
โดย webmaster@iseehistory.com
"เอ็งอยู่ฝ่ายนี้ เอ็งก็ฟังความฝ่ายนี้ ไปเชื่อเข้าก็ทำให้เกลียดฝ่ายโน้น ถ้าเอ็งไปเกิดฝ่ายโน้นอบรมศึกษาแบบฝ่ายโน้น เอ็งก็จะเห็นความน่าเกลียดของฝ่ายนี้ ฉะนั้น อย่าไปยึดถือถ้อยคำโฆษณาที่พาให้เกลียดชังกัน มันไม่ใช่ทางธรรมที่พระพุทธเจ้าสอน ... วิธีฝึกใจ ก็คือทำใจให้เป็นกลางเข้าไว้ เราเป็นเขาก็ต้องรู้สึกและทำอย่างเขา ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของเขา แต่เราเป็นเรา เราก็ต้องรักษาธรรมของฝ่ายเรา รักษาไว้อย่างสุดความสามารถ แม้ตัวจะตายก็ยอม รักษาใจไว้ให้ได้อย่างนี้ จะทำให้เรายิงปืนไม่บาป และไม่พลาด ..."
ข้อความข้างต้น ตัดตอนมาจากเรื่อง "บุญหลง" เรื่องสั้นในชุด วรรณกรรมเรื่องสั้นหรรษา ของหลวงตา "แพรเยื่อไม้" ในเล่มที่มีชื่อปกว่า "อนิจจาสีกาเกี้ยว" ไม่ปรากฏปีที่พิมพ์ แต่มีปีที่ซื้อว่า พ.ศ.2543 หน้า 34-35 เป็นตอนที่ "หลวงตา" กำลังสั่งสอนร้อยโทบุญหลง อดีตเด็กวัดในกุฏิท่านก่อนจะไปสงครามเวียดนาม แม้จะเป็นเรื่องไทยๆ ในยุคสมัยหลัง แต่ผมได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าเข้ากันกับเรื่อง Saints and Soldiers ที่เริ่มฉายในปี 2005/พ.ศ.2548 อันเป็นเรื่องราวของทหารอเมริกันในสงครามโลกครั้งที่ 2
ภาพยนตร์เรื่องนี้ อาศัยเหตุการณ์ในยุทธการ Battle of the Bulge (16 ธันวาคม 1944/2487 – 25 มกราคม 1945/2488) ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นแบ็คกราวน์ ยุทธการนี้เคยถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน ซึ่งผมได้เคยเขียนแนะนำไว้แล้ว ที่ http://www.iseehistory.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=404238&Ntype=1 เรื่องราวโดยคร่าวๆ คือ ทางฝ่ายเยอรมันได้รวบรวมกำลังจากแนวรบทางด้านรัสเซียนับสิบๆ กองพลเข้าถล่มฝ่ายสัมพันธมิตรแบบไม่รู้ตัว ณ บริเวณแนวป่าอาร์เดนน์ (Ardennes) โดยมุ่งที่จะยึดเมืองท่า Antwerp ในเบลเยี่ยม ปฏิบัติการครั้งนั้นเยอรมันประสบความสำเร็จในระยะแรก เนื่องจากฝ่ายสัมพันธมิตรไม่ทันตั้งตัว และสภาพอากาศเลวร้าย ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรไม่สามารถใช้กำลังทางอากาศที่เหนือกว่าให้การสนับสนุนได้ ในช่วงแรกนี้เอง