![](http://www.iseehistory.com/images/1200924424/Picture31MarcoAndKhan.jpg)
โดย webmaster@iseehistory.com
การได้อยู่ใกล้ชิดกับผู้นำสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นในสมัยนี้หรือในสมัยโบราณ หลายคนอาจนึกถึงชีวิตที่สวยหรู เต็มไปด้วยวาสนาบารมี แต่ผู้ที่เข้าใจความจริงอาจบอกว่ามันเป็นปัญหาประเภท ยิ่งสูงยิ่งหนาว ไม่ใช่ความสขุสงบจริงๆ ดังเช่นกรณี มาร์โค โปโล หากเป็นไปตามความเชื่อเดิมที่ว่าเขาได้เดินทางไปเมืองจีนจริงๆ ในยุคที่กุบไลข่านแห่งมองโกลปกครองอยู่แล้ว การมีชีวิตอยู่กับอำนาจสูงสุดอาจจะไม่ได้สวยหรูหรืออบอุ่นอย่างที่ใครบางคนคิดฝันไว้ นี่เป็นประเด็นที่ผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง Marco Polo ปี 2007 (พ.ศ.2550) ที่ออกฉายทางทีวีฝรั่งและเป็น VCD ในเมืองไทยน่าจะเล็งเห็น และได้พยายามถ่ายทอดให้เราได้รับรู้
ภาพยนตร์เปิดฉากขึ้นในเมืองเวนิซ ปีค.ศ.1324 (พ.ศ.1867) เมื่อมาร์โค โปโล ใกล้จะตาย ได้มีบาดหลวงรูปหนึ่งเดินทางมาขอให้เขาสารภาพบาปจากการโกหกใครต่อใครไว้ว่าได้เคยเดินทางไปเมืองจีน แต่มาร์โคกลับขอให้ญาติๆ นำสิ่งของจากเมืองจีนมาแสดงให้ดู จากนั้นก็ย้อนไปยังปีค.ศ.1298 (พ.ศ.1841) ขณะที่ มาร์โค โปโล ถูกขังอยู่ในเมืองเจนัว เมืองคู่รักคู่แค้นของเวนิซ โดยอยู่ในห้องเดียวกับที่ขัง รัสติเชลโล แห่งเมืองปิซา (Rustichello da Pisa) นักเขียนชื่อดัง จากนั้นการดำเนินเรื่องส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการเดินทางของ มาร์โค โปโล ตามที่เขาเล่าให้ รัสติเชโล ฟัง มีย้อนกลับมาที่ห้องขังของทั้งสองคนบ้างเป็นบางครั้ง ตัวเรื่องจริงพอสรุปได้ดังนี้
![](http://www.iseehistory.com/images/1200924424/Travel.jpg)
การเดินทางอันทุรกันดาร
เมื่อ มาร์โค โปโล เริ่มเป็นหนุ่ม ได้พบว่าพ่อและลุงของเขา คือ นิโคโล และ มัฟเฟโอ (Niccolo and Maffeo Polo) นำสิ่งของแปลกๆ มาจากเมืองจีน จึงเกิดความสนใจ พอดี นิโคโล และ มัฟเฟโอ กำลังหาทางกลับไปเมืองจีน เนื่องจากรับปากกับกุบไลข่านไว้ว่าจะนำนักบวช 100 คนกลับไปเข้าเฝ้า ด้วยความหวังว่าหากทำให้ท่านข่านหันมานับถือคริสต์ได้ ก็จะเป็นประโยชน์ทั้งทางการค้าและการเมืองอย่างมหาศาล มาร์โค จึงสนใจที่จะร่วมเดินทางด้วย เรื่องกระโดดข้ามตอนที่ทั้งสามเข้าเฝ้าพระสันตปาปามายังตอนที่ ทั้งสามเิดินทางมากับบาดหลวงสองคน ซึ่งบ่นและทะเลาะกับพวกตระกูลโปโลทั้งสามเรื่องความยากลำบากมาตลอด แล้วก็หนีไปในที่สุด เมื่อเดินทางมาถึงเปอร์เซีย มาร์โคป่วยหนักจนต้องพักรักษาตัวที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งเป็นเวลานาน แล้วจึงเดินทางข้ามทะเลทรายไปพบกับทหารม้าที่กุบไลข่านส่งมารับ จนได้เข้าเฝ้ากุบไลข่านที่เมืองชางตู
![](http://www.iseehistory.com/images/1200924424/Palace.jpg)
ความมโหฬารของฉากพระราชวังชางตู
กุบไลข่านไม่พอพระทัยที่ นิโคโล และ มัฟเฟโอ ไม่สามารถนำบาดหลวง 100 คนมาเข้าเฝ้าได้ตามพระบัญชา ขณะที่ทั้งสองได้แต่ก้มหน้านิ่ง มาร์โค กลับทูลปะทะคารมกับท่านข่านอย่างฉาดฉาน แม้ว่าท่านข่านและพระจักรพรรดินีชาบิ จะตรัสดูแคลนเขาว่าเป็นคนป่าเถื่อนไม่มีมารยาท แต่ก็พอพระทัยอยู่ลึกๆ ด้วยพระบัญชาของทั้งสอง และด้วยความสมัครใจของมาร์โคเอง มาร์โคจึงได้อยู่ในวังของกุบไลข่านต่อไป แทนที่จะตาม นิโคโล และ มัฟเฟโอ กลับเวนิซ เหตุผลสำคัญประการหนึ่งของมาร์โคที่นิโคโลผู้บิดาต้องยอมรับคือ ในการเดินทางครั้งก่อนของ นิโคโล และ มัฟเฟโอ ไม่มีผู้ใดในเวนิซเชื่อว่าทั้งสองมาถึงเมืองจีนจริงๆ มาร์โคจึงตั้งใจที่จะอยู่เพื่อบันทึกเรื่องราวต่างๆ กลับไปยังบ้านเกิด
![](http://www.iseehistory.com/images/1200924424/Picture45.jpg)
มาร์โค กับ เพโดร ทาสซึ่งเป็นสเมือนเพื่อนแท้ตลอดเวลาที่อยู่เมืองจีน
มาร์โค โปโล อยู่ในวังได้ไม่นานก็เกิดเหตุ เนื่องจากเพโดรทาสรับใช้ของเขาไปเข้าร่วมกับผู้ก่อการกลุ่มหนึ่งที่ไม่พอใจการกดขี่ข่มเหงของขุนนางบางคน ผู้ก่อการกลุ่มนี้ได้ใช้เวลากลางคืนลงมือสังหารขุนนางชื่ออัคแมธได้ แต่ก็ถูกกองทหารปราบปรามในทันที เพโดรได้รับบาดเจ็บ มาร์โค ได้ช่วยเหลือเพโดรให้รอดจากการจับกุมของทางการ และเข้าเฝ้ากราบทูลท่านข่านเรื่องที่มีขุนนางข่มเหงราษฎร ทีแรกกุบไลข่านไม่พอพระทัยและสั่งขังมาร์โค แต่ต่อมาทรงทราบความจริงจึงปล่อยเขาและสั่งขังขุนนางใหญ่อีกคนชื่อ โคกาไต ไว้ระยะหนึ่ง แต่เนื่องจากโคกาไตเป็นผู้มีอิทธิพลเกินกว่าที่ท่านข่านจะทรงลงโทษสถานหนักได้ ต่อมาจึงทรงปล่อยโคกาไตเช่นกัน และโคกาไตนี้ได้กลายมาเป็นศัตรูคนสำคัญของ มาร์โค โปโล มาตลอด ตัวละครสำคัญอีกตัวในช่วงนี้คือนางเตมูลัน ซึ่งถูกพรากจากชายคนรักเข้ามาในวัง และต้องไปถวายตัวให้กับท่านข่านคืนหนึ่ง ก่อนถูกนำมาพระราชทานให้กับมาร์โค โปโล ซึ่งมาร์โค ก็รักเธอมาก แต่เธอไม่ได้เต็มใจเลย
![](http://www.iseehistory.com/images/1200924424/Picture32MarcoAndTemulun.jpg)
มาร์โค โปโล พบกับ เตมูลัน ครั้งแรก
![](http://www.iseehistory.com/images/1200924424/Picture35TownYangjoa.jpg)
มาร์โค โปโล ถูกหลอกใช้ให้มาเจรจากับเจ้าเมืองที่มีท่าทีกบฎ
มาร์โค โปโล ได้รับพระบัญชากับท่านข่านให้เป็นทูตไปเจรจากับเจ้าเมืองแห่งหนึ่ง (ในภาพยนตร์ไม่ยักเอ่ยชื่อเมือง ไม่แน่ใจว่าจะเป็นเมืองหยางโจวหรือไม่) ซึ่งมีข่าวว่าเขาแอบให้การสนับสนุนผู้ที่เป็นกบฎอยู่ การเจรจาสันติภาพกลับกลายเป็นอุบายของท่านข่านที่จะหลอกให้เจ้าเมืองตายใจจนท่านข่านสามารถบุกเข้ายึดเมืองได้ เมื่อกลับมาเมืองหลวง มาร์โค โปโล ยังพบข่าวร้ายว่าระหว่างที่เขาไม่อยู่ เตมูลันได้พยายามหนีออกจากวัง แต่ถูกสังหารเสียก่อนที่ประตูเมือง มาร์โค โปโล ได้รับมอบหมายให้บริหารจัดการเมืองชางตูอยู่ระยะหนึ่ง โดยมีขุนนางชื่อเชงชูคอยให้คำแนะนำสั่งสอน จากนั้น มาร์โค โปโล ก็ได้รับงานชิ้นใหญ่ คือการออกเดินทางสำรวจดินแดนต่างๆ ที่ตามแผนที่ของราชสำนักมีแต่ข้อมูลประเภทนิทานปรัมปรา ภารกิจนี้ใช้เวลานานถึง 15 ปี ตรงนี้ดูจาก VCD ทีแรกคล้ายกับว่า มาร์โค โปโล ต้องเดินทางรวดเดียว 15 ปี ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ตอนหลังกลับบอกทำนองว่า "กลับมาแต่ละครั้ง ไม่รู้ท่านข่านจะพอใจหรือไม่" เอาเป็นว่าเมื่อครบ 15 ปีแล้ว ท่านข่านพอพระทัยในผลงานของเขามาก
![](http://www.iseehistory.com/images/1200924424/Survey.jpg)
การเดินทางสำรวจดินแดนต่างๆ ตามบัญชาของกุบไลข่าน ที่กินเวลาถึง 15 ปี
ปัญหาใหม่เริ่มขึ้นอีกเมื่อทั้งท่านข่านและพระนางชาบิเริ่มทรงพระประชวร ขณะที่มาร์โคเริ่มหลงรักนางรำคนหนึ่ง ซึ่งทราบภายหลังว่าคือนางเคนไซ น้องสาวของเตมูลัน ปัญหาก็ตามมาอีกเมื่อทางเปอร์เซียส่งทูตมาขอหญิงสาวไปเป็นมเหสีแทนมเหสีชาวมองโกลที่พึ่งสิ้นพระชนม์ แล้วทูตเปอร์เซียก็ดันมาเลือกเอาเคนไซเข้าซะด้วย ปัญหาการเมืองและความรักทำให้ มาร์โค โปโล ดิ้นรนอย่างหนักเพื่อหาทางพาเคนไซกลับไปเวนิซด้วยกัน ในที่สุด มาร์โค โปโล กับแพทย์ชาวเปอร์เซียที่เคยรักษาเขาได้ทูลท่านข่านให้ส่งตัวเคนไซไปเปอร์เซียโดยทางเรือและมี มาร์โค โปโล ร่วมเดินทางไปด้วย การเดินทางเริ่มขึ้นหลังจากฮองเฮาสิ้นพระชนม์แล้ว ระหว่างทางเรือถูกโจรสลัดติดตาม มาร์โค โปโล ให้นำคณะหนีขึ้นบก ก็ยังถูกพวกโจรโจมตีอีก แต่รอดมาได้เพราะคนพื้นเมืองช่วยไว้ มาร์โค โปโล กับ เคนไซ และคณะที่เหลือกันน้อยนิดเดินทางต่อกันมาจนถึง "สยาม" ในปี 1291 (พ.ศ.1834) และได้ทราบข่าวว่าทั้งกุบไลข่านและข่านแห่งเปอร์เซียได้สิ้นพระชนม์แล้ว (กุบไลข่านทรงตรอมใจจากการพ่ายแพ้ในการยกทัพเรือไปโจมตีญี่ปุ่น) มาร์โค โปโล กับเคนไซหลงดีใจว่าคงจะได้ครองรักกันตามที่หวัง และพยายามหนี แม้ว่า มาร์โค โปโล กับเพโดร จะสามารถเอาชนะนายทหารมองโกลที่ร่วมเดินทางมาได้ ก็ต้องถูกสกัดโดยทหารเปอร์เซียที่ตามมารับเคนไซเพื่อไปเป็นชายาของเจ้าชายองค์อื่น มาร์โค โปโล จึงต้องเดินทางกลับเวนิซด้วยความผิดหวัง แม้จะสามารถนำข้าวของเงินทองติดตัวมาด้วยจำนวนมาก
ข้อสังเกตและความเห็นต่อภาพยนตร์
ด้านข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ มาร์โค โปโล อันที่จริงการจะนำความเห็นของ Frances Woods ที่ว่า มาร์โค โปโล อาจจะไม่เคยเดินทางไปเมืองจีนจริงๆ หรือแม้กระทั่งไม่มีตัวตนจริงมาตัดสินเรื่องนี้ คงไม่ยุติธรรมนัก แต่ดูแล้วก็คล้ายกับว่าผู้สร้างพยายามแก้ต่างให้เหตุผลกับเรื่องของ มาร์โค โปโล เช่น สาเหตุที่ได้รับความไว้วางพระทัยจากกุบไลข่าน เรื่องความรักของ มาร์โค โปโล ซึ่งในหนังสือไม่ได้กล่าวถึง เหตุผลที่ต้องเดินทางกลับเวนิซ หรือกรณีที่ไม่มีเอกสารใดของจีนและมองโกลกล่าวถึงเขา ในภาพยนตร์ตอนหลังจากที่มาร์โค โปโล ได้แสดงความสามารถในการจัดการบ้านเมือง พระนางชาบิทรงตรัสว่า จะไม่มีการบันทึกว่าคนเถื่อนอย่างมาร์โคเคยมีผลงานเช่นนี้ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการแก้ต่างที่ไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไหร่ เป็นต้น
![](http://www.iseehistory.com/images/1200924424/Picture58MarcoAndRucti.jpg)
มาร์โค โปโล กับ รัสติเชลโล ในห้องขังเมืองเจนัว
ส่วนการที่พ่อและลุงของมาร์โคเดินทางกลับเวนิซไปก่อนแทนที่จะอยู่กับมาร์โคตามที่ปรากฏในหนังสือนั้น คงเป็นเหตุผลทางด้านการเขียนบทภาพยนตร์ คือให้มาร์โคเดินเรื่องคนเดียวจะง่ายกว่าการต้องมีพ่อกับลุงอยู่ด้วย
ขอเลยมาเรื่องของ "สยาม" สักนิด ความจริงภาพยนตร์เรื่องนี้น่าจะได้มีการค้นคว้าข้อมูลมามากพอสมควร แต่สำหรับ "สยาม" ซึ่งเป็นฉากสำคัญตอนท้ายเรื่อง สำหรับการสร้างภาพยนตร์ที่พึ่งสร้างเมื่อปีสองปีมานี้ต้องถือว่า "สอบตก" กับการใช้วังที่รูปร่างไม่ต่างจากวังของจีนแต่ประการใด แถมผู้ที่ออกมาพบกับคณะของ มาร์โค โปโล ก็แต่งตัวเป็นหลวงจีน โดยไม่ทราบชัดว่าเป็นเจ้าอาวาสหรือเจ้าเมืองเจ้าแผ่นดินกันแน่
![](http://www.iseehistory.com/images/1200924424/Siam.jpg)
นี่หรือสยาม?
ด้านภาษาที่ใช้ ตลอดทั้งเรื่องใช้ภาษาเดียวกันตลอด คือใน VCD ที่ผมใช้วิจารณ์ก็เป็นพากย์ไทย และคาดว่าในต้นฉบับเดิมคงเป็นภาษาอังกฤษตลอด ทำให้สร้างและเขียนบทได้ง่ายดี แต่ความสมจริงที่ขาดไปคือเรื่องนี้มีมากกว่าหนึ่งชนชาติอย่างน้อยก็ อิตาลี มองโกล/จีน เปอร์เซีย และสยาม ในตอนต้นเรื่องที่กล่าวถึง มาร์โค โปโล ตอนใกล้ตายพยายามเอาสิ่งของจากเมืองจีนมายันกับบาดหลวงว่าไม่ได้โกหกนั้น สมองผมเกิดแว้บขึ้นมาทันทีว่า คนที่ไปอยู่เมืองจีนเป็นสิบกว่าปีต้องพูดภาษาจีนได้อยู่แล้ว ถ้าลองพูดภาษาจีนให้บาดหลวงฟังสักชุด น่าจะเป็นประจักษ์พยานที่ชัดกว่าสิ่งของที่อาจหาซื้อมาได้
เรื่องของความเจริญ เป็นความจริงว่าในสมัยนั้น เมืองจีนมีความเจริญยิ่งกว่าทางยุโรปมาก ราชสำนักเรียกฝรั่งอย่างมาร์โค โปโล ว่าคนเถื่อนตลอด ความเจริญของฝรั่งพึ่งจะมาเกิดขึ้นภายหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมเมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้เอง แต่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ความเสื่อมทางเศรษฐกิจของอเมริกาจะทำให้ความยิ่งใหญ่กลับมาอยู่ที่จีนอีกหรือไม่ เป็นเรื่องน่าคิด มาร์โค โปโล ในเรื่องนี้ ได้ชี้ให้เห็นว่าจีนเป็นชาติที่มีอารยธรรมรุ่งเรืองมาก่อนยุโรปมากมาย เช่น อาวุธดินปืนและระเบิด การใช้เข็มทิศ การใช้ถ่านหิน การแพทย์แบบฝังเข็ม การใช้เงินกระดาษ เป็นต้น
![](http://www.iseehistory.com/images/1200924424/ChineseMagic.jpg)
บางส่วนของมหัศจรรย์เมืองจีน ได้แก่ เข็มทิศ ตั๋วเงิน การฝังเข็ม และขนมน้ำแข็ง
สถานะของสตรี ท่ามกลางความเจริญด้านต่างๆ ในตอนแรกบทบาทของพระนางชาบิในราชสำนักเหมือนจะเป็นเรื่องดีสำหรับสถานะของสตรี แต่แล้วผู้หญิงส่วนใหญ่กลับเป็นแค่เครื่องประดับอำนาจ ดังจะเห็นได้ชัดจากกรณีของสองพี่น้องเตมูลันและเคนไซ ที่ถูกพลัดพรากจากครอบครัวและคนรักมาเป็นนางรำในราชสำนัก วันดีคืนดีก็ต้องไปถวายตัวให้ท่านข่านหนึ่งคืน แล้วก็ถูกนำไปพระราชทานให้คนอื่น กรณีเคนไซแม้จะเหมือนมีเกียรติหน่อยที่ไม่ต้องถวายตัวให้ท่านข่าน แต่ก็ยังถูกส่งไปพระราชทานให้ข่านเปอร์เซียเพื่อเจริญพระราชไมตรี หากคิดกันดีๆ แล้ว สถานะของสตรีนั้นดูจะเกี่ยวข้องกับสังคมแบบชนชั้นอยู่ด้วย
![](http://www.iseehistory.com/images/1200924424/Picture46KenzaiInRed.jpg)
เคนไซ (สวมชุดแดง ผู้แสดงคนเดียวกับเตมูลัน) เตรียมตัวไปเป็นมเหสีของข่านแห่งเปอร์เซียอย่างไม่เต็มใจ
ด้านๆ อื่น หากดูำภาพยนตร์เรื่องนี้แบบไม่คิดเล็กคิดน้อยแล้ว ก็ถือว่าภาพยนตร์สร้างได้อย่างยิ่งใหญ่อลังการมาก ไม่ว่าจะเป็นฉากการเดินทางท่ามกลางธรรมชาติที่ใหญ่โตในหลายภูมิประเทศ ฉากพระราชวังอันใหญ่โต รวมถึงเพลงประกอบที่ไพเราะตลอดเรื่อง บทพูดเต็มไปด้วยคำคมอยู่หลายตอน เนื้อหาอัดแน่นไปด้วยเรื่องราวต่างๆ มากมาย แม้กระนั้น ได้ทราบข้อมูลว่าภาพยนตร์ DVD ในสหรัฐฯ นั้นมีความยาวถึง 174 นาที แต่ฉบับ VCD ที่ขายในเมืองไทยเพียงสองแผ่นนั้น น่าจะยังขาดเนื้อหาไปหลายตอนที่อาจมีความสำคัญมากเหมือนกัน ได้แต่หวังว่าสักวันจะได้ชมฉบับ DVD บ้าง
คำคมชวนคิด
- "บางครั้งคำตอบที่ถูกต้องคือไม่ตอบซะดีกว่า" พระนางชาบิตรัสกับมาร์โค โปโล
- "ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อหันหลังกลับ" มาร์โค โปโล ทูล กุบไลข่าน
- "ผู้ชายจะไม่ฉลาดเป็นสองเท่าหรือ ถ้าได้ภรรยาฉลาดสักคน" เพโดรพูดกับมาร์โค โปโล
- "พระองค์ทรงเป็นทั้งผู้คุมขังและมิตรของผม" มาร์โค โปโล กล่าวถึง กุบไลข่าน เมื่อทราบว่าทรงสิ้นพระชนม์แล้ว
เนื่องจากบทความนี้เป็นลิขสิทธิ์อัน ชอบธรรมของผู้เขียน และอาจะมีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลบ้างตามความเหมาะสม ในการนำบทความไปเผยแพร่ในเว็บไซต์อื่นๆ จึงขอความร่วมมือให้ใช้วิธีการคัดลอกเฉพาะ Link หรือ URL Address แทนการคัดลอกบทความทั้งหมด หากมีการคัดลอกไปในลักษณะแอบอ้างเป็นผู้เขียน หรือมีเจตนาอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อทางเว็บ iseehistory.com แล้ว จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดตามกฎหมาย
ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ : Marco Polo
ชื่อภาษาไทย : มาร์โค โปโล ผจญภัยสุดขอบโลก
ผู้กำกำกับ : Kevin Connor
ผู้เขียนบท : Ron Hutchinson
ผู้แสดง :
- Ian Somerhalder ... Marco Polo
- B.D. Wong ... Pedro
- Desiree Ann Siahaan ... Temulun / Kensai
- Brian Dennehy ... Kublai Khan
- Kay Tong Lim ... Lord Chenchu
- Christian Lee ... Cogatai
- Yan Luo ... Chabi
- Michael Chow ... Chi
- Mark Jax ... Niccolo Polo
- Alan Shearman ... Maffeo Polo
- Michael O'Hagan ... Old Marco Polo
- Ramin Razaghi Sefati ... Persian Physician (as Rumin Razagh)
- Jiaolong Sun ... Chonggu (as Sun Jiao Long)
- Zi Ge Fang ... Achmath (as Fang Ge)
- Rodger Bumpass ... Rustigielo
ควรอ่านเพิ่มเติม
กระทู้ที่เกี่ยวข้อง
เรียนเชิญสมาชิกร่วมแสดงความคิดเห็นที่ด้านล่างสุดของหน้าเว็บ (ต้องสมัครและ Login ก่อน) ผู้ชมทั่วไปหรือสมาชิกที่ต้องการโพสต์รูป เชิญร่วมแสดงความเห็นได้ที่เว็บบอร์ด "คุยกันหลังฉาก" ในกระทู้ที่มีอยู่แล้ว หรือ สร้างกระทู้ใหม่ (คลิกที่นี่) ครับ
หากเป็นสมาชิก Facebook แสดงความเห็นได้ในฟอร์มข้างล่างนี้ครับ
ภาพยนตร์ตัวอย่าง (Trailer) จาก www.youtube.com
ทางเว็บไม่มีนโยบายนำภาพยนตร์ฉบับ เต็มมาให้ดูออนไลน์หรือให้ดาวน์โหลดเนื่องจากเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์และไม่ มีพื้นที่สำหรับเก็บไฟล์ภาพยนตร์