webmaster@iseehistory.com
ในหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์จีนหรือประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 ด้านเอเชียแปซิฟิก เราอาจเคยได้เห็นชื่อของ "ปูยี" จักรพรรดิองค์สุดท้ายของจีนและของราชวงศ์ชิงซึ่งเป็นแมนจูแต่เพียงเล็กน้อย ชื่อนี้อาจจะกลายเป็นจักรพรรดิที่โลกลืมไปเลยหากไม่ได้บุคคลสำคัญอย่างน้อย 2 คน คนแรกคือ Reginald Johnston ผู้เขียนหนังสือเรื่อง Twilight in the Forbidden City เล่าเหตุการณ์เมื่อครั้งที่เขาปฏิบัติหน้าที่พระอาจารย์ของจักรพรรดิปูยี และอีกท่านหนึ่งคือ Bernardo Bertolucci ผู้กำกับชื่อดังของภาพยนตร์เรื่อง The Last Emperor ที่เริ่มฉายในปี 1987/พ.ศ.2530 ภาพยนตร์ที่ได้รับชื่อภาษาไทยอย่างค่อนข้างจะเหมาะสมว่า "จักรพรรดิโลกไม่ลืม"
ก่อนที่จะเริ่มพูดคุยกันถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ ขอทำความเข้าใจเพิ่มเติมนิดนึงว่า เนื่องจากจักรพรรดิปูยีท่านไม่ได้เป็นจักรพรรดิตลอดชีวิต คือในช่วงที่ออกจากพระราชวังต้องห้ามจนถึงก่อนตั้งประเทศแมนจูกัวนี่บอกไม่ถูกว่ามีฐานะเป็นอะไร แล้วสุดท้ายมาเป็นสามัญชนโดยสมบูรณ์ตั้งแต่ถูกทหารรัสเซียจับเป็นต้นมา ในการเล่าเรื่องก็จะพยายามเลือกใช้คำราชาศัพท์หรือคำสามัญให้เหมาะสมกับช่วงนั้นๆ เท่าที่จะเป็นไปได้ครับ
ฉากพระราชวังอันอลังการ
ภาพยนตร์เริ่มเรื่องเมื่อจักรพรรดิปูยีกับพรรคพวกถูกรัสเซียส่งตัวมายังสาธารณรัฐประชาชนจีนในฐานะอาชญากรสงคราม ในปี 1950/พ.ศ.2493 และจะเล่าเรื่องสลับกันระหว่างเหตุการณ์ในเรือนจำพิเศษของจีนกับเรื่องราวในอดีตของปูยี ไปตลอดจนกระทั่งปูยีได้รับอภัยโทษ เมื่อปูยีกับนักโทษอื่นๆ อีกจำนวนมาก ได้มาถึงเมืองจีนในฐานะอาชญากรสงคราม ปูยีได้พยายามฆ่าตัวตายโดยหลบเข้าไปกรีดข้อมือในห้องน้ำ แต่ผู้บัญชาการเรือนจำเข้ามาช่วยไว้ได้ ในระหว่างนี้ภาพยนตร์ได้ย้อนเหตุการณ์ในที่กรุงปักกิ่ง ปี 1908/พ.ศ.2451 ในคืนหนึ่งเมื่อพระนางซูสีไทเฮามีราชโองการให้ปูยี ซึ่งมีพระชนมายุเพียง 2 พรรษา พระโอรสขององค์ชายชุนเข้าเฝ้า ณ พระราชวังต้องห้าม พระมารดาของปูยีได้มอบให้แม่นมของปูยีนามว่า อาโม เป็นผู้ดูแล พระนางตรัสว่าพระจักรพรรดิพึ่งเสด็จสวรรคต ขณะที่พระนางเองก็กำลังสวรรคตเช่นกัน จึงได้ตัดสินพระทัยยกราชบัลลังก์ให้ปูยี จากนั้นพระนางก็สวรรคต และแล้วปูยีก็เข้าสู่พระราชพิธีเถลิงราชสมบัติขึ้นเป็นจักรพรรดิ และทรงอยู่กับพระราชพิธีและพระราชประเพณีต่างๆ อันน่าเบื่อภายในพระราชวังต้องห้าม โดยไม่ได้เสด็จกลับไปเยี่ยมครอบครัวอีกเลย จนกระทั่ง 7 ปี ผ่านไป พระมารดาจึงนำพระอนุชาปูเจี๋ยมาเข้าเฝ้า พระอนุชาองค์นี้นอกจากจะเป็นเด็กคนแรกที่พระจักรพรรดิน้อยได้ทรงพบแล้ว ยังเป็นผู้ที่ทำให้พระจักรพรรดิทรงพบความจริงว่า ทรงเป็นจักรพรรดิแต่เพียงในนาม หรือภายในเขตพระราชวังต้องห้ามเท่านั้น ณ เวลานั้น เมืองจีนได้กลายเป็นสาธารณรัฐที่มีประธานาธิบดีเป็นผู้นำสูงสุดไปแล้ว อันเป็นผลจากการปฏิวัติซินไห่ (Xinhai Revolution) ในปี 1912/พ.