ที่ได้เกิดเหตุสะเทือนขวัญเมื่อทหารเยอรมันหน่วยเอสเอสได้สังหารเชลยศึกอเมริกันจำนวนเกือบร้อยคนที่ Malmedy เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม (ซึ่งเหตุการณ์นี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของภาพยนตร์ Saints and Soldiers) ต่อมา เมื่อสภาพอากาศดีขึ้นจนสัมพันธมิตรสามารถใช้อากาศยานได้ การขาดแคลนน้ำมันของฝ่ายเยอรมัน และการยกทัพหนุนจากด้านใต้ของนายพลแพตตัน ทำให้ฝ่ายเยอรมันพลิกกลับไปเป็นฝ่ายปราชัย

การสังหารหมู่ที่มัลเมดี้ (Malmedy Massacre)
ภาพยนตร์เปิดฉากขึ้นมา 3 สัปดาห์หลังการสังหารหมู่ที่มัลเมดี้ (ในวิกิคาดว่าราวๆ วันที่ 14-15 มกราคม 1945/2488) เมื่อทหารอเมริกันเริ่มเข้าไปเคลียร์พื้นที่บริเวณที่เกิดการสังหารหมู่ โดยมีเสียงวิทยุสัมพันธมิตรรายงานข่าวเป็นแบ็คกราวน์ จากนั้นจึงย้อนไปเปิดเรื่องจริงๆ ตอนทหารเยอรมันกำลังควบคุมกลุ่มเชลยอเมริกัน ซึ่งตอนแรกๆ เหมือนจะไม่มีอะไรนอกจากการตรวจค้นเชลย แต่แล้วจู่ๆ เชลยคนหนึ่งก็วิ่งหนีพรวดพราดไป แล้วก็ถูกทหารเยอรมันยิงตาย คราวนี้กลุ่มเชลยที่ไม่พอใจกับผู้คุมเริ่มกระทบกระทั่งกันมากขึ้น จนคนหนึ่งแย่งปืนมายิงทหารเยอรมันเข้าบ้าง คราวนี้ทหารเยอรมันจึงไล่ยิงเชลย ฝ่ายเชลยก็วิ่งหนีเตลิดเข้าป่าไป ทหารเยอรมันก็ตามไปยิง ผลสรุปว่ามีเชลยที่สามารถรอดชีวิตได้ 4 คน คือ จ่ากันเดอร์สัน (SSgt. Gordon Gunderson) สิบโทนาธาน เกรียร์ สมญานามว่า ดีคอน หรือ ดีค ที่แปลว่า "สาธุคุณ" (Cpl. Nathan 'Deacon' Greer) คนนี้สำคัญหน่อย คือเป็นคนที่ยิงปืนแม่น และรู้ภาษาเยอรมัน สองคนแรกนี้ตามเรื่องบอกว่าเป็นทหารพลร่มจากกองพล 101 ซึ่งเราจะคุยประเด็นนี้อีกทีในตอนหลัง ถัดมาคือ เสนารักษ์สตีเวน กูลด์ (Medic Steven Gould) และพลทหารเคนดริก (Pvt. Shirley 'Shirl' Kendrick) ทั้ง 4 รอดมาโดยมีเรื่องติดค้างกันนิดหน่อยจากการที่ดีคได้แย่งปืนยาวจากทหารเยอรมันมาได้ ทำให้เขากับกูลด์สามารถรอดชีวิตมาได้ แต่กลับไม่ยอมยิงทหารเยอรมันเจ้าของปืนนั้นเสีย ทำให้กูดล์ไม่ค่อยพอใจนัก แล้วทั้ง 4 คนก็ออกเดินทางร่วมกันโดยมีอาวุธเพียงปืนยาวของเยอรมันที่ยึดได้เพียงกระบอกเดียว กับกระสุนเพียง 4 นัด เท่านั้น

ทหารอเมริกันที่รอดตาย ดีค, กูลด์, กันเดอร์สัน และเคนดริก
