dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



คิลลิ่งฟิลด์ แผ่นดินของใคร ใครล้างผลาญแผ่นดิน
วันที่ 19/05/2013   21:30:55

โปสเตอร์ภาพยนตร์ ตอนที่ปรานกำลังเจรจาเพื่อหาเรือพาพวกเขาไปเนี้ยคหลวง

โดย "คนเล่าเรื่อง"

ภาพยนตร์รางวัลออสการ์ปี ค.ศ. 1984 (พ.ศ.2527) โดยคว้างรางวัลออสการ์ดาราประกอบยอดเยี่ยมจากบทบาทของ ดร. เฮง งอร์ ผู้รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกัมพูชา

เรื่องเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1973 (พ.ศ.2516) ซิดนีย์ ชานเบิร์ก นักข่าวคนสำคัญของนิวยอร์กไทม์ทราบข่าวการทิ้งระเบิดผิดเป้าหมายของเครื่องบินอเมริกันที่เมืองเนี้ยกหลวง เขาพร้อมด้วยดิธปรานล่ามชาวกัมพูชาได้พยายามหาหนทางที่จะไปยังเมืองนี้เพื่อหาข่าวที่แท้จริงให้ได้ แม้ว่าจะมีอุปสรรคจากการขัดขวางของทั้งฝ่ายกัมพูชาและอเมริกันมากเพียงใดก็ตาม

(ซ้าย) ความพินาศของเมืองเนี้ยคหลวง (ขวา) ชาวบ้านที่ได้รับความเสียหายนำซิดนีย์และปรานไปดูความเสียหาย

ที่เนี้ยกหลวง พวกเขาได้ภาพข่าวและเรื่องราวที่แท้จริงบนความเสียหายและซากปรักหักพังของอาคารบ้านเรือน และการเสียชีวิตของผู้คนจำนวนมากที่อเมริกันบอกว่าเสียหายไม่กี่หลังคาเรือน และมีผู้เสียชีวิตไม่กี่สิบคน แล้วได้เห็นการสำเร็จโทษเขมรแดงของพวกทหาร เลยถูกนำไปกักกันตัวจนกระทั่งกลุ่มนักข่าวอเมริกันชุดหลังกำลังเดินทางมาถึงเพื่อทำข่าวตามที่ทางการได้จัดฉากไว้ ทั้งคู่จึงได้รับการปล่อยตัว

ในเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1975 (พ.ศ.2518) กองกำลังเขมรแดงปิดล้อมกรุงพนมเปญไว้หมด นายพลลอนนอลผู้นำประเทศและบรรดาบุคคลสำคัญต่างอพยพออกไปจนหมด ซิดนีย์ตั้งใจที่อยู่ต่อเพื่อทำข่าวพร้อมด้วยเพื่อนนักข่าว เช่น อัล ร็อคออฟ จอห์น สเวน ปรานตัดสินใจอยู่ด้วยความผูกพันกับบ้านเกิดและตัวของซิดนีย์ แต่ได้อพยพครอบครัวออกไปก่อน

ความพ่ายแพ้ของกองทัพรัฐบาลลอนนอล และ ความสะเทือนใจครั้งแรกของสงคราม

เมื่อเขมรแดงเข้ายึดกรุงพนมเปญได้ จึงเริ่มนโยบายจัดระเบียบสังคมด้วยการกวาดล้างศัตรูให้สิ้นซาก ซิดนีย์และพรรคพวกเกือบถูกฆ่าตายโดยพวกเขมรแดงเพราะการเข้าไปทำข่าวความโหดร้ายของสงครามและการกระทำที่ป่าเถื่อนของเขมรแดง ปรานได้ช่วยชีวิตพวกเขาไว้ด้วยการเจรจาต่อรองว่าพวกเขาเป็นนักข่าวฝรั่งเศสและเลื่อมใสในพรรคคอมมิวนิสต์และจะเผยแพร่ชัยชนะของเขมรแดงออกไป (ในเรื่องตอนนี้เขาพูดแต่ภาษาเขมรและไม่มีซับไตเติ้ลภาษาอังกฤษเลย ผมต้องอาศัยชาวเขมรที่รู้จักมาช่วยดูและถ่ายทอดรายละเอียดให้เป็นภาษาไทยอีกทีครับ) แล้วทั้งหมดจึงได้เข้าลี้ภัยในสถานทูตฝรั่งเศสรอเวลาอพยพออกไปยังชายแดนไทย ระหว่างทาง ทุกๆ คนได้เห็นขบวนอพยพของผู้คนนับหมื่นออกไปจากกรุงพนมเปญตามคำสั่งของเขมรแดงด้วยความยากลำบากและทุลักทุเล (ตามคำสั่งบอกว่าอเมริกากำลังจะกลับมาทิ้งระเบิดอีกครั้ง จึงให้ทุกคนอพยพหลบภัย แต่ที่จริง เป็นแผนลวงให้ประชาชนออกไปจากเมืองเพื่อไปทำงานในระบบนารวมที่วางแผนเอาไว้)

