ท่านที่สนใจ สามารถติดตามได้ที่ http://widetalks.multiply.com ด้วย
จากสงครามเพนลอพพอนเนเซียนส่งผลให้รัฐกรีกต่างๆ ตกอยู่ในความยุ่งยากทางการเมือง การที่แต่ละนครรัฐต้องทำสงครามระหว่างกันแต่ละนครรัฐก็อ่อนกำลังกันไปเอง ทั้งเอเธนส์ สปาร์ตา และธีบส์ ต่างไม่สามารถที่จะรวบรวมกรีกให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้
เฉกเช่นลมเหนือพัดพิชิตดอกไม้ฤดูร้อนที่ร่วงโรยในฤดูแล้ง
มาเซโดเนีย (Macedonia) รัฐทางเหนือจึงแผ่อำนาจกวาดลงมาทางใต้ พิชิตนครรัฐกรีกต่างๆ และจัดตั้งฐานอำนาจเพื่อพิชิตโลกต่อไป
รัฐกรีก เมื่อพุทธศักราช ๑๖๙ (๓๖๒ ปีก่อนคริสตศักราช )
แสดงพื้นที่อิทธิพลของรัฐต่างๆ
สีน้ำเงิน - รัฐธีบส์ สีชมพู - รัฐเอเธนส์ สีเหลือง - รัฐคอรินท์ สีแดง - รัฐสปาร์ตา
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1229356794/Macedonia_physical_resize(1).jpg)
มาเซโดเนีย
อยู่เหนือประเทศกรีซ ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขา ประชาชนชาวมาเซโดเนียน ไม่ใช่ชาวกรีก มีความทรหดอดทน และใจกล้าเป็นอุปนิสัยประจำชาติ ชาวกรีกมองชาวมาเซโดเนียนว่าไม่เจริญ (เช่นตน) แต่ในครั้งกระนั้น ชาวกรีกก็เข้าไปตั้งถิ่นฐานทำมาหากินอยู่ในมาเซโดเนียกันมาก ทั้งนำวิชาความรู้ความเจริญไปเผยแพร่ จนชาวมาเซโดเนียนยอมรับ แม้แต่ภาษาก็ใชัภาษากรีกกันทั่วไป เว้นเสียแต่ในทางการเมืองการปกครอง มาเซโดเนียปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ มิได้เป็นรีพับลิคเช่นรัฐต่างๆ ของกรีก แต่พระราชาของมาเซโดเนียก็ยอมรับและอุปถัมภ์วัฒนธรรมกรีก รัฐกรีกก็นับว่ามาเซโดเนียเป็นกรีก และยอมรับให้เข้าแข่งขันกีฬาโอลิมปิกด้วย
แผนที่ทางกายภาพมาเซโดเนีย (ปัจจุบัน) >
มาเซโดเนียสมัยพระเจ้าฟิลิป ที่ ๒![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1229356794/philipoc2_resize.jpg)
พุทธศักราช ๑๖๗ - ๒๐๗ (๓๕๖ - ๓๓๖ ปีก่อนคริสตศักราช)
เจ้าชายฟิลิป เมื่อยังเยาว์วัยได้ไปศึกษาในสำนักนครรัฐธีบส์ อย่างน้อย ๓ ปี ทำให้ได้มีโอกาสศึกษา และสังเกตการณ์ด้านการทหาร ทั้งในเรื่องการจัดและยุทธวิธีของธีบส์ อีกทั้งยังได้รับอิทธิพลโดยตรงจากเอปามินนอนดัส (Epaminondas) ผู้นำและแม่ทัพแห่งธีบส์ ซึ่งนำกองทัพธีบส์มีชัยชนะต่อทัพสปาร์ตา เมื่อ ปี ๓๗๑ ก่อนคริสตศักราช ด้วยรูปขบวนขั้นบรรได จึงทำให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ในยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของธีบส์ และนำมาพัฒนาระบบการทหารของมาเซโดเนียเมื่อได้เป็นกษัตริย์
และอาจจะทราบถึงความปรารถนาที่จะรวมรัฐกรีกให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ไม่สามารถดำเนินการให้สำเร็จของเอปามินนอนดัส เป็นเรื่องประทับใจและตั้งใจสืบทอดเจตนารมณ์ในการ รวมรัฐกรีก ต่อไป
