
โดย webmaster@iseehistory.com
สำหรับสงครามโลกครั้งที่ 1 แล้ว เรามักนึกถึงบรรยากาศโดยทั่วไปในสมรภูมิยุโรปตะวันตกที่มีแต่การขุดรูรบกันอยู่กับที่ (Trench Warfare) แต่ละฝ่ายแทบไม่มีการรุกคืบหน้าขยับไปไหน ดังที่ได้มีการถ่ายทอดไว้ในเรื่อง All Quiet on the Western Front ทั้งเวอร์ชันสีและขาวดำ ที่เคยเสนอไปแล้ว ในการรบส่วนที่มีความตื่นเต้นจนมีชื่อเสียงโดดเด่นจริงๆ กลับเป็นสมรภูมิทะเลทรายในดินแดนอาหรับในสงครามระหว่างสัมพันธมิตรกับจักรวรรดิออตโตมานของตุรกี โดยมีวีรบุรุษที่เป็นตัวชูโรง คือ Thomas Edward Lawrence เจ้าของสมญา Lawrence of Arabia ที่ฮอลลีวู้ดได้นำเรื่องราวของเขามาสร้างเป็นหนังใหญ่อมตะในปี 1962 (พ.ศ.2505) ซึ่งผมจะได้นำมาคุยกันในโอกาสอันใกล้นี้ สำหรับครั้งนี้เราจะมาพูดถึงสารคดีเบื้องหลังชีวิตจริงที่ขมขื่นของเขา ซึ่งใช้ชื่อเดียวกับหนังอมตะของฮอลลีวู้ดตามสมญานามของเขาว่า Lawrence of Arabia ครับ
ประวัติของ Lawrence นั้น ที่จริงมีผู้เขียนเป็นภาษาไทยได้ค่อนข้างละเอียดแล้ว ดังตัวอย่างจากแหล่งอ้างอิงข้างล่าง ซึ่งในที่นี้จะพยายามเล่าเท่าที่จำเป็นตามที่ปรากฏในสารคดีนะครับ Lawrence of Arabia มีชื่อจริงว่า Thomas Edward Lawrence หรือ T. E. Lawrence เกิดเมื่อปีค.ศ. 1888/พ.ศ. 2431 (เลขปีค.ศ.เป็นเลขสวยซะด้วย แถมเลขปีพ.ศ.ก็เหมือนเอา 1234 มาเรียงสลับกัน นอกเรื่องหรือเปล่าเนี่ย แค่อยากให้จำกันง่ายๆ นะครับ) บิดาชื่อ Sir Thomas Robert Tighe Chapman เป็นผู้ดีชาวอังกฤษเชื้อสายไอริชที่ทิ้งภรรยาตามกฎหมายไปครองรักกับ Sarah Junner ซึ่งเป็นครูและพี่เลี้ยงของลูกที่เกิดจากภรรยาเดิม โดยทั้งสองมาใช้ชื่อใหม่ว่านายและนาง Lawrence มีบุตรด้วยกัน 5 คน โดยไม่ได้แต่งงานกันอย่างออกหน้าออกตา Thomas Edward Lawrence เรียนที่โรงเรียนชายล้วนใน Oxford ในวัยเยาว์นั้นชอบปั่นจักรยานไปชมโบสถ์สมัยกลางตามที่ต่างๆ เมื่อเป็นหนุ่มเป็นคนสูงราว 5 ฟุต 5 นิ้ว หรือ 166 เซ็นติเมตร เตี้ยกว่าคนไทยสมัยนี้หลายๆ คนด้วยซ้ำ มีนิสัยชอบทรมานตนเอง เช่น การอดอาหาร ความประทับใจในปราสาทสมัยเก่าๆ ทำให้เขาเดินทางไปยังตะวันออกกลางเพื่อศึกษาป้อมปราสาทต่างๆ ของสมัยครูเสด และทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับเรื่องนี้จนได้รับปริญญาเกียรตินิยม เมื่อเรียนจบ ในปี 1910/พ.ศ.2453 เขาได้ทำงานด้านโบราณคดีให้กับ D.G. Hogarth ในแดนอาหรับเขตซีเรีย ในช่วงนี้เป็นช่วงที่ใกล้จะเกิดสงคราม และเขาได้เห็นการกดขี่ของอาณาจักรออตโตมาต่อชนชาติอาหรับ จนกระทั่งในปี 1914/พ.ศ.2457 เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ในเดือนสิงหาคม Lawrence ได้ทำงานในหน่วยข่าวกรองให้กับกองทัพ ขณะที่ชาวอาหรับได้ให้ความช่วยเหลือสัมพันธมิตรในการรบกับตุรกีด้วยความหวังว่าจะได้รับเอกราชในฐานะรัฐอาหรับที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

