webmaster@iseehistory.com

วลาดิสลาฟ สปิลมัน ยืนดูทหารเยอรมันเดินแถวเข้ากรุงวอร์ซอว์
ในสงครามโลกครั้งที่สอง เอกลักษณ์อันน่าสพรึงกลัวประการหนึ่ง คือการที่บรรดาพลพรรคนาซีกระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวอย่างขนานใหญ่นับล้านๆ ศพ กลายเป็นสเมือนบาดแผลสำคัญในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ และทำให้ฮิตเลอร์กับพรรคนาซีกลายเป็นผู้ร้ายน่าขยะแขยงมาตลอด แต่สิ่งที่อาจดูเหมือนแปลกคือการที่ในปัจจุบันยังคงมีพรรคนีโอนาซีในต่างประเทศ รวมถึงคนไทยบางคนเองก็ยังเที่ยวแสดงความเห็นในที่ต่างๆ โดยเฉพาะตามเว็บบอร์ดในเชิงว่าเห็นฮิตเลอร์และพรรคนาซีเป็นฮีโร่ กระทำถูกแล้วที่เข่นฆ่าคนจำนวนมากโดยอ้างว่าเป็นชนชาติที่ก่อปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม ว่าไปแล้วจะไปโทษว่าคนพวกนี้โง่เง่า ขวางโลก ไร้มนุษยธรรมเหมือนพวกนาซีได้หรือเปล่าก็ไม่ทราบ ในเมื่อบทบาทของสหรัฐอเมริกาที่ชนะสงครามในครั้งนั้น รวมถึงประเทศอิสราเอลและชาวยิวในหลายๆ ครั้งก็ไม่ได้ดูดีในสายตาชาวโลกและชาวไทยเท่าไหร่นัก เช่น นายจอร์จ โซรอส ที่เป็นต้นเหตุปัญหาเศรษฐกิจไทยเมื่อหลายปีก่อน เกริ่นมาซะยาวขนาดนี้ เพียงเพื่อจะแนะนำให้ท่านได้ชมภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อีกเรื่องหนึ่ง ที่สร้างจากบันทึกเหตุการณ์จริงของนักดนตรีระดับโลกชาวโปแลนด์เชื้อสายยิวที่ต้องเผชิญความยากลำบากในช่วงที่ประเทศโปแลนด์ถูกเยอรมันยึดครองจนแทบเอาชีวิตไม่รอด นั่นคือเรื่องของวลาดิสลาฟ สปิลมัน (Wladylaw Szpilman) ในภาพยนตร์เรื่อง The Pianist ครับ
ภาพยนตร์เริ่มเรื่องในเดือนกันยายน ปี 1939 (พ.ศ.2482) วลาดิสลาฟ สปิลมัน หรือ วลาเดค กำลังเล่นเปียโนให้กับสถานีวิทยุกรุงวอซอว์ ซึ่งเล่นได้ไม่ทันจบก็ต้องเผ่นกลับบ้านเนื่องจากทนการทิ้งระเบิดของฝ่ายเยอรมันไม่ได้จริงๆ ที่บ้าน ครอบครัวของเขา (พ่อ แม่ และพี่น้องชายหญิงอีกสามคน รวมเขาเป็น 6 คน) กำลังเตรียมรับสถานการณ์สงคราม ขณะที่มีข่าวที่เหมือนจะเป็นข่าวดีว่าอังกฤษได้ประกาศสงครามกับเยอรมันแล้ว และฝรั่งเศสกำลังจะประกาศสงครามด้วยเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้มีผลอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เมื่อกองทัพเยอรมันยาตราเข้ายึดครองโปแลนด์โดยสมบูรณ์ ครอบครัวสปิลมันและชาวยิวในโปแลนด์เริ่มผจญชะตากรรมต่างๆ เป็นลำดับ เช่น
- จำกัดจำนวนเงินของชาวยิว ห้ามชาวยิวเข้าร้านอาหาร ใช้สวนสาธารณะ ม้านั่ง และสัญจรบนทางเท้า ฯลฯ
- ประกาศให้ชาวยิวติดสัญลักษณ์ดาว 6 แฉก ตั้งแต่ 1 ธันวาคม 1939 (พ.ศ.2482)
- ให้ชาวยิวอพยพเข้าไปภายในเขตกักกัน (Ghetto) ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 1940 (พ.ศ.2483)

