webmaster@iseehistory.com
นานมาแล้ว ในการสัมมนาอะไรสักอย่างหนึ่ง ได้ยินอาจารย์ท่านหนึ่งเปรียบเทียบว่า การทหารกับการทูตนั้น เปรียบเสมือนสองด้านของเหรียญเดียวกัน หากจะให้ผมอธิบายขยายความเองในที่นี้ คงคล้ายกับว่า เราจะทำสงครามลุยไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจเป้าหมายทางการทูตไม่ได้ และในทางกลับกัน การเจรจาต่อรองทางการทูตใดๆ จะมีความหมายไม่ได้ หากกำลังทหารไม่เข้มแข็งพอ ดังในกรณีการศึกษาชีวประวัติของ T. E. Lawrence หรือ ลอว์เรนซ์แห่งอาระเบียนั้น การจะดูแค่บทบาทมาดแอคชั่นในสงครามที่เขานำชาวอาหรับต่อต้านอาณาจักรออตโตมานอย่างในหนัง Lawrence of Arabia คงไม่เพียงพอ ในการเจรจาสันติภาพที่กรุงปารีส ปี 1919/พ.ศ.2462 Lawrence ยังคงมีบทบาทช่วยเหลือเจ้าชาย Feisal ในทำศึกเพื่อเอกราชของชาวอาหรับบนโต๊ะเจรจาทางการทูตครั้งนี้ด้วย เหตุการณ์ช่วงนี้ได้สะท้อนผ่านภาพยนตร์เรื่อง A Dangerous Man: Lawrence After Arabia ภาพยนตร์โทรทัศน์ที่ออกฉายในปี 1990/พ.ศ.2533 ที่ในปัจจุบันสามารถหาชมในรูปแบบ DVD/VCD ตามร้านทั่วไป
บรรยากาศการฉายหนังของยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ลอว์เรนซ์กำลังกลายเป็นคนดังจากหนังของ Thomas Lowell
ภาพยนตร์เริ่มเรื่องในโรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งที่กำลังฉายภาพยนตร์เกี่ยวกับ Lawrence ของ Thomas Lowell ซึ่งเป็นหนังแบบโบราณมากๆ คือเป็นหนังขาวดำ ไม่มีเสียงในฟิล์ม เวลาฉายต้องมีวงออเคสตร้าบรรเลงประกอบพร้อมคนบรรยาย และการบรรยายก็ยกย่องลอว์เรนซ์ค่อนข้างจะเว่อ คือเรียกลอว์เรนซ์ว่า "กษัตริย์ไร้มงกุฏแห่งอาระเบีย" แล้วเรียก Emir Feisal พระโอรสของกษัตริย์ Hussein ว่าเป็นหัวหน้านักรบอาหรับของลอเรนซ์ ปรากฏว่าในที่นั้น ลอเรนซ์ก็นั่งชมอยู่ด้วย และย้อนนึกถึงความหลังไป 1 ปี ในช่วงวันเจรจาสันติภาพหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี 1918/พ.ศ.2461(Armistice Day, 1918) ณ กรุงปารีส ลอว์เรนซ์ ได้ไปต้อนรับคณะของเจ้าชายไฟซาลที่จะมาเข้าร่วมในการเจรจาสันติภาพด้วย (ในเรื่องจะเรียกว่า Hejaz Delegation) จากนั้นลอว์เรนซ์ได้ไปเจรจากับคณะผู้แทนของอังกฤษ เพื่อขอให้อัังกฤษสนับสนุนคณะของไฟซาลให้ได้ปกครองซีเีรีย เพื่อความมั่นคงของเส้นทางการค้าจากอังกฤษไปอินเดีย แม้คณะของอังกฤษจะทราบดีว่าฝรั่งเศสก็ต้องการซีเรียเช่นกัน แต่ก็จำต้องยอมรับรองคณะของเจ้าชายไฟซาลให้เข้าร่วมประชุมด้วย และในเข้าร่วมเจรจาดังกล่าว ลอว์เรนซ์จะทำหน้าที่เป็นล่ามโดยอ้างว่าไฟซาลไม่รู้ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส แม้อังกฤษจะรับรองแล้ว คณะของไฟซาลยังต้องเผชิญอุปสรรคเนื่องจากทางการฝรั่งเศสยังเล่นแง่ไม่ยอมรับสถานะของ Hejaz Delegation แกล้งกักคณะของไฟซาลไว้ที่สถานีรถไฟแล้วแยกลอว์เรนซ์ออกมา ลอว์เรนซ์จึงต้องกลับไปวิ่งเต้นกับ Lord Curzon ของอังกฤษ จนคณะของไฟซาลสามารถเข้าสู่ที่พักที่สมเกียรติ
ใครเรียนภาษาฝรั่งเศสลองหัดฟัง Lawrence พูดประกอบเสียงกลองในฉากนี้ดูบ้าง!!!
ในระหว่างการเข้าร่วมเจรจาสันติภาพของ Hejaz Delegation นอกจากปัญหาการยอมรับจากบรรดามหาอำนาจแล้ว ความดังของลอว์เรนซ์ในช่วงนั้นเนื่องจากภาพยนตร์ของ Thomas Lowell ก็กลายมาเป็นอุปสรรคสำคัญ บรรดานักข่าวมักจะแห่กันไปรุมสัมภาษณ์ลอว์เรนซ์ ขณะที่เจ้าชายไฟซาลแทบจะกลายเป็นหัวหลักหัวตอ และการที่เตี๊ยมกันไว้ว่าไฟซาลจะทำเป็นไ่ม่รู้ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสเพื่อให้ลอว์เรนซ์อาศัยหน้าที่ล่ามบังหน้า ก็กลับเป็นเหตุให้ลอว์เรนซ์ยิ่งเด่นขึ้นมาอีก เมื่อ Hejaz Delegation ได้เข้าร่วมประชุมกับ Council of Ten ลอว์เรนซ์แปลจดหมายภาษาอาหรับของไฟซาลเป็นภาษาอังกฤษ เสนอต่อที่ประชุมให้เปิดเผยเอกสารของอังกฤษถึงพระบิดาของไฟซาลที่เคยตกลงจะให้ชนชาติอาหรับเป็นเอกราช ผู้แทนฝรั่งเศสก็ลองดีโดยขอให้ลอว์เรนซ์แปลข้อความเป็นภาษาฝรั่งเศสในทันที ผลคือไม่ใช่แค่ "เดี๋ยวจัดให้" แต่เป็น "ได้เลย!" ลอว์เรนซ์รัวภาษาฝรั่งเศสกลับเป็นชุดตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีติดขัด ในหนังช่วงนี้ยังได้มีเสียงรัวกลองเพลงมาร์ชประกอบด้วย มันส์ซะไม่มี พอจบบรรดาผู้ฟังที่ไม่ใช่ฝรั่งเศสปรบมือกันสนั่นหวั่นไหว อีกครั้งหนึ่ง คณะของไฟซาลอุตส่าไปเชิญท่านประธานาธิบดีวิลสันแห่งสหรัฐอเมริกามาร่วมรับประทานอาหาร ซึ่งท่านก็แสดงท่าทีเห็นดีเห็นงามกับข้อเสนอต่างๆ ของไฟซาล แต่พอลงท้ายก็มาวกเข้าเรื่องของลอว์เรนซ์ที่ปรากฏในหนังเข้าอีก ทำให้ไฟซาลกับลอว์เรนซ์มึนตึงกันอยู่นิดๆ
ประธานาธิบดีวิลสันร่วมรับประทานอาหารกับคณะของไฟซาล/ลอว์เรนซ์ (Hejaz Delegation)
และแล้วฟ้าก็ไม่เป็นใจ เมื่อมีข่าวว่าบิดาของลอว์เรนซ์ (Sir Thomas Robert Tighe Chapman) กำลังป่วยหนัก ลอว์เรนซ์ต้องกลับอังกฤษโดยด่วน แต่ก็ไม่ทันได้ดูใจบิดา และยังไม่ทันจะถึงงานฝังศพ ลอว์เรนซ์ก็ต้องรีบเผ่นหนีนักข่าวกลับมาฝรั่งเศสเพื่อจะมาพบว่า พวกมหาอำนาจได้ฉวยโอกาสตอนที่เขาไม่อยู่ บีบให้เจ้าชายไฟซาลต้องยอมรับให้มีกำลังทหารอังกฤษในดามัสกัสและที่ปรึกษาฝรั่งเศสตามเมืองสำคัญในซีเรีย โดยอ้างว่าเป็น "มาตรการชั่วคราว" เมื่อลอว์เรนซ์เข้าพบท่านเคลมองโซ นายกฯ ฝรั่งเศส ท่านเคลมองโซ พยายามจะหักล้างความชอบธรรมของฝ่ายไฟซาลและลอว์เรนซ์ที่สามารถยึดกรุงดามัสกัสได้ก่อน โดยนำตัว นายพล Gervenne มาอ้างว่ากองหน้าของ Anzac Mounted Division ในบังคับบัญชาของท่านนายพลสามารถเข้าสู่กรุงดามัสกัสได้ก่อน คราวนี้ลอว์เรนซ์ต้องพล่านเป็นการใหญ่ พยายามวิ่งเต้นไปล็อบบี้ผู้นำอังกฤษและอเมริกัน ทั้ง เชอร์ชิลล์, ลอยด์ ยอร์ช, วิลสัน ฯลฯ แต่ไม่เป็นผล ทางด้านไฟซาลก็ต้องรีบกลับอาหรับเป็นการด่วน เนื่องจากได้เกิดการรบระหว่าง Ibn Saud ที่อังกฤษหนุนหลังกับครอบครัวของไฟซาล เมื่อฝ่ายอาหรับต้องออกจากการเจรจา ลอว์เรนซ์ได้ลักลอบคัดลอกข้อความจากเอกสารลับส่งไปให้บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทมส์ ทางการอังกฤษจึงได้สั่งห้ามลอว์เรนซ์ติดต่อกับไฟซาลหรือเคลื่อนไหวใดๆ อีก เนื้องเรื่องตอนนี้กลับไปยังฉากที่ลอว์เรนซ์ดูภาพยนตร์เกี่ยวกับตนเองในปี 1919/พ.ศ.2462 คณะของเจ้าชายไฟซาลได้มาตามหาลอว์เรนซ์ที่ลอนดอนขณะมาเจรจากับอังกฤษเรื่องสถานการณ์ในซีเรีย ลอว์เรนซ์ได้หอบต้นฉบับหนังสือเรื่อง Seven Pillars of Wisdom ที่เขาเขียนมาตั้งแต่ช่วงเจรจาสันติภาพจนเสร็จเรียบร้อยมาให้เจ้าชายไฟซาลอ่าน ก่อนที่จะจากกันไป ภาพยนตร์ได้บรรยายทิ้งท้ายถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในภายหลังว่า เจ้าชายไฟซาลถูกฝรั่งเศสขับออกจากซีเรียในปี 1920/พ.ศ.2463 ปีถัดมา เชอร์ชิลล์และลอว์เรนซ์ได้ช่วยให้ไฟซาลครองบัลลังก์ในอิรัค ต่อมาไฟซาลได้สิ้นพระชนม์ด้วยพระอาการประชวรในสวิสเซอร์แลนด์เมื่อปี 1933/พ.ศ.2476 รวมอายุได้ 48 ชันษา ส่วนลอว์เรนซ์นั้น ตั้งแต่ปี 1922/พ.ศ.2465 ได้ใช้ชีวิตเป็นทหารชั้นผู้น้อยในกองทัพอากาศและกองทัพบกจนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถมอเตอร์ไซค์ในปี 1935/พ.ศ.2478 เมื่ออายุได้ 46 ปี
ลอว์เรนซ์ถูกผู้หลักผู้ใหญ่ตำหนิไปถึงชาติกำเนิด และสั่งห้ามเขาติดต่อไฟซาลหรือเคลื่อนไหวใดๆ อีก
(ดูมุมกล้องเขาซิครับ)
คุณค่าที่ควรดู
เคยพุดเล่นในเว็บบอร์ด "คุยกันหลังฉาก" ว่าภาพยนตร์ประวัติศาสตร์บางเรื่องนั้น หากให้คอหนังแอคชั่นดูอาจต้องเตรียมหมอนหรือเตรีมบันไดเอาไว้ด้วย ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เข้าข่ายเช่่นว่าอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะหากไม่เคยทราบเรื่องราวของลอเรนซ์เป็นอย่างดีมาก่อน แต่จะไม่ดูเสียเลยก็คงเป็นไปไม่ได้สำหรับผู้ที่สนใจชีวิตของวีรบุรุษผู้ลึกลับรายนี้ หรือประวัติศาสตร์อาหรับ เพราะภาพยนตร์เกี่ยวกับลอเรนซ์เท่าที่ผมมีอยู่ในมือ ไม่ว่าเวอร์ชันสารคดี , เวอร์ชันที่ปีเตอร์ โอทูล แสดง ล้วนแต่ยังไม่ครอบคลุมบทบาททั้งหมดของเขาในความพยายามที่จะช่วยเหลือโลกอาหรับให้เป็นไทจากจักรวรรดินิยมตะวันตก ในทุกวันนี้ ภาพลักษณ์ของเขาในสายตาชาวตะวันตกดูคล้ายจะยังเว่อๆ อย่างที่เคยเป็นมาตั้งแต่หลังสงครามใหม่ๆ ขณะที่ทางโลกอาหรับเองกลับหาว่าเขาเป็นผู้ทรยศทั้งที่ชีวิตของเขาในภายหลังกลับจมปลักอยู่กับการลงโทษตัวเองจนสิ้นชีวิต และจากการที่มหาอำนาจตะวันตกได้ทรยศชาวอาหรับมาตั้งแต่ครั้งนั้นด้วยเหตุความโลภในทรัพยากรน้ำมัน ได้กลายมาเป็นเหตุแห่งปัญหาทางเศรษฐกิจและการเมืองระดับโลกที่เราเผชิญกันมาจนทุกวันนี้
เมื่อพูดถึงภาพยนตร์เกี่ยวกับลอเรนซ์เวอร์ชันที่ปีเตอร์ โอทูล แสดงแล้ว ก็น่าแปลกใจที่ผู้จำหน่ายภาพยนตร์ในเมืองไทยไม่อุปโลกน์ให้ Lawrence After Arabia เป็น "ภาคสอง" ของ Lawrence of Arabia ทั้งที่เคยอ้างว่าเรื่องอื่นเป็น "ภาคสอง" ของเรื่องดังๆ มาไม่น้อย โดยที่ตัวละครเป็นคนละชุดกันเนื้องเรื่องไม่เกี่ยวกันเลย แต่กับสองเรื่องนี้ อย่างน้อยก็มีลอว์เรนซ์กับไฟซาลเป็นตัวยืนร่วมกันอยู่ และเป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกัน หรือเขาจะลืมไปว่าเคยมีหนังเรื่อง Lawrence of Arabia? ฝากข้อคิดกันเล่นๆ นะครับ ไม่ได้หมายความว่าการอ้างเป็น "ภาคสอง" ของ Lawrence of Arabia จะถูกหรือผิด/ควรทำ-ไม่ควรทำโดยสิ้นเชิง
ความยากอีกประการหนึ่งของการชมภาพยนตร์เรื่องนี้ คือเรื่องของภาษาทางการทูตที่ค่อนข้างยากจะเข้าใจ สำหรับบทพากย์ไทยนั้น รู้สึกว่าผู้แปลจะได้ใช้ความพยายามค่อนข้างมาก และหลายตอนก็ทำได้ดี แต่ก็มีอีกหลายตอนหลายประโยคที่รู้สึกว่าจะพลาดอย่างมากๆ เนื่องจากขณะที่เขียนบทความนี้ได้ทิ้งช่วงการเขียนจากบทความล่าสุดมาเป็นอาทิตย์ ประกอบกับเรื่องนี้ในเวอร์ชัน DVD สามารถเลือกฟังเสียงและดูซับไตเติ้ลได้ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ จึงของดเว้นการยกตัวอย่างการแปลที่รู้สึกว่าไม่ถูกเอาไว้ก่อน และขอแนะนำให้ผู้ที่ภาษาอังกฤษแข็งแรงสักหน่อย ได้เลือกฟังซาวด์แทร็กและ/หรือดูซับไตเติ้ลภาษาอังกฤษประกอบ ที่สำคัญคือควรจะได้ศึกษาชีวประวัติของลอว์เรนซ์และเหตุการณ์ประวัติศาสตร์เบื้องหลังให้เข้าใจสักนิดนึงก่อน สรุปว่าอยากให้ท่านผู้อ่านได้ลองปีนบันไดชมภาพยนตร์เรื่องนี้มากกว่าที่จะให้ท่านหลับคาหมอนครับ
ลอว์เรนซ์มองตัวเองในกระจกที่มีฝ้าไอน้ำ คล้ายจะสะท้อนชีวิตอันลึกลับคลุมเครือเขา?
เนื่องจากบทความนี้เป็นลิขสิทธิ์อัน ชอบธรรมของผู้เขียน และอาจะมีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลบ้างตามความเหมาะสม ในการนำบทความไปเผยแพร่ในเว็บไซต์อื่นๆ จึงขอความร่วมมือให้ใช้วิธีการคัดลอกเฉพาะ Link หรือ URL Address แทนการคัดลอกบทความทั้งหมด หากมีการคัดลอกไปในลักษณะแอบอ้างเป็นผู้เขียน หรือมีเจตนาอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อทางเว็บ iseehistory.com แล้ว จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดตามกฎหมาย
ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ : A Dangerous Man: Lawrence After Arabia
ชื่อภาษาไทย : ลอว์เร้นซ์แห่งอะราเบีย สู้เพื่อชัยชนะ
ผู้สร้าง : Celia Bannerman
ผู้กำกำกับ : Christopher Menaul
ผู้เขียนบท : Tim Rose Price
ผู้แสดง :
- Ralph Fiennes ... T. E. Lawrence
- Alexander Siddig ... Feisal (as Siddig El Fadil)
- Denis Quilley ... Lord Curzon
- Nicholas Jones ... Lord Dyson
- Roger Hammond ... Valence
- Peter Copley ... Maitland
- Paul Freeman ... Dumont
- Polly Walker ... Mme. Dumont
- Gillian Barge ... Gertrude Bell
- Jim Carter ... Meinertzhagen
- Michael Cochrane ... Winston Churchill
- Robert Arden ... Wilson
- Arnold Diamond ... Clemenceau
- Bernard Lloyd ... Lloyd George
- Keith Edwards ... Fleischmann
ควรอ่านเพิ่มเติม
กระทู้ที่เกี่ยวข้อง
เรียนเชิญสมาชิกร่วมแสดงความคิดเห็นที่ด้านล่างสุดของหน้าเว็บ (ต้องสมัครและ Login ก่อน) ผู้ชมทั่วไปหรือสมาชิกที่ต้องการโพสต์รูป เชิญร่วมแสดงความเห็นได้ที่เว็บบอร์ด "คุยกันหลังฉาก" ในกระทู้ที่มีอยู่แล้ว หรือ สร้างกระทู้ใหม่ (คลิกที่นี่) ครับ
หากเป็นสมาชิก Facebook แสดงความเห็นได้ในฟอร์มข้างล่างนี้ครับ
ทางเว็บไม่มีนโยบายนำภาพยนตร์ฉบับ เต็มมาให้ดูออนไลน์หรือให้ดาวน์โหลดเนื่องจากเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์และไม่ มีพื้นที่สำหรับเก็บไฟล์ภาพยนตร์