Post By Leo53
ที่จริงผมอยากจะเขียนถึงภาพยนตร์เรื่องนี้มานานแล้ว เพราะเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ประทับใจ แต่เมื่อคุยกับคุณโรจน์ตอนนั้นได้ทราบว่าพอจะเขียนได้ถึงแม้จะเป็นละครที่มีผู้แต่งขึ้นก็ตาม แต่ก็ควรมีเนื้อหาและสภาพเหตุการณ์ในท้องเรื่องอ้างอิงถึงประวัติศาสตร์ในยุคนั้น อะไรทำนองนี้ ผมจึงคิดว่ายังมีภาพยนตร์เรื่องอื่นๆที่น่าเขียนถึงอีกหลายเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องแต่งแต่เป็นภาพยนตร์ที่อ้างถีงตัวละครและเรื่องราวจริงๆในประวัติศาสตร์ ก็เลยพักไว้ก่อน แล้วก็เผอิญจับเอาเรื่องคลีโอพัตรามาเขียนแล้วก็เลยต่อเนื่องมาจนขณะนี้ซึ่งตอนที่สองทีเป็นเวอร์ชั่นสุดฮิตปี 1963 ก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์สักที่ โอกาสที่ผมจะได้เขียนบทความถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คงต้องอีกนานมาก จึงนำบางประเด็นมากล่าวถึงก่อนใน blog นี้
มาเมื่อเร็วๆนี้เมื่อคุณโรจน์เขียนบทความถึงภาพยนตร์เรื่อง Kawashima Yoshiko (ผู้หญิงพันธ์มหาอำนาจ) พอผมอ่านจบพบว่าเรื่องราวของ Yoshiko นั้นใกล้เคียงกับเนื้อเรื่องบางส่วนในเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ที่กล่าวถึงผู้หญิงจีนที่เก่งกล้าสามารถเฉลียวฉลาดมากๆ (ทั้งบุ๋นและบู๊) ซึ่งรับใช้ญี่ปุ่นในการเข้ามายึดครองข่มเหงรังแกประเทศจีน ซึ่งมีหลายฉากหลายตอนที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนี้และน่าประทับใจมากโดยเฉพาะในมุมมองที่ชี้ให้เห็นถึงการต่อสู้กันภายในจิตใจของพระเอก ระหว่างความสุขสบาย เงินทอง ลาภยศ อำนาจวาสนา สารพัดความสุขทีเขาไฝ่ฝันถึงและได้มาครอบครองแล้วด้วย พร้อมกับอนาคตที่แสนจะรุ่งโรจน์กับผู้หญิงในความฝันของเขา กับความรักที่มี่ต่อชาติบ้านเมือง ความรักที่มีต่อพี่น้องร่วมชาติที่กำลังเผชิญชะตากรรม ชนิดที่ว่าในแผ่นดินจีนเองแท้ๆ แต่กลับมีป้ายประกาศตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆต่างๆมากมายว่า "หมาและคนจีนห้ามเข้า" !!!!! ซึ่งในที่สุดพระเอกก็ยอมเสี่ยงเพื่อช่วยเหลือพี่น้องร่วมชาติที่โดนต่างชาติข่มเหงรังแก ผลจากความเสี่ยงนั้นพระเอกก็ได้สูญเสียจริงๆอย่างที่เขากลัวตั้งแต่แรก
ผมเชื่อว่าการที่ประเทศจีนสามารถฝ่าสารพัดอุปสรรคมาได้และก้าวขึ้นมาเป็นประเทศชั้นนำของโลกในปัจจุบันนั้น เพราะประชาชนจำนวนไม่น้อยส่วนหนึ่งมีจิตใจที่งดงามเช่นเดียวกับ "สี่เหวินเฉียน" พระเอกในภาพยนตร์เรื่องนี้ ตัวอย่างเนื้อหาที่ประทับใจเช่น เซี่ยงไฮ้ยุคนั้นเป็นเมืองบาปโดยแท้ มีธุรกิจทุกชนิดมากมายทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฏหมาย มีแก้งค์อาชญากรรมมาเฟียทั้งมาเฟียท้องถิ่นและมาเฟียข้ามชาติจำนวนมาก มีการฆ่ากันตายบนท้องถนนทุกวันนับ พูดง่ายๆก็คือมีคนจีนถูกฆ่าตายจำนวนมากทุกวันในเซี่ยงไฮ้ อย่างไรก็ตามในขณะที่พระเอกได้รัมมอบหมายให้ประสานงานกับสายลับญี่ปุ่นเพื่อหวังผลทางการค้าระหว่างกันอยู่นั้น มีชาวจีนผู้รักชาติพยายามบุกเข้ามาฆ่าสายลับญี่ปุ่น แต่ล้มเหลว สายลับญี่ปุ่นจึงยกปืนจ่อยิงชาวจีนคนนั้น พระเอกก็ถึงกับฟิวส์ขาดและลงมือปกป้องคนจีนคนนั้น