
webmaster@iseehistory.com
8 มิ.ย. 2550
ก่อนครบรอบ 63 ปี วันดีเดย์ ได้แนะนำภาพยนตร์เกี่ยวกับดีเดย์ไว้หลายเรื่อง เรื่องล่าสุดที่มาแนะนำเมื่อผ่านมาแล้ว 2 วันนี้ จะว่าไม่สำคัญก็ไม่เชิง สิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ต่างจากภาพยนตร์เกี่ยวกับดีเดย์เรื่องอื่นอย่างมาก ตรงที่เป็นเรื่องที่สร้างจากนวนิยายรักสามเส้า ระหว่างสาวอังกฤษนางหนึ่ง กับนายทหารอังกฤษ และนายทหารอเมริกัน บทประพันธ์ของ Lionel Shapiro นั่นคือภาพยนตร์เรื่อง D-Day the Sixth of June (ค.ศ.1956/พ.ศ.2499)
เรื่องเริ่มขึ้นในวันดีเดย์ขณะที่เรือลำเลียงพลของสัมพันธมิตรลำหนึ่ง ที่บรรทุกหน่วยรบพิเศษ 6 อันเป็นกองกำลังผสม อเมริกัน อังกฤษ และแคนาดา ซึ่งออกเดินทางก่อนทหารหน่วยอื่น 40 นาที เพื่อปฏิบัติภารกิจพิเศษอันหนึ่ง บุคคลสำคัญสำหรับเราในที่นี้มีอยู่สองคน คือ พันโทจอห์น วินเทอร์ (Lt. Colonel John Wynter) ทหารอังกฤษซึ่งเป็นผู้บังคับหน่วยรบพิเศษนี้ กับ ร้อยเอก แบรด พาร์คเกอร์ (Captain Brad Parker) ผู้นำของทหารอเมริกันในหน่วยนี้ ทั้งสองต่างย้อนรำลึกถึงความหลังก่อนปฏิบัติการรบครั้งนี้ ซึ่งบังเอิญที่ทั้งสองคนต่างก็ตกหลุมรักสาวอังกฤษคนเดียวกัน คือ วัลเลอรี รัสเซล (Valerie Russell)

วัลเลอรี กับ จอห์น วินเทอร์
เรื่องย้อนไปในราวปี 1942 เมื่อจอห์นยังเป็นร้อยเอกกำลังจะเดินทางไปในสมรภูมิอาฟริกาเหนือ ได้แวะไปร่ำลาวัลเลอรี่ หญิงคนรักที่รู้จักกันได้ไม่นาน เธออยู่กับบิดาซึ่งเป็นนายพลของกองทัพอังกฤษ นายพลรัสเซลเคยออกรบมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 ครั้นมาในสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาได้รับบาดเจ็บจากการบที่ดันเคิร์ก (การบที่ชายหาดฝรั่งเศสที่ทำให้อังกฤษต้องถอนกองทหารครั้งใหญ่ออกจากประเทศฝรั่งเศสก่อนจะถูกเยอรมันตีตกทะเล) จากนั้นมาก็ต้องกลายเป็นนายทหารนอกราชการ อยู่ในความดูแลของวัลเลอรีกับสาวใช้ชาวอินเดีย แต่วัลเลอรีเองก็กำลังจะเดินทางไปทำงานให้กับเหล่ากาชาดอเมริกันที่อีกเมืองหนึ่ง หลังจากจอห์นเดินทางไปได้ไม่นาน ยังไม่ทันที่วัลเลอรีจะไปทำงานให้กับเหล่ากาชาด แบรด พาร์คเกอร์ ซึ่งพึ่งเดินทางมาถึงอังกฤษ ก็มีเหตุบังเอิญให้ต้องมารู้จักกับครอบครัวรัสเซล เนื่องจากท่านนายพลมีเหตุวิวาทกับทหารอเมริกันที่พูดจาดูถูก ทหารอาสารักษาดินแดน หรือ โฮมการ์ด (Homeguard) ของอังกฤษเข้า แบรดจึงได้ตามผู้บังคับบัญชามาเยี่ยมเยียนท่านนายพลและได้พบหน้าวัลเลอรีเป็นครั้งแรก ถัดมาทั้งสองได้เจอกันอีกบนขบวนรถไฟที่บังเอิญทั้งสองใช้เดินทางไปรับงานที่เมืองเดียวกัน จากนั้นทั้งสองจึงได้สนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่ต่างฝ่ายต่างก็มีคนรักอยู่แล้ว คือ วัลเลอรีมีจอห์น และแบรดมีภรรยาอยู่ที่สหรัฐฯ ทำให้ความสัมพันธ์อันหวานชื่นของทั้งสอง แฝงไว้ด้วยความกระอักกระอ่วนอยู่ตลอด