ทั้ง 4 คนเดินทางมาพบซากรถพยาบาลคันหนึ่งที่ถูกโจมตี จึงได้แวะหาเสบียงและสิ่งของที่พอจะใช้ได้ จากนั้นได้พากันไปซ่อนตัวในบ้านร้าง หรือที่ถูกคล้ายๆ จะเป็นกระต๊อบแห่งหนึ่ง จ่ากันเดอรซันให้ดีคออกไปเฝ้ายาม แล้วเริ่มเล่าเรื่องของดีคให้อีกสองคนฟัง ว่าดีคเป็นคนจากอริโซนา คนดี ไม่ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ ไม่ดื่มแม้แต่กาแฟ ยิงปืนแม่นที่สุด สักพักก็มีทหารเยอรมัน 2-3 คนนั่งรถมายังบ้านแห่งนั้น ทั้งสี่จึงรีบหลบไปอยู่ข้างใต้พื้นห้อง สักพัก ทหารเยอรมันได้รับวิทยุว่ามีเครื่องบินสัมพันธมิตรตก จึงทิ้งบ้านออกไปดู ทั้งสี่คนก็ออกจากที่ซ่อน และออกไปสำรวจภายนอกเช่นกัน จึงได้พบนักบินอังกฤษคนหนึ่งที่กระโดดร่มมาติดอยู่กับต้นไม้ นามว่า โอเบอร์รอน วินลี่ย์ (Flt. Sgt. Oberon Winley) วินลี่ย์ บอกว่าได้รับภารกิจให้ไปลาดตระเวณหาข่าวาและบันทึกภาพการบุกของเยอรมัน และกำลังมุ่งหน้ากลับฐานบินที่แมนไฮม์ แต่ถูกยิงตกเสียก่อน เขาต้องการไปศูนย์บัญชาการที่ไหนสักแห่ง ก่อนที่เยอรมันจะไปถึงแม่น้ำมิวส์ เพื่อนำข้อมูลสำคัญไปให้ จ่าพิจารณาแผนที่แล้ว เห็นว่าแมนไฮม์อยู่ห่างออกไปราว 20 ไมล์ แต่มีทางลัดที่อาจใช้เดินทางไปถึงก่อนเยอรมันได้ ทั้ง 5 คน จึงตัดสินใจออกเดินทางร่วมกันไปยังจุดหมาย
กูลด์ซึ่งสังเกตเห็นอาการแปลกๆ ของดีคมาตั้งแต่ต้น ได้ลองชวนคุยโดยถามว่าดีคไปรู้ภาษาเยอรมันมาจากไหน จึงทราบว่าดีคเคยเป็นมิชชันนารีเผยแพร่ศาสนาที่เบอร์ลินมาก่อน จากนั้นกูลด์สอบถามกันเดอร์สันได้ความว่ากันเดอร์สันกับดีคอดนอนมาหลายวัน จึงเสนอให้หาที่นอนพักสักครู่ แต่ระหว่างการพักดีคก็แทบไม่ได้นอน และพอเดินทางต่อไปได้สักระยะก็แสดงอาการประสาทหลอนอีก กันเดอร์สันจึงยอมบอกความจริงกับกูลด์ว่า ก่อนเยอรมันจะบุก ได้มอบให้ดีคเข้าไปเคลียร์พื้นที่ในโบสถ์แห่งหนึ่ง ดีคได้โยนระเบิดและยิงปืนเข้าไปในห้องๆ หนึ่งที่คาดว่ามีพลซุ่มยิงข้าศึกอยู่ แต่กลับแต่ศพของผู้หญิงและเด็กรวม 6 ศพ ทำให้เขารู้สึกเสียใจมาก จ่าได้เตรียมที่จะส่งดีคไปยังหน่วยแพทย์แต่พอดีเยอรมันบุกก่อน จนทำให้ทั้ง 4 ไปพบกันที่มัลเมดี้นั่นเอง กูลด์จึงแนะนำว่าอย่าให้ดีคถือปืนอีก และต้องมีคนคอยคุยเป็นเพื่อนตลอดเวลา เมื่อออกเดินทางต่อ ก็มาเกิดเหตุขึ้นอีกเมื่อเคนดริกตกลงไปในบ้านหลังหนึ่งซึ่งถูกหิมะกองสุมจนไม่เห็นเป็นบ้านแต่แรก ทั้ง 5 จึงพากันไปพักที่บ้านอีกหลังหนึ่ง เจ้าของบ้านเป็นหญิงชื่อ Catherine Theary มีลูกสาวชื่อ Sophie