รัฐบาลญี่ปุ่นยื่นคำขาดให้มาเฟียฝ่ายพระเอกจัดการกับพระเอกเสียหรือไม่ก็ต้องทำงานชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งให้สำเร็จ มาเฟียใหญ่ถามพระเอกว่าทำไม่ถึงได้ทำอะไรโง่ๆอย่างนั้น คำตอบของพระเอกคือ "ผมทนไม่ได้ที่จะเห็นคนจีนถูกญี่ปุ่นฆ่าต่อหน้าต่อตา" อีกประโยคหนึ่งในระหว่างที่พระเอกหารือกับ Yoshiko (ผมจำชื่อเธอไม่ได้ขออนุญาตใช้ชื่อนี้เรียกครับ) ในเรื่องธุรกิจการค้านั้น เขาบอกเธอว่า "คุณคงจะรู้ว่ามีแต่คนเลวเท่านั้นที่จะอยู่ได้ในเซี่ยงไฮ้ ผมอยู่มาได้...ปีแล้ว นับว่านานทีเดียวย่อมแสดงว่าผมก็เป็นคนเลวมากคนหนึ่ง แต่ถึงผมจะเป็นคนเลวยังไงก็ตาม ผมก็ยังมีสิทธิทีจะเลือกเป็นคนจีน"
ก่อนจบขอเล่าถึงวีรบุรุษคนหนึ่งของจีนในประวัติศาสตร์ ซึ่งถ้าไม่มีคนคนนี้เมาเซตุงอาจไม่มีวันได้ชัยชนะในสงครามปฏิวัติประชาชนเลย และถ้าไม่มีคนๆนี้ป่านนี้นายเติ้งเสี่ยวผิงที่เป็นผู้นำคนสำคัญยิ่งที่ช่วยสร้างจีนยุคใหม่ให้เจริญรุ่งเรืองอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้ก็จะไม่มีโอกาสได้ทำประโยชน์ให้ชาติบ้านเมืองได้เช่นกัน และจีนอาจต้องล่มสลายไปแล้วเหมือนกับสหภาพโซเวียต เพราะในปลายยุคของเมาเซตุงนั้นพวกซ้ายตกขอบที่เรี่ยกกันว่าแก้งค์สี่คน ก่อสงครามปฏิวัติวัฒนธรรมขึ้นโดยเมาเซตุงให้ความเห็นชอบ นายเติ้งเสี่ยวผิงถูกจับขังคุกหลายครั้งและเกือบถูกยิงทิ้งไปแล้ว ที่รอดมาได้ก็เพราะคนๆนี้ซี่งเป็นคนเดียวที่เมาเซตุงฟัง เขาคือจอมพลจูเต้
ทำไมเมาเซตุงจึงต้องฟังจอมพลจูเต้ ลองมาฟังเรื่องราวการพบกันครั้งแรกของทั้งสองคนนี้ดู ในขณะนั้นอย่างที่ทราบประเทศจีนกำลังถูกยึดครองแบ่งแยกออกเป็นเขตเช่าเขตยึดครองของบรรดาประเทศนักล่าอาณานิคมทั้งหลายรวมทั้งญี่ปุ่นด้วย ประเทศไร้เอกภาพแบ่งแยกออกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อย มีนายทุนขุนศึกตั้งตัวเองเป็นใหญ่ตามหัวเมืองน้อยใหญ่ต่างๆทั่วประเทศ นายพลจูเต้ก็เป็นขุนศึกคนหนึ่งที่มีกำลังทหารอยู่ในมือและตั้งตัวเองเป็นผู้ปกครองหัวเมืองแห่งหนึ่งอยู่ ขณะนั้นเมาเซตุงยังเป็นคนหนุ่มที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักชาติและอุดมการณ์ที่จะกอบกู้ชาติบ้านเมือง แต่เขาไม่มีกำลังที่จะทำการใดได้ เมาเซตุงบุกเข้าไปหานายพลจูเต้ถึงในห้องนอน ซึ่งขณะนั้นนายพลจูเต้กำลังดูดยาฝิ่นและกอดผู้หญิงสองคนอยู่ เมาเซตุงชี้หน้าจูเต้บอกว่า "น่าเสียดายที่ท่านเป็นคนจีน เป็นชายชาติทหาร มีกองทัพอยู่ในมือ แต่กลับมานอนหลบหาความสุขอย่างเห็นแก่ตัว ในขณะที่ชาติบ้านเมืองกำลังล่มสลาย ถูกต่างชาติยึดครอง ปล้นสดมภ์ กดขี่ข่มเหง คนจีนทั้งแผ่นดินกำลังจะอดตาย ต่างชาติเอายาฝิ่นมาให้คนจีนสูบ เด็กๆของเราไม่ได้เรียนหนังสือ ผู้ชายของเราถูกใช้แรงงานเยี่ยงทาส ผู้หญิงของเราต้องตกเป็นทาสบำเรอกาม ท่านครับ ท่านมาร่วมมือกับผมดีกว่า มาร่วมกันกู้ชาติบ้านเมืองของเรา ขับไล่ต่างชาติให้พ้นไปจากแผ่นดินจีน" นายพลจูเต้ใช้เวลาคิดชั่วขณะหนึ่งว่าจะยิงมันทิ้งดีหรือจะทำยังไง แล้ว เขาก็ลุกขึ้นเดินไปจับแขนเมาเซตุงแล้วบอกว่า "น้องพี่ นับแต่นี้ไปเราจะร่วมต่อสู้กอบกู้ชาติบ้านเมืองของเราด้วยกัน จนกว่าชีวิตจะหาไม่" นับจากนั้นเป็นต้นมาจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต จอมพลจูเต้ไม่เคยแตะยาฝิ่นอีกเลย