Lawrence ใช้ยุทธวิธีแบบกองโจรทำลายรถไฟของตุรกี
ในช่วงปี 1916-1918/พ.ศ.2459-2461Lawrence ซึ่งเป็นผู้ที่รู้ภาษาและวัฒนธรรมอาหรับเป็นอย่างดีได้รับหน้าที่ให้เป็นนายทหารประสานงานระหว่างกองทัพอังกฤษกับกองกำลังของอาหรับ ที่มีผู้นำคนสำคัญคือ เจ้าชาย Emir Faisal ซึ่งเขาได้มีบทบาทเสมือนมือขวาของเจ้าชายไฟซาลมาโดยตลอด เขาได้เป็นผู้นำกองกำลังอาหรับในการลอบโจมตีเส้นทางรถไฟของตุรกี วีรกรรมสำคัญครั้งหนึ่งคือการนำกองกำลังอาหรับเข้ายึดท่าเรือทะเลแดงที่อากาบา (6 ก.ค.1917/พ.ศ.2460 - ขอแทรกนิดนึงว่าเป็นเดือนเดียวกับที่ร.6 ทรงนำไทยเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ในวันที่ 22) โดยเดินทางอ้อมผ่านทะเลทรายบริเวณที่ทุรกันดารชนิดที่คนอาหรับเองยังแหยง ด้วยเหตุผลทางยุทธวิธีที่จะโจมตีเมืองในด้านที่ฝ่ายตุรกีคาดไม่ถึง กล่าวคือได้เตรียมการป้องกันโดยเฉพาะการหันปืนใหญ่ไปในทางฝั่งทะเลเท่านั้น ในระหว่างการเดินทางครั้งนี้ ยังมีเหตุการณ์สำคัญ คือการที่ Lawrence ได้เดินทางย้อนกลับไปช่วยคนรับใช้ของเขาชื่อกาซิม ที่ถูกทอดทิ้งไว้เบื้องหลัง ทั้งการตีเมืองอาการาและการช่วยเหลือกาซิมนี้ ได้กลายเป็นวีรกรรมครั้งสำคัญในจำนวนวีรกรรมหลายๆ ครั้งที่เหมือนจะขาดไม่ได้ในการกล่าวถึงชีวประวัติของเขา

เจ้าชายไฟซาล ผู้นำคนสำคัญของอาหรับ ที่ Lawrence ทำหน้าที่ถวายคำแนะนำในการรบ
1 ตุลาคม 1918/พ.ศ.2461 ตอนปลายสงคราม ไฟซาลและ Lawrence นำทัพอาหรับยึดกรุงดามัสกัสได้เป็นผลสำเร็จ แต่เมื่อเจ้าชายไฟซาลได้พบกับนายพล Allenby แม่ทัพอังกฤษ จึงพบว่าตนเองและชาติอาหรับถูกหักหลัง เนื่องจากอังกฤษและฝรั่งเศสได้มีสนธิสัญญาลับตกลงแบ่งเขตแดนอาหรับกันปกครองอยู่ก่อนแล้ว ไฟซาลจึงเสด็จออกจากดามัสกัสด้วยความพิโรธ รวมทั้งความเข้าใจว่า Lawrence มีส่วนร่วมในการหักหลังครั้งนี้ Lawrence เองก็รู้สึกผิดต่อผลที่ออกมาเช่นกัน ความรู้สึกผิดดังกล่าว ประกอบกับการที่นักหนังสือพิมพ์อเมริกันชื่อ Lowell Thomas นำภาพยนตร์เกี่ยวกับตัวเขาออกฉาย จนทำให้เขากลายเป็นคนดัง กลับยิ่งทำให้เขาปฏิเสธเกียรติยศชื่อเสียงต่างๆ ถึงขนาดปฏิเสธการรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่อหน้าพระพักตร์ และหลบหนีสังคมด้วยการไปสมัครเป็นทหารชั้นผู้น้อยในกองทัพอากาศในชื่อปลอมว่า John Hume Ross ซึ่งก็ถูกจับได้และถูกปลดในเวลาไม่นาน ต่อมาได้ใช้ชื่อปลอมว่า T. E. Shaw ไปสมัครเป็นพลทหารในหน่วยรถถัง จนถึงปี 1925/พ.