


|
แม้ว่าโดยส่วนตัวผมจะชอบและต้องการเน้นภาพยนตร์เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง แต่การที่ได้ย้ายบทความจากในบล็อกมายังเว็บไซต์แห่งนี้ในเดือนมกราคม 2550 ซึ่งเป็นเดือนที่ภาพยนตร์เรื่อง "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช" กำลังจะเข้าฉาย ทำให้อยากเขียนบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยเพิ่มเติมไว้สักหน่อย จึงได้หยิบเอาภาพยนตร์เรื่อง "พิชัยดาบหัก" มาดู โดยคาดว่าภาพยนตร์ไทยระยะหลังๆ มีคุณภาพมากขึ้นไม่น้อยแล้ว และรู้สึกว่าการนำเสนอจุดจบของทหารเอกท่านนี้ที่ได้ยอมสละชีวิตตาม สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ไปนั้น เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังพอสมควร จึงอยากรู้ว่าผู้สร้างแก้โจทย์อย่างไร ผลที่ได้ปรากฏว่ายังผิดหวังในหลายๆ เรื่อง
การดำเนินเรื่องของภาพยนตร์นั้น ส่วนหนึ่งก็ยอมรับว่าผู้สร้างได้พยายามดำเนินตามตำนานชีวประวัติของท่าน พระยาพิชัยดาบหัก ที่ปรากฏเล่าขานกันอยู่ คือ เริ่มจากการที่นายจ้อยไปมีเรื่องกับลูกเจ้าเมืองพิชัย แล้วหนีไปเรียนมวยกับครูเที่ยง (ได้ชื่อว่า นายทองดี ฟันขาว ในตอนนี้) ครูเมฆ การสร้างชื่อเสียงในการชกมวยในงานไหว้พระแท่นศิลาอาสน์ การชกมวยในพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ต่อหน้า พระยาตาก (สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ในเวลาต่อมา) จนได้เป็นทหารเอกของท่าน การรบป้องกันกรุงศรีอยุธยา การรบป้องกันเมืองพิชัยซึ่งต้องต่อสู้กับแม่ทัพชื่อโปสุพลาจนดาบหัก และวาระสุดท้ายของชีวิต
เมื่อมีการนำชีวประวัติของท่านมาสร้างหนังที่ปกติมีความยาวประมาณ 2 ชั่วโมงนั้น เป็นธรรมดาที่จะต้องมีสิ่งที่ "ขาด" และ "เกิน" ดังเช่นที่ผมได้เคยตั้งข้อสังเกตไว้กับภาพยนตร์บางเรื่องมาแล้ว ปัญหาคือเมื่อมีการตัดแต่งเติมเรื่องเข้ามาแล้ว ผลงานที่ออกมาพอยอมรับได้หรือไม่
ในทัศนะผมแล้ว ยังไม่น่าพอใจครับ
การแต่งเรื่องในแบบไทยๆ ที่จะต้องมี นางเอก ผู้ร้าย และ ตัวตลก ให้ครบสูตรนั้น ค่อนข้างจะขัดความรู้สึกพอควร กล่าวคือ
- จริงอยู่ว่าตามตำนาน ลูกเจ้าเมืองพิชัยคนเก่ากับพวก และบรรดาลูกศิษย์ครูเที่ยงนั้นเป็นอริกับนายจ้อยหรือนายทองดีจริงๆ แต่วิธีการนำเสนอคงตามแบบละครไทยแบบน้ำเน่าเหลือเกิน
- เรื่องของนายบุญเกิด ตามตำนานบอกว่าได้มาเป็นลูกศิษย์นายทองดีภายหลังการชกมวยที่พระแท่นศิลาอาสน์นั้น ในเรื่องกลับแต่งให้นายบุญเกิดเป็น "ตัวตลก" โดยรู้จักกันก่อนที่นายทองดีจะมาเรียนกับครูเมฆ แล้วก็ได้แต่เฝ้าดูนายทองดีฝึกวิชาเฉยๆ ดูขัดกับความเป็นจริงที่ว่าวิชาการต่อสู้ทั้งหลาย นอกจากจะมีครูดีแล้ว ยังจะต้องมี "คู่ซ้อม" ที่ดีด้วย แล้วพอถึงตอนศึกโปสุพลา อยู่ๆ นายบุญเกิดก็นึกฮึดอยากจะออกรบขึ้นมาจนต้องไปเสียชีวิตในสนามรบนั้น กลายเป็นเรื่องที่อ่อนเหตุผลเอามากๆ
- นางเอกของเรื่องนั้น อยู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมา แล้วก็แต่งเรื่องให้ได้แต่งงานกับหลวงพิชัยอย่างรวบรัดมาก
- ในช่วงที่หลวงพิชัยอาสา ไปร่วมรบกับ พระยาตาก ในการป้องกันกรุงศรีอยุธยานั้น ย่นย่ออย่างให้อภัยไม่ได้เลย ดูในเรื่องแล้ว มีแต่ฉากรบสองสามฉาก เหมือนกับว่ารบกับพม่าสักพักก็ได้ชัยชนะ แล้วหลวงพิชัยอาสาก็ได้เป็นพระยาไปครองเมืองพิชัย ดูราวกับว่ากรุงศรีอยุธยาไม่เคยแตก ไม่เคยมีการฝ่าวงล้อมพม่าไปตั้งหลักเมืองจันทบุรี แล้วเอากำลังกลับมากู้กรุงศรีอยุธยา ไม่รู้เลยว่ามีการย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่กรุงธนบุรี แล้วพระยาตากได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินตั้งแต่เมื่อไหร่ การปราบปรามก๊กต่างๆ และรบกับพม่าอีกไม่รู้กี่ครั้งหายไปไหน เรื่องเหล่านี้นอกจากจะเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ที่ไม่ควรหายไปเฉยๆ แล้ว ต้องไม่ลืมด้วยว่า การที่คนเราจะจงรักภักดีกันถึงขนาด "ไม่ยอมเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย" นั้น ย่อมจะเกิดจากการที่ได้ร่วมศึกร่วมทุกข์ร่วมสุขเห็นความเป็นผู้นำของเจ้านายมาเป็นปีๆ