ศ.2455 โดยทางฝ่ายสาธารณรัฐได้ทำสัญญากับทางราชวงศ์ว่าจะพระจักรพรรดิปูยีจะยังคงพระอิสริยยศและได้รับการดูแลจากสาธารณรัฐเสมือนกษัตริย์ต่างชาติภายในเขตพระราชวังต้องห้ามจนกว่าจะทรงสละราชบัลลังก์ ซึ่งตรงนี้ในภาพยนตร์ไม่ได้กล่าวโดยละเอียด และยังแต่งเรื่องให้ช่างบังเอิญเหลือเกินว่า ในวันที่ทรงทราบความจริงนี้ ทางฝ่ายพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ได้ตัดสินใจส่งอาโม ผู้เป็นแม่นมที่ดูแลพระองค์มาราวกับเป็นแม่แท้ๆ ออกไปพ้นพระราชวังต้องห้าม ด้วยเหตุผลเพียงว่าทรงไม่จำเป็นต้องเสวยน้ำนมแล้ว
พบความจริงว่าจีนเป็นสาธารณรัฐแล้ว
ในเดือนพฤษภาคม 1919/พ.ศ.2462 นาย Reginald Fleming Johnston ที่ผมกล่าวถึงในตอนเกริ่นนำได้เข้ามารับตำแหน่งพระอาจารย์ (Tutor) ในขณะที่เมืองจีนกำลังวุ่นวายจากการประท้วงของนักศึกษาที่ไม่พอใจการที่รัฐบาลยกดินแดนบางส่วนให้ต่างชาติหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จอห์นสตันได้รับทราบความอึดอัดพระทัยของพระจักรพรรดิที่ต้องทรงถูกจำกัดบริเวณ ไม่สามารถออกไปนอกพระราชวังได้ วันหนึ่งทรงทราบข่าวว่าพระมารดาได้สิ้นพระชนม์แล้ว จึงพยายามเสด็จออกไปเยี่ยมครอบครัว แต่ถูกขัดขวางโดยทหารเฝ้าประตู ทรงเสียพระทัยจนถึงกับทรงปีนขึ้นไปบนกำแพง นายจอห์นสตันต้องขึ้นไปช่วยนำพระองค์ลงมา ในครั้งนี้เขาจึงได้สังเกตว่าทรงมีปัญหาในการทอดพระเนตร เมื่อนำหมอมาตรวจจึงพบว่าสายพระเนตรไม่ปกติ จำเป็นต้องใช้ฉลองพระเนตร (เอ! แล้วเรียนหนังสือกันมาได้ยังไงล่ะเนี่ย?) บรรดาพระราชวงศ์ผู้ใหญ่และกรมวังทำท่าจะไม่ยอมโดยอ้างขนบธรรมเนียมเก่าๆ จอห์นสตันจึงขู่จะเปิดโปงปัญหาการคอร์รัปชั่นในพระราชวัง จึงได้ยินยอม ต่อมา พระจักรพรรดิได้เข้าพิธีอภิเษกกับพระมเหสีว่านจุงและพระสนมเหวินซิ่ว ซึ่งทีแรกทรงไม่พอพระทัยเนื่องจากเป็นการแต่งงานแบบคลุมถุงชน และมีพระดำริจะหนีไปอังกฤษ แต่จอห์นสตันทูลห้ามไว้ และโชคดีที่พระมเหสีทรงเข้ากับพระองค์ได้ พระจักรพรรดิยังคงต่อสู้กับชีวิตอันจำกัดแต่ในพระราชวังด้วยการตัดพระเกศาที่ถักเปียตามประเพณีแมนจูออก และแต่งตั้งให้จอห์นสตันดำรงตำแหน่งกรมวังคนใหม่เพื่อตรวจสอบพระราชทรัพย์ในพระราชวัง ยังไม่ทันที่จะมีการตรวจสอบก็เกิดไฟไหม้ท้องพระคลังเสียก่อน ทรงเข้าพระทัยได้ทันทีว่าต้องเป็นฝีมือของพวกขันที จึงทรงปลดขันทีจำนวนพันกว่าคนออกทั้งหมด