ศ.2468 ได้กลับไปเป็นทหารอากาศอีกครั้งในชื่อ T. E. Shaw ตำแหน่งเสมียนและช่างเครื่อง ในช่วงแห่งการหลบซ่อนตัวนี้ เขาได้มีผลงานเขียนเล่มสำคัญเรื่อง Seven Pillars of Wisdom ตีพิมพ์ในปี 1927/พ.ศ.2470 ส่วนผลงานที่ไม่เป็นรูปเล่มคือการสร้างเรือช่วยชีวิตให้กับกองทัพอากาศ วาระสุดท้ายมาถึงเขาเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 1935/พ.ศ.2478 ด้วยอุบัติเหตุขณะขับรถมอเตอร์ไซค์ไปธุระด้วยวัยเพียง 46 ปี

หนังสือพิมพ์ลงข่าวการตายของ Lawrence
ทำไม Lawrence จึงสามารถสร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้ถึงเพียงนั้น แล้วทำไมหลังจากนั้นเขาจึงเลือกใช้ชีวิตอย่างต่ำต้อย และถึงแก่กรรมเยี่ยงบุคคลที่ไร้ความหมายเช่นนี้?
ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ทำให้เราทราบถึงเบื้องหลังชีวิตของเขาในเชิงจิตวิทยา อันประกอบไปด้วยบุคลิกภาพ ดังนี้
ความรู้สึกว่าตนเองผิดหรือมีบาปมีปมด้อย จากการที่เขาเป็นลูกนอกกฎหมายของบิดามารดาที่ไม่ได้สมรสกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่สังคมอังกฤษยุคนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งเขาจำเป็นต้องปกปิดฐานะของตนเองไว้ตลอด อีกทั้งมารดาเป็นผู้ที่หันเข้าหาศาสนา อยากให้ลูกเป็นนักบุญเพื่อชดใช้ความผิด เธอมักลงโทษลูกด้วยวิธีการรุนแรงโดยเฉพาะกับตัวเขา

Sarah Junner มารดาผู้เข้มงวดของ Lawrence
การชอบทรมานตนเอง ความรู้สึกว่าตนเองเป็นคนผิด ทำให้เขามีนิสัยชอบใช้ชีวิตอยู่กับความลำบากและทรมานตนเอง เช่น การอดอาหาร ซึ่งในด้านดีมันทำให้เขากลายเป็นคนทรหดอดทนต่อภารกิจที่โชคชะตาจะมอบหมายให้เขาในช่วงสงครามโลก แต่ในด้านลบ มันกลายเป็นอาการทางจิตที่น่าเวทนา เพื่อนผู้หนึ่งในบั้นปลายชีวิตของเขาเป็นพยานว่า เขาได้ชักจูงจ้างวานให้ใครต่อใครหลายคนเฆี่ยนตีเขาให้ได้รับความเจ็บปวด โดยอ้างว่าเป็นไปตามคำสั่งของ "ลุง" ซึ่งเป็นบุคคลในจินตนาการของเขา
การแสวงหาโลกในอุดมคติจากอดีต เมื่อโลกแห่งความเป็นจริงในปัจจุบันเป็นโลกที่ไม่ค่อยจะมีความสุขนัก ทางออกของ Lawrence จึงเป็นการหาแบบอย่างที่ดีงามจากอดีต เขาไม่เพียงแต่หลงใหลคลั่งไคล้สถาปัตยกรรมของป้อมและปราสาทสมัยกลางจนศึกษาได้ปริญญาเกียรตินิยมเท่านั้น เมื่อเขายังได้ค้นพบความเป็นนักรบตามแบบโบราณในบรรดาชนเผ่าเบดูอินในทะเลทรายอาระเบียอีกด้วย แต่ในสารคดีตอนหนึ่ง นักวิชาการท่านหนึ่งกลับพูดว่า Lawrence ต้องเสแสร้งทำเป็นรักชาวอาหรับ ซึ่งผมกลับเห็นว่าเขาขลุกอยู่กับคนอาหรับนานเกินกว่าที่จะทรยศพวกเขา และเขาก็ได้ปฏิเสธ "รางวัล" จากอังกฤษมาโดยตลอด