อาณาจักรมาเซโดเนีย ก่อนสมัยพระเจ้าฟิลิป ที่ ๒ (พ.ศ.๑๖๗ / ๓๕๖ ปีก่อนคริสตศักราช)
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1229356794/BEFORE_PHILIP_resize.gif)
เส้นสีดำ แสดง เขตชาติพันธุ์มาเซโดเนียนตามประวัติศาสตร์
สีแดง - อาณาเขตมาเซโดเนีย สมัยพระเจ้าฟิลิป ที่ ๒ (๓๕๖ ปีก่อนคริสตศักราช)
สีชมภู - มาเซโดเนียนอิสระ
สีฟ้า - รัฐกรีก และที่ชาวกรีกยึดครองมาเซโดเนีย
สีเขียวมะกอกอ่อน - รัฐอิลลิเรีย และที่ชาวอิลลิเรียนยึดครองมาเซโดเนีย
สีเทา - รัฐเทรซ และที่ชาวเทรเซียนยึดครอง มาเซโดเนีย
สีเทาอ่อน - รัฐเอปิรุส พันธมิตรของ มาเซโดเนีย
สีเหลือง - รัฐซีเธีย
กำหนดเป้าหมายชัดเจน
พระเจ้าฟิลิปใช้การผสมผสานด้านการฑูต การปฏิบัติการทางทหาร ตลอดถึงการติดสินบน เมื่อ ๓๕๒ ปี ก่อนคริสตศักราช ได้ปรับขยายความคิดดั้งเดิม กำหนดเป้าหมายชัดเจน - คือ การเป็นผู้นำรัฐกรีกทั้งหมด ซึ่งเป็นไปได้ นับแต่พระองค์ได้สร้างเสริมระบบการทหารและกองทัพมาเซโดเนีย ทำให้พระองค์ทรงเป็นแม่ทัพที่โดดเด่นที่สุด กองทัพที่เชี่ยวชาญ ฐานะทางการเงินที่มั่นคงจากเหมืองทองคำ
เพื่อให้เห็นว่าเพราะเหตุใดกองทัพมาเซโดเนียของพระเจ้าฟิลิปจึงมีประสิทธิภาพ จึงขออธิบายเสียหน่อยนะครับ
วิธีจัดระบบทางการทหารของมาเซโดเนีย แตกต่างจากวิธีการของกรีก คือ มีการเกณฑ์มาจากพลเมืองจัดตั้งเป็นกองทัพประจำ และจัดการฝึกหัด ให้ชำนาญการรบเสียตั้งแต่ในสมัยที่ยังไม่มีศึกสงคราม ครั้นเกิดศึกสงคราม เมืองที่มีไมตรี หรือเป็นพันธมิตรทางการทหารก็ส่งกองทหารมาช่วย หากคิดว่าไม่พอที่จะไปทำศึก ก็จะใช้วิธีจ้างเพิ่มเติมให้พอแก่การ
กองทัพพระเจ้าฟิลิปไม่เพียงแต่สะท้อนอัจฉริยะในด้านการจัดเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงโครงสร้างทางการเมืองอีกด้วย กองทัพมิได้มีแต่เพียงทหารราบ และทหารม้า แต่ยังมีพลธนู และหน่วยที่ใช้อาวุธขนาดเบาหลายแบบ จัดเป็นฟาลังซ์แบบใหม่ด้วยการผสมผสานทหารเดินเท้าที่มีความคล่องตัวสูงกับทหารม้า ซึ่งได้เรียนรู้การโจมตีเป็นกลุ่มก้อน และเนื่องจากระบบการเมืองของมาเซโดเนียแตกต่างจากนครรัฐกรีกตอนใต้ กองทัพพระเจ้าฟิลิปไม่ได้จัดทหารราบหนัก (ฮอพไลท์) เป็นกำลังหลัก แต่กลับเป็นทหารม้า โดยเฉพาะทหารม้าหนัก
กองทัพมาเซโดเนียที่จัดไว้ประจำนั้น มีหน่วยที่นับว่าดีที่สุด ได้แก่ กองทหารรักษาพระองค์ของพระเจ้าแผ่นดิน คือ
- มีทหารม้าสวมเกราะ จำนวน ๑๕ อิโลส (Hetairoi - กองร้อย กองร้อยละ ๑๘๐ - ๒๕๐ ม้า) ถือทวน และ ดาบ ใช้เกราะแบบทหารราบหนัก แต่ไม่มีโล่ ทหารม้าเหล่านี้จัดจากพวกตระกูลขุนนาง นับเป็นหน่วยที่ทีประสิทธิภาพ และทรงคุณค่าของพระเจ้าฟิลิป กับทหารราบหนัก (เปเซแตร์ - Pezetairoi) เช่นเดียวกับ ฮอพไลท์ - Hoplite ของกรีก แต่ใช้หอกขนาด ๗.๒๑ เมตร (Sarissa) พร้อมทั้งดาบ และดั้งขนาดยาว
- ทหารกีปาสปิสต์ (Hypaspists) เป็นทหารราบกลางเช่นเดียวกับเพลตาส์ตของกรีก แต่ใช้หอก ไม่ได้ใช้ธนู จัดจากพวกตระกูลขุนนางเหมือนกับทหารม้า เป็นทหารราบชั้นดี ในการรบ ต้องเคลิ่อนที่เพื่อดำรงความเชื่อมต่อระหว่างทหารม้า (ซึ่งเคลื่อนที่ได้เร็วกว่า) กับ ทหารราบหนัก หรือมีบทบาทระหว่างทหารราบหนัก กับทหารราบเพลตาสต์
นอกจากนี้ก็มีหน่วยอื่นๆ อีก ได้แก่
- ทหารราบเบา (Psiloi) ใช้หอกหรือดาบสั้น โล่ขนาดเล็กคล้ายๆ ทหารเพลตาสต์ ไม่ใช้รบแตกหัก บางหน่วยใช้อาวุธยิง (ธนู) ใช้ทหารที่เกณฑ์มาจากเมืองขึ้น หรือ คนส่วนใหญ่ในมาเซโดเนีย เองเป็นทหารจำพวกนี้
- ทหารม้าหนักจากเทสซาลี โดยปรกติจะจัดให้อยู่ทางปีกซ้าย
- ทหารม้ากลาง ใช้รบบนหลังม้า และลงรบบนดินก็ได้
- ทหารม้าเบา ใช้อาวุธยิง ไม่มีเกราะ
อย่างไรก็ตาม กองทัพมาเซโดเนียก็มีเครื่องมือสำหรับการตีเมืองไว้ด้วยอย่างพร้องมูล เช่น หอคอย เครื่องกระทุ้งประตูเมือง เครื่องยิง และเครื่องขว้างก้อนหิน (Ballista - Catapult)
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1229356794/Ballista_resize.png)
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1229356794/catapult_resize.jpg)
Ballista Catapult
ฟาลังซ์ของมาเซโดเนีย - นวัตกรรมทางการทหาร
ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า กองทัพพระเจ้าฟิลิปไม่เพียงแต่สะท้อนอัจฉริยะในด้านการจัดเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงโครงสร้างทางการเมืองอีกด้วย กองทัพมิได้มีแต่เพียงทหารราบ และทหารม้าแต่ยังมีพลธนู และหน่วยที่ใช้อาวุธขนาดเบาหลายแบบ จัดเป็นฟาลังซ์แบบใหม่ด้วยการผสมผสานทหารเดินเท้าที่มีความคล่องตัวสูงกับทหารม้า ซึ่งได้เรียนรู้การโจมตีเป็นกลุ่มก้อน และเนื่องจากระบบการเมืองของมาเซโดเนียแตกต่างจากนครรัฐกรีกตอนใต้ กองทัพพระเจ้าฟิลิปไม่ได้จัดทหารราบหนัก (ฮอปไลท์) เป็นกำลังหลัก แต่กลับเป็นทหารม้า โดยเฉพาะทหารม้าหนัก
ข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่างฟาลังซ์แบบใหม่ กับแบบเดิมของกรีก ได้แก่
- ความยาวของอาวุธ (หอก)
ทหารเปเซแตร์ใช้หอกยาว ๒๑ - ๒๒ ฟุต ทหารฮอปไลท์ ใช้หอกยาวเพียง ๗ - ๘ ฟุต จึงได้เปรียบกว่ากันมาก
- ระยะต่อ และ ระยะเคียงของทหาร
ทหารแต่ละคนห่างกันคนละประมาณ ๓ ฟุต ไม่ต้องยืนไหล่ชิดกันเช่นเดิม ทำให้สามารถเคลื่อนที่ (หัน)ไปทิศทางอื่นได้ภายในพื้นที่ของตน (ทุกคนต้องหันไปในทิศทางเดียวกันทั้งฟาลังซ์)
- ความคล่องตัวของรูปขบวน
เมื่อทหารในฟาลังซ์หันไปได้ทุกทิศทาง ทั้งยังสามารถ เปิดระยะ ให้แถวกว้างขึ้น และปิดระยะ ให้แถวแคบลง ได้คล่องแคล่ว ก็ทำให้ฟาลังซ์เปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ได้อย่างคล่องตัว
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1229356794/army1_resize.jpg)
ลองดูนะครับว่าที่ว่าฟาลังซ์ นั้น มีรี้พลสกลไกรสักเท่าใด
ทหารยืนเคียงกัน ๑๖ คน และซ้อนกัน ๑๖ แถว (๒๕๖ คน) เรียกว่า ซินตักมา (Zyntagma)
๒ ซินตักมา (๕๑๒ คน) เรียก โกซีอาร์ฮียา
๒ ตาโกซีอาร์ฮียา หรือ ๔ ซินตักมา (๑,๐๒๔ คน) เรียก ฮีลิยาร์ฮียา (กองพัน)
๓ ฮีลิยาร์ฮียา หรือ ๑๒ ซินตักมา (๓,๐๗๒ คน) เรียก ตักซิส (กรม) (Taxis)
หลายๆ ตักซิส อาจจะเป็น ๕,๖ หรือ ๘ ตักซิส จึงเรียกว่า ฟาลังซ์ (Phalanx)
ในชั้นต้นมาเซโดเนียมีทหาร ๖ ตักซิส ตามจำนวนเมืองในมาเซโดเนีย ทำให้เข้าใจว่า แต่ละเมืองต้องจัดทหาร ๑ ตักซิส (๓,๐๗๒ คน) มาเป็นทหารของมาเซโดเนีย
แต่สำหรับทหารราบกีปาสปิสต์ หรือทหารราบกลางนั้น จัดแถว ๑๖ คน เหมือนกัน แต่ซ้อนกันเพียง ๘ แถว เท่านั้น
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1229356794/28_resize(4).jpg)
การประกอบกำลัง และการใช้
มาเซโดเนียมีกองทัพประจำการอยู่ประมาณ ๓ หมื่น เป็นทหารราบ ประมาณ ๖ ส่วน ทหารม้า ๕ พัน ประมาณ ๑ ส่วน นับได้ว่าเป็นกองทัพที่เชี่ยวชาญและมีประสิทธิภาพมาก ทหารราบหนักเปแซแตร์ ทหารม้า และทหารราบกีปาสปิสต์ ใช้ชาวมาเซโดเนียน ทหารเพลตาสต์ ทหารราบเบา และ ทหารม้าเบา ใช้วิธีเกณฑ์มาจากเมืองขึ้น หรือ จ้าง ประชาชนในพื้นที่
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1229356794/27_resize(3).jpg)
ฆ้อน กับ ทั่ง
ในเวลาที่เข้ารบกับข้าศึก กองทัพมาเซโดเนียใช้วิธีเดินเป็นขั้นบรรได จากขวาไปซ้ายเข้าหาข้าศึก โดยปีกขวา ซึ่งมีทหารม้า และทหารราบกลางรักษาพระองค์ออกเดินก่อน ซึ่งพระราชาจะควบคุมและนำกำลังส่วนนี้ไปเอง แล้วฟาลังซ์ทหารราบหนัก จึงเดิน ปีกซ้ายเดินหลังสุด ทั้งกองทัพจึงเดินลดหลั่นกันลงมา เป็นขั้นบรรได
เมื่อถึงข้าศึกหน่วยที่เดินหน้าเข้าตีก่อน ทหารม้ามีหน้าที่เข้าประจันบานให้ข้าศึกแตกแถวให้ได้ เมื่อข้าศึกแตกแถวแล้ว ทหารราบกลางจึงเข้าขยายผลจากจุดนี้ จนข้าศึกแตกหนี ทหารม้าเบาจึงออกไล่ติดตามตีให้แตกกระจัดกระจาย ต่อไป หรือหน่วยทหารม้าอาจจะอ้อมไปโจมตีด้านหลัง (เหมือนฆ้อน)
ถ้าข้าศึกเพลี่ยงพล้ำ แต่ไม่ถึงกับถอยหนี ทหารราบหนักที่ตามมาก็เข้าตีหนุนเข้าไปอีก (เหมือนทั่ง)
หากปีกขวานี้พลาดท่าเสียทีทหารราบหนักก็เข้าต้านทานตั้งรับยันข้าศึกไว้ ส่วนทหารราบกลางรักษาพระองค์ (ปีกขวา ที่พลาดท่าเสียทีมา) ก็จะรีบถอยลงไปรวบรวมกำลังกันใหม่ ด้านหลังทหารราบหนัก (ฟาลังซ์)ที่กำลังปะทะอยู่
การจัดรูปขบวนเข้าปะทะแบบขั้นบรรไดนี้ กองทัพมาเซโดเนีย น่าจะได้มาจากวิธีการเข้าปะทะของเอปปามินนาดัส แม่ทัพธีบส์ แล้วพัฒนาขึ้นให้เหมาะกับกำลังทหารของตนซึ่งมีจำนวนมากกว่า
เจ้าชายอเล็กซานเดอร์
ทรงเป็นโอรสพระเจ้าฟิลลิปที่ ๒ แห่งมาเซโดเนีย และเจ้าหญิงโอลิมเปียส แห่งเอปิรุส ประสูติ เมื่อ ๒๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๑๖๗ (๓๕๖ ปีก่อนคริสตศักราช) ที่เพลลา - Pella เมืองหลวงของ รัฐมาเซโดเนีย เมื่อปฐมวัย ทรงอยู่ในความดูแลของพี่เลี้ยงสตรี ลานิซ (Lanice) และพระมารดาสอนในเรื่องเวทย์มนต์
เมื่อเจริญวัยขึ้น ได้ศึกษากับลีโอนีดัส (Leonidas) (คนละคนกับ ลีโอนีดัส ผู้นำสปาร์ตา นำกำลังทหารสปาร์ตา ๓๐๐ คน ขึ้นไปยึดช่องเขาเทอร์โมพิเล Thermopylae เพื่อสู้รบกับทหารเปอร์เซีย และต้องเสียชีวิตทั้งหมด เมื่อ ๔๘๐ ปีก่อนคริสตศักราช) ซึ่งเป็นครูที่เก่งกาจและเง้มงวดเรื่องวินัยอย่างยิ่ง เช่น กำหนดให้ใช้กฏเกณฑ์ของสปาร์ตาในชีวิตประจำวัน
อย่างไรก็ตาม ทรงเฝ้ามองพระบิดาบำรุงกองทัพและการทหารของมาเซโดเนียจนเป็นมหาอำนาจทางการทหาร ทำศึกได้ชัยชนะครั้งแล้วครั้งเล่า
พระเจ้าฟิลิปทรงใช้กองทัพของพระองค์เป็นเครื่องมือในการขยายอำนาจไปสู่เป้าหมาย ในปี ๓๔๘ ก่อนคริสตศักราช อาณาจักรของพระองค์ก็แผ่ขยายออกไปแทบจะกล่าวได้ว่า ทุกทิศทาง สามารถสร้างมาเซโดเนียให้เป็นปึกแผ่น ปลอดอิทธิพลของรัฐกรีกต่างๆ
อาณาจักรมาเซโดเนีย สมัยพระเจ้าฟิลิป ที่ ๒ (พ.ศ.๑๙๕ / ๓๔๘ ปีก่อนคริสตศักราช)
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1229356794/MID_PHILIP_resize.gif)
เส้นสีดำ แสดง เขตชาติพันธุ์มาเซโดเนียนตามประวัติศาสตร์
สีแดง - อาณาเขตมาเซโดเนีย และดินแดนที่พิชิตได้ในสมัยพระเจ้าฟิลิป ที่ ๒ (๓๔๘ ปีก่อนคริสตศักราช)
สีฟ้า - รัฐกรีก
สีเขียวมะกอกอ่อน - รัฐอิลลิเรีย
สีเทา - รัฐเทรซ
สีเทาอ่อน - รัฐเอปิรุส พันธมิตรของ มาเซโดเนีย
สีเหลือง - รัฐซีเธีย
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1229356794/plutarch.jpg)
พลูตาร์ค (Plutarch - Lucius Mestrius Plutarchus) นักประวัติศาสตร์ชาวโรมัน ซึ่งมีชีวิตอยู่ในคริสตศักราช ๔๖ - ๑๒๐ เล่าว่า
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1229356794/alexander-the-great-1_resize.jpg)
เมื่อ ๓๔๔ ปีก่อนคริสตศักราช ฟีโลนิคัส (Philonicus) พ่อค้าม้าชาวเทสซาเลียนได้นำม้าตัวหนึ่งสีดำสนิท หว่างคิ้วมีดวงสีขาว ตาสีน้ำเงิน ว่าเป็นม้าสายพันธุ์ดีที่สุดของเทสซาลีมาเสนอขายพระเจ้าฟิลิปในราคา ๑๓ ทาเลนท์ แต่ไม่ใครสามารถขึ้นขี่ได้
เจ้าชายอเล็กซานเดอร์ ขณะนั้นพระชนม์ เพียง ๑๐ พรรษาได้ขอทดลองขี่ โดยมีข้อตกลงว่า หากไม่สามารถทรงขี่ได้แล้วจะต้องทรงจ่ายเงิน ๑๓ ทาเลนท์เอง เจ้าชายฯพูดกับม้าอย่างอ่อนโยน และจูงให้หันหน้าไปทางดวงอาทิตย์ ด้วยเหตุนี้ ม้าจึงไม่เห็นเงาตัวเอง และเจ้าชายฯ ก็สามารถทำได้สำเร็จ
พลูตาร์คเล่าต่อไปว่า เหตุการณ์นี้เป็นที่ชื่นชมแก่พระบิดายิ่งนัก ถึงกับทรงปรารภว่า อาณาจักรมาเซโดเนียนี้เล็กเกินไปสำหรับพระโอรสเสียแล้ว
เจ้าชายอเล็กซานเดอร์กับม้าบูเซฟาลัส >
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1229356794/Bucephalus(2).jpg)
< รูปหล่อทองแดง เจ้าชายอเล็กซานเดอร์กับม้าบูเซฟาลัส ในพิพิธภัณฑ์กรุงเอเธนส์
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1229356794/Aristotle_sm(1).jpg)
เมื่อพระชนม์ได้ ๑๓ ปี พระบิดาทรงให้อริสโตเติล Aristotle ปรัชญาเมธีกรีกมาเป็นพระอาจารย์ อเล็กซานเดอร์ทรงรับการศึกษา ในวรรณคดี วาทศิลป์ และทรงสนใจในวิชาวิทยาศาสตร์ เวชศาสตร์ และปรัชญา ทรงท่องจำมหากาพย์อีเลียด และชื่นชมมหากวีโฮเมอร์ ซึ่งทั้งหมดได้กลายเป็นความสำคัญแห่งพระชนม์ชีพของพระองค์ต่อมา
ส่วนวิชาทหารได้ศึกษาจากเซโนโฟน Arrian Plavius Xenophon ผู้นำทัพกรีก
< Aristotle Xenophon >
ฉะนั้น จึงนับได้ว่าอเล็กซานเดอร์ได้รับการอบรมเป็นอย่างดีในทุกด้าน ทั้งยังได้แสดงความสามารถทั้งในการรบ และในทางยุทธศาสตร์ตลอดสมัยของพระองค์
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1229356794/alexander-the-great-2.jpg)
เจ้าชายอเล็กซานเดอร์กับพระอาจารย์อริสโตเติล
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1229356794/alex_polis.png)
อเล็กซานโดรโปลิส Alexandropolis
ความสามารถเป็นที่ประจักษ์
ในปี พ.ศ.๒๐๓ (๓๔๐ ปีก่อนคริสตศักราช) เมื่อพระเจ้าฟิลิปทรงกรีธาทัพมาเซโดเนียเข้าสู่รัฐเทรซ (Thrace) ทางตะวันออกของมาเซโดเนียได้ให้อเล็กซานเดอร์พระโอรส ซึ่งมีพระชนม์เพียง ๑๖ เป็นผู้สำเร็จราชการ อยู่ที่มาเซโดเนีย เมื่อพระเจ้าฟิลลิป ทรงนำทัพลึกเข้าไปในแคว้นเทรซ ถูกพวกแมดิต่อต้านอย่างรุนแรง จนถึงขั้นอาจเป็นอันตราย
อเล็กซานเดอร์ทรงรวบรวมกำลังจัดทัพขึ้นอีก นำเข้าไปปราบพวกแมดิจนได้ชัยชนะอย่างรวดเร็ว สามารถยึดป้อมปราการของฝ่ายแมดิ และตั้งชื่อใหม่ว่า อเล็กซานโดรโปลิส Alexandropolis
นับเป็นครั้งแรกที่เจ้าชายฯ ได้แสดงความสามารถในการรบให้เป็นที่ประจักษ์
วิหารเทพพยากรณ์ออราเคิลอันศักดิ์สิทธิ์ที่เมืองเดลฟีชักนำลมเหนือจากมาเซโดเนีย
หลังจากรวบรวมอาณาจักรได้ไม่นาน พระเจ้าฟิลิปทรงหาช่องทางที่จะขยายอำนาจลงสู่รัฐกรีกทางใต้ และแล้วสถานการณ์ก็เอื้ออำนวย เมื่อเกิดสงครามย่อยๆ เนื่องจากรัฐโพเชียน (Phocian) เข้ายึดวิหารเทพพยากรณ์ออราเคิลอันศักดิ์สิทธิ์ที่เมืองเดลฟี (Oracle of Delphi) ในรัฐโบเธีย(Boeotia) ท่ามกลางเรื่องยุ่งยากนี้รัฐกรีกต่างๆ เรียกร้องให้พระเจ้าฟิลิปทรงช่วยเหลือ ซึ่งทรงตอบสนองอย่างฉับพลันทันทีในบทบาทผู้ปลดปล่อย และพิทักษ์วิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งเดลฟี
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1229356794/delphitempleapollo.jpg)
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1229356794/delphimarmaria.jpg)
ทรากวิหารเทพอพอลโล ทรากวิหารมาร์มาเรีย
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1229356794/Isocrates.jpg)
เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความเห็นต่างๆ ในกรีก เช่น
< เดมอสเธเนส (Demosthenes)
ผู้นำทางการเมืองมองว่าเป็นการขยายตัวของทรราช และรวมกำลังต่อต้านมาเซโดเนีย แต่
โสกราตีส (Isocrates) >
ก็มีความเห็นที่แตกต่าง มองว่า พระเจ้าฟิลิปจะทรงเป็นผู้รวบรวมรัฐกรีก และกล้ากล่าวสนับสนุนในเอเธนส์
แคโรเนีย ๓๓๘ ปี ก่อนคริสตศักราช
อย่างไรก็ตาม เอเธนส์ ก็ได้ธีบส์เป็นพันธมิตรเตรียมต่อสู้อย่างแข็งแรงที่แคโรเนีย (Chaeronea) ห่างจากเดลฟีไปทางทิศตะวันออก ประมาณ ๓๐ กิโลเมตร
ศึกนี้ พระเจ้าฟิลิปได้ให้เจ้าชายอเล็กซานเดอร์พระโอรสเป็นผู้บังคับหน่วยไปในกองทัพด้วย
ฝ่ายพันธมิตรกรีกประกอบด้วย เอเธนส์ และธีบส์ จัดกองทัพโดยใช้ทหารราบฮอพไลท์เป็นหลัก กองทัพเอเธนส์อยู่ทางซ้าย กองทัพธีบส์อยู่ทางขวา และทราบดีว่าฝ่ายมาเซโดเนียจะใช้ทหารม้าโจมตีทางด้านปีก จึงพยายามใช้ภูมิประเทศช่วยป้องกันปีก กองทัพเอเธนส์ใช้พื้นที่สูงและเมืองแคโรเนียป้องกัน กองทัพธีบส์ใช้ลำน้ำเป็นเครื่องป้องกัน และมีความหวังว่าจะสามารถต้านทานขับไล่เอาชนะกองทัพมาเซโดเนียได้
สำหรับยุทธวิธีฆ้อน และ ทั่งของมาเซโดเนีย นั้น อยู่ที่ว่าทหารม้าต้องโจมตีอย่างรวดเร็ว และทหารราบต้องไม่พ่ายแพ้เสียก่อนที่ทหารม้าจะสำเร็จภารกิจ แต่ทหารม้าไม่สามารถบรรลุภารกิจได้ นอกจากจะพบทางเข้าตีทางปีกหรือด้านหลังของข้าศึก
ดังนั้น ฝ่ายมาเซโดเนียต้องสร้างทางเข้าตีทางปีกหรือด้านหลังแนวข้าศึกให้ได้
พระเจ้าฟิลิปทรงบัญชาการฟาลังซ์ทางด้านขวาด้วยพระองค์เอง ส่วนเจ้าชายอเล็กซานเดอร์บัญชาการกองทัพมาเซโดเนียทางด้านซ้าย และทหารม้าของเทสซาลี
เมื่อเริ่มรบปะทะ พระเจ้าฟิลิปทรงให้ฟาลังซ์มาเซโดเนียซึ่งมีวินัยสูงและฝึกมาอย่างดีถอยอย่างเป็นระเบียบซึ่งเป็นการดำเนินกลยุทธที่ยากที่สุด (เพราะหากทหารฝึกมาไม่ดีจริงแล้วอาจจะเสียรูปแถวและแพ้เอาจริงๆ ได้) ฟาลังซ์ และทหารม้ามาเซโดเนีย ถอยเฉียงๆ ขึ้นลาดเชิงเขา ล่อให้ ฝ่ายเอเธนส์ติดตามเพื่อหวังพิชิตให้ได้ จนต้องขึ้นลาดเนินไปด้วย ขณะที่กองทัพธีบส์ยังอยู่ที่เดิม
จึงทำให้เกิดช่องว่างระหว่างกองทัพเอเธนส์ กับ กองทัพธีบส์
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1229356794/32_resize(2).jpg)
เจ้าชายอเล็กซานเดอร์ทรงนำทหารม้าแทรกเข้าไปในช่องว่างนั้น
พระเจ้าฟิลิปทรงบัญชาการฟาลังซ์ให้หยุดถอย และกลับเป็นฝ่ายรุก
หลังจากนั้นไม่นาน การรบก็ยุติ
ทั้งสองฝ่ายมีทหารเข้าสนามรบฝ่ายละประมาณ ๓๐,๐๐๐ แต่กองทัพมาเซโดเนียเหนือกว่าที่ฟาลังซ์คล่องตัวกว่าของพันธมิตรกรีก และที่สำคัญฝ่ายมาเซโดเนียสามารถสร้างจุดอ่อน คือช่องว่างในแนวรบกรีกได้ กองทัพเอเธนส์สูญเสียทหารไป ๖ พัน กองทัพธีบส์ เหลือรอดอยู่เพียงเล็กน้อย
เจ้าชายอเล็กซานเดอร์ได้แสดงความกล้าหาญให้เป็นที่ประจักษ์ จนทหารมาเซโดเนียสามารถทำลาย Theban Secret Band ซึ่งเป็นกำลังที่ดีที่สุดของกรีกได้ นักประวัติศาสตร์โบราณบางท่านบันทึกไว้ว่า
การที่กองทัพมาเซโดเนียชนะในการรบนี้ต้องขอบคุณในความกล้าหาญของเจ้าชายอเล็กซานเดอร์
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1229356794/League_Corinth_resize(1).png)
สันนิบาตคอรินท์ The League of Corinth
เมื่อได้ชัยชนะอย่างเด็ดขาดจากการรบที่แคโรเนียแล้ว พระเจ้าฟิลิปทรงตกลงกับรัฐกรีกในคาบสมุทรคอรินท์จัดตั้งสันนิบาตคอรินท์ (The League of Corinth) หรือ สันนิบาต แพน - เฮเลนิค (Pan - Hellenic league) ขึ้น เมื่อ ๓๓๗ ปีก่อนคริสตศักราช ซึ่งรัฐบนแผ่นดิน และที่เป็นเกาะเข้าร่วมด้วย ยกเว้นรัฐสปาร์ตา ซึ่งไม่ยอมเข้าร่วมสันนิบาต
สันนิบาตคอรินท์ หรือ สันนิบาต แพน - เฮเลนิค (สีเหลือง) >
และเมื่อสิ้นรัชกาล ในปี ๓๓๘ ก่อนคริสตศักราช ก็ทรงครอบครองรัฐกรีกได้ทั้งหมด (เว้นสปาร์ตา)
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1229356794/philip_ivory_s.jpg)
อาณาจักรมาเซโดเนีย เมื่อสิ้นสมัยพระเจ้าฟิลิป ที่ ๒ (พ.ศ.๒๐๕ / ๓๓๘ ปีก่อนคริสตศักราช)
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1229356794/AFTER_PHILIP_resize(1).gif)
เส้นสีดำ แสดง เขตชาติพันธุ์มาเซโดเนียนตามประวัติศาสตร์
สีแดง - อาณาเขตมาเซโดเนีย และดินแดนที่พิชิตได้ในสมัยพระเจ้าฟิลิป ที่ ๒ (๓๔๘ ปีก่อนคริสตศักราช)
สีเทาอ่อน - รัฐเอปิรุส พันธมิตรของ มาเซโดเนีย
สีฟ้า - รัฐกรีก ที่ยังพิชิตไม่ได้
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1229356794/Philip_II_of_Macedon_Statue_Thessaloniki_resi.jpg)
อนุสาวรีย์ พระเจ้าฟิลิป ที่ ๒ แห่งมาเซโดเนีย นครเทสซาโลนิกา กรีซ
ครับ . . . ก็เมื่อดอกไม้ฤดูร้อนร่วงโรย ครั้นลมเหนือพัดมาก็ร่วงหล่นไปตามกระแสลมนั้น
และลมเหนือนั้นยังคงมีแรงที่จะพัดต่อไป . . . สู่ตะวันออก
* * * * * * * * * * * * * * *
บรรณานุกรม :
- พงษาวดารยุทธศิลปะ นายพลเอก สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ พิมพ์ครั้งที่ ๑ ในพระพุทธศักราช ๒๔๕๙
- เอกสารอัดสำเนาวิชาประวัติศาสตร์การสงคราม กองวิชาสรรพาวุธและประวัติศาสตร์การสงคราม โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า พ.ศ.๒๕๐๔
- ANCIENT AND MEDIEVAL WARFARE USMA DEPARTMENT OF HISTORY 1973
- ส่วนข้อมูล และรูปภาพ ส่วนหนึ่งได้นำมาจาก เว็ปไซต์ ต่างๆ ทำให้เรื่องสมบูรณ์และน่าอ่านยิ่งขึ้น จึงขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ แลหากท่านที่มีข้อมูลที่แตกต่าง หรือมีข้อคิดเห็น คำแนะนำ ขอโปรดแจ้งให้ทราบเพื่อจะได้ตรวจสอบ และดำเนินการ เพื่อประโยชน์แก่ผู้สนใจโดยทั่วไป