ตัวละครสำคัญอีก 3 คือ วินลีย์, แคทเทอรีน และรูดอล์ฟ
วินลีย์รออยู่นานๆ ก็เบื่อ ขอปลีกตัวออกเดินทางตามลำพัง แต่คล้อยหลังไปได้ไม่นาน ทหารเยอรมัน 2 คนแวะมาที่บ้าน และคนหนึ่งได้ลวนลามแคทเทอรีน ทำให้กันเดอร์สัน ดีค และกูลด์ออกมาจากที่ซ่อน ดีคยิงทหารคนที่ลวนลามแคทเทอรีนตาย อีกคนหนีรอดไปได้ ขณะที่กูลด์กำลังกล่าวหาว่าดีคจงใจปล่อยทหารเยอรมันหนี พอดีวินลีย์จับตัวทหารเยอรมันคนนั้นกลับมา เกิดการทะเลาะกันว่าควรจะยิงทิ้งเชลยหรือไม่ พอดีดีคจำได้ว่าเขาคือ รูดอล์ฟ หนึ่งในครอบครัวเยอรมันที่เขาเคยสอนศาสนา เขาจึงรอดชีวิต ครั้นรุ่งเช้า กูลด์ซึ่งเผลอหลับยามตื่นมาพบว่ารูดอล์ฟหายไป จึงเกิดการทะเลาะกับดีคอีก ซึ่งดีคก็ยอมรับว่าได้ปล่อยรูดอล์ฟไปหลังจากได้ข้อมูลจากรูดอล์ฟว่า แทนที่จะเดินทางไปยังแมนไฮม์ที่อยู่ไกลและมีการสู้รบกันอยู่ ควรจะเดินทางไปยังเมืองลานินที่อยู่ใกล้กว่า แต่ก็ต้องฝ่ากองกำลังของเยอรมันที่ล้อมเมืองอยู่ ทั้งหมดจึงตัดสินใจเดินทางไปยังเมืองลานินแทนการไปแมนไฮม์
เมื่อทั้ง 5 มาถึงหลังแนวเยอรมันที่ล้อมเมืองลานินอยู่ ขณะกำลังหาทางที่จะผ่าวงล้อมเข้าไป จ่ากันเดอร์สันได้ถูกลอบยิงเสียชีวิตทันที 4 คนที่ยังเหลือต้องต่อสู้กับทหารเยอรมันที่ตามเสียงปืนมา วินลีย์ถูกยิงบาดเจ็บที่ขา เคนดริคถูกยิงตายขณะแบกวินลีย์ รูดอล์ฟมาพบกูลด์,ดีค วินลีย์ และได้ช่วยพาทั้ง 3 ไปยังรถจี๊พคันหนึ่ง ทั้ง 3 ต้องเอาเครื่องแบบเยอรมันมาสวมหลอกพวกยามขณะฝ่าด่าน แต่ที่สุดก็ความแตก ต้องขับรถหนีเตลิดไปยังแนวทหารอเมริกัน จนรถเสียหลักพลิกคว่ำลง ดีคเสียสละยิงสกัดให้กูลด์พาวินลีย์หนีจนสำเร็จ แต่ตัวดีคเองถูกยิงตาย ต่อมาเมื่ออากาศดีพอที่เครื่องบินสัมพันธมิตรออกปฏิบัติการได้ ทหารเยอรมันได้ยอมจำนน เหตุการณ์ทั้งหมดทำให้กูลด์มองทหารเยอรมันในฐานะเพื่อนมนุษย์ จนยอมช่วยรักษาพยาบาลเชลยเยอรมันที่บาดเจ็บ

ฉากยิงต่อสู้ระหว่างหาทางเข้าเมืองลานิน
นอกจากเนื้อเรื่องดังที่กล่าวแล้ว Saints and Soldiers ยังได้สื่อแนวคิดสำคัญต่อผู้ชมผ่านลักษณะนิสัยและความสัมพันธ์ของตัวละคร ที่พอจะพิจารณาได้เป็น 2 คู่ คือ
คู่รอง ระหว่างเคนดริกกับวินลีย์ คู่นี้จะสะท้อนแนวความคิดเรื่องความเป็นเพื่อนโดยผ่านสิ่งที่คนสมัยนี้เริ่มต่อต้านกันนักหนา คือ บุหรี่ ซึ่งในช่วงสงครามนั้น ทหารที่ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับลูกตะกั่วมากกว่ามะเร็งถือว่ามันเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ เคนดริกถูกทหารเยอรมันยึดซองบุหรี่ไปตั้งแต่ตอนอยู่ที่มัลเมดี้ และไม่สามารถหาสูบจากที่ใดได้ จนกระทั่งมาพบวินลีย์ที่ดูเหมือนจะมีสูบอย่างเหลือเฟือ และวินลีย์ก็น่าจะรู้ดีความต้องการของเคนดริกเป็นอย่างดี แต่ก็มักจะทำเล่นตัวอยู่ตลอด เช่น ตอนที่เคนดริกขอแบบอ้อมแอ้มๆ ก็ทำไขสือซะจนเคนดริกเลิกล้มความตั้งใจ ถึงตอนที่เคนดริกขอพนันเล่นทายไพ่แลกบุหรี่ วินลีย์ก็โกงหน้าตาเฉย นอกจากเรื่องบุหรี่แล้ว วินลีย์เคยเสนอให้พรรคพวกเล่าความลับของแต่ละคนแลกเปลี่ยนกัน โดยอ้างว่าทำนองว่าเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวในการร่วมชะตากรรมเดียวกัน แต่พอเคนดริกเป็นฝ่ายถามความลับของวินลีย์บ้าง วินลีย์กลับปฏิเสธหน้าตาเฉยว่าพึ่งรู้จักกัน ครั้นมาถึงตอนสุดท้าย เมื่อต้องสู้กับทหารเยอรมันที่ล้อมเมืองลานิน วินลีย์ถูกยิงที่ขา เคนดริกซึ่งทำหน้าที่แบกเขาถูกยิงได้รับบาดเจ็บใกล้จะตาย วินลีย์จึงได้ทำสิ่งที่น่าจะทำมาตั้งนานแล้ว คือพยายามจุดบุหรี่ให้เคนดริกสูบด้วยมือไม้ที่ทั้งสั่นทั้งเปื้อนเลือด แต่ก็ไม่สำเร็จ และเคนดริกได้สิ้นใจตายไปซะก่อน นี่แหละครับที่เขาว่าตอนยังอยู่เห็นๆ กันให้ทำดีกันไว้ ไม่งั้นอาจจะไม่มีโอกาส

ขับรถจี๊พฝ่าด่านเยอรมันจนสำเร็จ แลกด้วยชีวิตของดีค
ทีนี้ก็มาถึงคู่เอก แต่ไม่ใช่มวยนะครับ เป็นความสัมพันธ์ระหว่างาดีคกับกูลด์ที่สะท้อนให้เห็นว่าทหารที่เป็นคู่สงครามกันนั้นก็ล้วนแต่มีความเป็นมนุษย์ดุจเดียวกัน ดีคนั้นเป็นถึงอดีตมิชชันนารีที่เคยไปเผยแพร่ศาสนาในเบอร์ลิน ทั้งโดยหน้าที่เก่าและความคุ้นเคยกับคนเยอรมันมาก่อนทำให้เขาไม่ได้จงเกลียดจงชังเยอรมัน และยิงข้าศึกเพียงเพื่อการทำหน้าที่เท่านั้น ตรงข้ามกับกูลด์ผู้เป็นเสนารักษ์ที่น่าจะมีความเป็นมนุษยธรรมพอจะคุยกับดีคได้ กลับมีเบื้องหลังที่ทำให้เกลียดเยอรมันด้วยเหตุที่ว่า ถ้าไม่มีสงคราม เขาก็คงจะได้เรียนแพทย์จนจบ และต้องพบความทุกข์ทรมานของคนที่ใกล้จะตายในสงคราม ทั้งสองจึงมักขัดแย้งกัน