กองกำลังอาหรับ ซึ่งเป็นทั้งกำลังพลในชีวิตจริง และอัศวินในอุดมคติของ Lawrence
ปัญหาทางเพศ จากการที่มารดาของเขาเป็นคนเข้มงวดและลงโทษเขาอย่างรุนแรง จึงน่าจะเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้เขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับสตรีใดตลอดชีวิต ตอนเรียนก็อยู่ในโรงเรียนชายล้วน อยู่กับพวกอาหรับก็เป็นสังคมของพวกผู้ชายล้วน แต่จะถึงขั้นเป็นเกย์หรือเปล่า? นี่เป็นปัญหาที่ถกเถียงกันมาก โดยเฉพาะกรณีความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเด็กชายชาวอาหรับที่ชื่อดาฮูม (บางที่เรียกเป็น ดาอูด) ที่เขาแสดงความสนิทสนมด้วยหลายประการถึงขนาดเคยถ่ายรูปเปลือยของดาฮูม จนเป็นที่โจษจันของพวกอาหรับ เคยพาดาฮูมไปเที่ยวอังกฤษก่อนเกิดสงครามเพียง 1 ปี ว่ากันว่าเหตุที่ต้องทุ่มเทช่วยเหลือชาวอาหรับนักหนาก็เพื่อนำเอกราชของชาวอาหรับมาเป็นของขวัญให้กับพ่อหนุ่มน้อยนี้ แต่ดาฮูมได้ป่วยตายลงเสียก่อน และในหนังสือ Seven Pillars of Wisdom ได้มีคำนำอุทิศให้กับ "S.A" ซึ่งใครต่อใครก็เดากันเอาว่าเป็น Selim Ahmed หรือ ดาฮูมนั่นเอง อีกปมปัญหาทางเพศของเขานั้น ถูกเล่าไว้ในหนังสือ Seven Pillars of Wisdom ว่า ครั้งหนึ่ง ในเดือนพฤศจิกายน 1917/พ.ศ.2460 เขาบุกเข้าไปในเมืองดีล่า ตอนใต้ของดามัสกัส เขาได้ถูกทหารตุรกีจับไปทรมาน และถูกเจ้าเมืองซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารข่มขืนแบบรักร่วมเพศ แต่ก็มีข้อโต้แย้งว่า เจ้าเมืองดีล่าไม่อยู่ในเมืองในช่วงเวลาดังกล่าว และเขายังมีประวัติเป็นเสือผู้หญิงอีกต่างหาก เรื่องดังกล่าวน่าจะเป็นเพียงความคิดฝันส่วนตัวของเขาเท่านั้น

ดาฮูม หรือ ดาอูด หนุ่มน้อยชาวอาหรับที่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ Lawrence ยังเป็นปริศนา
สรุปว่าปมปัญหาทางจิตวิทยาในชีวิตของเขานั้น เริ่มจากความรู้สึกผิดหรือ "บาป" ของครอบครัว ความพยายามใฝ่หาความงามทางอุดมคติแบบยุคโบราณ ซึ่งอาจรวมถึงปมปัญหาทางเพศ ทำให้เขาพยายามทุ่มเทช่วยเหลือให้ชนชาติอาหรับได้เป็นเอกราช แต่เมื่อผลไม่เป็นดังที่หวัง เขาก็กลับปฏิเสธ "ชื่อเสียงเกียรติยศ" ที่ควรจะได้เพื่อกลับไปใช้ชีวิตอยู่กับ "บาป" และการลงโทษตนเอง จนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต

ภาพหน้าปกของหนังสือที่เปิดเผยชีวิตลับของ Lawrence ภายหลังการตายของเขา
โดยภาพรวมแล้ว จัดว่าสารคดีเรื่องนี้ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตของวีรบุรุษอาภัพผู้นี้ได้อย่างละเอียดและลึกซึ้ง แม้กระนั้นก็ยังมีส่วนที่ขาดหายไปบางส่วน ได้แก่ในช่วงของการเจรจาสันติภาพหลังสงคราม ที่ Lawrence ได้ทำหน้าที่ล่ามให้กับเจ้าชายไฟซาล กับในช่วงปี 1920/พ.ศ.2463 เกิดการสู้รบระหว่างฝรั่งเศสและอังกฤษกับฝ่ายของเจ้าชายไฟซาลที่พึ่งเป็นกษัตริย์แห่งซีเรียหมาดๆ จนต้องหนีไปที่อิรัก วิกฤตการณ์ดังกล่าวทำให้ทั้งสองเสียไพร่พลกันไปเป็นจำนวนมาก Lawrence ได้รับเลือกจากวินสตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีอังกฤษขณะนั้นให้เป็นที่ปรึกษาในการแก้ไขสถานการณ์ จนเป็นผลให้ไฟซาลได้เป็นกษัตริย์แห่งอิรัก อับดุลลา อามีร์ได้เป็นใหญ่ในเขตจอร์แดน นี่แหละครับ ขนาดหนังสารคดียังมีหลุดประเด็นบ้างนิดหน่อย นับประสาอะไรกับหนังที่สร้างเพื่อความบันเทิง แนวคิดของเว็บ IseeHistory.com แห่งนี้ไม่ได้ถึงขนาดว่าจะให้เรียนประวัติศาสตร์จากหนังแทนหนังสือหรอกนะครับ เพียงแต่ว่ามันเป็นสื่อประกอบที่ตื่นเต้นเร้าใจ หาชมได้ง่าย ท้ายที่สุดการศึกษาประวัติศาสตร์ก็ต้องอาศัยแหล่งข้อมูลความรู้ที่หลากหลายเข้ามาประกอบกันครับ สำหรับสารคดีเรื่องนี้ก็ขอให้ท่านศึกษาประกอบกับหนังสือและแหล่งข้อมูลอื่นๆ เพื่อให้เกิดความรู้ต่อยอดกันต่อไปครับ
เนื่องจากบทความนี้เป็นลิขสิทธิ์อัน ชอบธรรมของผู้เขียน และอาจะมีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลบ้างตามความเหมาะสม ในการนำบทความไปเผยแพร่ในเว็บไซต์อื่นๆ จึงขอความร่วมมือให้ใช้วิธีการคัดลอกเฉพาะ Link หรือ URL Address แทนการคัดลอกบทความทั้งหมด หากมีการคัดลอกไปในลักษณะแอบอ้างเป็นผู้เขียน หรือมีเจตนาอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อทางเว็บ iseehistory.com แล้ว จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดตามกฎหมาย
ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ : Lawrence of Arabia (สารคดี)
ชื่อภาษาไทย : ลอว์เรนซ์แห่งอาระเบีย
ผู้สร้าง : David Edgar
ผู้กำกำกับ : Chris Warren
ควรอ่านเพิ่มเติม
กระทู้ที่เกี่ยวข้อง
เรียนเชิญสมาชิกร่วมแสดงความคิดเห็นที่ด้านล่างสุดของหน้าเว็บ (ต้องสมัครและ Login ก่อน) ผู้ชมทั่วไปหรือสมาชิกที่ต้องการโพสต์รูป เชิญร่วมแสดงความเห็นได้ที่เว็บบอร์ด "คุยกันหลังฉาก" ในกระทู้ที่มีอยู่แล้ว หรือ สร้างกระทู้ใหม่ (คลิกที่นี่) ครับ
หากเป็นสมาชิก Facebook แสดงความเห็นได้ในฟอร์มข้างล่างนี้ครับ
ทางเว็บไม่มีนโยบายนำภาพยนตร์ฉบับ เต็มมาให้ดูออนไลน์หรือให้ดาวน์โหลดเนื่องจากเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์และไม่ มีพื้นที่สำหรับเก็บไฟล์ภาพยนตร์