ด้านเหตุการณ์อื่นๆ ในเรื่องปรากฏว่า
- ไม่ทราบว่าผู้เขียนบทมีเหตุผลอะไรที่แต่งให้เกิดเหตุ "ดาบหักครั้งแรก" ในช่วงสงครามที่อยุธยา แทนที่จะเก็บไว้เป็นจุดไคลแม็กซ์ตอนท้ายเรื่อง
- ฉากทหารพม่าของโปสุพลาปล้นฆ่าชาวบ้านนั้น ไม่มีความจำเป็นและไม่เหมาะกับยุคสมัยนี้ ที่จะต้องระวังความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านไว้ด้วย และสงครามในยุคนั้น เขาน่าจะเน้นการกวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลยมากกว่าการฆ่าทิ้งแบบไร้เหตุผล
- ฉากการรบระหว่างพระยาพิชัยกับโปสุพลาจนดาบหักนั้น ไม่ได้ยิ่งใหญ่สมกับที่ควรจะเป็นฉากไคลแม็กซ์เลย เหมือนกับว่าฝ่ายไทยมี พระยาพิชัย กับ นายบุญเกิด อยู่สองคน รบกับพม่าทั้งกอง เอานายบุญเกิดมารบด้วยท่าตลกๆ สักพักก็ถูกรุมตาย แล้วตอนที่ดาบท่านเจ้าคุณหักก็ธรรมดาไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย
- วาระสุดท้ายของพระยาพิชัยก็พอจะรอดปัญหาเซ็นเซอร์ได้อย่างกล้อมแกล้ม และเป็นฉากที่ไม่ค่อยจะโศกอย่างที่ผู้สร้างพยายามให้เป็น
ที่น่าผิดหวังอีกประการคือผู้สร้างยังลงทุนเรื่องการสร้างฉากน้อยมาก ดูเหมือนจะใช้โลเกชั่นวนเวียนอยู่ที่ป่าและหมู่บ้านที่ไหนสักแห่ง ไม่เห็นภาพเมืองหรือชุมชนใหญ่ๆ บ้างเลย ฉากงานชกมวยที่พระแท่นศิลาอาสน์เป็นแค่ลานกว้างริมแม่น้ำแทนที่จะเป็นงานวัดที่ใหญ่โต ฉากการชกมวยต่อหน้าพระยาตากในในพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาก็ไปอาศัยวัดที่ไหนไม่ทราบ และยังถ่ายไปติดอาคารที่ใช้ประตูโครงเหล็กอย่างที่เห็นในภาพที่สาม ซึ่งสมัยนั้นยังไม่มีแน่ๆ กำแพงกรุงศรีอยุธยาก็สร้างอย่างลวกๆ
ส่วนดีของหนังที่พอจะนึกได้ คงเป็นเจตนาดีของผู้สร้างที่พยายามจะถ่ายทอดเรื่องราวของวีรบุรุษไทยสมัยก่อนให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ แต่ขออภัยที่ต้องเรียนตามตรงว่า ผู้สร้างยังทุ่มเทให้กับผลงานชิ้นนี้น้อยเกินไปครับ
ควรอ่านเพิ่มเติม
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%81
|
เนื่องจากบทความนี้เป็นลิขสิทธิ์อัน ชอบธรรมของผู้เขียน และอาจะมีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลบ้างตามความเหมาะสม ในการนำบทความไปเผยแพร่ในเว็บไซต์อื่นๆ จึงขอความร่วมมือให้ใช้วิธีการคัดลอกเฉพาะ Link หรือ URL Address แทนการคัดลอกบทความทั้งหมด หากมีการคัดลอกไปในลักษณะแอบอ้างเป็นผู้เขียน หรือมีเจตนาอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อทางเว็บ iseehistory.com แล้ว จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดตามกฎหมาย
กระทู้ที่เกี่ยวข้อง
เรียนเชิญสมาชิกร่วมแสดงความคิดเห็นที่ด้านล่างสุดของหน้าเว็บ (ต้องสมัครและ Login ก่อน) ผู้ชมทั่วไปหรือสมาชิกที่ต้องการโพสต์รูป เชิญร่วมแสดงความเห็นได้ที่เว็บบอร์ด "คุยกันหลังฉาก" ในกระทู้ที่มีอยู่แล้ว หรือ สร้างกระทู้ใหม่ (คลิกที่นี่) ครับ
หากเป็นสมาชิก Facebook แสดงความเห็นได้ในฟอร์มข้างล่างนี้ครับ
ทางเว็บไม่มีนโยบายนำภาพยนตร์ฉบับ เต็มมาให้ดูออนไลน์หรือให้ดาวน์โหลดเนื่องจากเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์และไม่ มีพื้นที่สำหรับเก็บไฟล์ภาพยนตร์