
โดย webmaster@iseehistory.com
"หลังจากบิดาสิ้นชีวิตลง เตมูจินในวัย 9 ขวบต้องช่วยหาเลี้ยงครอบครัว ชีวิตที่ต้องอดมื้อกินมื้อและสมบุกสมบันตั้งแต่ยังเล็ก ทำให้เขาแกร่งขึ้น ราวกับเป็นการฝึกให้พร้อมที่จะรับมือกับภาระอันหนักอึ้งในอนาคต"
(จาก " เจงกิสข่าน ประมุขของชาวมองโกล" หน้า 31)
เว็บไซต์ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์แห่งนี้เปิดมาได้ปีกว่า ได้นำเรื่องราวของนักรบผู้กล้ามากมายมานำเสนอตั้งแต่สามัญชนจนถึงกษัตริย์ ทั้งที่มีตัวตนจริงและตัวละครสมมติมาไม่น้อยแล้ว คราวนี้ถึงคิวของกษัตริย์นักรบผู้ยิ่งใหญ่อีกพระองค์หนึ่งที่คงไม่สามารถละเว้นได้ นั่นคือจอมจักรพรรดิ์เจงกิสข่าน (Genghis Khan) ซึ่งนอกจากจะทรงความยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์มานับเป็นร้อยปีแล้ว ในโลกแห่งภาพยนตร์ก็ปรากฎว่าพระประวัติของพระองค์ถูกนำมาสร้างนับครั้งไม่ถ้วน ในที่นี้จะขอเริ่มต้นจากภาพยนตร์ที่เป็นสารคดีกันก่อน ในเวอร์ชันที่สร้างโดย BBC ครับ สร้างเมื่อปี 2005/พ.ศ.2548 โดยระบุว่าเรียบเรียงจากแหล่งข้อมูลที่สำคัญต่างๆ เช่น หลักฐานจากจีนและเปอร์เซีย งานวิชาการต่างๆ และที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้สนใจศึกษาประวัติศาสตร์มองโกล คือ งานเขียนที่เรียกว่า "ประวัติศาสตร์ลับ" (Secret History หรือในชื่อเต็มๆ ว่า "The Secret History of the Mongols")
(หมายเหตุ ชื่อภาษามองโกลต่างๆ ที่ปรากฏในที่นี้อาจแตกต่างจากที่ปรากฏในแหล่งข้อมูลอื่นๆ ได้)
เนื้อหาในภาพยนตร์กล่าวว่า เจงกิสข่าน ในชื่อเดิมว่า "เตมูจิน" ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 1162/พ.ศ.1705 ขณะคลอดออกมาทารกน้อยนี้ได้กำก้อนเลือดไว้ในมือ ในเรื่องกล่าวเพียงว่าเตมูจินเป็นบุตรชายหัวหน้าเผ่าๆ หนึ่งในมองโกเลีย ก็ขอเสริมเลยว่า จากประวัติในที่อื่นๆ ระบุว่าบิดาของเตมูจินชื่อว่า "เยซูไก" ในปี 1170/พ.ศ.1713 เตมูจินต้องสูญเสียบิดาเมื่ออายุเพียง 9 ขวบเนื่องจากถูกเผ่าอื่นลอบวางยาพิษ แล้วในอีก 10 ปีต่อมา เตมูจินได้เติบโตขึ้นมาเป็นหัวหน้าครอบครัว เพื่อให้ครอบครัวอยู่รอด เตมูจินต้องสร้างความสัมพันธ์กับเผ่าต่างๆ ซึ่งวิธีการหนึ่งก็คือ การแต่งงานกับหญิงสาวที่ชื่อว่า บอร์เต้ แต่ไม่ทันไรก็ถูกชนเผ่าเมอร์กิต (Merkit - บางแห่งเรียกว่า "เมอร์คิต" หรือ "เบี้ยฉี") โจมตีแย่งชิงภรรยาไป เตมูจินหลบหนีไปได้ จึงไปขอความร่วมมือจาก "อันต๊ะ" หรือเพื่อนร่วมสาบาน ชื่อว่า "จามูก้า" ทั้งสองได้รวมกำลังกันชิงบอร์เต้กลับคืนมา และกำจัดชนเผ่าเมอร์กิตซึ่งเป็นเผ่าที่เข้มแข็งเผ่าหนึ่งลงได้

จากซ้ายไปขวา บอร์เต้ ภรรยาเตมูจิน, จามูก้า พี่น้องร่วมสาบานที่กลายมาเป็นศัตรู และซูโบเด ขุนพลคนสำคัญที่มาจากบุตรคนเลี้ยงสัตว์ผู้ต่ำต้อย
ขอเพิ่มเติมในช่วงนี้ว่า
- สารคดีนี้กล่าวเพียงว่า การแย่่งชิงภรรยาเป็นเรื่องปกติของชนเผ่าในมองโกเลียช่วงนั้น อย่างไรก็ตาม มารดาของเตมูจินเองนั้น ก็เป็นชาวเผ่าเมอร์กิตที่เยซูไกแย่งชิงมา เมื่อเยซูไกตายลง จึงเป็นข้ออ้างประการหนึ่งที่ทำให้คนในเผ่าของเตมูจินตีจากไป และกำเนิดของเตมูจินนั้น ก็ยังคลุมเครือว่าเป็นลูกของเยซูไกเอง หรือเป็นลูกที่ติดท้องมาจากเผ่าเมอร์กิต
- ชื่อ "เตมูจิน" นี้ เป็นชื่อของหัวหน้าเผ่าทาทาร์ (Tatar) หรือ ทะทาเอย ที่เยซูไกจับสังหารได้ แล้วนำชื่อเตมูจินนี้มาตั้งให้กับบุตรชายของตน ตามธรรมเนียมของมองโกล
- บอร์เต้ หรือ บูร์ไต เป็นบุตรสาวของเผ่าหนจิลา ที่เยซูไกได้หมั้นหมายให้กับเตมูจินตั้งแต่ยังเด็ก
- เมื่อเตมูจินได้บอร์เต้กลับคืนมา ปรากฏว่าเธอได้ตั้งครรภ์แล้ว ต่อมาได้คลอดเป็นบุตรชาย ชื่อ "โจชิ" ซึ่งไม่อาจทราบได้เหมือนกันว่า เป็นบุตรของเตมูจินหรือชนเผ่าเมอร์กิต
- หลังจากเยซูไกเสียชีวิตลง มีข่าวลือว่า เตมูจินถูกศัตรูจับตัวแต่หนีมาไ้ด้
- พันธมิตรของ เตมูจิน ในการต่อสู้กับเผ่าเมอร์กิต นอกจาก จามูก้า หรือ จาบูฮาเคย แห่งเผ่าจาลา แล้ว ยังมีโตกริลแห่งเผ่าเคอเรอิตอีกด้วย
สารคดีนี้เดินเรื่องต่อไปว่า เตมูจินกับจามูก้าได้ร่วมกันปกครองเผ่าอยู่ระยะหนึ่ง แต่ได้เริ่มขัดแย้งกันด้วยปัญหาว่า "จะวัดคุณค่าคนได้อย่างไร" ทั้งเตมูจินและจามูก้า ต่างก็เป็นบุตรของหัวหน้าเผ่า แต่มีความแตกต่างกันตรงที่ เตมูจินต้องประสบความลำบากแต่เล็ก จึงให้ความสำคัญกับใครก็ตามแต่ที่มีความสามารถและความจงรักภักดี ดังเช่น ซูโบเด ขุนพลคนสำคัญที่เดิมเป็นเพียงบุตรคนเลี้ยงสัตว์ผู้ต่ำต้อย (ในประวัติศาสตร์จะกล่าวถึงอีกขุนพลคนสำคัญอีกคนหนึ่งคือ "เจอเป" แต่ไม่ได้รับการกล่าวถึงในสารคดีเลย) และต่อมา โหรหรือหมอผีของมองโกลได้ทำนายว่า เทพสูงสุดจะมอบโลกทั้งโลกให้กับเตมูจินและบุตรชาย จามูก้าจึงได้พาคนส่วนหนึ่งจากไป ทำให้เตมูจินไม่สบายใจที่อาจจะต้องเข่นฆ่ากับพี่น้องร่วมสาบาน เช่นเดียวกับที่เขาเคยสังหาร เบคเตอร์ น้องร่วมสายเืลือดคนหนึ่งในอดีต เพราะไ่ม่ยอมแบ่งปันอาหารที่ได้ในยามอดอยาก
2 ปีต่อมา เกิดสงคราม ที่ "ดาลัน บัลซุท" จามูก้าโจมตีเผ่าของเตมูจิน ในขณะที่เตมูจินยังไม่พร้อมทั้งจำนวนและความชำนาญของทหาร จามูก้ายังเพิ่มความแค้นเคืองด้วยการนำขุนพลของเตมูจินที่จับได้ใส่หม้อต้มทั้งเป็นๆ เตมูจินจึงเริ่มจัดตั้งหน่วยฝึกทหารเรียกว่า "คาชิค" มีการฝึกฝนต่างๆ เช่น การฝึกทหารให้ยิงธนูบนหลังม้าตั้งแต่ยังเด็ก ล้มเลิกการแบ่งชนชั้นแบบเดิม เป็นต้น

(ซ้าย) ซูโบเด ขุนพลคู่ใจของเตมูจินชูลูกธนูที่มัดรวมกันประกอบคำปลุกใจของเตมูจินที่ให้ทุกเผ่าสามัคคีกันร่วมรบ (ขวา) ทหารของเตมูจินจุดไฟคนละ 5 กอง ลวงคนสืบข่าวของจามูก้าว่าเป็นทัพใหญ่
ฤดูร้อนปี 1204/พ.ศ.1747 เตมูจินเคลื่อนทัพไปเผชิญหน้ากับจามูก้า นอกจากทหารที่ฝึกฝนมาดีแล้ว เตมูจินยังได้ใช้จิตวิทยาในการปลุกใจฝ่ายเดียวกันให้สามัคคีกันเหมือนลูกธนูที่มัดรวมกัน และข่มขวัญข้าศึกที่คาดว่ามีสายสืบมาแอบดู ด้วยการให้ทหารของตนก่อกองไฟขึ้นคนละ 5 กองในตอนกลางคืน ทำให้ดูเหมือนมีกำลังทหารมากมาย ในการเข้าปะทะกัน เตมูจินยังได้ใช้ยุทธวิธีหลอกล่อข้าศึกด้วยให้ทหารกองหนึ่งแกล้งทำเป็นเสียทีพากันหนีให้ข้าศึกตามไปยังจุดที่มีทหารซุ่มรอโจมตีด้วยธนู ผลการรบท่านคงเดาได้ว่าจามูก้าต้องพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ตัวจามูก้าหลบหนีไปอยู่บนเขาทันนุตลอดฤดูหนาว ครั้นฤดูใบไม้ผลิ จามูก้าถูกนายพลที่ทรยศสองคนจับตัวมาส่งให้เตมูจิน ๆ สั่งประหารนายพลทรยศทั้งสองและพยายามขอให้จามูก้ากลับมาร่วมมือกับตน แต่จามูก้าเลือกที่จะถูกประหาร เตมูจินจึงได้กลายเป็นผู้นำของมองโกลทั้งหมด ในปี 1206/พ.ศ.1749 ได้รับตำแหน่งเป็น เจงกิสข่าน ซึ่งเ็ป็นข่านที่มีอำนาจสูงสุดในมองโกเลียเท่าที่เคยมีมา

พิชิตจามูก้า
ข้อสังเกตของผมตรงนี้ ดังที่ได้กล่าวตอนแรกว่า BBC ไม่ได้กล่าวถึงพันธมิตรอีกรายของเตมูจิน ที่ต่อมากลายเป็นศัตรูเช่นเดียวกับจามูก้า คือชนเผ่าเคอเรอิต ทั้งนี้ คงเป็นความจงใจของผู้สร้างที่ต้องการให้เห็นความขัดแย้งในสังคมมองโกลอย่างชัดเจนระหว่างแนวความคิดใหม่ๆ ของเตมูจิน กับประเพณีดั้งเดิมที่มีจามูก้าเป็นสัญลักษณ์
เมื่อรวบรวมมองโกลได้เป็นปึกแผ่นแล้ว เจงกิสข่านก็เริ่มเดินทัพเข้าสู่จีน ด้วยเหตุผลที่ในสารคดีกล่าวว่า จีนจะไม่ยอมให้มองโกลมีผู้นำที่มีอำนาจเช่นเขา เหตุผลที่น่าจะฟังขึ้นกว่าคงเป็นคำพูดของ ชิเรนเดฟ บาการิน ใน "เจงกิสข่าน ประมุขของชาวมองโกล" ที่ว่า "เมื่อใดที่คุณเริ่มแข็งแกร่ง ก็ย่อมอยากออกไปค้นหาว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไร" เจงกิสข่านในเวลา 6 ปี กำลังคน 5 หมื่น ข้ามทะเลทรายโกบี รุกรานจีนตอนเหนือ โดยอ้อมกำแพงเมืองจีน ทางการจีนได้ส่งกองกำลังทหารรับจ้างเข้าสกัด แต่ทหารรับจ้างเหล่านี้กลับไปเป็นกำลังให้กับทหารมองโกล เมื่อเข้าถึงดินแดนจีน ทหารมองโกลก็เริ่มการปล้นฆ่า แย่งชิงทรัพย์สินต่างๆ รวมถึงภรรยาของชนชั้นสูงจีน (มีฉากวาบหวิวอยู่นิดนึงด้วยล่ะ แต่ขอไม่นำมาประกอบบทความนะครับ) จากนั้นก็มุ่งหน้าสู่นครปักกิ่ง ในปี 1215/พ.ศ.1758 ก็ต้องเจออุปสรรคสำคัญ นั่นคือกำแพงอันสูงตระหง่าน เจงกิสข่านจึงไม่กล้าผลีผลาม หันมาใช้วิธีการปิดล้อมกรุงปักกิ่งไม่ให้ได้รับเสบียงอาหาร ระหว่างนี้ก็เตรียมสร้างอาวุธและเครื่องป้องกันต่างๆ โดยความช่วยเหลือของวิศวกรจีนที่แปรพักตร์ จนแน่ใจว่าภายในเมืองอดอยากกันมากพอแล้วจึงเริ่มการโจมตี แม้กระนั้นกองทัพจีนในปักกิ่งก็ยังมีเรี่ยวแรงที่จะต้านทานชาวมองโกลด้วยเทคโนโลยีทางทหารที่เหนือกว่า เช่น การใช้เครื่องยิงหินยิงระเบิดน้ำมันเข้าใส่ กว่าจะเข้าเมืองได้ทั้งสองฝ่ายต่างสูญเสียกันไปไม่ใช่น้อย เมื่อทหารมองโกลเข้าเมืองได้ เจงกิสข่านได้สั่งให้ทำลายล้างเมือง ทหารมองโกลใช้เวลาปล้นเมืองกว่า 1 เดือน ความรุนแรงของสงครามครั้งนี้ ถึงขนาดว่า 1 ปีต่อมาทูตที่มาเยือนปักกิ่งบรรยายว่า "ถนนลื่นไปด้วยไขมันมนุษย์ หลังกำแพงเมืองมีกองกระดูดขนาดใหญ่"

เริ่มรุกรานจีน
เหตุการณ์ในช่วงนี้มีบางประเด็นที่ดูจะขัดกับเรื่องราวที่ค้นได้จากแหล่งอื่น ในสารคดีแสดงแผนที่ชัดว่ากองทัพมองโกลอ้อมกำแพงเมืองจีนมาทางตะวันออก แต่ในเรื่อง "เจงกิสข่าน ประมุขของชาวมองโกล" กล่าวว่ามองโกลได้รุกรานอาณาจักรซีเซี่ย (Xixia) ซึ่งอยู่ทางตะวันตกก่อน และตลอดเวลาที่ชมสารคดีนี้ไม่ได้กล่าวถึงอาณาจักรซีเซี่ยนี้เลยนอกจากเห็นในแผนที่เท่านั้น จะว่าสารคดีนี้เหมารวมว่าซีเซี่ยคือส่วนหนึ่งของจีน แล้วทำไมเดินทัพอ้อมไปคนละทาง และเรื่องราวระหว่างมองโกลกับซีเซี่ยก็มีรายละเอียดเกินกว่าที่จะไปเล่ารวมกับเรื่องการรุกรานจีนได้ ที่พอจะกล่าวโดยย่อในที่นี้คือ ในครั้งแรกที่มองโกลรุกรานซีเซี่ยนั้น อาณาจักรนี้สู้ไม่ได้ และยอมสงบศึกแต่โดยดี แต่ภายหลังมองโกลรุกรานจีนแล้ว เจงกิสข่านมีเรื่องขัดแย้งกับเปอร์เซีย (จะได้เล่าในตอนต่อไป) และขอกำลังจากซีเซี่ยไปร่วมรบ ซีเซี่ยปฏิเสธอย่างไม่ใยดี เมื่อเจงกิสข่านชนะเปอร์เซียแล้ว จึงกลับมาแก้แค้นอาณาจักรซีเซี่ย ทำลายอาณาจักรนี้อย่างยับเยินจนสูญหายไปจากประวัติศาสตร์เลย อีกประเด็นที่ควรจะซีเรียสแค่ไหนก็ไม่ทราบ คือนครปักกิ่งขณะนั้นมีนามว่า "จงตู" ครับ

ถล่มปักกิ่ง หรือ จงตู ในขณะนั้น
แม้ว่าเจงกิสข่านจะได้ปล้นทำลายเมืองข้าศึกที่ไม่ยอมจำนนอย่างโหดร้ายทารุณ แต่บุคคลกลุ่มที่เจงกิสข่านจะละเว้นชีวิตอยู่เสมอมา คือบรรดาช่างฝีมือ และผู้รู้ในศาสตร์ต่างๆ โดยจะกวาดต้อนบุคคลเหล่านี้ (ซึ่งน่าจะรวมถึงครอบครัวของบุคคลเหล่านั้น) กลับมาพัฒนาเมืองหลวงของตนที่คาราโครุ่ม ให้เป็นศูนย์กลางทางการค้าและวัฒนธรรม นำความรู้ต่างๆ มาสู่อาณาจักร ทั้งเทคโนโลยี การแพทย์ การจัดทำระบบกฎหมาย และสร้างภาษาเขียนเพื่อบันทึกความยิ่งใหญ่ของตน

ส่วนหนึ่งของการพัฒนาประเทศของเจงกิสข่าน (ซ้าย) การแพทย์ของจีน (ขวา) การพัฒนาตัวอักษรเพื่อการจดบันทึก
ทีนี้มาถึงเรื่องการรุกรานเปอร์เซียที่กล่าวถึงเมื่อสักครู่ เจงกิสข่านได้พยายามสร้างความสัมพันธ์ทางการค้ากับเปอร์เซีย โดยสารคดีกล่าวถึงการสร้างระบบสื่อสารด้วยม้าเร็ว เชื่อมระหว่างสองอาณาจักร แต่แล้ววันดีคืนดีทางเปอร์เซียกลับตัดหัวทูตมองโกลส่งกลับไปถวายเจงกิสข่านในฤดูร้อน ปี 1218/พ.ศ.1761 ทำให้ทรงพิโรธเป็นอย่างยิ่ง ตรงนี้สารคดีเล่ารวบรัดจนเหมือนกับว่าทางเปอร์เซียท้าทายโดยไม่มีเหตุผล เท่าที่ผมอ่านเพิ่มเติมมันมีสาเหตุมาจากความหวาดระแวงต่อพ่อค้าในกองคาราวานของมองโกลอยู่ด้วย เอาเป็นว่าเจงกิสข่านได้เอาเรื่องการสังหารทูตนี้มาเป็นเหตุในการแก้แค้นด้วยการส่งกองทัพสองแสนเข้ารุกรานเปอร์เซีย เมืองต่างๆ ที่ไม่ยอมแพ้ถูกเผาทำลายราบคาบ จากนั้นได้ส่งกองทัพไปรุกรานยุโรป จนกระทั่งอาณาจักรมองโกลใหญ่กว่าของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชถึง 4 เท่า และเป็นสองเท่าของอาณาจักรโรมัน ต่อมา ในปี 1226/พ.ศ.1769 เจงกิสข่านได้ล้มป่วยลงขณะกำลังกรีธาทัพเข้าสู่อาณาจักรจีน ก่อนสิ้นพระชนม์ ได้ทรงแต่งตั้งพระโอรสนาม โอโกเด สืบทอดตำแหน่งแทน ข่านองค์ใหม่สามารถเพิ่มขนาดอาณาจักรเป็นสองเท่า ด้วยการรุกรานยุโรป รัสเซีย โปแลนด์ และฮังการี แต่ในปี 1242/พ.ศ.1785 โอโกเดได้สิ้งพระชนม์ก่อนที่จะยกทัพเข้าสู่กรุงเวียนนา บรรดาหัวหน้าขุนศึกทั้งหลายถูกเรียกตัวกลับไปเพื่อเลือกข่านองค์ใหม่ อีกราว 100 ปีต่อมา อาณาจักรมองโกลเริ่มสั่นคลอน ย้อนกลับมาที่การสิ้นพระชนม์ของเจงกิสข่าน ไม่มีใครทราบที่ฝังศพของเจงกิสข่าน เนื่องจากผู้ที่เข้าร่วมพิธีศพถูกสังหารทั้งหมดเพื่อรักษาความลับ จนถึงปัจจุบันจึงไม่มีใครทราบที่ฝังศพของพระองค์ และไม่มีแม้แต่อนุสาวรีย์ถวายแด่พระองค์

(ซ้าย) สภาพเมืองในอาณาจักรเปอร์เซียที่ถูกรุกราน (ขวา) แผนที่แสดงเส้นทางการบุกยุโรป
ในด้านคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเจงกิสข่าน ที่จริงผมชื่นชอบแนวทางการสร้างสารคดีของ BBC มาตั้งแต่ได้ชมเรื่อง D-Day 6.6.44 และ Hannibal - Rome's Worst Nightmare ที่สามารถผสมผสานระหว่างสารคดีตามแบบที่เราเคยรู้จักกับการแสดงตามแบบภาพยนตร์บันเทิงทั่วไป สำหรับเรื่อง Genghis Khan นี้ ด้านหนึ่งก็ยังคงมนต์เสน่ห์ตามแบบสารคดีทั้งสองเรื่องที่กล่าว แต่พอเทียบเคียงกับข้อมูลแหล่งอื่นๆ ประกอบแล้ว มีจุดที่รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง นับตั้งแต่ความยาวของภาพยนตร์เพียง 50 กว่านาที ทั้งที่ต้องพูดถึงประวัติศาสตร์ที่กินเวลานานกว่า D-Day 6.6.44 และ Hannibal - Rome's Worst Nightmare หลายปี อันทำให้ขาดเรื่องราวที่เกี่ยวกับจอมจักรพรรดิ์ผู้นี้ไปหลายประเด็น แม้อย่างนั้นผมยังเห็นว่าสารคดีเรื่องนี้ยังให้ภาพรวมของเจงกิสข่านได้อย่างพอเหมาะพอสม แต่ทั้งนี้ห้ามคิดว่าดูแค่นี้ก็พอ ท่านจะต้องศึกษาเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลอื่นๆ ด้วย
ในด้านภาพลักษณ์ของเจงกิสข่านนั้น เราควรยกย่องพระองค์ในฐานะนักรบผู้เก่งกล้าสามารถ หรือประณามสาบแช่งในฐานะผู้ทำสงครามเข่นฆ่าทั้งทหารและประชาชนพลเมืองไปนับแสนนับล้านคน? สารคดีนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ต้องการเน้นไปในทางหนึ่งทางใด ในตอนต้นเรื่อง ได้เน้นว่าการที่ทรงมีชีวิตที่ลำบากมาแต่เยาว์วัยได้ทำให้ทรงมีความคิดที่ก้าวหน้า คือการให้ความสำคัญกับความสามารถของบุคคลมากกว่าชาติตระกูล ทรงยกเลิกกฎประเพณีที่ขัดต่อแนวคิดนี้จนสามารถสร้างกองทัพที่เข้มแข็งจนสามารถปราบจามูก้าผู้เป็นเสมือนตัวแทนแนวความคิดเก่าๆ ลงได้ และในตอนต่อๆ มา ภาพยนตร์ก็ไม่ได้ปฏิเสธความโหดร้ายของทหารมองโกลที่ปล้นฆ่าทำร้ายชาวบ้านชาวเมืองในการรบครั้งต่างๆ แต่ก็พยายามชี้ให้เห็นด้วยว่า นี่คือกองทัพที่ได้รับการพัฒนาแล้ว กองทัพที่พัฒนาขึ้นมาจากชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทรายให้กลายมาเป็นเครื่องจักรสังหารอันมีประสิทธิภาพ
จุดเด่นของเจงกิสข่านที่ในภาพยนตร์ก็พยายามกล่าวถึงอยู่บ้าง แต่อาจจะยังไม่คมชัดพอ คือความสามารถในการประสานประโยชน์หรือขอความร่วมมือจากผู้อื่น โดยตอนต้นกล่าวถึงแต่เพียงว่า เจงกิสข่านหรือเตมูจินเคยประสบความลำบากในวัยเด็ก จึงให้ความสำคัญกับความสามารถของคน คือใครก็ได้ ขอให้ทำงานให้ได้สำเร็จ ทั้งนี้ขอให้เราลองนึกย้อนกลับไปยังตอนที่เยซูไกพ่อของเตมูจินเสียชีวิตใหม่ๆ คนในเผ่าต่างก็ตีจากไปจนเหลือแต่ครอบครัวของเตมูจิน แต่อะไรที่ทำให้เขาสามารถรวบรวมกำลังคนขึ้นมาจนสามารถแต่งงานกับบอร์เต้ แล้วกลายมาเป็นเป้าหมายให้พวกเมอร์กิตมาแย่งชิง และการไปขอกำลังจากจามูก้ามาชิงภรรยาคืนและโค่นล้มเผ่าเมอร์กิตได้ ต้องมีเครดิตดีพอสมควร ครั้นมาถึงตอนรุกรานจีน การที่ทหารรับจ้างของกองทัพจีนมาเข้าด้วย แม้กระทั่งวิศวกรจีนบางคนแปรพักตร์มาช่วยประดิษฐ์อาวุธต่างๆ คงไม่สามารถอธิบายได้ง่ายๆ เพียงแค่ว่าคนพวกนี้ "ทรยศ" น่าจะเป็นความสามารถของเจงกิสข่านเองในการเจรจากับกลุ่มบุคคลเหล่านี้ด้วย นี่คือประเด็นที่ปรากฏอยู่รางๆ ในสารคดีเรื่องนี้ ที่เราควรจะได้ศึกษาค้นคว้าต่อยอดกันออกไป
ในทัศนะของผม ความสามารถในการรบหรือความโหดเหี้ยมทารุณจะมีความหมายอะไร ถ้ามันไม่ได้เกิดจากความเป็นผู้นำที่จูงใจคนจำนวนมากได้
คำคมชวนคิด
- "มีแต่คนโง่ที่สู้ในสงครามที่ไม่อาจเอาชนะได้" เตมูจินรำพึงขณะต้องหลบหนีเมื่อถูกชนเผ่าเมอร์กิตโจมตีและแย่งชิงภรรยาไป
- "นักรบมิอาจชนะสงครามได้ด้วยชาติกำเนิดอันสูงส่ง" เตมูจินกล่าวในช่วงความขัดแย้งระหว่างเขากับจามูก้า
- "โชคดีที่สุดของผู้ชายก็คือการพิชิตศัตรู ขโมยสมบัติ ขี่ม้าของเขา และสนุกกับผู้หญิงของพวกเขา" เจงกิสข่านกล่าวในช่วงการรุกรานจีน
- "ข้าได้พิชิตอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ให้พวกเจ้า แต่ชีวิตของข้าสั้นเกินกว่าจะครองทั้งโลกได้ แต่ข้าจะมอบให้เป็นหน้าที่เจ้า" เจงกิสข่าน กล่าวก่อนสิ้นพระชนม์
เนื่องจากบทความนี้เป็นลิขสิทธิ์อัน ชอบธรรมของผู้เขียน และอาจะมีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลบ้างตามความเหมาะสม ในการนำบทความไปเผยแพร่ในเว็บไซต์อื่นๆ จึงขอความร่วมมือให้ใช้วิธีการคัดลอกเฉพาะ Link หรือ URL Address แทนการคัดลอกบทความทั้งหมด หากมีการคัดลอกไปในลักษณะแอบอ้างเป็นผู้เขียน หรือมีเจตนาอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อทางเว็บ iseehistory.com แล้ว จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดตามกฎหมาย
ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ : Genghis Khan
ผู้สร้าง : Edward BazalGette/BBC
ผู้กำกำกับ : Edward BazalGette
ผู้เขียนบท : Isabelle Grey
ผู้แสดง :
- Genghis Khan - Orgil Makhaan
- Young Temujin - Unubold Batbayar
- Subodei - Unurjargal Jigjidsuren
- Borte - Ankhnyam Rachaa
- Jamuka - Bayarkhuu Purvee
- etc.
ควรอ่านเพิ่มเติม
กระทู้ที่เกี่ยวข้อง
เรียนเชิญสมาชิกร่วมแสดงความคิดเห็นที่ด้านล่างสุดของหน้าเว็บ (ต้องสมัครและ Login ก่อน) ผู้ชมทั่วไปหรือสมาชิกที่ต้องการโพสต์รูป เชิญร่วมแสดงความเห็นได้ที่เว็บบอร์ด "คุยกันหลังฉาก" ในกระทู้ที่มีอยู่แล้ว หรือ สร้างกระทู้ใหม่ (คลิกที่นี่) ครับ
หากเป็นสมาชิก Facebook แสดงความเห็นได้ในฟอร์มข้างล่างนี้ครับ
ภาพยนตร์ตัวอย่าง (Trailer) จาก www.youtube.com
ทางเว็บไม่มีนโยบายนำภาพยนตร์ฉบับ เต็มมาให้ดูออนไลน์หรือให้ดาวน์โหลดเนื่องจากเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์และไม่ มีพื้นที่สำหรับเก็บไฟล์ภาพยนตร์