Post By Leo53
ผมเขียนไว้ในบทความแนะนำตัวเองว่าได้แรงบันดาลใจในการเริ่มเขียนบทความวิจารณ์ภาพยนตร์ในเว็บนี้จากภาพยนตร์เรื่อง "เจงกิสข่าน" ที่มี "โอมา ชารีพ" แสดงนำเป็น "เจงกิสข่าน" ในบทความนี้จึงอยากเขียนถึง "ความประทับใจ" ดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง
ตอนนั้นประมาณปี พ.ศ. 2522 ผมเป็นผู้แทนของการประปานครหลวงไปร่วมทำงานวิจัยกับสถาบันเอไอที เหตุการณ์ประทับใจที่เกี่ยวเนื่องเรื่องแรกก็คือ ประเทศญี่ปุ่นได้นำ ศิลปะการแสดงพื้นบ้านของเขามาแสดงที่หอประชุมใหญ่ ปรากฎว่ามีผู้สนใจมาชมเป็นจำนวนมากจนล้นห้องประชุมออกมา การแสดงดังกล่าวคล้ายๆลิเกหรือโขนของเรา ซึ่งดูตื่นตาน่าสนใจ แต่ปัญหาคือคนชาติอื่นๆไม่สามารถเข้าใจเนื้อหาได้ (แต่ก็นั่งกันอยู่ได้เป็นชั่วโมง) ผมเข้าใจว่าเหตุผลสำคัญที่ทำให้มีคนสนใจมากนั้นเป็นเพราะความยิ่งใหญ่ของ "ประเทศญี่ปุ่น" (อย่างที่ภาษาชาวบ้านพูดกันว่า คนรวยทำอะไรก็ดูน่ารักไปหมด) ที่แม้เป็นชาติในเอเซีย (ผิวเหลือง) ที่มีพื้นที่ประกอบไปด้วยเกาะเล็กๆเพียงไม่กี่เกาะ แต่สามารถมีความแข่งแกร่งทางเศรษฐกิจเป็นอันดับสองของโลกได้! (ปัจจุบันก็ยังคงความเป็นอันดับสองอยู่ แต่น่าจะอยู่ในสภาวะคงตัว ในขณะที่จีนและอินเดีย ซึ่งมีศักยภาพพื้นฐานสูงกว่ามากกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และคาดกันว่าจะแซงหน้าญี่ปุ่นในอนาคตอันใกล้นี่ ทำให้ภาพพจน์บารมีของญี่ปุ่นในปัจจุบันลดน้อยถอยลงไปเป็นอันมาก)
ตรงกันข้ามสถาบันเอไอทีนั้น เป็นสถาบันนานาชาติที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นด้วยความร่วมมือมือและเงินบริจาค จากบรรดาชาติต่างๆที่มั่งคั่งร่ำรวยในโลก เพื่อให้บรรดาประเทศที่ยากจนล้าหลังทั้งหลายได้ส่งนักศึกษาของตนมาศึกษาต่อในระดับปริญญาโทและเอกทางด้านวิศวกรรม เพื่อนำความรู้กลับไปพัฒนาบ้านเมืองของตน นักศึกษาสวนใหญ่เกือบทั้งหมดจึงมาจากประเทศที่ยากจนล้าหลังทั้งหลายในเอเซียเช่นบังคลาเทศ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ลาว ศรีลังกา เนปาล รวมถึงไทยเราด้วย ฯลฯ