ตั้งแต่ต้นเรื่องเมื่อดีคแย่งปืนทหารเยอรมันมาได้ แต่กลับไม่ยอมยิงข้าศึกคนนั้น การที่ดีคไม่ยอมยิงทหารทหารเยอรมันที่มาทราบภายหลังว่าคือรูดอล์ฟ และการที่ดีคปล่อยตัวรูดอล์ฟไป จนกระทั่งตอนท้ายเรื่อง เมื่อรูดอล์ฟมาช่วยพวกเขาเป็นการตอบแทน และเมื่อเห็นดีคยอมสละชีวิตเพื่อช่วยให้เขากับวินลีย์ กูลด์จึงได้เริ่มเข้าใจความเป็นมนุษย์ในแบบเดียวกับดีคจนถึงขั้นยอมช่วยรักษาพยาบาลเชลยทหารเยอรมันในตอนท้ายเรื่อง

บทสรุป!
ในด้านประวัติศาสตร์ประเด็นที่หนังเรื่องนี้ผิดอย่างมาก คือการไประบุว่าจ่ากันเดอร์สันกับดีคเป็นทหารพลร่มในกองพลอากาศโยธินที่ 101 บรรดาแฟนๆ ของ Band of Brothers น่าจะเข้าใจดีเพราะกองพลนี้เป็นกองพลเดียวที่กองร้อยอีซี่สังกัดอยู่นั่นเอง ซึ่งในตอนที่เยอรมันเริ่มยุทธการ Battle of the Bulge นั้น กองพลอากาศโยธินของอเมริกันทั้ง 2 กองพล คือ 82 และ 101 ยังอยู่ที่แนวหลัง แล้วมาถูกดึงให้ไปป้องกันเมืองบาสตอง จึงเป็นไปไม่ได้ที่เชลยศึกอเมริกันที่มัลเมดี้จะมีทหารพลร่มอยู่ด้วย ส่วนการสังหารหมู่เชลยศึกอเมริกันที่มัลเมดี้นั้น จะต่างจากภาพยนตร์เรื่อง The Battle of the Bulge ตรงที่ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ทหารเยอรมันจงใจกราดปืนกลยิงทิ้งบรรดาเชลย ส่วนเรื่องราวในประวัติศาสตร์นั้น ยังไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนว่าเกิดจากสาเหตุใด มีเชลยพยายามหนีหรือไม่ ภาพเหตุการณ์ที่ออกมาในเรื่อง Saints and Soldiers ที่ดูกึ่งๆ อุบัติเหตุนี้ ดูจะสอดคล้องกับแนวคิดหลักของภาพยนตร์ที่ต้องการเน้นความเป็นมนุษย์ของทั้งสองฝ่าย
แม้จะเป็นภาพยนตร์สงครามแนวดรามา แต่ในด้านอาวุธยุทธภัณฑ์ที่นำมาเข้าฉากนั้น ไม่ได้น้อยหน้าหนังสงครามแอคชันฟอร์มยักษ์สักเท่าไหร่เลย มีปืนมียานพาหนะหลากชนิดที่โผล่เข้ามาอย่างได้จังหวะ ไม่ใช่ต่างฝ่ายต่างยกพวกลุยเข้าใส่กันแบบเอามันไว้ก่อน ฉากส่วนใหญ่ที่เป็นป่าเขายามหิมะปกคลุม มีลำธารเป็นบางแห่งให้ภาพธรรมชาติที่งดงามเป็นอย่างยิ่ง ในส่วนของการทำซับไตเติ้ลภาษาไทยมีปล่อยไก่อยู่หน่อย ตอนที่บรรดาตัวเอกตื่นมาพบว่ารูดอล์ฟหายไปแล้วจ่ากันเดอร์สันถามว่า "Who had watched?" ดันไปแปลว่า "ใครมีนาฬิกา?" โชคดีที่ทีมพากย์เสียงภาษาไทยไม่บ้าจี้ตาม คือใช้ว่า "ใครอยู่เวรยาม?"
จัดว่าเป็นหนังสงครามที่สวยงามทั้งภาพและแนวคิดครับ
คำคมชวนคิด
- "คนส่วนใหญ่(เยอรมัน)ก็เหมือนเรานั่นแหละ แค่ใส่เครื่องแบบต่างกันเท่านั้น" (I know that most of 'em are just like you and me. They just wear a different uniform. ) ดีคกล่าวกับกูลด์
เนื่องจากบทความนี้เป็นลิขสิทธิ์อันชอบธรรมของผู้เขียน และอาจะมีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลบ้างตามความเหมาะสม ในการนำบทความไปเผยแพร่ในเว็บไซต์อื่นๆ จึงขอความร่วมมือให้ใช้วิธีการคัดลอกเฉพาะ Link หรือ URL Address แทนการคัดลอกบทความทั้งหมด หากมีการคัดลอกไปในลักษณะแอบอ้างเป็นผู้เขียน หรือมีเจตนาอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อทางเว็บ iseehistory.com แล้ว จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดตามกฎหมาย
ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ : Saints and Soldiers
ชื่อภาษาไทย : สงครามปลดแอกความเป็นคน
ผู้กำกำกับ : Ryan Little
ผู้สร้าง : Adam Abel, Ryan Little
ผู้เขียนบท : Geoffrey Panos, Matt Whitaker
ผู้แสดง :
- Corbin Allred ... Cpl. Nathan 'Deacon' Greer
- Alexander Polinsky ... Medic Steven Gould (as Alexander Niver)
- Kirby Heyborne ... Flt. Sgt. Oberon Winley
- Larry Bagby ... Pvt. Shirley 'Shirl' Kendrick (as Lawrence Bagby)
- Peter Asle Holden ... SSgt. Gordon Gunderson (as Peter Holden)
- Ethan Vincent ... Rudolph 'Rudi' Gertz
- Melinda Renee ... Catherine Theary
- Ruby Chase O'Neil ... Sophie Theary
- Jeff Birk ... Radio Announcer
- Ben Gourley ... Private McKinley
ควรอ่านเพิ่มเติม
กระทู้ที่เกี่ยวข้อง
เรียนเชิญสมาชิกร่วมแสดงความคิดเห็นที่ด้านล่างสุดของหน้าเว็บ (ต้องสมัครและ Login ก่อน) ผู้ชมทั่วไปหรือสมาชิกที่ต้องการโพสต์รูป เชิญร่วมแสดงความเห็นได้ที่เว็บบอร์ด "คุยกันหลังฉาก" ในกระทู้ที่มีอยู่แล้ว หรือ สร้างกระทู้ใหม่ (คลิกที่นี่) ครับ
หากเป็นสมาชิก Facebook แสดงความเห็นได้ในฟอร์มข้างล่างนี้ครับ
ภาพยนตร์ตัวอย่าง จาก www.youtube.com
ทางเว็บไม่มีนโยบายนำภาพยนตร์ฉบับ เต็มมาให้ดูออนไลน์หรือให้ดาวน์โหลดเนื่องจากเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์และไม่ มีพื้นที่สำหรับเก็บไฟล์ภาพยนตร์