ภาพแผนผังชุมชนหรือเขตกักกันยิวในหนังสือพิมพ์
ขณะอยู่ในเขตกักกัน ครอบครัวสปิลมันได้รับความลำบากยากแค้น แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ลำบากกว่า ขณะที่ชาวยิวที่มีเงินสามารถติดสินบนพนักงาน และพอใช้ชีวิตหรูหราได้บ้าง วลาเดคเองได้งานทำจากการเล่นเปียโนในร้านอาหารของพวกมีเงินนี้เอง

ชาวยิวในเขตกักกันกำลังเดินข้ามสะพานไม้เหนือถนนที่ผ่ากลางชุมชนชาวยิว

ครอบครัวสปิลมันในที่พักคนงานในเขตกักกันยิว
15 มีนาคม 1942 (พ.ศ.2485) แม้ว่าวลาเดคจะสามารถใช้เส้นสายหางานให้คนในครอบครัวทำในโรงงานแห่งหนึ่ง แต่ก็ไม่วายมีทหารเยอรมันมาแยกตัวคนยิวหนุ่มสาวส่วนหนึ่งไป รวมถึงเฮนริกและเฮลินา น้องชายและน้องสาวของวลาเดค ต่อมา วันที่ 16 สิงหาคม ปีเดียวกัน ครอบครัวสปิลมันและชาวยิวอื่นๆ ก็ถูกกวาดต้อนมายังสถานีรถไฟแห่งหนึ่ง ครอบครัวสปิลมันได้พบกับเฮนริกและเฮลินาอีกครั้งหนึ่ง ท่านที่ติดตามประวัติศาสตร์คงพอเดาได้ว่าครอบครัวสปิลมันกับชาวยิวอื่นๆ กำลังเผชิญกับอะไร แต่ขณะที่วลาเดคกำลังเดินตามครอบครัวไปขึ้นรถไฟมรณะขบวนนั้นที่กำลังจะไปยังค่ายนรกที่มีชื่อว่าทริบิงก้า ตำรวจยิวที่รู้จักกับครอบครัวสปิลมันได้แอบช่วยวลาเดคให้รอดพ้นออกมาเพียงคนเดียว

โชคดีคือ วลาเดค รอดชีวิตมาได้ แต่โชคร้ายคือเขาไม่ได้พบกับครอบครัวอีกเลย
วลาเดคต้องผจญความยากลำบากในเขตกักกันยิวต่อไปตามลำพัง โดยได้ไปทำงานเป็นกรรมกรในเขตก่อสร้างแห่งหนึ่ง จนกระทั่งเมื่อเขาพอเห็นช่องทาง จึงได้อาศัยเส้นสายจากพวกที่เป็นขบวนการต่อต้านเยอรมัน ช่วยพาเขาออกจากเขตก่อสร้างไปพบกับเพื่อนสองสามีภรรยาที่เป็นนักแสดง ซึ่งได้ช่่วยเขาให้ไปซ่อนตัวอยู่ในตึกแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากแนวกำแพงที่ล้อมเขตกักกันชาวยิว และแล้ววันหนึ่ง วลาเดคก็ได้เห็นการสู้รบระหว่างพี่น้องชาวยิวของเขาในเขตกักกันกับทหารเยอรมัน ในเหตุการณ์การลุกฮือของชาวยิวที่ประวัติศาสตร์ขนานนามในภายหลังว่า Warsaw Ghetto Uprising เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 19 เมษายน ถึง 16 พฤษภาคม 1943 (พ.ศ.2486) ซึ่งจบลงด้วยความปราชัยของฝ่ายต่อต้านหลังจากที่พยายามต่อสู้มาเกือบเดือน

การสู้รบในเหตุการณ์ Warsaw Ghetto Uprising 1943 ที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาวลาเดค
หลังเกิดเหตุการณ์การลุกฮือของชาวยิวได้ไม่นาน สามีภรรยาที่ช่วยเหลือวลาเดคถูกเยอรมันจับตัว แม้วลาเดคจะไม่อยากย้ายที่ซ่อน แต่เมื่อไม่มีคนส่งเสบียงให้ ในที่สุดก็ต้องหนีไปตามที่อยู่ฉุกเฉินที่เคยได้รับ และได้รับความช่วยเหลือจากโดโรธา น้องสาวของยูเร็ค เพื่อนสมัยที่ยังทำงานสถานีวิทยุซึ่งบัดนี้แต่งงานแล้ว โดโรธากับสามีได้ช่วยหาที่ซ่อนใหม่ให้กับวลาเดค จากแนวคิดที่ว่าที่ๆ อันตรายที่สุดคือที่ๆ ปลอดภัยที่สุด วลาเดคต้องมาหลบซ่อนอยู่ในตึกในเขตเยอรมันซึ่งฝั่งตรงข้ามมีทั้งสถานีตำรวจและโรงพยาบาลทหาร อยู่มาไม่นาน วลาเดคก็ได้พบเห็นสงครามกับตาอีกครั้งในวันที่ 1 สิงหาคม 1944 (พ.ศ.2487) เมื่อชาวโปแลนด์ได้ลุกฮือขึ้นสู้กองทัพเยอรมันบ้าง ในเหตุการณ์ที่ประวัติศาสตร์เรียกขานต่อมาว่า Warsaw Uprising ระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม ถึง 2 ตุลาคม 1944 (พ.ศ.2487) การลุกฮืดครั้งนี้แน่นอนว่าเป็นเพื่อการปลดแอกตนเองจากการปกครองของเยอรมัน แต่ปัจจัยที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันคือกองทัพแดงของรัสเซียที่รุกคืบใกล้เข้ามา ทำให้ชาวโปแลนด์อยากขับไล่เยอรมันด้วยลำแข้งตนเองจริงๆ เพื่อให้รอดพ้นจากการครอบครองของรัสเซีย ซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์ การลุกฮือครั้งนี้ต้องประสบกับความพ่ายแพ้เช่นเดียวกับการลุกฮือของชาวยิว แต่ก็เป็นการลุกฮือที่สู้รบกันอย่างรุนแรง เขตเยอรมันที่วลาเดคหลบซ่อนอยู่ถูกฝ่ายต่อต้านโจมตีอย่างหนัก จนวลาเดคต้องหลบหนีไปยังโรงพยาบาลทหารฝ่ายตรงข้ามซึ่งกลายเป็นตึกร้างไปแล้ว เมื่อฝ่ายเยอรมันพยายามรบชิงพื้นที่คืน วลาเดคต้องหลบหนีปืนไฟข้ามกำแพงไปอยู่ในเขตเมืองร้างที่มีแต่ซากตึกเต็มไปหมด

ภาพการสู้รบในเหตุการณ์ Warsow Uprising 1944
ขณะที่วลาเดคต้องอยู่อย่างอดๆ อยากๆ ในที่ซ่อนใหม่ วันหนึ่งสถานการณ์ของเรื่องก็พลิกกลับ เมื่อวลาเดคได้พบกับนายร้อยเอกทหารเยอรมันมาดเข้มรายหนึ่ง แทนที่เขาคนนี้จะทำร้ายสปิลมันดังเช่นทหารเยอรมันรายอื่นที่วลาเดคเคยเจอ เขากลับไต่ถามสารทุกข์สุขดิบ ขอให้วลาเดคเล่นเปียโนให้ฟัง และขอให้พาไปยังที่ซ่อน วันต่อๆ มา นายทหารผู้นี้ได้นำอาหารมาให้วลาเดค และกลายเป็นผู้ที่ช่วยเหลือเขามาตลอดจนถึงวันที่กองทัพเยอรมันต้องถอยหนีกองทัพแดงโดยทิ้งเสื้อคลุมไว้ให้วลาเดคใส่กันหนาว เสื้อคลุมตัวนี้เกือบทำให้วลาเดคถูกทหารโปแลนด์ยิงตายเพราะนึกว่าเป็นเยอรมัน แต่ที่สุดเขาก็รอดชีวิตมาได้ ขณะที่เจ้าของเสื้อคลุมโชคร้ายกว่า เมื่อมีนักไวโอลินรายหนึ่งไปพบเขาอยู่ในค่ายเชลยศึกของฝ่ายรัสเซีย กว่านักไวโอลินผู้นี้จะพาวลาเดคกลับมายังที่ตั้งค่ายเชลยศึกดังกล่าวได้ วลาเดคก็พบแต่ความว่างเปล่าเสียแล้ว

วลาเดคกับแถวซากตึกอันมหึมาในกรุงวอร์ซอว์
นายทหารเยอรมันคนดังกล่าวมีนามว่า Wilm หรือ Wilhelm Hosenfeld ซึ่งคำบรรยายท้ายเรื่องกล่าวเพียงว่าเขาได้เสียชีวิตในค่ายเชลยศึกของรัสเซีย ในวันที่ 13 สิงหาคม 1952 (พ.ศ.2495) ในประวัติที่มีผู้รวบรวมไว้ได้บ้างกล่าวว่า แม้เขาจะเป็นสมาชิกพรรคนาซีมาตั้งแต่ปี 1935 (พ.ศ.2478) แต่เมื่อได้มาประจำการในโปแลนด์ เขากลับมีความคิดที่สวนกระแสกับกองทัพเยอรมันที่ปฏิบัติการฆ่าฟันผู้คนในประเทศนี้ และได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่ของเขาช่วยเหลือผู้คนทั้งชาวโปแลนด์และชาวยิวเป็นจำนวนมากให้รอดพ้นเงื้อมมือกองทัพเยอรมันไว้ได้ น่าเสียดายว่ากองทัพรัสเซียจับตัวเขาได้ในเวลาต่อมา และไม่เชื่อว่าเขาจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมต่างๆ ของกองทัพเยอรมัน จึงตัดสินลงโทษให้เขาทำงานในค่ายกักกัน 25 ปี จนกระทั่งเสียชีวิตดังที่กล่าว บรรดาลูกหลานของ วลาดิสลาฟ สปิลมัน และผู้ที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากเขาได้เรียกร้องมาตลอดที่จะให้มีการรำลึกถึงความกรุณาของเขา จนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้นี่เอง (ตุลาคม 2007 - พ.ศ.2550) ที่ประธานาธิบดีโปแลนด์ได้ประกาศมอบเหรียญ Commander’s Cross of the Order of Polonia Restituta ให้แก่ Hosenfeld บทความนี้จึงขอร่วมรำลึกและเชิดชูคุณความดีของท่านร้อยเอก Wilhelm Hosenfeld ด้วยเช่นกันครับ

Wilhelm Hosenfeld มาพบวลาเดคในสภาพที่อดโซ หนวดเครารุงรัง ในภาพ เขากำลังขอให้วลาเดคเล่นเปียโนให้ฟัง
ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลและเข้าชิงรางวัลมากมายสุดที่จะแจกแจงได้ ขอให้ตามไปดูข้อมูลจากลิงก์ข้างท้ายนะครับ ผมเองไม่รู้จะสรรหาถ้อยคำใดๆ มาบรรยายชื่นชมได้ ในด้านหนึ่ง ภาพยนตร์ได้สะท้อนให้เห็นถึงความโหดร้ายของความอคติทางเชื้อชาติที่พวกนาซีกระทำต่อชนชาติยิวอย่างโหดร้าย แต่ในอีกด้านหนึ่ง เราก็ไม่สามารถที่จะอคติต่อชนชาติเยอรมันแบบเหมาโหลได้เช่นกัน เพราะคุณความดีของคนอย่าง Hosenfeld ดังที่กล่าว ความรักในเชื้อชาติและประเทศชาติน่าจะเป็นสิ่งที่ดีหากปราศจากอคติต่อคนเชื้อชาติอื่นประเทศอื่น พูดภาษาชาวบ้านง่ายๆ สั้นๆ คือจงเห็นคนอื่นเป็นคนเหมือนเรานั่นแหละครับ
เพิ่มเติม 27 ต.ค. 2550
ลืมบอกประเด็นสำคัญไปเรื่องหนึ่งว่า วลาดิสลาฟ สปิลมัน เคยเรียนเปียโนอยู่ที่เยอรมันเป็นเวลา 3 ปี และกลับจากเยอรมันในช่วงที่พรรคนาซีกำลังเรืองอำนาจ เขาจึงน่าจะระแคะระคายบ้างว่าพวกนาซีมีความรังเกียจยิวอยู่ และในภาพยนตร์หากเลือกฟังซาวด์แทร็กจะมีหลายตอนที่พูดภาษาเยอรมันกัน โดยเฉพาะในฉากที่วลาเดคพบกับผู้กองโฮเซนเฟลด์นั้น นักนิยมซาวด์แทร็กที่ไม่รู้ภาษาเยอรมันอย่าได้ปิดซับไตเติลภาษาไทยเชียวนะครับ
เนื่องจากบทความนี้เป็นลิขสิทธิ์อัน ชอบธรรมของผู้เขียน และอาจะมีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลบ้างตามความเหมาะสม ในการนำบทความไปเผยแพร่ในเว็บไซต์อื่นๆ จึงขอความร่วมมือให้ใช้วิธีการคัดลอกเฉพาะ Link หรือ URL Address แทนการคัดลอกบทความทั้งหมด หากมีการคัดลอกไปในลักษณะแอบอ้างเป็นผู้เขียน หรือมีเจตนาอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อทางเว็บ iseehistory.com แล้ว จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดตามกฎหมาย
ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ : The Pianist
ชื่อภาษาไทย : สงคราม ความหวัง บัลลังก์เกียรติยศ
เรื่องเดิม : บันทึกของ Władysław Szpilman.
ผู้สร้าง : Roman Polanski, Robert Benmussa, Alain Sarde
ผู้กำกำกับ : Roman Polanski
ผู้เขียนบท : Ronald Harwood
ผู้แสดง :
- Adrien Brody - Władysław Szpilman.
- Thomas Kretschmann - Captain Wilm Hosenfeld
- Frank Finlay - Father
- Maureen Lipman - Mother
- Emilia Fox - Dorota
- Ed Stoppard - Henryk
- Julia Rayner - Regina
- Jessica Kate Meyer - Halina
- Michał Żebrowski - Jurek
ควรอ่านเพิ่มเติม
กระทู้ที่เกี่ยวข้อง
เรียนเชิญสมาชิกร่วมแสดงความคิดเห็นที่ด้านล่างสุดของหน้าเว็บ (ต้องสมัครและ Login ก่อน) ผู้ชมทั่วไปหรือสมาชิกที่ต้องการโพสต์รูป เชิญร่วมแสดงความเห็นได้ที่เว็บบอร์ด "คุยกันหลังฉาก" ในกระทู้ที่มีอยู่แล้ว หรือ สร้างกระทู้ใหม่ (คลิกที่นี่) ครับ
หากเป็นสมาชิก Facebook แสดงความเห็นได้ในฟอร์มข้างล่างนี้ครับ
ภาพยนตร์ตัวอย่าง (Trailer) จาก www.youtube.com
ทางเว็บไม่มีนโยบายนำภาพยนตร์ฉบับ เต็มมาให้ดูออนไลน์หรือให้ดาวน์โหลดเนื่องจากเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์และไม่ มีพื้นที่สำหรับเก็บไฟล์ภาพยนตร์