ปรานพยายามอ้อนวอนเขมรแดงให้ไว้ชีวิตซิดนีย์และพวก

การฆ่าล้างแค้นของเขมรแดง

การกวาดต้อนประชาชนออกจากกรุงพนมเปญของเขมรแดง

 

ชาวต่างชาติและชาวกัมพูชาเข้าไปหลบภัยในสถานทูตฝรั่งเศส

ที่สถานทูตฝรั่งเศส ซึ่งกลายเป็นที่ลี้ภัยของชาวต่างชาติเนื่องจากเขมรแดงละเว้นไว้ แต่ก็ได้คาดคั้นเอาตัวบุคคลสำคัญของอดีตรัฐบาลลอนนอลออกไปกำจัด (ตามประวัติศาสตร์บอกว่า คือ พระองค์เจ้าสีสวัด สิริมาตักและครอบครัวพระญาติองค์หนึ่งของสมเด็จสีหนุและเป็นผู้สนับสนุนลอนนอลให้ปฏิวัติสมเด็จสีหนุ พระองค์เจ้าท่านนี้ไม่ได้ลี้ภัยออกจากเขมรในเวลานั้น และไม่มีผู้ใดพบเห็นท่านอีกเลยหลังจากนั้น) แล้วเขมรแดงจึงสั่งการให้ชาวเขมรทุกคนต้องออกจากสถานทูตให้หมด มีเพียงชาวต่างชาติเท่านั้นที่จะลี้ภัยออกไปได้ และยังสั่งให้ตรวจหนังสือเดินทางของทุกๆ คนเพื่อสกัดชาวเขมรที่อาจแฝงตัวออกไปด้วย

การใช้แรงงานดั่งวัวควายในค่ายแรงงานของเขมรแดง

ซิดนีย์และเพื่อนๆ พยายามหาวิธีช่วยปรานด้วยการปลอมพาสพอร์ตขึ้นมา แต่ขาดรูปถ่ายซึ่งทั้งร็อคออฟและสเวนต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการถ่ายและล้างอัดภาพของปรานในสภาวะที่ไร้เครื่องมือและอุปกรณ์ใดๆ ซึ่งสำเร็จในช่วงสั้นๆ แต่ก็ล้มเหลวในท้ายที่สุด เพราะรูปถ่ายสลายไป ดิธปรานจึงต้องออกจากสถานทูตไปตายเอาดาบหน้า

ซิดนีย์กลับมายังอเมริกา พยายามสืบหาตัวดิธปรานเพื่อช่วยเหลือทุกๆ ทาง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่เขาได้อุปถัมภ์ครอบครัวของปรานเป็นอย่างดี และยังปลอบใจภรรยาของปรานว่า ปรานยังไม่ตาย ในขณะที่ปรานต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในค่ายแรงงานแห่งหนึ่งที่เขมรแดงจัดตั้งขึ้น ภายในค่าย นอกจากงานที่แสนหนักแล้ว ยังมีการอบรมเพื่อล้างสมองทุกๆ คนให้ยอมรับสังคมใหม่ที่อังก้า (องค์กรปกครองที่เขมรแดงจัดตั้ง) ได้สร้างขึ้น เด็กๆ ทุกคนจะต้องไม่มีครอบครัว ไม่มีความสัมพันธ์แบบพ่อแม่ลูก แล้วยังเป็นสายสืบคอยหาตัวพวกชนชั้นกฎุมพีที่แอบซ่อนตัวปะปนอยู่

 เด็กๆ ถูกล้างสมองไม่ให้มีความผูกพันกับครอบครัว และถูกปลูกฝังให้เชื่อฟังแต่อังก้า มองเห็นคนอื่นๆ เป็นศัตรู

แล้วอังก้าจึงเริ่มแผนการกวาดล้างอีกระลอกด้วยการหลอกลวงให้ผู้ที่เป็นปัญญาชนแสดงตัวออกมา โดยสัญญาว่าจะให้ทำงานที่ดีกว่าเดิม แต่เป็นการหลอกคนเหล่านี้ไปฆ่าจนหมด ครั้งหนึ่งด้วยความอดอยาก ดิธปรานได้แอบไปดูดเลือดจากคอวัวในคอก แล้วถูกจับได้ จึงถูกรุมทำร้ายและกำลังจะถูกฆ่า แต่ได้รับการอภัยจากเจ้าหน้าที่อังการ์รายหนึ่งซึ่งเคยรู้จักกับเขาตอนทำข่าวกับซิดนีย์ ดิธปรานได้ตัดสินใจแอบหลบหนีออกจากค่ายในวันหนึ่ง ระหว่างทาง เขาได้เดินข้ามทุ่งสังหารที่เต็มไปด้วยกองกระดูกและซากศพนับพันที่เรียงรายอยู่ในที่นา ซึ่งซากศพเหล่านี้เองคือบรรดาปัญญาชนและคนชั้นปกครองที่หลงกลแสดงตัวต่ออังก้าตามแผนการที่ลวงออกมาฆ่า ซึ่งนับเป็นฉากที่สร้างความตื่นตาตื่นใจและความสะเทือนอารมณ์แก่คนทุกคนที่ดูหนังเรื่องนี้

ดิธปรานกับทุ่งสังหารขณะที่หนีออกมาจากค่ายเดิม

ที่อเมริกา ซิดนีย์ขึ้นรับรางวัลนักข่าวแห่งปีจาก AIFPC แล้วกล่าวรำลึกและให้เครดิตแก่ปรานในผลงานชิ้นนี้ เขายังคงระลึกและพยายามหาตัวปรานตลอดมา แล้วจึงมีการถกเถียงกับอัลในห้องน้ำเล็กน้อย ต่อมา ซิดนีย์ได้รำพึงรำพันกับพี่สาวของเขาว่า ปรานต้องอยู่ในกัมพูชาก็เพราะความดื้อดึงของเขาเองที่อยากอยู่ในกัมพูชาโดยไม่ได้ประเมินความร้ายแรงของสถานการณ์ แล้วตัดกลับมาที่ดิธปรานซึ่งได้หลบหนีมายังค่ายแรงงานอีกแห่ง หัวหน้าค่ายที่ชื่อ แพ็ต มอบหมายให้เขาดูแลกิม ลูกชายวัย 3 ขวบและมีสถานะที่ดีกว่าค่ายเดิม เขาโกหกหัวหน้าค่ายว่าเขาเคยเป็นคนขับแท็กซี่ที่ไร้การศึกษาในกรุงพนมเปญ แต่หัวหน้าค่ายยังคงไม่เชื่อเขา พยายามหาทางจับผิดอยู่ตลอดเวลา (ผมต้องอาศัยชาวเขมรที่รู้จักมาช่วยดูและถ่ายทอดรายละเอียดให้เป็นภาษาไทยเช่นเคยครับ) จนกระทั่งมีข่าวลือว่าทหารเวียดนามได้เริ่มบุกเข้ามาแล้ว ด้วยความอยากรู้ ดิธปรานจึงแอบเปิดวิทยุเพื่อรับฟังข่าวภาษาอังกฤษ แล้วก็ถูกจับได้ในที่สุด

แพ็ตหัวหน้าค่ายใหม่ที่ปรานเข้ามาอยู่ด้วย

ตอนเช้า แพ็ตได้เจรจากับปรานเป็นภาษาอังกฤษเพื่อไม่ให้สมาชิกคนอื่นๆ ของอังก้ารู้ เขาบอกว่าเขาได้ทุ่มเทให้กับการปฏิวัติและภรรยาของเขาต้องเสียชีวิตในการปฏิวัติด้วย และบอกถึงปัญหาความขัดแย้งในอังก้า ความรุนแรงของการสังหารเพื่อนร่วมชาติอย่างอำมหิตที่เขาไม่ได้คิดว่าจะพบ และที่สำคัญ เขาเป็นห่วงลูกชายคนเดียวของเขามากที่สุด และแล้ว ข่าวลือเรื่องการบุกเข้ามาของทหารเวียดนามก็เป็นจริง ป้อมค่ายแบบชาวบ้านของเขมรแดงถูกทำลายโดยเครื่องบินไอพ่นของเวียดนาม (ฉากนี้ คล้ายๆ กับการสะท้อนภาพตอนที่เครื่องบินอเมริกันบินทำลายป้อมค่ายของเวียดกงเหมือนกัน) ภายหลังการโจมตี มีการชำระความกับชาวบ้านบางคนด้วยการยัดข้อหาว่าเป็นสายลับของเวียดนาม แล้วจัดการยิงทิ้งเสีย ซึ่งแพ็ตได้พยายามคัดค้านอย่างเต็มที่กับลูกน้องเขา แต่ลูกน้องอ้างว่าอังก้าสั่งมา ห้ามเถียง (ตอนดูครั้งแรกก็ไม่เข้าใจครับว่า เขายิงชาวบ้านทิ้งทำไม ก็ต้องอาศัยชาวเขมรคนเดิมมาช่วยดูและถ่ายทอดรายละเอียดให้เป็นภาษาไทยอีกครั้งครับ) แพ็ตแอบบอกให้ปรานหนีไปพร้อมกับลูกชายของเขา โดยได้ให้แผนที่การหลบหนีและเงินดอลลาร์จำนวนหนึ่ง ส่วนตัวเขาลงไปสั่งการให้หยุดการฆ่าชาวบ้านทิ้ง แต่ลูกน้องกลับยิงใส่เขาตายคาที่ แล้วทั้งหน่วยก็ตกอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของคนใหม่ที่ได้กวาดต้อนชาวบ้านให้ไปร่วมกับหน่วยอื่นๆ เพื่อต่อสู้กับเวียดนามต่อไป (กรรมของชาวบ้านจริงๆ ครับ)

(ซ้าย) เครื่องบินเวียดนามถล่มค่ายของเขมรแดง (ขวา) การต่อสู้ครั้งใหม่ระหว่างเขมรแดงกับเวียดนาม

การชำระความกับชาวบ้านถูกสงสัยว่าเป็นสายลับให้เวียดนาม

ปรานวางแผนหลบหนีจากกัมพูชาเพื่อไปยังค่ายลี้ภัยในประเทศไทยพร้อมด้วยสหายร่วมตาย 2-3 คน ต้องผ่านความยากลำบากนานับประการ และต้องคอยหลบภัยทั้งจากเขมรแดงและเวียดนาม เพราะไม่มีทางแน่ใจว่าฝ่ายใดกันแน่ที่จะเป็นมิตร แล้วเมื่อใกล้ชายแดน เพื่อนคนหนึ่งอุ้มกิมเดินข้ามป่าแล้วเหยียบกับระเบิดแบบเลิกกด ปรานตะโกนบอกให้เขายืนนิ่งๆ ส่งกิมมาให้ แล้วเขาจะหาทางช่วย แต่เพื่อนก็ตื่นตกใจจนทำอะไรไม่ถูก พอขยับเท้าขึ้นระเบิดก็ทำงาน เพื่อนของเขาและกิมถูกสะเก็ดระเบิดตาย ปรานอุ้มศพของกิมวิ่งมาด้วยความเจ็บปวดและโศกเศร้า และต้องเผาศพของกิมด้วยความรันทด แล้วเขาก็ต้องฟันฝ่าไปแต่ผู้เดียวจนมาถึงเขตแดนของประเทศไทยด้วยความตื้นตัน

ซิดนีย์ได้ทราบข่าวของปรานด้วยความยินดีเป็นที่สุด เขารีบเดินทางมายังค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศไทย แล้วก็พบกับดิธปราน ด้วยความปลื้มปิติ ทั้งคู่สวมกอดกัน ซิดนีย์เอ่ยปากขอให้ปรานยกโทษให้เขา แต่ปรานบอกว่า ไม่จำเป็นต้องยกโทษให้เลย

ปรานและซิดนีย์โผเข้ากอดกันด้วยความรักและความผูกพันฉันเพื่อน

ภาพยนตร์เรื่องคิลลิ่งฟิลด์นี้ ตั้งแต่การออกฉายมีการใช้ชื่อภาษาไทยแตกต่างกันไป ในวีดีโอใช้ชื่อว่า ล้างชาติ ล้างแผ่นดิน ในโรงหนังใช้ชื่อ แผ่นดินของใคร พอมาเป็นดีวีดียุคใหม่ ใช้ชื่อ ทุ่งสังหารตรงตามชื่อภาษาอังกฤษเดิม ผู้สร้างหนังเรื่องนี้ได้พยายามสะท้อนถึงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อันแสนเจ็บปวดของชาวกัมพูชาที่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันอย่างบ้าคลั่ง ระบบเศรษฐกิจและสังคมแบบอุดมคติของเขมรแดงที่ทำให้ชีวิตของชาวกัมพูชาต้องถอยหลังกลับไปอย่างมาก (เทียบกับเวียดนาม ถึงแม้จะมีการต่อสู้อย่างถึงเลือดถึงเนื้อในการรวมชาติสักแค่ไหน แต่พอรวมชาติกันแล้ว ก็ไม่มีการสังหารล้างผลาญกันอย่างนองเลือดแบบในกัมพูชา แต่ไม่ได้หมายความว่า ชาวเวียดนามอยู่ดีมีสุขกันนะครับ พวกเขาก็ต้องทนทุกข์ยากอยู่นานจนยุคหลังสงครามเย็น ทุกๆ อย่างจึงดีขึ้น) ความโหดร้ายทารุณที่ปรากฏในหนังไม่เกินเลยความจริงแต่อย่างใด แต่มีหลายเรื่องที่ไม่ได้นำมาถ่ายทอดไว้ เพราะจะเป็นฉากที่ทารุณเกินไป ด้วยเหตุนี้เอง การเข้ามารุกรานกัมพูชาของเวียดนามในครั้งนั้น ก็พอจะมองได้ว่าเป็นวีรบุรุษผู้ปลดปล่อยได้ในอีกแง่มุมหนึ่ง (คล้ายๆ กับกรณีที่แทนซาเนียส่งกองทหารบุกยูกันดา โค่นล้มประธานาธิบดีอมนุษย์ อีดี้ อามินลงจากอำนาจ)

แง่คิดอีกอย่าง คือ อเมริกาซึ่งเป็นมหาอำนาจที่มีพฤติกรรมน่ารังเกียจที่สุด ยุยงส่งเสริมให้ชาติโน้นชาตินี้รบกันเอง ขนกองกำลังมาช่วยซะใหญ่โต แต่พอจะเลิกก็เลิกแบบง่ายๆ เปิดก้นหนีกลับบ้านไปอย่างโกลาหล ทิ้งปัญหาไว้ให้คนในชาตินั้นต้องรับกรรม (แต่ที่จริงแล้ว สภาพสังคม การเมือง การปกครองของรัฐบาลกัมพูชาก่อนหน้านั้นก็เป็นชนวนให้เกิดปัญหานี้ด้วยเหมือนกัน ลองอ่านเรื่องถกเขมรของท่านอาจารย์หม่อมคึกฤทธิ์ ปราโมทย์ แล้วจะเข้าใจขึ้นครับ)

อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์แบบบริสุทธิ์ฉันพี่น้องของ ดิธปรานกับซิดนีย์ ชานเบิร์กก็ยังเป็นการสะท้อนถึงแง่มุมที่ดีของคนอเมริกันและคนกัมพูชา ดิธปรานเปรียบเสมือนตัวแทนของชาวกัมพูชาที่ต้องผจญกรรม ต่อสู้ ฝ่าฟันอุปสรรคความยากลำบากมาได้ เพื่อไปสู่ชะตาชีวิตที่ดีขึ้น แม้ว่าในประวัติศาสตร์จริง พวกเขาจะต้องใช้เวลายาวนานอย่างมากก็ตาม

การเอ่ยปากสนทนาของเพื่อนผู้ไม่ได้พบเจอกันแสนนาน

เนื่องจากภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำโดยทีมงานชาวอังกฤษ เนื้อหาภายในเรื่องจึงไม่มีฉากโม้ใส่ไข่แบบฮอลลีวู้ด ทุกฉากเป็นไปอย่างชีวิตจริง สมเหตุสมผล มุมกล้องในการสื่อสารกับคนดูส่วนใหญ่จะเป็นแบบให้คนดูเป็นผู้สังเกตการณ์เสียมากกว่า การแสดงของดาราทุกคนนับได้ว่าเป็นไปตามมาตรฐานมืออาชีพ ทั้งแซม วอเตอร์สตันในบทซิดนีย์ ชานเบิร์ก จอห์น มัลโควิช ในบทของอัล ร็อคออฟ จูเลี่ยน แซนด์ ในบทของจอห์น สเวน แม้แต่ ดร. เฮง งอร์ ที่เป็นดาราสมัครเล่น และเพิ่งเล่นหนังเป็นครั้งแรก แต่ก็ทำได้อย่างเกินหน้าดาราอาชีพหลายคน ตัวหนังไม่ได้เน้นความสนุกตื่นเต้นแบบโลดโผน แต่เน้นความสะเทือนใจสะเทือนอารมณ์ชวนให้ติดตาม โดยเฉพาะตอนท้ายเรื่องที่ดิธปรานมาถึงชายแดนไทย แล้วตัดกลับมาที่ซิดนีย์ ถ้าเป็นผู้กำกับคนอื่นๆ คงกำกับให้ปรานกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี แต่จอฟฟรีย์กลับให้ปรานยืนนิ่งด้วยความตื้นตันและซาบซึ้ง แล้วจึงตัดกลับมาที่ซิดนีย์ที่วิ่งมาด้วยความลิงโลดยินดีเมื่อได้รับทราบข่าวของปราน นับว่าเป็นไปได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆ ครับในการสะกดอารมณ์คนดู จากนั้น เพียงไม่กี่อึดใจก็ตัดกลับมาที่ค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศไทย ซิดนีย์พบกับปรานแล้วโผเข้ากอดกันด้วยความปลื้มปิติ ช่วงนั้น หนังได้เปิดเพลงอิมเมจินของจอห์น เลนนอน ซึ่งฉากจบได้สร้างให้เพลงนี้ดังกระฉ่อนขึ้นมาอีกครั้ง

ใครๆ ก็ตามที่ดูหนังเรื่องนี้คงเกิดความรู้สึกทั้งหดหู่ เจ็บปวด และตื้นตันใจ กับทั้งยังรู้สึกโชคดีที่ชาติของเราไม่ได้มีโชคชะตาที่เข้าสู่กลียุคแบบกัมพูชา ยิ่งในบรรยากาศการเมืองที่แตกแยกแบบนี้ ผมคิดว่า ถ้าทุกคนได้ดูหนังเรื่องนี้ก็คงได้สำนึกว่า ความแตกแยกขัดแย้งรุนแรงจนต้องแตกหักไม่ได้มีผลดีอะไรเลย มีแต่เสียกับเสียเท่านั้น มีอยู่ครั้งหนึ่ง ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในฟิลิปปินส์ ปี พ.ศ. 2529 ได้มีการนำหนังเรื่องนี้กลับมาฉายอีกครั้ง นัยว่าเพื่อเป็นอุทธาหรณ์ให้ประชาชนตระหนักว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าหากพวกคอมมิวนิสต์เกิดเรืองอำนาจ

(ซ้าย) ดิธปรานตัวจริง  และ (ขวา)ดร. เฮง เอส งอร์

ช่วงที่มีการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ในประเทศไทย ได้มีผู้ช่วยผู้กำกับและบรรดาคนทำงานเกี่ยวกับภาพยนตร์ทั้งหลายของประเทศไทยได้ไปร่วมงานกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ตรงนี้เอง ที่เป็นจุดเปลี่ยนและจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวงการภาพยนตร์ไทยให้ก้าวไปสู่การถ่ายทำภาพยนตร์ให้ทันสมัย เป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น เพราะบุคลากรเหล่านี้ได้นำเอาบทเรียนสำคัญนี้ไปใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยยุคใหม่ๆ ทั้งในด้านเนื้อหา การอัดและตัดต่อเสียง เทคนิคการถ่ายทำ เอฟเฟกต์ต่างๆ รวมไปถึงบทบาทของดาราที่ต้องมีความสมจริงสมจังมากขึ้น จัดได้ว่าเป็นแรงกระตุ้นการพัฒนาหนังไทยในก้าวสำคัญอย่างหนึ่ง (ลองสังเกตดูนะครับ ภาพยนตร์แบบไทยๆ ในยุคตั้งแต่ก่อนปี 2528 นั้น การถ่ายทำ การตัดต่อ การกำกับศิลป์ และบทบาทดารายังคงมีลักษณะแบบลิเกผสมละครเวทีอยู่ มามีพัฒนาการที่เป็นจริงเป็นจังในช่วงหลังปี 2528-30 นี่แหละครับ)

ตอนที่เขียนบทความนี้ ได้ทราบมาว่านางเบนาซี บุตโต (เข้าใจว่าชื่อของนางน่าจะสะกดมาจากภาษาสันสกฤตที่อ่านแบบไทยๆ ว่า เบญญาศรี พุทธโธ) ผู้นำพรรคฝ่ายค้านของปากีสถานถูกสังหารจากมือระบิดพลีชีพ ก็ให้รู้สึกแย่ว่า ทำไม คนบางกลุ่มในโลกจึงไม่ได้มีความคิดเห็นถึงคุณค่าของชีวิต และคุณประโยชน์ของความแตกต่าง แต่กลับพยายามกวาดล้างทำลายกันด้วยเหตุผลทางจริยธรรมส่วนตัวที่ไม่เคยไตร่ตรองว่า ข้อไหนผิด ข้อไหนถูก และก็ยังรู้สึกโชคดีที่ประเทศไทย และสังคมไทยเราไม่มีการกระทำหรือแม้แต่ความคิดที่จะทำอย่างนั้น ซึ่งเป็นเพราะเรามีสิ่งยึดเหนี่ยวอันสำคัญ คือ คำสั่งสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่บอกให้รู้รัก สามัคคี และยอมรับในความแตกต่างของกันและกัน

เนื่องจากบทความนี้เป็นลิขสิทธิ์อัน ชอบธรรมของผู้เขียน และอาจะมีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลบ้างตามความเหมาะสม ในการนำบทความไปเผยแพร่ในเว็บไซต์อื่นๆ จึงขอความร่วมมือให้ใช้วิธีการคัดลอกเฉพาะ Link หรือ URL Address แทนการคัดลอกบทความทั้งหมด  หากมีการคัดลอกไปในลักษณะแอบอ้างเป็นผู้เขียน หรือมีเจตนาอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อทางเว็บ iseehistory.com แล้ว จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดตามกฎหมาย

ชื่อเรื่อง : แผ่นดินของใคร (Killing Field)

ดารานำแสดง :

  • แซม วอเตอร์สตัน (ซิดนีย์ ชานเบิร์ก)
  • ดร. เฮง เอส งอร์ (ดิธปราน)
  • จอห์น มัลโควิช (อัล ร็อคออฟ)
  • จูเลี่ยน แซนด์ (จอห์น สเวน)

กำกับ : โรแลนด์ จอฟฟรีย์

อำนวยการสร้าง : เดวิด พัทนั่ม

ปีที่ออกฉาย : ค.ศ. 1985 (พ.ศ.2528)

รางวัลออสการ์สาขาดาราประกอบชายยอดเยี่ยม ดร. เฮง เอส งอร์
รางวัลออสการ์สาขาลำดับภาพยอดเยี่ยม คริส เมนเกส
รางวัลออสการ์สาขาตัดต่อยอดเยี่ยม จิม คลาร์ก

คำพูดจากภาพยนตร์

  • บอกภรรยาผมด้วยว่า ผมรักเธอ และช่วยดูแลลูกๆ ของผมด้วย ผมไม่อยากให้ใครทำไม่ดีกับเธอ
    Tell my wife I love her and look after all my children I don't want anyone to be bad to my wife

    (ปรานกล่าวร่ำลากับซิดนีย์เมื่อต้องออกไปจากสถานทูต)
  • เราต้องเป็นดั่งวัวควาย ไม่มีความคิดอะไร นอกจากเพื่อพรรค ไม่มีความรักใดนอกจากพรรค
    We must be like ox and have no thought except for the party No love but for Angka
    ผู้คนถูกสตาร์ฟ แต่เราไม่ต้องปลูกพิชพรรณธัญญาหารใดๆ เราต้องซื่อสัตย์ต่อสหายเด็กๆ ผู้ซึ่งหัวใจของพวกเขาได้ทรยศ (โกง) อดีต
    People starve but we must not grow food we must honor the comrade children whose minds are not corrupted by the past

    ปรานรำพึงรำพันขณะอยู่ในค่ายแรงงานแห่งแรก
  • เบ็นซ์ อันดับ 1
    Mercedes, Number one
    เจ้าหน้าที่อังก้ากล่าวกับปรานก่อนตัดเชือกที่มัดตัวเขาอยู่
  • ใครก็ตามที่รู้เรื่องงานของผมก็จะรู้ว่าครึ่งหนึ่งเป็นของดิธปราน
    Anyone who knows my work will know that half of this belong to Dith Pran

    ซิดนีย์กล่าวตอนที่ได้รับรางวัลนักข่าวแห่งปี
  • มันเป็นการระแคะระคายฉันว่า แกให้ปรานอยู่ในเขมร เพราะว่าแกต้องการที่จะชนะ (ในการรายงานข่าว) และแกก็รู้ว่าแกต้องการเขา (หมายถึงต้องการใช้ทำงานน่ะครับ)
    It bothers me that you let Pran stay in Cambodia because you wanted to win, and you knew you need him

    อัล ร็อคออฟ บอกกับซิดนีย์ในงานรับรางวัลนักข่าวแห่งปี
  • เขา (ปราน) อยู่ ก็เพราะผมต้องการให้เขาอยู่ และผมอยากอยู่ก็เพราะ
    He stayed because I wanted him to stay And I stayed because..

    ซิดนีย์รำพันกับพี่สาวของเขาเมื่อพูดถึงปราน
  • ผู้นำของอังก้าไม่ไว้ใจประชาชนอีกต่อไป ดังนั้น ฉันจึงไม่ไว้ใจพวกเขาอีกต่อไป
    The leader of Angka no longer trust the people Therefore I can no longer trust them

    แพ็ตบอกกับปรานหลังจากจับได้ว่าเขารู้ภาษาอังกฤษ

บทความอ่านเพิ่มเติม

กระทู้ที่เกี่ยวข้อง

 
เรียนเชิญสมาชิกร่วมแสดงความคิดเห็นที่ด้านล่างสุดของหน้าเว็บ (ต้องสมัครและ Login ก่อน) ผู้ชมทั่วไปหรือสมาชิกที่ต้องการโพสต์รูป เชิญร่วมแสดงความเห็นได้ที่เว็บบอร์ด "คุยกันหลังฉาก" ในกระทู้ที่มีอยู่แล้ว หรือ สร้างกระทู้ใหม่ (คลิกที่นี่) ครับ

หากเป็นสมาชิก Facebook แสดงความเห็นได้ในฟอร์มข้างล่างนี้ครับ

Bookmark and Share

ภาพยนตร์ตัวอย่าง (Trailer) จาก www.youtube.com
 

ทางเว็บไม่มีนโยบายนำภาพยนตร์ฉบับ เต็มมาให้ดูออนไลน์หรือให้ดาวน์โหลดเนื่องจากเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์และไม่ มีพื้นที่สำหรับเก็บไฟล์ภาพยนตร์

 



สงครามเวียดนามและอินโดจีน

1968 Tunnel Rats อุโมงค์นรก สงครามเวียดกง วันที่ 19/05/2013   21:26:24
สารคดี Vietnam's Unseen War: Pictures from the Other Side "ข้างหลังภาพ" เวอร์ชันสงครามเวียดนาม วันที่ 19/05/2013   21:27:39
สารคดี Ho Chi Minh: Vietnam's Enigma วันที่ 19/05/2013   21:28:40
The Green Berets วันที่ 19/05/2013   21:29:29
พลาทูน (Platoon) แง่มุมทางประวัติศาสตร์สงครามเวียดนามที่ทหารอเมริกันตัวจริงได้มีส่วนร่วม วันที่ 19/05/2013   21:31:54
Air America ฉีกหน้ากาก CIA ในลาวด้วยอารมณ์ขัน วันที่ 19/05/2013   21:32:54
A Rumor of War สงครามเวียดนาม ในอีกมุมมองหนึ่ง วันที่ 19/05/2013   21:33:44
Hamburger Hill วันที่ 19/05/2013   21:34:29
We Were Soldiers วันที่ 19/05/2013   21:35:25



