแสนยานุภาพทางเรือของเยอรมันนั้นสู้อดีตจ้าวทะเลอย่างอังกฤษไม่ได้แน่ และที่สำคัญคือเยอรมันได้เสียเรือรบดีๆ ไปมากในการรบกับอังกฤษเพื่อยึดครองนอร์เวย์ก่อนหน้านี้
หุ่นจำลองเครื่องบินแบบ Spitfire ของกองทัพอากาศอังกฤษ ที่อาจถือเป็นพระเอกตัวจริงของเรื่องนี้ ภาพจาก www.tamiya.com
ทางเลือกสุดท้ายคือการใช้กำลังทางอากาศ อันเป็นที่มาของการเปิดศึกทางอากาศครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์โลก การรบครั้งนี้ได้รับการขนานนามจากนักประวัติศาสตร์ว่า Battle of Britain ซึ่งต่อมา หลังสงครามสงบ ทางฮอลลีวู้ดก็ได้สร้างหนังชื่อเดียวกันนี้ เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว
นับเป็นภาพยนตร์เรื่องยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่งอย่างแท้จริง ที่ในยุคที่สร้างนั้น เขาสามารถหาเครื่องบินสมัยสงครามโลกมาเข้าฉากได้นับเป็นสิบเป็นร้อยลำ และสารพัดรุ่น ไม่ว่าจะเป็น สปิตไฟร์ของอังกฤษที่ดูเหมือนจะเป็นเครื่องบินรบที่ดีที่สุดในสงคราม เครื่องบินขับไล่ของเยอรมันทั้งแบบ จมูกแดง จมูกเหลือง และเครื่องบินทิ้งระเบิด Heikel นำมาบินเป็นฝูงเต็มท้องฟ้า มีเครื่องบินที่ถูกทำลายในฉากสารพัดรูปแบบ ทั้งที่ถูกทำลายขณะจอดเฉยๆ ขณะกำลังขึ้นบิน ถูกยิงระเบิดกลางอากาศ หรือถูกยิงแล้วค่อยๆ ร่วงลงโหม่งพื้นโลก และตกทะเล ไม่ทราบว่าไปสรรหามาจากไหนได้มากมายขนาดนั้น และมีการวางแผนในการกำกับมุมกล้องกันอย่างไร
หุ่นจำลองเครื่องบิน Messerschmitt Bf109E-4/7 ของกองทัพอากาศเยอรมัน ภาพจาก www.tamiya.com
จะมีจุดด้อยสักนิดเดียวเพียงสองประเด็น อย่างแรกคือตลอดทั้งเรื่องเราจะไม่เห็นลำแสงของกระสุนปืนที่สาดเข้าใส่กันเหมือนที่เราเห็นในหนังที่ช่างภาพสงครามถ่ายไว้ให้เราดูเลย กับในเรื่องที่ไม่มีการขึ้น Subtitle บอกวันเดือนปีในประวัติศาสตร์เลย
จากเว็บไซต์ Wikipedia พอจะได้ข้อมูลเพิ่มขึ้นมาว่า ยุทธการครั้งนี้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 1940 (พ.ศ. 2483) จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม ปีเดียวกัน (แต่นักประวัติศาสตร์เยอรมันจะถือว่ายุติในเดือนพฤษภาคม ปีถัดไป รายละเอียดคงไม่อาจกล่าวในที่นี้ได้) และได้มีการแบ่งยุทธการครั้งนี้ออกเป็น 4 ช่วงด้วยกัน แต่ที่ดูจากในภาพยนตร์ เราอาจรู้สึกคล้ายกับว่ามันมีแค่สองช่วง คือ ช่วงแรกที่ทางเยอรมันเน้นการโจมตีสนามบินต่างๆ ทางชายฝั่งของเกาะอังกฤษด้านที่ติดกับฝรั่งเศส กับช่วงที่สอง ที่เปลี่ยนเป้าหมายมาโจมตีกรุงลอนดอน ทั้งๆ ที่ในช่วงแรกยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
หุ่นจำลองเครื่องบินรุ่น Focke-Wulf Fw190D-9 ของกองทัพอากาศเยอรมัน ภาพจาก www.tamiya.com
เหตุที่เยอรมันหันมาโจมตีลอนดอนทั้งๆ ที่ยังไม่สามารถทำลายฝูงบินคุ้มกันของอังกฤษได้นั้น ตามเรื่องบอกว่า ในคืนวันหนึ่ง นักบินทิ้งระเบิดกลางคืนของเยอรมันเกิดหลงทาง อยากจะรีบบินกลับ ก็เลยรีบทิ้งระเบิดให้พ้นๆ เครื่องไปโดยไม่รู้ว่ากำลังบินอยู่เหนือกรุงลอนดอน ซึ่งตอนแรกฮิตเลอร์มีคำสั่งห้ามไว้ก่อน ทางอังกฤษจึงแก้แค้นด้วยการส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดกรุงเบอร์ลินบ้าง ฮิตเลอร์จึงพิโรธโกรธกริ้ว จนต้องเปลี่ยนเป้าหมายไปถล่มลอนดอนอย่างหนัก ปัญหาที่ตามมาคือเครื่องบินขับไล่ของเยอรมันที่ต้องบินไกลขึ้น จะมีเวลาอยู่เหนือกรุงลอนดอนประมาณ 10 นาที ทำให้คุ้มกันเครื่องบินทิ้งระเบิดได้ไม่เต็มที่ จนนำมาสู่ความล้มเหลวของปฏิบัติการในที่สุด