สมัยโน้นที่ตั้งของสถาบันเอไอทีนับว่าอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองพอสมควร การเดินทางออกไปนอกสถาบันไม่สะดวกนักถ้าไม่มีรถยนตร์ส่วนตัว คนส่วนใหญ่ส่วนหนึ่งจึงนิยมไปชมภาพยนตร์ที่หอประชุมซึ่งจะจัดฉายให้ชมพรี รอบหนึ่งทุ่มทุกคืนวันเสาร์และอาทิตย์ และผมก็เป็นคนหนึ่งที่ไปใช้บริการเกือบจะทุกรอบอยู่ประมาณหนึ่งปีกว่าที่ทำงานและพักอาศัยอยู่ที่นั่น และผมก็ได้พบกับความประทับใจจากภาพยนตร์เรื่องเจงกิสข่านดังกล่าว ซึ่งทั้งเนื้อหาและบรรยากาศในโรงภาพยนตร์ยังคงอยู่ในความทรงจำของผมมาจนทุกวันนี้ไม่เคยลืมเลือนเลย ตอนที่ภาพยนตร์กำลังจบลงนั้นผมกำลังรู้สึกซาบซื้งประทับใจยิ่ง และเตรียมปรบมือให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้โดยไม่สนใจว่าจะขายหน้าใครหรือไม่ (เพราะเท่าที่ผมใช้บริการโรงภาพยนตร์นี้มาเกือบหนึ่งปี ยังไม่เคยพบการปรบมือให้เกี่ยรติภาพยนตร์ในตอนจบเลย) แต่ปรากฏว่าทันที่ที่ภาพยนตร์จบลง เมื่อตอนที่ผมปรบมือก็มีคนปรบมือพร้อมผมโดยไม่ได้นัดหมาย พร้อมกันทั้งโรงภาพยนตร์ ปรบมือนานมากๆผมคาดว่าอย่างน้อยต้องไม่ตำกว่า 5 นาที ถึง 10 นาที ตั้งแต่ผมเกิดมาจนถึงปัจจุบันยังไม่เคยพบปรากฏการณ์เช่นนี้ในโรงภาพยนตร์อีกเลย เป็นการแสดงควาบซาบซึ้ง ชื่นชม ประทับใจ และความขอบคุณ ที่บรรดานักศึกษาจากประเทศที่ยากจน ล้าหลังทั้งหลาย มอบให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่ได้สร้างแรงบันดาลใจ และจุดประกายความหวังให้พวกเขาว่าประเทศที่ยากจนล้าหลังของพวกเขา ก็มีวันที่จะลืมต้าอ้าปากได้เช่นเดียวกัน โดยมีเจงกิสข่านได้เคยทำเป็นตัวอย่างให้พวกเขาได้เห็นในโลกแห่งความเป็นจริงนี้แล้ว
ผมเขียนมายืดยาวพอสมควร อยากจะเล่าเนื้อเรื่องและประเด็นของหนังที่ผมคิดว่าทำไมจึงสามารถสร้างความประทับใจและความนิยมชมชอบให้กับผู้ชมได้มากเพียงนั้น แต่เกรงว่าจะทำให้บทความนี้ยาวเกินไป จึงขอจบตอนนี้ไว้ก่อน แล้วค่อยมาเขียนต่อในบทความหน้า อย่างไรก็ตามก่อนจบคงต้องเล่าถึงความคิดเห็นของผู้ชมในโลกตะวันตกซึ่งเป็นประชาชนในชาติที่มี่งคั่งร่ำรวยที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ ว่าในขณะที่คนในชาติที่ยากจนล้าหลังเห็นความสำคัญและให้เกียรติภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอันมากนั้น คนในชาติที่ร่ำรวยมองอย่างไร ผมเคยเข้าไปเสริชหาภาพยนตร์เรื่องนี้ในอินเทอเน็ท และได้พบบทวิจารณ์และการให้เรทติ้งของเว็บไซท์ที่มีชื่อเสียงในอเมริกาแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าไม่มีคำวิจารณ์ใดๆที่แสดงให้เห็นความชื่นชมในทำนองเดียวกันกับที่คนในชาติยากจนรู้สึกเลย ส่วนใหญ่เป็นคำวิจารณ์ในทางลบเพราะไม่ชอบเจงกิสข่าน ที่เป็นคนเอเซีย ผิวเหลือง แต่บังอาจบุกเข้าไปยึดครองแผ่นดินของพวกