
โดย Webmaster@iseehistory.com
เป็นเรื่องปกติที่ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์สงครามแต่ละเรื่อง โดยเฉพาะแนวแอคชั่นของฮอลลีวู้ด ที่จะถูกสงสัยว่าได้ให้ความเป็นธรรมกับประเทศคู่สงครามเพียงใด เมื่อ Clint Eastwood ได้สร้างเรื่อง Flags of our Fathers ของหนังสือชื่อเดียวกันของ James Bradley นั้น ภาพยนตร์ได้ออกมาในแนวดรามา หรือชีวิตความยากลำบากของฝ่ายอเมริกันในสงครามที่เกาะอิโวจิมา ที่จริงก็ไม่ได้กล่าวถึงฝ่ายญี่ปุ่นในทางที่ไม่เป็นธรรมแต่อย่างใด แม้กระนั้น ด้วยความใจกว้างของคุณปู่คลินท์เอง ความแปลกประหลาดของวงการฮอลลีวู้ดก็บังเกิดขึ้น เมื่อพระเอกฝรั่งรุ่นปู่ท่านนี้ได้วางโปรเจคท์สร้างภาพยนตร์สงครามอีกเรื่องขึ้นมาควบคู่กับ Flags of our Fathers เป็นเรื่องเกี่ยวกับยุทธภูมิที่อิโวจิมาเช่นกัน ในมุมมองของทางฝ่ายญี่ปุ่น ใช้ดาราญี่ปุ่น และพูดภาษาญี่ปุ่นตลอดทั้งเรื่อง แม้แต่ในฉบับ DVD ก็มีแต่ Soundtrack ภาษาญี่ปุ่น ใครอยากดูรู้เรื่องก็ต้องเลือกซับไตเติลภาษาของตัวเองเอา เรียกได้ว่าถ้าพวกมนุษย์ตกข่าวหลังเขามาดูเข้าต้องนึกว่าเป็นหนังญี่ปุ่นแท้ๆ เอาเลย (แต่ในวีซีดีมีพาย์ไทยนะครับ) นั่นคือเรื่อง Letters from Iwo Jima ที่เราจะมาคุยกันในวันนี้

รถถังญี่ปุ่นซึ่งไม่มีอะไหล่ ต้องจอดตั้งไว้เหมือนเป็นป้อมปืนขนาดย่อม
เรื่องเริ่มฉากแรกในปี 2005 (พ.ศ.2548) เมื่อคณะนักโบราณคดีญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งเข้ามาสำรวจถ้ำในเขาแห่งหนึ่งบนเกาะ Iwo Jima ที่ซึ่งทหารญี่ปุ่นเคยใช้เป็นฐานในการต่อสู้กับทหารอเมริกันในสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อคณะสำรวจพบสิ่งผิดปกติที่พื้นถ้ำบริเวณหนึ่งและพยายามจะขุด หนังก็ย้อนกระโดดกลับไปยังช่วงปี 1944 (พ.ศ.2487) Saigo พลทหารญี่ปุ่นหน้าเด็กรายหนึ่ง ทราบภายหลังว่าเป็นคนทำขนมปังที่ถูกเกณฑ์มารบ กำลังขุดสนามเพลาะบนชายหาดของเกาะอิโวจิมา ระหว่างที่ขุดอยู่นั้นก็แอบบ่นไปต่างๆ นานา แต่ก็ไม่รอดพ้นจากการได้ยินของผู้กอง Tanida ไปได้ ขณะนั้นพอดีจังหวะที่นายพลโทคูริบายาชิ (Lieutenant General Tadamichi Kuribayashi) เดินทางมารับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบนเกาะ และเดินสำรวจเกาะกับคณะนายทหารจนมาพบผู้กองทานิดะกำลังใช้ไม้เฆี่ยนตีซาอิโกะกับเพื่อนอยู่พอดี จึงสั่งห้ามและให้ผู้กองลงโทษวิธีอื่นแทน และสั่งยกเลิกการขุดสนามเพลาะชายหาดโดยสิ้นเชิง

นายพลคูริบายาชิ กับ พันโทนิชิ ก่อนเกาะอิโวจิมาถูกโจมตี
การมาของนายพลคูริบายาชิ สร้างความประทับใจให้กับซาอิโกะอย่างมาก แต่กับนายทหารที่จะต้องทำงานด้วยกันแล้ว ได้เกิดความขัดแย้งกับท่านนายพลเรื่องแนวคิดในการป้องกันเกาะ ซึ่งนายทหารส่วนใหญ่เห็นว่าควรสร้างแนวป้องกันที่ชายหาดเพื่อสกัดการบุกของทหารอเมริกันตั้งแต่แรก แต่นายพลคูริบายาชิซึ่งเคยศึกษาอยู่ที่สหรัฐอเมริกา เห็นว่าแสนยานุภาพของฝ่ายอเมริกันน่าจะมีมากพอที่จะทำลายแนวป้องกันของญี่ปุ่นได้ในเวลาอันสั้น และฝ่ายญี่ปุ่นจะไม่มีกองเรือรบมาสนับสนุนตามที่หน่วยเหนือสัญญาเนื่องจากสูญเสียไปแล้วจากการรบครั้งก่อนๆ ท่านนายพลจึงสั่งให้ทหารขุดอุโมงค์ในภูเขาซึ่งจะต้านทานการโจมตีได้ดีกว่าสนามเพลาะที่ชายหาด บรรดานายทหารต้องทำตามอย่างเสียไม่ได้ ยังดีที่ความขัดแย้งนี้ไม่ได้บานปลายจนเป็นอุปสรรคกับการทำงาน ระหว่างเตรียมการตั้งรับนี้มีการเปิดตัวละครสำคัญอีกสองตัว คือ พันโทนิชิ (Lieutenant Colonel Takeichi Nishi) ผู้บังคับการหน่วยรถถังที่ปราศจากอะไหล่จนต้องเอามาตั้งวางเหมือนป้อมปืนขนาดย่อม กับชิมิสึ ทหารใหม่ในกองร้อยของซาอิโกะ อดีตทหารในหน่วย Kempeitai (ขอเรียกง่ายๆ ว่า "สารวัตรทหาร" ก็แล้วกันครับ แม้ว่าในรายละเอียดทหารหน่วยนี้อาจมีอะไรต่างจากสารวัตรทหารที่เราคุ้นเคยบ้างก็ตาม) ที่ถูกปลดเพราะขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา ผู้พันนิชิเป็นทั้งนักเรียนนอกและอดีตนักกีฬาขี่ม้าข้ามเครื่องกีดขวางระดับเหรียญทองโอลิมปิคปี 1932 (พ.ศ.2478) ที่มาเป็นคู่คิดของท่านนายพลคูริบายาชิ (แต่ในวิกิบอกว่าในประวัติศาสตร์ทั้งสองไม่ค่อยถูกกัน) ส่วนชิมิสึความที่เป็นอดีตสารวัตรทหาร และบุคลิกที่เงียบขรึม ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ทำให้ถูกระแวงว่าเป็นสายของหน่วยเหนือ

ชิมิสึ (ซ้าย) กับ ซาอิโกะ (ขวา) ขณะนั่งพักในอุโมงค์
หลังจากนั้นไม่นาน กองทัพสหรัฐฯ ก็เริ่มโจมตีอิโวจิมาทางอากาศ ทำให้บรรดาทหารญี่ปุ่นต้องหมกตัวกันอยู่แต่ในถ้ำและอุโมงค์ที่สร้างขึ้นมา ไม่กี่วันถัดมาก็เริ่มการยกพลขึ้นบก (ตามประวัติศาสตร์คือวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 1945/พ.ศ.2488) รบกันจนถึงวันที่ 26 มีนาคม) นายพลคูริบายาชิสั่งให้ทหารรอจนทหารอเมริกันขึ้นมาเต็มชายหาดจึงเริ่มเปิดฉากการยิง หลังจากปะทะกันดุเดือด สิ่งที่ท่านนายพลคาดการณ์ไว้ไม่ผิด คือบรรดารังปืนกลที่พวกนายทหารขอต่อรองสร้างไว้ตามชายหาดบ้างถูกทหารอเมริกันกวาดล้างไปได้ในเวลาไม่นาน ส่วนกองกำลังที่ขุดอุโมงค์ในเขาซูริบาชิสามารถต้านทานข้าศึกได้นานกว่า แต่ในที่สุดด้วยกำลังพลและกระสุนปืนที่ร่อยหรอ พันเอกอาดาชิผู้บัญชาการกองกำลังที่เขาซูริบาชิได้ตัดสินใจสั่งให้ทหารสละชีพโดยไม่สนใจคำสั่งนายพลคูริบายชิที่ให้ถอนกำลังไปช่วยป้องกันที่มั่นอื่นทางเหนือ กองร้อยของผู้กองทานิดะพากันฆ่าตัวตายด้วยลูกระเบิดอย่างสยดสยอง เหลือแต่ซาอิโกะกับชิมิสึ ที่มีการถกเถียงกันเล็กน้อยก่อนจะพากันหนีไปสมทบกับกองร้อยของผู้กองอิโตะ เรื่องต่อจากนี้ขออนุญาตไม่เล่าละเอียดนะครับ ขอให้ชมจากภาพยนตร์เอาเอง โดยสรุปคือ ฝ่ายญี่ปุ่นสามารถต้านทานทหารสหรัฐฯ ไว้ได้ระยะหนึ่ง ก็ต้องประสบความพ่ายแพ้ ผู้พันนิชิได้รับบาดเจ็บจนตาบอดและฆ่าตัวตายในเวลาต่อมา ผู้กองอิโตะพยายามนำทุ่นระเบิดไปดักทำลายรถถัง แต่ไม่สำเร็จและถูกจับเป็นเชลย ชิมิสึหนีไปยอมจำนนกับทหารอเมริกันในคืนหนึ่ง แต่ถูกทหารที่เฝ้ายิงเสียชีวิต นายพลคูริบายาชินำกำลังทหารที่พอมีเหลือเข้าปะทะข้าศึกแบบพลีชีพจนตายกันทั้งหมด ส่วนซาอิโกะรอดตายเนื่องจากท่านนายพลหลอกใช้ให้ทำหน้าที่ทำลายเอกสารในขณะที่ท่านนำทหารออกรบ โดยซาอิโกะไม่ได้ทำลายจริงๆ เพียงแต่นำเอกสารและจดหมายที่ทุกคนเขียนไว้ไปฝังที่พื้นในอุโมงค์แห่งหนึ่ง และต่อมาได้ถูกจับเป็นเชลย แล้วภาพยนตร์ก็ตัดกลับมาปี 2005 ที่นักโบราณคดีขุดพบเอกสารและจดหมายของบรรดาทหารที่ซาอิโกะฝังไว้นั่นเอง

การดำเนินเรื่องของ Letters from Iwo Jima เข้าใจง่ายกว่า Flags of our Fathers และดูมีรสมีชาติกว่า สงครามโหดโอกินาวา ของบริษัทโตโฮที่เคยนำเสนอมาแล้ว แนวคิดหลักของเรื่องนี้คือปัญหาความขัดแย้งระหว่างอุดมการณ์การต่อสู้จนตัวตาย ที่ตัวละครทหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่ยึดถือ กับปัญหาความเป็นมนุษย์ ดังเช่นความรักตัวกลัวตายเยี่ยงปุถุชนของซาอิโกะและชิมิสึ กับความเป็นผู้นำทางทหารของผู้บัญชาการที่เป็นนักเรียนนอกอย่างนายพลคูริบายาชิ และพันโทนิชิ ซึ่งความจริงไม่ได้ปฏิเสธการสละชีพโดยสิ้นเชิง แต่ได้คำนึงถึงความเป็นมนุษย์และหลักทางยุทธวิธีด้วย จะเห็นได้จากการที่ท่านนายพลช่วยซาอิโกะจากการลงโทษอย่างดุดันของผู้กองทานิดะ และผู้กองอิโตะ การออกคำสั่งให้ทหารที่รอดจากเขาซูริบาชิถอนกำลังไปช่วยป้องกันที่มั่นอื่นแทนการสละชีพ (ซึ่งถูกปฏิเสธในที่สุด) การที่ผู้พันนิชินำเชลยศึกอเมริกันชื่อแซมเข้ามารักษาในถ้ำและพูดคุยอย่างเป็นมิตร แต่ก็ไม่สามารถรักษาชีวิตแซมไว้ได้ และท้ายที่สุดนายทหารทั้งสองก็ต้องสละชีวิตของตนเช่นกัน ส่วนรายที่จะว่าน่าสงสารหรือน่าสมเพชก็แล้วแต่มุมมองคือกรณีที่ผู้กองอิโตะ อุตส่าลงทุนเอาทุ่นระเบิดติดตัว เอาเลือดทหารมาทาหน้าตาเพื่อแกล้งทำเป็นตาย แล้วหวังจะให้รถถังข้าศึกมาทับแล้วระเบิดตายไปด้วยกัน จนแล้วจนรอดก็ไม่มีรถถังอเมริกันคันไหนซุ่มซ่ามมาทับ สุดท้ายต้องเซ็งกับการมีชีวิตต่อในฐานะเชลย คล้ายผู้เขียนจะบอกว่าอุดมการณ์พลีชีพนี้มันขัดกับความเป็นจริงของชีวิตที่บางทีกำหนดอะไรไม่ได้ เช่นอยากตายก็ไม่ได้ตายถ้ายังไม่ถึงเวลา

โดยส่วนตัวแล้ว ความรู้สึกแปลกๆ ที่มีอยู่บ้าง ได้แก่
- ในความจริงกองทัพญี่ปุ่นคงจะเหมือนกองทัพอื่นๆ ที่ต้องมี นายทหารชั้นประทวนคือนายสิบและจ่าอยู่ด้วย แต่พอไม่มีบทบาทของตัวละครในชั้นยศนี้มาคั่นกลางบ้าง เลยรู้สึกเหมือนกับว่ามีแต่พลทหารกับนายทหารระดับนายร้อยขึ้นไป ทำให้ดูขาดๆ ชอบกล
- ลักษณะภาษาที่ซาอิโกะและท่านนายพลคูริบาชิใช้เขียนจดหมายถึงภรรยานั้น บางทีรู้สึกเหมือนสองคนนี้เป็นผู้ชายในสังคมตะวันตกมากกว่าจะเป็นผู้ชายในสังคมญี่ปุ่นยุคนั้นที่ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง หรือว่าผมคิดมากไปเอง?
- ทหารญี่ปุ่นที่ป้องกันมาตุภูมิอย่างยุทธการที่อิโวจิมาหรือโอกินาวาอาจจะดูน่าสงสาร แต่สำหรับประเทศที่เคยถูกกองทัพญี่ปุ่นรุกรานและครอบครองอย่างจีน เกาหลี ฯลฯ ดูหนังเรื่องนี้แล้วจะเห็นใจทหารญี่ปุ่นบ้างหรือเปล่า?
- เรื่องภาษาในซับไตเติ้ลภาษาไทย คงเหมือนอีกหลายเรื่องที่มีขัดๆ บ้าง จะมีนายพลสักกี่คนที่เรียกพลทหารว่า "คุณ" อย่างที่ท่านนายพลคูริบายาชิเรียกซาอิโกะบ้าง ที่หนักที่สุดคือตอนที่บรรดานายทหารพูดถึง "กองเรือพันธมิตร" ที่ชวนให้งงอยู่ เพราะคงไม่ได้หมายถึงกองเรือของสัมพันธมิตรแน่ๆ และญี่ปุ่นเองก็ไม่ได้มีพันธมิตรที่ไหนอยู่ใกล้ๆ เลย พอมาเช็คกับซับไตเติ้ลภาษาอังกฤษ เขาใช้คำว่า "Combined Fleet" ครับ ควรจะใช้ภาษาไทยว่าอะไรลองช่วยกันคิดเป็นการบ้านดู

แต่โดยภาพรวมแล้ว ต้องยกย่องว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของ คลิ้นท์ อีสต์วู้ด ที่ตัวเป็นฝรั่งแต่สามารถสร้างหนังญี่ปุ่นได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ ถ้าว่างๆ ปู่จะมาสร้างหนังไทยบ้างหรือเปล่า? แต่ถ้าเป็นเรื่อง "คู่กรรม" ของคุณป้าทมยันตีแล้ว คนไทยเองเอามารีไซเคิลสร้างบ่อยจนอาจจะช้ำไปนิดนะครับ นอกเรื่องไปหน่อย ขอปิดท้ายเรื่องเลยแล้วกันด้วยคำพูดของคุณปู่คลินท์ในเบื้องหลังการถ่ายทำว่า
"ผมคิดว่ามันสำคัญสำหรับประชาชนชาวญี่ปุ่นที่จะเห็นคุณค่าทหาร แม้ว่ามันจะไม่เกี่ยวกับการชนะหรือแพ้สงคราม ใครชนะหรือใครแพ้ มันเกี่ยวกับการเสียสละที่พวกเขามอบให้ประเทศชาติของพวกเขา จะถูกหรือผิด พวกเขาก็เสียสละ"
"I think it was important for the Japanese public to appreciate the men even though it's not about winning or losing the war, who won or who lost. It's just about the sacrifices they made for their country. Rightly or wrongly, they made them.
คำคมชวนคิด
- ผู้กองที่ดีต้องใช้สมอง ไม่ใช่แส้ นายพลคูริบายาชิ พูดกับ ร้อยเอกทานิดะ
- ถ้าลูกหลานของเราจะได้อยู่อย่างปลอดภัยอีกวันหนึ่ง มันก็จะเป็นอีกวันที่มีค่าที่เราต้องป้องกันเกาะนี้ไว้ นายพลคูริบายาชิ พูดกับ นายพลเรือโอซูกิ
- ผมจะนำหน้าพวกคุณตลอดเวลา นายพลคูริบายาชิ พูดกับ ทหารในบังคับบัญชาก่อนการยกพลขึ้นบกของทหารอเมริกัน
- ทำสิ่งที่ถูกต้องเสมอ เพราะมันถูกต้อง ข้อความในจดหมายของแม่แซม ทหารอเมริกันที่พันโทนิชินำตัวเข้ามารักษา
เนื่องจากบทความนี้เป็นลิขสิทธิ์อัน ชอบธรรมของผู้เขียน และอาจะมีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลบ้างตามความเหมาะสม ในการนำบทความไปเผยแพร่ในเว็บไซต์อื่นๆ จึงขอความร่วมมือให้ใช้วิธีการคัดลอกเฉพาะ Link หรือ URL Address แทนการคัดลอกบทความทั้งหมด หากมีการคัดลอกไปในลักษณะแอบอ้างเป็นผู้เขียน หรือมีเจตนาอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อทางเว็บ iseehistory.com แล้ว จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดตามกฎหมาย
ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ : Letters from Iwo Jima
ชื่อภาษาไทย : จดหมายจากอิโวจิมา ยุทธภูมิสู้แค่ตาย
ผู้สร้าง : Clint Eastwood, Paul Haggis, Steven Spielberg, Robert Lorenz
ผู้กำกำกับ : Clint Eastwood
ผู้เขียนบท : Iris Yamashita, Paul Haggis
ผู้แสดง : Ken Watanabe, Kazunari Ninomiya, Tsuyoshi Ihara, Ryo Kase,
Shidou Nakamura
ควรอ่านเพิ่มเติม
กระทู้ที่เกี่ยวข้อง
เรียนเชิญสมาชิกร่วมแสดงความคิดเห็นที่ด้านล่างสุดของหน้าเว็บ (ต้องสมัครและ Login ก่อน) ผู้ชมทั่วไปหรือสมาชิกที่ต้องการโพสต์รูป เชิญร่วมแสดงความเห็นได้ที่เว็บบอร์ด "คุยกันหลังฉาก" ในกระทู้ที่มีอยู่แล้ว หรือ สร้างกระทู้ใหม่ (คลิกที่นี่) ครับ
หากเป็นสมาชิก Facebook แสดงความเห็นได้ในฟอร์มข้างล่างนี้ครับ
ภาพยนตร์ตัวอย่าง (Trailer) จาก www.youtube.com
ทางเว็บไม่มีนโยบายนำภาพยนตร์ฉบับ เต็มมาให้ดูออนไลน์หรือให้ดาวน์โหลดเนื่องจากเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์และไม่ มีพื้นที่สำหรับเก็บไฟล์ภาพยนตร์