1

ความคิดเห็นที่ 1 (9590)
avatar
จ่ากองร้อย

ที่ต้องชมเชยคือบรรดาตัวประกอบที่แสดงโดยคนไทยทุกคนแสดงได้ดีมาก และต้องชมเชยทีมงานไทยที่ช่วยมากที่สุด

ความน่าสนใจอีกอย่างของหนังคือการจัดฉาก ทั้งที่ถ่ายในเมืองไทยเกือบทั้งเรื่อง แต่กลมกลืนดูเป็นเมืองเขมร

ตัวประกอบไทยที่แสดงเป็นทหารเขมรแดงเก่งทุกคน สมบทบาท

เด็กหญิงราชบุรีที่เล่นเป็นสายลับจิ๋วเก่งมาก หน้าตาน่ากลัวเหฟลือเกินเวลาชี้เอาคนไปฆ่า

ฉบับแรกที่ฉายในเมืองไทยมีมาดฉากภายหลังตัดออกมาก ไม่ทราบเพราะอะไรเช่นฉากที่ปรานมองลงมาเห็นค่ายอพยพในเขตไทย เขายั่งลงร้องไห้ที่ทำสำเร็จ

ผู้แสดงความคิดเห็น จ่ากองร้อย (suriyantara-at-yahoo-dot-co-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2008-12-23 15:25:27


ความคิดเห็นที่ 2 (10651)
avatar
Lt.mickey

ดูแล้วสงสารชาวเขมรในช่วงนั้นมากเลยครับ โดนล้างสมองในค่ายทุกวัน แล้วยังต้องทำงานตลอดทั้งวันอีก  

ผู้แสดงความคิดเห็น Lt.mickey (mick_mickey123-at-yahoo-dot-co-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2009-01-03 21:18:54


ความคิดเห็นที่ 3 (19466)
avatar
คนเล่าเรื่อง

ขอบคุณมากครับ สำหรับข้อคิดเห็น หนังเรื่องนี้ ดูทีไรก็สะเทือนใจเมื่อนั้นครับ  ตอนผมตกยากอยู่เมืองนอก  แล้วได้พับกับชาวเขมรที่เขาอพยพมาอยู่ที่นั้น  พอได้คุยเรื่องนี้แล้ว หลายคนเกิดอาการซึม ๆ หรือไม่ก็อ้ำอึ้ง  พูดไม่ออกเลยครับ  ผมเองทั้งสะเทือนใจ เห็นใจ และเข้าใจในความรู้สึกของเขาดีครับ  ตอนนั้น รู้สึกได้เลยว่า เรานี่โชคดีมากแล้วที่ยังมีแผ่นดินดี ๆ ให้อยู่อาศัยครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น คนเล่าเรื่อง (danai-at-buu-dot-ac-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2009-03-03 21:01:13


ความคิดเห็นที่ 4 (101651)
avatar
dppu

ท่านใดที่ต้องการข้อมูลของศุนย์อพยบ ไซร์ต่างๆ ผมมีบันทึกต่างเขียนตอนทำงานที่  site 2 ร่วมแบ่งปันครับ

หมายเหตุ  dppu  หรือ นคก 88  คือเจ้าหน้าที่ทหารไทย ที่ทำงานร่วมกับองค์การสหประชาชาติในพื้นที่อพยบตามแนวชายแดนครับครับ

ภาพที่ฝังใจจนลบไม่ออกทุกวันนี้คือภาพที่ชาวเขมรเดินอุ้มลูกจูงหลานเข้ามาเขตแดนไทยแล้วเรายังไม่ได้รับคำสั่งให้เปิกพรมแดนคิดดุครับเกิดอะไรขี้นกับเขาเหล่านั้นพลักดันอย่างรุนแรง

 

ผู้แสดงความคิดเห็น dppu (sky8554-at-gmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-06-27 15:58:05


ความคิดเห็นที่ 5 (101960)
avatar
คนเล่าเรื่อง

มีเกร็ดเล็กน้อยเพิ่มเติมนะครับ  ตอนที่เขาถ่ายทำชาวบ้านในหมู่บ้านเพราะสงสัยว่าจะเป็นสายลับเวียดนาม มีผู้แสดงหญิงคนหนึ่งแสดงสีหน้าหวาดกลัวและสิ้นหวังก่อนถูกฆ่าได้ดีมาก  เมื่อมีการกลับมาถ่ายซ่อมอีกครั้งในปีถัดมา ทางผู้กำกับก็ถามหาผู้แสดงคนนั้นอีกเพื่อจะถ่ายเพิ่มเติมแบบว่า ให้มีฉากถูกยิงล้มคว่ำลงหลุมไปเลย  แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะเธอคนนั้นในตอนนั้นท้องโย้ได้ 7 เดือนแล้วครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น คนเล่าเรื่อง ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-01-18 15:37:59



1


Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker