webmaster@iseehistory.com
เคยกล่าวไว้ว่าในสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝ่ายสัมพันธมิตรนอกจากจะมีอเมริกากับอังกฤษที่เราเห็นบ่อยๆ แล้ว ยังมีชาติอื่นๆ เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา ฯลฯ ซึ่งในหนังเรื่องต่างๆ เราจะไม่ค่อยได้เห็นบทบาทของทหารชาติเหล่านี้มากนัก จนวันดีคืนดีผมได้พบหนังเรื่องนี้เข้า คือ The Devil's Brigade ซึ่งเริ่มฉายในปี 1968/พ.ศ.2511 ซึ่งหน่วยรบในเรื่องนับเป็นกรณีที่แปลก คือกล่าวถึงกองกำลังผสมระหว่างอเมริกันกับแคนาดา แทนที่จะเป็นชาติใดชาติหนึ่งล้วนๆ หรือเป็นอังกฤษกับแคนาดา (แต่อาจจะไม่แปลกถ้าดูในทางภูมิศาสตร์ว่าสหรัฐอเมริกากับแคนาดาเป็นประเทศเพื่อนบ้านกันในทวีปอเมริกาเหนือ) และเนื้อเรื่องมีความแปลกยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อทหารทั้งสองชาติมีพื้นเพเดิมที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว แต่กลับถูกนำมาฝึกจนหลอมรวมกันเป็นหน่วยรบที่น่าเกรงขามหน่วยหนึ่งของฝ่ายสัมพันธมิตรเลยครับ นั่นคือ กองพลน้อยปฏิบัติการพิเศษที่ 1 (1st Special Service Force) เจ้าของสมญานามว่า กองพลน้อยปีศาจ (The Devil's Brigade) เชิญพบกับเรื่องราวของหน่วยรบนี้ได้

จากซ้ายไปขวา พันโทเฟรดเดอริค, พันตรีบริคเกอร์ และพันตรีคราวน์
ภาพยนตร์เริ่มเรื่องในราวปี 1942/พ.ศ.2485 เมื่อนายพันโท โรเบิร์ต ที เฟรดเดอริก (Lt. Col. Robert T. Frederick) นายทหารอเมริกันที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์การรบใดๆ เดินทางมาถึงประเทศอังกฤษเพื่อพบกับลอร์ดเมาแบทเทน แม้ว่าเขาจะแสดงความเห็นคัดค้านแผนการรบในนอร์เวย์ที่ยังขาดความชัดเจน แต่เขาก็ยังได้รับการยืนยันให้เตรียมการสำหรับแผนดังกล่าว เขาจึงเดินทางกลับอเมริกามายังป้อมวิลเลียมเฮนรีแฮริสัน เพื่อเตรียมสถานที่สำหรับการฝึกหน่วยทหารที่ส่วนหนึ่งเป็นอเมริกัน และอีกส่วนมาจากแคนาดา ผู้ดูแลป้อมนี้อยู่แต่เดิมคือ นายพันตรี คลิฟฟ์ บริคเกอร์ (Major Cliff Bricker) ผู้โปรดปรานการเลี้ยงงูหางกระดิ่ง เฟรดเดอริคได้สั่งให้บริคเกอร์ไปจัดเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ มาปรับปรุงสถานที่โดยไม่สนว่าจะได้มาโดยวิธีการใด ฉากถัดมาสถานที่ก็พร้อมโดยไม่ต้องเสียเวลาในแผ่นฟิล์มให้ยืดยาว คราวนี้ถึงเวลาที่บรรดาทหารหาญจากทั้งสองชาติของกองพลน้อยรบพิเศษที่ 1 จะเข้าสู่ค่ายกันซะที

บรรดาอดีตนักโทษสารพัดคุกของอเมริกัน
เริ่มจากทางฝ่ายกองพันอเมริกันที่เดินทางกันมาโดยรถไฟ แค่ลงจากขบวนรถไฟก็กัดกัน เอ๊ย! ทะเลาะวิวาทชกต่อยกันให้บรรดาท่านสห.ทั้งหลายต้องมีงานทำตั้งแต่เริ่มแรก แต่ละคนล้วนเป็นพวกเหลือเดน ผ่านมาแล้วทุกเรือนจำในประเทศ ไม่นานก็ถึงคิวของเหล่าทหารในกองพันของแคนาดาบ้าง นำมาโดย นายพันตรี อลัน คราวน์ (Major Alan Crown) ซึ่งเดินแถวกันมาโดยมีวงดุริยางค์ปี่สก็อตนำหน้า ทหารเดินแถวกันมาอย่างพร้อมเพรียงและสวยงาม ผิดกันราวฟ้ากับเหวเลยครับท่าน หลังจากผู้พันเฟรดเดอริคกล่าวต้อนรับและสั่งเลิกแถว ทางฝ่ายอเมริกันก็เริ่มยั่วแหย่ฝ่ายแคนดาต่างๆ นานา จนถึงขนาดก่อนจะนอนคืนแรกยังได้แอบไปขโมยงูหางกระดิ่งของผู้พันบริคเกอร์มาไว้บนเตียงของผู้หมู่พีค็อก นายสิบโทหนวดงามของทางแคนาดา แม้กระนั้นบรรดาทหารแคนาดาที่มีวินัยสูงก็อดกลั้นมาตลอด

ทหารแคนาดาเดินแถวเข้าค่ายอย่างงามสง่า
การฝึกในวันต่อๆ มา เต็มไปด้วยบรรยากาศของการแข่งขันกันระหว่างทหารสองชาติที่มีความแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว โดยที่ทางฝ่ายอเมริกันที่เต็มไปด้วยบรรดาตัวแสบทั้งหลายจะหาเรื่องยั่วและกลั่นแกล้งทางฝ่ายแคนาดาอยู่ตลอด ที่โดนหนักที่สุดยังคงเป็นผู้หมู่พีค็อกหนวดงามเจ้าเก่า ที่โดนแกล้งขณะกำลังไต่เชือกจนตกลงไปในบ่อโคลน แม้กระนั้นทหารแคนาดาทุกคนก็ยังอดกลั้น ไม่เกิดเรื่องบานปลายเป็นการวิวาทแบบมวยหมู่สักที นอกจากนี้ฝ่ายอเมริกันยังถูกเอาคืนแบบ เมื่อถึงเวลาอาหารเย็นวันหนึ่ง จู่ๆ ก็มีนายสิบเอกใหม่ของแคนาดาคนหนึ่งมานั่งข้างๆ ร็อคกี้ ทหารพี่กันคนที่ตัวโตที่สุด แล้วแกล้งยั่วโทสะจนร็อคกี้ลงมือหมายจะสั่งสอน แต่กลับถูกนายสิบคนนั้นเล่นงานด้วยวรยุทธที่ในสายตาผมดูคล้ายไอคิโดผสมคาราเต้ จนร็อคกี้หมดพิษสง แล้วนายสิบคนนั้นจึงเฉลยออกมาว่า เขาคือสิบเอกโอนีลที่จะมาเป็นครูฝึกการต่อสู้ด้วยมือเปล่า และในวันรุ่งขึ้น ทหารอเมริกันและแคนาดาก็จับคู่กันฝึกการต่อสู้อย่างตั้งอกตั้งใจ ปราศจากปัญหาใดๆ

ระหว่างการฝึก
ต้องยอมรับครับว่าดูครั้งแรกก็งงๆ ว่าทำไมถึงนำทหารสองชาติที่แตกต่างกันสุดขั้วมาฝึกร่วมกันแบบนี้ เฉลยคือเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายเกิดความรู้สึกแข่งขันกัน และคงจะรวมถึงการเรียนรู้ข้อดีของอีกฝ่ายโดยอ้อม แต่ปัญหามีอยู่ว่า แล้วเขาจะแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันอย่างนี้ไปตลอดจนถึงเวลาออกรบจนเป็นผลเสียหรือไม่?
ดูเหมือนปัญหานี้จะได้รับการคลี่คลายด้วยเหตุบังเอิญ เมื่อถึงคืนหนึ่ง ทหารของกองพลน้อยปฏิบัติการพิเศษที่ 1 ทั้งอเมริกันและแคนาดาเข้าไปเที่ยวปลดปล่อยในร้านเหล้าแห่งหนึ่งร่วมกัน ทีแรกทางฝ่ายพี่กันซุบซิบเตรียมจะหาเรื่องอัดทางฝ่ายแคนาดา แต่ยังไม่ทันจะลงมือใดๆ ก็มีคนงานกลุ่มหนึ่งเข้ามาในร้าน พูดจาหาเรื่องกับทหารแคนาดาต่างๆ นานา ทางฝ่ายพี่กันถึงได้เริ่มเกิดสำนึกความเป็นเพื่อนหน่วยเดียวกันจนถึงขั้นมาออกรับแทน แล้วในที่สุด ทหารของกองพลน้อยปฏิบัติการพิเศษที่ 1 ทั้งอเมริกันและแคนาดา ก็ช่วยกันตลุมบอนกับเหล่าคนงานชนิดที่สห.เข้ามาก็ห้ามก็ยังเอาไม่อยู่ เมื่อกลับมาถึงค่าย ผู้พันเฟรดเดอริคได้สั่งลงโทษทุกคนกันตามระเบียบ แต่ผลพลอยได้คือ ทหารทั้งสองชาติได้กลายเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันแล้ว

เดินสวนสนามหลังสำเร็จการฝึก
เมื่อสำเร็จการฝึก ขณะที่ทหารอเมริกัน-แคนาเดียนกำลังเดินสวนสนามร่วมกันอย่างสง่างาม กลับมีข่าวร้ายมาว่า ได้มีการยกเลิกโครงการ เนื่องจากให้อังกฤษบุกนอร์เวย์แทน และให้กองพลน้อยฯ รอคำสั่งยุบหน่วย ทหารจะถูกส่งไปอยู่หน่วยอื่น พอดีเป็นช่วงใกล้คริสต์มาส เฟรดเดอริคจึงสั่งให้ทุกคนได้หยุดคริสต์มาส 10 วัน ส่วนตัวเขาเองได้เดินทางไปยังวอชิงตันเพื่อวิ่งเต้นให้กองพลน้อยฯ ยังอยู่ต่อไป จนในที่สุด ได้รับคำสั่งจากนายพลวอลเทอร์เนเลอร์ให้ไปช่วยนายพลฮันเตอร์ปฏิบัติการรบทางตอนเหนือของอิตาลีซึ่งมีภูมิประเทศเป็นภูเขาสูง
แม้ว่านายพลฮันเตอร์จะเป็นผู้ร้องขอให้กองพลน้อยปฏิบัติการพิเศษที่ 1 ไปช่วยรบ แต่จากประวัติของเฟรดเดอริคที่ไม่เคยมีประสบการณ์การรบ กับประวัติแสบๆ ของทหารอเมริกันในหน่วย ทำให้ท่านยังมีท่าทีไม่ไว้วางใจมากนัก งานแรกที่มอบหมายให้กองพลน้อยฯ ปฏิบัติการนั้น ในวีซีดีภาษาไทยที่ผมดูใช้คำว่า "ช่วยตัวประกัน" ที่ซานตาเอเลีย แต่จากที่เห็นในหนังเข้าใจว่าน่าจะเป็นการจับตัวนายพลของเยอรมันนะครับ ไม่ว่าคำสั่งจะเป็นอย่างไร ผลของการปฏิบัติการครั้งนี้อาจเรียกได้ว่าทั้งเกินความคาดหมายและเกินคำสั่ง คือสามารถเคลื่อนกำลังไปตามเส้นทางตามลำธารที่ฝ่ายเยอรมันคาดไม่ถึง เข้าไปจับกุมทหารเยอรมันทั้งตัวนายพลและทหารแทบจะทั้งกองบัญชาการเป็นเชลยได้ถึง 200 คน หลายคนกำลังนุ่งผ้าเช็ดตัวเตรียมจะอาบน้ำอยู่ โดยทางเยอรมันสูญเสียทหารยามเพียง 5-6 คน ส่วนทางกองพลน้อยฯ มีบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ เพียง 6 คนเท่านั้น ช่างเป็นปฏิบัติการที่ประสบความสำเร็จอย่างเหลือเชื่อจริงๆ

เชลยเป็นๆ กว่า 200 ชีวิต รวมทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ซานตาเอเลีย
หลังจากประสบความสำเร็จในครั้งแรก นายพลฮันเตอร์ทีแรกก็ทำฟอร์มตำหนิปฏิบัติการของกองพลน้อยฯ ว่าเกินกว่าคำสั่ง แต่แล้วก็เดินไปเปิดตู้เหล้าถามเฟรดเดอริคว่า "จะดื่มอะไร?" เฟรดเดอริคกลับไม่ยอมรับน้ำใจจากท่านนายพล แต่การฉลองชัยก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อบรรดาลูกน้องที่แอบไปสืบประวัติผู้พันเฟรดเดอริคมา ได้จัดการฉลองวันเกิดให้เฟรดเดอริคแบบเซอร์ไพรส์ ในงานนี้เองที่ผู้พันคราวน์ได้เล่าให้ทุกคนฟังว่า หน่วยของพวกเขาได้รบสมญาจากนายพลเยอรมันที่ถูกสอบปากคำว่าเป็น "กองพลน้อยปีศาจ" (The Devil's Brigade) ในระหว่างที่กำลังฉลองกันนั้นเอง ท่านนาพลคลาร์กกับนายพลฮันเตอร์ก็ได้เรียกผู้พันเฟรดเดอริคไปรับมอบภารกิจใหม่ นั่นคือการยึดที่มั่นบนเขาลาดีเฟนซา (Monte la Difensa) ซึ่งทางฝ่ายสัมพันธมิตรได้เคยพยายามยึดมาแล้วถึง 3 สัปดาห์ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

ลาดีเฟนซาในภาพจำลองกับของจริง
แผนการยึดเขาลาดีเฟนซาโดยสังเขปคือ กองพลน้อยฯ จะเริ่มการปีนเขาจากด้านที่เยอรมันไม่คาดคิดในช่วงเช้าระหว่าง 6.00-9.00 น. โดยปืนใหญ่ฝ่ายสัมพันธมิตรจะช่วยระดมยิงที่หมายให้ก่อนเพื่อตัดกำลังและเบนความสนใจของข้าศึกไปพร้อมกัน ปืนใหญ่หยุดยิง กองพลน้อยฯ ซึ่งขึ้นเขากันเรียบร้อยแล้วก็จะโจมตีข้าศึก ผลการปฏิบัติการก็เป็นไปตามคาด คือ กองพลน้อยฯ สามารถปีนขึ้นเขาไปสู่ที่หมายได้ตามเวลา แม้ว่าจะเป็นด้านที่สูงชันมากๆ แต่โชคดีที่เยอรมันวางยามไว้ด้านนี้เพียงคนเดียว เมื่อถึงกำหนดเข้าตี แม้จะต้องรบกับข้าศึกที่มีหน่วยปืนใหญ่สนับสนุน และมีบางหน่วยอยู่ในบังเกอร์ที่หนาแน่น กองพลน้อยฯ ก็สามารถยึดที่หมายได้สำเร็จ แต่ทั้งนี้ก็ต้องประสบความสูญเสียอย่างหนัก รวมถึงคนสำคัญอย่างเช่น ผู้หมู่พีค็อกคู่รักคู่แค้นของทหารอเมริกันแต่เดิมถูกยิงบาดเจ็บขณะพยายามทำลายรังปืนกลในบังเกอร์แห่งหนึ่ง และผู้พันคราวน์ก็ต้องถูกนายทหารเยอรมันที่แสร้งขอยอมแพ้ยิงเสียชีวิต เป็นต้น
ทีนี้ลองมาดูข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับกองพลน้อยปฏิบัติการพิเศษที่ 1 (1st Special Service Force) กันสักนิด หน่วยรบนี้ได้รับการจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 1942/พ.ศ.2485 ประกอบด้วยกำลังผสมอเมริกัน-แคนาดารวม 3 กรมเล็กกับอีกหนึ่งกองพันบริการ เริ่มการฝึกที่ค่ายวิลเลียมเฮนรีแฮริสัน แต่ก็ได้มีการย้ายไปฝึกยังค่ายอื่นๆ อีก 2-3 แห่ง ด้านการรบนั้น เดิมได้ถูกกำหนดให้ไปรบที่นอร์เวย์ แต่ได้มีการปรับแผน โดยครั้งแรกได้ถูกส่งไปยังหมู่เกาะอลูเชียน (Aleutian Islands) ในทะเลแปซิฟิก และร่วมในการบุกยึดเกาะ Kiska เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 1943/2486 แต่เมื่อพบว่าข้าศึกได้ล่าถอยไปก่อนแล้ว กองพลน้อยฯ จึงถูกส่งกลับมายัง Fort Ethan Allen ในวันที่ 9 กันยายน ถูกส่งมายังสมรภูมิอิตาลีที่เมืองเนเปิลในวันที่ 19 พฤศจิกายน และปฏิบัติการยึดเขาลาดีเฟนซาในระหว่างวันที่ 3-6 ธันวาคม 1943/2486 หลังจากนั้นยังได้ปฏิบัติการในอิตาลีและฝรั่งเศสอีกหลายครั้ง จนกระทั่งได้มีการยุบกองพลเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 1944 หลังจากที่ได้สร้างวีรกรรมมาอย่างโชกโชนจนสูญเสียกำลังพลไปเป็นจำนวนมาก

เผด็จศึกที่ลาดีเฟนซา
และหากดูประวัติของกองพลดังที่กล่าว รวมถึงประวัติของผู้พันเฟรดเดอริค ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 1907/พ.ศ.2449 แล้ว จะเห็นว่าลำดับเวลาในหนังนั้นผิดเละเทะเลยครับ เช่น การกล่าวข้ามเรื่องราวการฝึกในค่ายอื่นๆ นอกจากค่ายแฮริสัน ไม่ได้กล่าวถึงปฏิบัติการในทะเลแปซิฟิก และเรื่องการจับกุมทหารเยอรมันที่ซานตาเอเลียนั้นน่าจะเป็นเรื่องที่แต่งเติมขึ้นมา ฯลฯ หลายท่านคงมีความเห็นว่า หนังฮอลลีวู้ดเรื่องนี้สร้างขึ้นมาเพื่อเน้นความบันเทิง ไม่ใช่หนังสารคดีที่ต้องอิงกับข้อเท็จจริงเป๊ะๆ
ประเด็นที่อาจจะซีเรียสกันหน่อยสำหรับแฟนคลับของทหารเยอรมันสมัยสงครามโลกน่าจะเป็นเรื่องการจับเชลย 200 คน ที่ ซานตาเอเลีย กับการรบบนเขาลาดีเฟนซา ที่ทหารเยอรมันบางคนที่ยอมแพ้แล้วกลับมาฮึดสู้อีก จนผู้พันคราวน์ต้องเสียชีวิตลง หากไม่จริงจะเป็นการสร้างภาพทหารเยอรมันในทางลบมากเกินไป

เกือบลืม! รูปเครื่องหมายประจำหน่วยที่แขนของกองพลน้อยปฏิบัติการพิเศษที่ 1 ครับ
ในส่วนของกองพลน้อยปฏิบัติการพิเศษที่ 1 เองนั้น ดูตามชั้นยศเหมือนจะมีนายทหารอยู่แค่ผู้พันเฟรดเดอริค ผู้พันบริคเกอร์ และผู้พันคราวน์ แล้วถัดลงมาก็จะเป็นพวกนายสิบและพลทหารเลย แล้วพวกนายร้อยกับจ่าหายไปไหน? ก็ต้องเห็นใจว่าหนัง 2 ชั่วโมงคงไม่อาจมีตัวละครมากมายอย่างหนังซีรีส์ เช่น Band of Brothers ได้ แต่ก็ทำให้ชีวิตทหารในหนังดูขาดๆ ไปเหมือนกันครับ
ข้อเท็จจริงในรายละเอียดของหน่วยรบนี้อาจคลาดเคลื่อนจากรประวัติศาสตร์จริงไปบ้างดังที่กล่าว แต่ประเด็นหลักที่ภาพยนตร์แสดงให้เห็น คือการสร้างหน่วยรบชั้นยอดขึ้นมาจากทหารสองชาติสองกลุ่มที่มีพื้นฐานแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เอามาฝึกร่วมกัน แข่งขันกัน แต่ก็กลับมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผิดกับในหนังอีกหลายเรื่องที่อ้างว่าได้สร้างหน่วยรบขึ้นมาจากทหารประเภทเหลือเดนเท่านั้น ซึ่งไม่รู้ว่ามีความเป็นจริงแค่ไหน แต่กรณีของ "กองพลน้อยปีศาจ" ในเรื่องนี้ เป็นหน่วยรบที่เคยมีอยู่จริง และได้สร้างวีรกรรมไว้จริงจนเป็นที่จารึกไว้ในประวัติศาสตร์ครับ
เนื่องจากบทความนี้เป็นลิขสิทธิ์อันชอบธรรมของผู้เขียน และอาจะมีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลบ้างตามความเหมาะสม ในการนำบทความไปเผยแพร่ในเว็บไซต์อื่นๆ จึงขอความร่วมมือให้ใช้วิธีการคัดลอกเฉพาะ Link หรือ URL Address แทนการคัดลอกบทความทั้งหมด หากมีการคัดลอกไปในลักษณะแอบอ้างเป็นผู้เขียน หรือมีเจตนาอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อทางเว็บ iseehistory.com แล้ว จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดตามกฎหมาย
ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ : The Devil's Brigade
ชื่อภาษาไทย : กองพันยึดสมรภูมิเดือด
เรื่องเดิม : หนังสือชื่อ The Devil's Brigade โดย Robert H. Adleman and Col. George Walton
ผู้กำกำกับ : Andrew V. McLaglen และ Terry Morse, Jr.
ผู้สร้าง : David L. Wolper
ผู้เขียนบท : William Roberts
ผู้แสดง :
- William Holden ... Lt. Col. Robert T. Frederick
- Cliff Robertson ... Major Alan Crown
- Vince Edwards ... Major Cliff Bricker
- Andrew Prine ... Pvt. Theodore Ransom
- Jeremy Slate ... Sgt. Pat O'Neill
- Claude Akins ... Pvt. Rocky Rockman
- Jack Watson ... Cpl. Peacock
- Richard Jaeckel ... Pvt. Omar Greco
- Bill Fletcher ... Pvt. Bronc Guthrie
- Richard Dawson ... Pvt. Hugh MacDonald
- Tom Troupe ... Pvt. Al Manella
- Luke Askew ... Pvt. Hubert Hixon
- Jean-Paul Vignon ... Pvt. Henri Laurent
- Tom Stern ... Capt. Cardwell
- Harry Carey Jr. ... Capt. Rose (as Harry Carey)
ควรอ่านเพิ่มเติม
กระทู้ที่เกี่ยวข้อง
เรียนเชิญสมาชิกร่วมแสดงความคิดเห็นที่ด้านล่างสุดของหน้าเว็บ (ต้องสมัครและ Login ก่อน) ผู้ชมทั่วไปหรือสมาชิกที่ต้องการโพสต์รูป เชิญร่วมแสดงความเห็นได้ที่เว็บบอร์ด "คุยกันหลังฉาก" ในกระทู้ที่มีอยู่แล้ว หรือ สร้างกระทู้ใหม่ (คลิกที่นี่) ครับ
หากเป็นสมาชิก Facebook แสดงความเห็นได้ในฟอร์มข้างล่างนี้ครับ
ภาพยนตร์ตัวอย่าง (Trailer) จาก www.youtube.com
ทางเว็บไม่มีนโยบายนำภาพยนตร์ฉบับ เต็มมาให้ดูออนไลน์หรือให้ดาวน์โหลดเนื่องจากเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์และไม่ มีพื้นที่สำหรับเก็บไฟล์ภาพยนตร์