จอห์นสตันนำจักรยานมาถวาย
ถูกขับออกจากวังขณะตีเทนนิส
ในปี 1924/พ.ศ.2467 เกิดรัฐประหารอีกครั้ง คราวนี้รัฐบาลใหม่ (นำโดยนายพลเฟิงยู่เสียง - Feng Yuxiang) ได้ขับพระจักรพรรดิปูยีและข้าราชสำนักออกจากพระราชวังต้องห้าม ซึ่งตามภาพยนตร์กล่าวว่าจอห์นสตันได้ทูลเชิญให้ไปลี้ภัยที่สถานทูตอังกฤษ แต่กลับตัดสินพระทัยไปที่สถานทูตญี่ปุ่นแทนเพราะเป็นที่เดียวที่เตรียมการช่วยเหลือ เป็นประเทศที่มีพระจักรพรรดิวัยไล่เลี่ยกัน และคนจีนส่วนใหญ่ยังมองว่าคนแมนจูเป็นคนต่างชาติ จึงทรงเกรงว่าจะถูกลอบทำร้าย แต่จากการค้นคว้าเพิ่มเติม ผมยังพบว่าพระองค์ได้เสด็จออกจากพระราชวังตรงไปยังบ้านขององค์ชายชุนผู้เป็นพระราชบิดาเป็นอันดับแรก เอาเป็นว่าในที่สุดทางการญี่ปุ่นได้ให้การช่วยเหลือและส่งพระองค์ไปยังเทียนสินซึ่งน่าจะปลอดภัยกว่า แต่ไม่ได้ออกค่าใช้จ่ายใดๆ ให้ ปูยีกลายเป็นหนุ่มสังคมจัด ใช้เงินสิ้นเปลือง ทรงใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า Henry ส่วนพระมเหสีใช้ชื่อว่า Elizbeth วันหนึ่งในปี 1927/พ.ศ.2470 ขณะกำลังทรงสำราญในสถานเริงรมย์แห่งหนึ่ง มีข่าวว่านายพลเจียงไคเช็คแห่งพรรคก๊กมินตั๋งยึดเมืองเซี่ยงไฮ้ได้แล้ว นายอามากัสซึผู้ดูแลเห็นท่าไม่ดีจึงทูลให้เสด็จกลับยังสถานทูตญี่ปุ่น ในคืนนั้นพระสนมเหวินซิ่วได้ขอหย่าและหนีออกไปจากสถานทูต และทรงได้ข่าวจาก "อีสเทิร์นจูเอิล" (คนเดียวกับ Kawashima Yoshiko ในเรื่อง "ผู้หญิงพันธุ์มหาอำนาจ" ซึ่งต่อไปจะขอเรียกว่า "โยชิโกะ" ให้สอดคล้องกับภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว) ว่ารัฐบาลก๊กมินตั๋งได้ทำลายสุสานบรรพบุรุษราชวงศ์แมนจูและพระศพของพระนางซูสีไทเฮา ทำให้ปูยีไม่พอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง และกลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทรงยอมรับคำเชิญของญี่ปุ่นให้มาเป็นจักรพรรดิของประเทศแมนจูกัว หลังจาก ญี่ปุ่นยึดแมนจูเรียเมื่อ 18 ก.ย.1931/พ.ศ.2474
ครองราชย์เป็นจักรพรรดิแห่งแมนจูกัว
เรื่องที่ปูยีได้ขึ้นครองราชย์อีกครั้งในฐานะจักรพรรดิแห่งแมนจูกัวนี้ มีรายละเอียดต่างจากในเรื่อง "ผู้หญิงพันธุ์มหาอำนาจ" ตรงที่ ในเรื่องดังกล่าว โยชิโกะเป็นผู้ลักพาตัวพระมเหสีซึ่งกำลังระหองระแหงกับปูยี แต่ในเรื่องนี้ ปูยีพยายามอ้างกับเจ้าหน้าที่สอบสวนในเรือนจำว่าตนถูกลักพาตัว แต่เจ้าหน้าที่ไม่เชื่อ และไม่มีการลักพาตัวพระมเหสี แต่โยชิโกะได้ทำให้พระมเหสีทรงติดฝิ่น และแสดงอาการอยากฝิ่นในงานราตรีที่ฉลองการสถาปนาแมนจูกัวจนทำให้พระจักรพรรดิเสียพระทัย ในเวลาต่อมา การครองราชย์ในแมนจูกัวยังคงเต็มไปด้วยปัญหา เมื่อทรงพบว่าเป็นเพียงแค่หุ่นเชิดของรัฐบาลญี่ปุ่นคล้ายกับที่เวลาที่ประทับอยู่ในพระราชวังต้องห้าม ในปี 1935/พ.ศ.2478 หลังจากเสด็จกลับจากเยือนญี่ปุ่นในฐานะพระราชอาคันตุกะของพระจักรพรรดิญี่ปุ่น ทรงพบว่าบรรดาทหารราชองครักษ์ถูกปลดอาวุธทั้งหมด นายกรัฐมนตรีเซียวซิ่วได้ลาออกเพราะบุตรชายถูกคอมมิวนิสต์ลอบสังหาร ทรงถูกบีบให้ตั้งจางจิ้งฮุย รมว.กลาโหมเป็นนายกรัฐมนตรีแทน ซึ่งทรงพยายามปฏิเสธและอ้างว่าสัมพันธไมตรีระหว่างญี่ปุ่นกับแมนจูกัวควรจะอยู่บนพื้นฐานของความเสมอภาคเช่นเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างพระจักรพรรดิของทั้งสองประเทศ แต่ไม่เป็นผล พวกญี่ปุ่นเปรียบเปรยแมนจูกัวว่าเหมือนอินเดียที่อังกฤษปกครองในฐานะอาณานิคมโดยไม่ใช่การกุศล นอกจากนี้ พระมเหสีได้ทรงลักลอบเป็นชู้กับคนรถเพื่อหวังจะมีรัชทายาท ซึ่งทางญี่ปุ่นก็ทราบดี จึงได้จัดการ "เก็บ" คนรถ วางยา "พระโอรส" ตั้งแต่แรกคลอด และพรากพระมเหสีไปจากพระองค์ โดยอ้างว่าต้องนำไปรักษาที่คลินิค เหตุการณ์ตอนนี้ พระจักรพรรดิปูยีได้พยายามเสด็จวิ่งตามรถพยาบาลที่นำพระมเหสีออกไป แต่ไม่ทันและถูกทหารยามปิดประตูใส่พระพักตร์แบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อตอนจะเสด็จออกจากพระราชวังต้องห้ามไปเยี่ยมครอบครัวเมื่อพระมารดาสิ้นพระชนม์ ดูแล้วชวนให้สะเทือนใจอย่างยิ่ง
อาชญากรสงครามได้รับการอภัยโทษ
จากนั้นภาพยนตร์ได้ข้ามมายังตอนที่ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงครามเนื่องจากถูกทิ้งระเบิดปรมาณู เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นในแมนจูกัวพยายามเชิญเสด็จพระจักรพรรดิปูยีไปยังประเทศญี่ปุ่นเพื่อมอบตัวกับกองทัพอเมริกัน แต่ไม่ทันเนื่องจากทหารพลร่มรัสเซียได้โจมตีสนามบินและยึดเครื่องบินที่จะใช้ในการเสด็จได้เสียก่อน ขออนุญาตแทรกความรู้ทางประวัติศาสตร์อีกนิดนึงว่า เดิมทีในสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น สหายสตาลินแกได้ทำสนธิสัญญาไม่รุกรานกับญี่ปุ่นไว้ ซึ่งก็เป็นผลดีต่อสหายแกในตอนที่เยอรมันบุกที่ทำให้สามารถระดมกำลังพลจากตะวันออกมาต้านทานจนได้ชัยชนะ ทางญี่ปุ่นเองระหว่างสงครามก็ย่ามใจรังแกจีนได้ตลอด จนกระทั่งเมื่อคุณกันแกไปทิ้งระเบิดปรมาณูเข้านั่นแหละ สหายสตาลินแกจึงได้ฉวยโอกาสประกาศสงครามกับญี่ปุ่นแล้วลงมือโจมตีเกาหลีและแมนจูเรียเพื่อหวังประโยชน์จากสงครามทางด้านนี้บ้างก่อนที่ญี่ปุ่นจะยอมแพ้ ผลต่อเรื่องราวของเราในที่นี้ทำให้สหายแกได้อดีตพระจักรพรรดิปูยีไว้เป็นเชลยอยู่ร่วม 5 ปี จนเมื่อสหายเหมาเจ๋อตงปฏิวัติประเทศจีนสำเร็จ จึงได้ส่งปูยีมาให้เพื่อเป็นการเอาใจสหายเหมาครับ กลับมาที่ภาพยนตร์กันต่อ เมื่อได้รำลึกความหลังกันครบถ้วนแล้ว ปูยีก็ได้เซ็นเอกสารยอมรับสารภาพกับทางการจีนอย่างสิ้นเชิง จนผู้บัญชาการเรือนจำต้องออกมาท้วงติงกันหน่อยว่า ทำไมปูยีต้องสารภาพไปหมดทุกเรื่องทั้งที่บางเรื่องก็ไม่น่าจะรู้เห็นอะไร สารภาพแต่เรื่องที่ทำก็พอ ปูยีก็ตอบเรียบๆ ว่าเขาต้องรับผิดชอบทุกเรื่อง และติงว่าผู้บัญชาการเรือนจำเองก็ต้องการใช้เขาเป็นเครื่องมือ เอาเป็นว่าในที่สุดปูยีก็ได้รับการอภัยโทษจากรัฐบาลในปี 1959/พ.ศ.2502 มาทำหน้าที่เป็นคนสวน หลังจากนั้น ในปี 1967/พ.ศ.2510 ปูยีก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าผู้บัญชาการเรือนจำได้ถูกพวกเรดการ์ดจับมาประจานกลางถนนโดยไม่ทราบข้อหาที่แน่ชัด ภาพยนตร์จบลงโดยฉากที่ปูยีตีตั๋วเข้าไปชมพระราชวังต้องห้าม แล้วบอกกับเด็กคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกของเจ้าหน้าที่ในนั้นว่าตนเคยเป็นจักรพรรดิที่นี่และพิสูจน์โดยการไปนำกล่องที่เก็บจิ้งหรีดจากใต้บัลลังก์มาให้ดู แล้วปูยีก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย วันต่อมามีเจ้าหน้าที่นำนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งเข้ามาชมที่บัลลังก์ และให้ข้อมูลว่าอดีตจักรพรรดิปูยีได้เสียชีวิตในปี 1967 นั้นเอง
งานทำสวนหลังออกจากเรือนจำ
ในแง่ของภาพยนตร์ดรามาอิงประวัติศาสตร์ที่สุดอลังการ ต้องถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำให้เราเห็นถึงชีวิตที่น่าเห็นใจของบุคคลที่เป็นถึงจักรพรรดิ แต่ไม่เคยมีอิสระอย่างแท้จริง ดังที่ Blog แห่งหนึ่งกล่าวว่า ปูยีเป็นเสมือนหุ่นเชิดตลอดชีวิต จนกระทั่งเมื่อเสียชีวิตนั่นแหละจึงดูเหมือนจะได้รับอิสรภาพอย่างแท้จริง
แต่ในด้านประวัติศาสตร์ ภาพยนตร์ยังกล่าวถึงบางเรื่องอย่างคลุมเครือ หรือไม่กล่าวถึงเลย ดังได้กล่าวถึงบางประเด็นในตอนเล่าเรื่องย่อแล้ว ส่วนที่ขอกล่าวเพิ่มเติมในที่นี้คือ
กรณีที่พระมเหสีเป็นชู้กับคนรถนั้น คนรถไม่ได้ชื่อ Chang ดังในภาพยนตร์ และไม่ได้ถูกสังหาร แต่พระจักรพรรดิปูยีทรงปล่อยให้หนีไป
ปูยีหรือพระจักรพรรดิปูยียังมีภรรยาอีก 3 คนนอกจากที่ปรากฏในภาพยนตร์ ภรรยาคนที่ 3 ที่ได้ระหว่างเป็นจักรพรรดิแมนจูกัวเป็นนักศึกษาสาวชาวญี่ปุ่นอายุ 17 ปีที่ได้ชื่อจีนว่า ถังอี้หลิง ต่อมาเสียชีวิตด้วยไข้รากสาด ถัดมาเด็กสาววัย 14 ปีชาวญี่ปุ่น ชื่อ อี้จิน และหลังจากพ้นโทษในเรือนจำ ได้ภรรยาเป็นพยาบาลชื่อ หลี่ซู่เสียน ทางผู้สร้างอาจไม่ต้องการตัวละครเพิ่ม แต่ผมเห็นว่าการได้ภรรยาชาวญี่ปุ่นทั้ง 2 คนในช่วงเป็นจักรพรรดินั้น อาจสะท้อนถึงปัญหาบางอย่างในชีวิตปูยีขณะนั้นได้เหมือนกัน
หลังจากปูยีพ้นโทษ นอกจากจะทำงานเป็นคนสวนในสถาบันพฤกษศาสตร์แล้ว ยังได้เป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษาที่เรียกว่า the Chinese People's Political Consultative Conference และได้เขียนหนังสือชีวประวัติชื่อ "The first half of my life" ในเชิงสารภาพผิดด้วย ผู้สร้างภาพยนตร์อาจไม่ต้องการกล่าวถึงเรื่องเหล่านี้โดยละเอียดเพื่อเลี่ยงปัญหากับรัฐบาลจีน แต่ในส่วนผู้ศึกษาประวัติศาสตร์นั้น น่าศึกษาเหมือนกันว่าเขายังคงเป็น "หุ่นเชิด" ของรัฐบาลจีน อยู่หรือไม่
ฉันเคยเป็นจักรพรรดิที่นี่!
ในการเขียนแนะนำภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมได้พยายามจะให้เสร็จตั้งแต่เดือนธันวาคม 2551 แต่จะด้วยอาถรรพณ์หรือความบังเอิญอะไรก็ไม่ทราบ ทำให้เลื่อนมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดยาวปีใหม่ 2551-2552 ก็มามีเหตุให้ต้องฟอร์แมตฮาร์ดดิสก์คอมพิวเตอร์แล้วลงวินโดวส์ใหม่ถึง 2 ครั้ง หากบทความนี้จะจบลงโดยไม่สมบูรณ์ประการใด ก็ขออภัยและขอเรียนเชิญท่านสมาชิกเว็บและผู้ชมทั่วไปร่วมแสดงความเห็นด้วยครับ
คำคมชวนคิด
ถ้าเราไม่สามารถพูดสิ่งที่ตั้งใจไว้ได้ เราก็ไม่มีทางทำในสิ่งที่เราพูดไว้ได้ และสุภาพบุรุษควรทำในสิ่งที่พูดไว้เสมอ (If you cannot say what you mean, Your Majesty you will never mean what you say.) จอห์นสตัน ทูล พระจักรพรรดิปูยี
ผมจะบอกว่าจักรพรรดิถูกจับเป็นนักโทษในวังตัวเองตั้งแต่วันที่ขึ้นครองราชย์จนบัดนี้ และจะเป็นนักโทษจนกว่าจะทรงสละราชสมบัติ พระองค์เป็นคนเดียวในจีนที่ไม่สามารถแม้แต่จะก้าวออกจากบ้านของตัวเอง ผมคิดว่าพระองค์เป็นเด็กที่เหงาที่สุดในโลก (The Emperor has been a prisoner in his own palace since the day that he was crowned and has remained a prisoner since he abdicated. But, now he's growing up, he may wonder why he's the only person in China who may not walk out of his own front door. I think the Emperor is the loneliest boy on earth. ) จอห์นสตันกล่าวกับกรมวัง ถ้าเทียบภาษาไทยกับอังกฤษแล้วอาจจะคลาดเคลื่อนกันเล็กน้อย ที่จริงปูยีได้ "abdicate" คือสละอำนาจการปกครองประเทศไปแล้ว แต่ยังมีตำแหน่งจักรพรรดิอยู่ลอยๆ แทนที่จะแปลว่า "จนกว่าจะทรงสละราชสมบัติ" น่าจะเป็น "ตั้งแต่ทรงสละพระราชอำนาจ"
เห็นมั๊ย ผมต้องใช้ชีวิตอยู่ในคุกนานกว่าคุณเสียอีก (You see? I will end up living in prison longer than you.) ผู้บัญชาการเรือนจำกล่าวกับปูยีในวันพ้นโทษ เหตุที่ผมเห็นประโยคนี้สำคัญเพราะมีเพื่อนคนหนึ่งที่เคยไปทำหน้าที่ตรวจสอบทัณฑสถานแห่งหนึ่ง เขาเล่าว่าเจ้าหน้าที่คนหนึ่งได้กล่าวระบายความอึดอัดในทำนองเดียวกับประโยคนี้ว่า บรรดาผู้ต้องขังยังมีวันพ้นโทษ แต่เจ้าหน้าที่อย่างพวกเขาต้องทำหน้าที่ไปตลอด
เนื่องจากบทความนี้เป็นลิขสิทธิ์อัน ชอบธรรมของผู้เขียน และอาจะมีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลบ้างตามความเหมาะสม ในการนำบทความไปเผยแพร่ในเว็บไซต์อื่นๆ จึงขอความร่วมมือให้ใช้วิธีการคัดลอกเฉพาะ Link หรือ URL Address แทนการคัดลอกบทความทั้งหมด หากมีการคัดลอกไปในลักษณะแอบอ้างเป็นผู้เขียน หรือมีเจตนาอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อทางเว็บ iseehistory.com แล้ว จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดตามกฎหมาย
ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ : The Last Emperor
ชื่อภาษาไทย : จักรพรรดิโลกไม่ลืม
ผู้กำกำกับ : Bernardo Bertolucci
ผู้สร้าง : Jeremy Thomas
ผู้เขียนบท : Mark Peploe and Bernardo Bertolucci
ผู้แสดง :
John Lone - Pǔyí (adult)
Joan Chen - Wan Jung
Peter O'Toole - Reginald Johnston
Ying Ruocheng - Detention Center Governor
Victor Wong - Chen Baochen
Dennis Dun - Big Li
Ryuichi Sakamoto - Amakasu Masahiko
Maggie Han - Eastern Jewel (Yoshiko Kawashima)
Ric Young - Interrogator
Vivian Wu - Wen Xiu
Cary-Hiroyuki Tagawa - Chang
Jade Go - Ar Mo
Fumihiko Ikeda - Colonel Yoshioka
Richard Vuu - Puyi (3 years old)
Tijger Tsou - Puyi (8 years old)
Wu Tao - Puyi (15 years old)
Fan Guang - Pujie (adult), Puyi's younger brother
Henry Kyi - Pujie (7 years old)
Alvin Riley III - Pujie (14 years old)
Lisa Lu - Empress Dowager Cixi
Hideo Takamatsu - General Ishikari
Hajime Tachibana - Japanese Translator
Basil Pao - 2nd Prince Chun, Puyi's father
Henry O - Lord Chamberlain
ควรอ่านเพิ่มเติม
กระทู้ที่เกี่ยวข้อง
เรียนเชิญสมาชิกร่วมแสดงความคิดเห็นที่ด้านล่างสุดของหน้าเว็บ (ต้องสมัครและ Login ก่อน) ผู้ชมทั่วไปหรือสมาชิกที่ต้องการโพสต์รูป เชิญร่วมแสดงความเห็นได้ที่เว็บบอร์ด "คุยกันหลังฉาก" ในกระทู้ที่มีอยู่แล้ว หรือ สร้างกระทู้ใหม่ (คลิกที่นี่) ครับ
หากเป็นสมาชิก Facebook แสดงความเห็นได้ในฟอร์มข้างล่างนี้ครับ
ภาพยนตร์ตัวอย่าง (Trailer) จาก www.youtube.com
ทางเว็บไม่มีนโยบายนำภาพยนตร์ฉบับ เต็มมาให้ดูออนไลน์หรือให้ดาวน์โหลดเนื่องจากเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์และไม่ มีพื้นที่สำหรับเก็บไฟล์ภาพยนตร์