วัลเลอรี กับ แบรด พาร์คเกอร์
เย็นวันหนึ่ง ผู้พันทิมเมอร์ (Lt. Col. Alexander Timmer) ผู้บังคับบัญชาของแบรด ได้เรียกเขาเข้าพบ เพื่อให้นำทิมเมอร์ไปส่งที่ท่าเรือแห่งหนึ่ง เนื่องจากทิมเมอร์ได้รับเชิญให้ไปเป็นผู้สังเกตการณ์ในปฏิบัติการสำคัญครั้งหนึ่ง เรียกกว่าปฏิบัติการจูบิลี่ (Operation Jubilee) อันเป็นการทดลองยกพลขึ้นบกของกองทัพสัมพันธมิตร ณ ชายหาดแห่งหนึ่งในฝรั่งเศสที่ชื่อว่า ดิเอปป์ (Dieppe) ซึ่งมีทหารแคนาดาและอังกฤษเป็นกำลังหลัก ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่าเกิดขึ้นในวันที่ 19 สิงหาคม 1942 (พ.ศ.2485) เป็นปฏิบัติการทางทหารที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า แต่ก็สำคัญกับกองทัพสัมพันธมิตรในแง่ "เอาผิดเป็นครู" คือเก็บข้อมูลมาศึกษาจนสามารถวางแผนยกพลขึ้นบกวันดีเดย์ในภายหลัง ในส่วนที่เกี่ยวกับพระเอกนางเอกของเรานั้น ผู้การทิมเมอร์ได้รับบาดเจ็บมาเล็กน้อย แต่ที่แย่กว่าคือสภาพจิตใจ เขาขอให้แบรดพาไปยังร้านเหล้าแห่งหนึ่ง หลังจากดื่มเข้าไปสองแก้ว ยังไม่ทันจะเมาด้วยซ้ำ ก็หลุดปากโพล่งเกี่ยวกับการรบที่ดิเอปป์ออกมา ซึ่งบังเอิญมีนักข่าวคนหนึ่งอยู่ใกล้ๆ ในร้านนั้นพอดี แม้จะหลุดปากออกไปไม่กี่ประโยค แต่ก็มากพอที่ข่าวเกี่ยวกับดิเอปป์จะถูกตีพิมพ์ในวันรุ่งขึ้น ทีแรกเหมือนจะไม่มีอะไร พระเอกของเราตายใจ พาวัลเลอรีไปพักร้อนชายทะเลสองสามวัน พอกลับมาได้เรื่องเลยครับ ทีมงานของทิมเมอร์โดนเด้งกันไปคนละทิศละทาง รวมถึง ผู้กองแบรด พาร์คเกอร์ ของเรา ถูกส่งไปอัลเจียร์ในเที่ยวบินแรก พอจะไปร่ำลานางเอก ปรากฏว่าเธอไม่อยู่เพราะต้องรีบไปทำศพท่านนายพลรัสเซลคุณพ่อของเธอที่พึ่งฆ่าตัวตาย หลังจากผิดหวังที่กองทัพอังกฤษไม่ยอมรับกลับเข้าทำงาน
ประมาณ 10 เดือนถัดมา แบรดซึ่งอยู่ในอัลเจียร์ ได้รับข่าวจากวัลเลอรีว่า จอห์นได้รับบาดเจ็บและรักษาตัวอยู่ในอิตาลี ส่วนเพื่อนอีกคนหนึ่งมาส่งข่าวว่า ถ้าอยากกลับไปอังกฤษ จะต้องสมัครไปอยู่ในหน่วยรบพิเศษ 6 ซึ่งเป็นกองกำลังผสม อเมริกัน อังกฤษ และแคนาดา และคนที่จะเข้าไปอยู่ในหน่วยนี้ได้จะต้องมีเส้นสายสักหน่อย แต่เรื่องยากก็กลายเป็นง่าย เพราะหัวหน้าหน่วยดังกล่าวก็คือ ผู้พันทิมเมอร์ เจ้านายเก่าของเขานั่นเอง

การฝึกของทหารอเมริกันในหน่วยรบพิเศษ 6
แม้จะต้องมาอยู่ในหน่วยรบพิเศษที่มีการฝึกฝนอย่างหนัก ก็ยังอุตส่ามีเวลากลับมาจู๋จี๋กับวัลเลอรีได้อีก แต่โชคก็ไม่เข้าข้างคนทั้งสองมากนัก เมื่อจอห์น วินเทอร์ กลับมาพร้อมกับยศพันโทและร่างกายที่โทรมหน่อยๆ ทำให้วัลเลอรีต้องทิ้งวินเทอร์กลางงานเลี้ยงกลับไปดูแลเขา ด้านหน่วยรบพิเศษ 6 ข้อเท็จจริงเผยออกมาว่า พวกเขาจะต้องปฏิบัติการรบเพื่อยึดที่หมายที่เรียกว่าแองเจิลพอยต์ (Angel Point) เป็นป้อมปืนใหญ่บนยอดผาที่จะยิงต้านทานทหารอเมริกันที่จะยกพลขึ้นบกในวันดีเดย์ พอใกล้กำหนดการเข้ามา ข้อมูลที่ว่าฝ่ายข้าศึกมีการเสริมกำลังมากขึ้น และไม่สามารถใช้กำลังทางอากาศถล่มล่วงหน้าก่อนได้เพื่อรักษาความลับ ทำให้ผู้พันทิมเมอร์โรคเก่ากำเริบ คือเครียดจนเกิดอาการปากโป้งขึ้นมาอีก และถูกตำรวจอังกฤษจับก่อนปฏิบัติการไม่กี่วัน ทางฝ่ายเบื้องบนก็เครียดกันไม่น้อยกับการหาผู้มาทำหน้าที่แทนเทิมเมอร์ และแล้วผู้ที่ได้รับเลือกให้มาเป็นผู้บังคับการหน่วยรบพิเศษ 6 ก็คือ พันโท จอห์น วินเทอร์ นั่นเอง

แบรด พาร์คเกอร์ กับ จอห์น วินเทอร์ รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันที่ Angel Point

ไม่กี่วันถัดมาก็ถึงวันปฏิบัติการจริง 6 มิถุนายน 1944 (พ.ศ.2487) หน่วยรบพิเศษ 6 ขึ้นฝั่ง ณ ที่หมายก่อนสว่าง และปีนหน้าผาขึ้นไปทำลายปืนใหญ่ในป้อม ซึ่งจะไม่ขอเล่าโดยละเอียด เอาเป็นว่าหน่วยรบนี้ต้องประสบการต้านทานจากเยอรมันอย่างหนักกว่าจะสำเร็จภารกิจได้ สำหรับพระเอกทั้งสองของเรานั้น แบรด พาร์คเกอร์ ถูกยิงบาดเจ็บสาหัส ส่วนผู้พันจอห์น วินเทอร์ ในตอนแรกถูกยิงที่แขนซ้าย ก็ยังอุตส่าใช้แขนขวาข้างเดียวจับปืนสเต็นยิงสู้ข้าศึกจนจบภารกิจ แถมยังได้เดินมาพูดให้กำลังใจแบรดที่ถูกหามลงเปลส่งกลับอังกฤษโดยไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไร ทั้งที่รู้แก่ใจว่าเป็นกิ๊กของแฟนตัวเอง แต่หลังจากนั้นคนแต่งเรื่องก็ช่างแกล้งนางเอก ปล่อยให้จอห์นเดินเหม่อลอยจนพลาดไปเหยียบกับระเบิดตายจนได้ ไม่นานวัลเลอรีทราบข่าวของทั้งสองคน แต่ในเวลาที่เธอมาเยี่ยมแบรดซึ่งกำลังจะถูกส่งกลับอเมริกา ก็ไม่ได้บอกเรื่องของจอห์นแต่อย่างใด หลังจากร่ำลากันที่เตียงคนไข้กันพอสมควรแล้ว ฉากสุดท้ายนางเอกของเราต้องเดินออกจากโรงพยาบาลสนามอย่างเดียวดาย

คุณค่าทางประวัติศาสตร์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ ยังขาดในเรื่องของรายละเอียดข้อเท็จจริงในเหตุการณ์วันดีเดย์ค่อนข้างมาก เพราะมัวแต่ไปเน้นเรื่องรักสามเส้า หน่วยรบพิเศษ 6 ที่เป็นกองกำลังผสม 3 ชาติ และการบุกแองเจิลพ้อยท์นั้น แท้ที่จริงดัดแปลงมาจากภารกิจการโจมตี Pointe du hoc ของหน่วยแรงเยอร์อเมริกัน ไม่มีการพูดถึงทหารหน่วยอื่นอีกเป็นแสนเป็นล้านคน และไม่ได้กล่าวถึงปัญหาลมฟ้าพายุก่อนวันปฏิบัติการที่ทำให้เหล่าทหารหาญต้องถูกกักตัวบนเรือตั้งแต่วันที่ 3 จนหงุดหงิดงุ่นง่านกันทั้งกองทัพ แม้กระนั้นก็ยังมีการกล่าวถึงรายละเอียดบางอย่างที่ไม่ค่อยพูดถึงในภาพยนตร์เรื่องอื่น เช่น หน่วยทหารอาสาโฮมการ์ดของอังกฤษ เหล่ากาชาดสากล ปฏิบัติการจูบิลี่ สภาพบ้านเรือนและสังคมของอังกฤษในยุคนั้น ฯลฯ
ความน่ารักของภาพยนตร์เรื่องนี้คือเป็นรักต้องห้ามยามสงครามที่ไม่มีเรื่องเซ็กซ์เข้ามาเกี่ยวข้อง และอะไรๆ ในเรื่องก็ดูเหมือนจะเป็นสีชมพูไปหมด หาความน่ากลัวจากบรรยากาศสงครามอย่างการทิ้งระเบิดของข้าศึกไม่ได้เลย ส่วนใหญ่เป็นฉากเป็นการจู๋จี๋ระหว่างแบรดกับวัลเลอรีในสถานที่ต่างๆ ที่ดูคลาสสิคและสงบเงียบ เวลาพระเอกนางเอกไปเที่ยวชายทะเลก็พักอยู่คนละห้องกัน เกินเลยกันอย่างมากก็แค่การจูบ ทั้งจอห์นผู้เป็นแฟนของวัลเลอรีและภรรยาของแบรด (ตามที่แบรดเล่าใจความในจดหมายจากเธอ) แม้จะพอทราบความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองก็ไม่ยักกะถือสาหาความอะไร แถมด้วยฉากที่ชายหาดแองเจิลพ้อยท์ หลังจากภารกิจสำเร็จ ก็ยังมีเชลยทหารเยอรมันผู้เงียบเชียบเรียบร้อยช่วยขนเปลคนเจ็บอย่างแบรด ทั้งที่ในความจริง การโจมตี Pointe du hoc ไม่มีการจับเชลยสักคน
ในแง่ประวัติศาสตร์ทางทหาร ต้องถือว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรีของปฏิบัติการในวันดีเดย์เลย แต่หากมองในแง่ประวัติศาสตร์สังคมแล้ว ภาพบรรยากาศของประเทศอังกฤษสมัยนั้น ที่อาจจะโรแมนติคเกินจริงไปบ้าง ก็พอดูกันได้เพลินๆ เหมือนกันครับ

เนื่องจากบทความนี้เป็นลิขสิทธิ์อัน ชอบธรรมของผู้เขียน และอาจะมีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลบ้างตามความเหมาะสม ในการนำบทความไปเผยแพร่ในเว็บไซต์อื่นๆ จึงขอความร่วมมือให้ใช้วิธีการคัดลอกเฉพาะ Link หรือ URL Address แทนการคัดลอกบทความทั้งหมด หากมีการคัดลอกไปในลักษณะแอบอ้างเป็นผู้เขียน หรือมีเจตนาอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อทางเว็บ iseehistory.com แล้ว จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดตามกฎหมาย
ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ : D-Day the Sixth of June
ชื่อภาษาไทย : ยุทธการวันนองเลือด
เรื่องเดิม : นวนิยายจากบทประพันธ์ของ Lionel Shapiro
ผู้สร้าง : Charles Brackett
ผู้กำกำกับ : Henry Koster
ผู้เขียนบท : Harry Brown, Ivan Moffat
ผู้แสดง : Robert Taylor, Richard Todd, Dana Wynter, Edmond O'Brien, John Williams.
ควรอ่านเพิ่มเติม
กระทู้ที่เกี่ยวข้อง
เรียนเชิญสมาชิกร่วมแสดงความคิดเห็นที่ด้านล่างสุดของหน้าเว็บ (ต้องสมัครและ Login ก่อน) ผู้ชมทั่วไปหรือสมาชิกที่ต้องการโพสต์รูป เชิญร่วมแสดงความเห็นได้ที่เว็บบอร์ด "คุยกันหลังฉาก" ในกระทู้ที่มีอยู่แล้ว หรือ สร้างกระทู้ใหม่ (คลิกที่นี่) ครับ
หากเป็นสมาชิก Facebook แสดงความเห็นได้ในฟอร์มข้างล่างนี้ครับ
ภาพยนตร์ตัวอย่าง (Trailer) จาก YouTube
ทางเว็บไม่มีนโยบายนำภาพยนตร์ฉบับ เต็มมาให้ดูออนไลน์หรือให้ดาวน์โหลดเนื่องจากเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์และไม่ มีพื้นที่สำหรับเก็บไฟล์ภาพยนตร์