อังกฤษเอง กว่าจะเอาชนะศึกครั้งนี้ได้ก็เลือดตาแทบกระเด็น นอกจากจำนวเครื่องบินในตอนเริ่มต้นจะมีน้อยกว่าเยอรมันถึง 1 ต่อ 4 แล้ว ยังขาดแคลนผู้ทำหน้าทีนักบินอีกเป็นจำนวนมาก จนต้องอาศัยนักบินอาสาสมัครต่างชาติ ที่สำคัญได้แก่ โปแลนด์ กับ เชคโกสะโลวะเกีย ซึ่งเป็นชาติที่ถูกเยอรมันยึดครองก่อนหน้านี้
สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ หากท่านตัดความรู้สึกชิงชังสงครามออกไปได้ ท่านจะได้ชมฉากการรบบนท้องฟ้าที่สวยงามเกือบตลอดทั้งเรื่อง ใครจะลงทุนสร้างหนังสงครามทางอากาศอย่างนี้ได้บ่อยๆ ?
เนื่องจากบทความนี้เป็นลิขสิทธิ์อัน ชอบธรรมของผู้เขียน และอาจะมีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลบ้างตามความเหมาะสม ในการนำบทความไปเผยแพร่ในเว็บไซต์อื่นๆ จึงขอความร่วมมือให้ใช้วิธีการคัดลอกเฉพาะ Link หรือ URL Address แทนการคัดลอกบทความทั้งหมด หากมีการคัดลอกไปในลักษณะแอบอ้างเป็นผู้เขียน หรือมีเจตนาอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อทางเว็บ iseehistory.com แล้ว จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดตามกฎหมาย
ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ : Battle of Britain
ชื่อภาษาไทย : สงครามอินทรีเหล็ก
ผู้สร้าง : Harry Saltzman, S. Benjamin Fisz
ผู้กำกำกับ : Guy Hamilton
ผู้เขียนบท : James Kennaway, Wilfred Greatorex
ผู้แสดง : Laurence Olivier, Hein Riess, Trevor Howard, Robert Shaw, Christopher Plummer, Michael Caine, Edward Fox, Susannah York, Ian McShane, Kenneth More, Ralph Richardson, Patrick Wymark, Michael Redgrave, Curt Jurgens, Nigel Patrick, etc.
ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ
จำนวนนักบินต่างชาติที่ร่วมรบกับกองทัพอากาศอังกฤษ
Polish 139
New Zealander 98
Canadian 86
Czechoslovakian 84
Belgian 29
Australian 21
South African 20
French 13
Irish 10
Unknown 8
American 7
Jamaican 1
Palestinian (Jewish) 1
Southern Rhodesian 1
กำลังรบ
อังกฤษ มีเครื่องบินขับไล่ในตอนเริ่มแรก 700 ลำ (มีการผลิตเพิ่มในระหวางการรบ) ขณะที่เยอรมันมีเครื่องบินทิ้งระเบิด 1,260 ลำ เครื่องบินดำทิ้งระเบิด 316 ลำ เครื่องบินขับไล่ 1,089 ลำ
ความสูญเสีย
อังกฤษเสียเครื่องบินรวม 1,547 ลำ พลเรือนเสียชีวิต: 27,450 คน บาดเจ็บ 32,138 คน ขณะที่ฝ่ายเยอรมันเสียเครื่องบินรวม 1,887 ลำ
ควรอ่านเพิ่มเติม
กระทู้ที่เกี่ยวข้อง
เรียนเชิญสมาชิกร่วมแสดงความคิดเห็นที่ด้านล่างสุดของหน้าเว็บ (ต้องสมัครและ Login ก่อน) ผู้ชมทั่วไปหรือสมาชิกที่ต้องการโพสต์รูป เชิญร่วมแสดงความเห็นได้ที่เว็บบอร์ด "คุยกันหลังฉาก" ในกระทู้ที่มีอยู่แล้ว หรือ สร้างกระทู้ใหม่ (คลิกที่นี่) ครับ
หากเป็นสมาชิก Facebook แสดงความเห็นได้ในฟอร์มข้างล่างนี้ครับ
ภาพยนตร์ตัวอย่าง (Trailer) จาก www.youtube.com
ทางเว็บไม่มีนโยบายนำภาพยนตร์ฉบับ เต็มมาให้ดูออนไลน์หรือให้ดาวน์โหลดเนื่องจากเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์และไม่ มีพื้นที่สำหรับเก็บไฟล์ภาพยนตร์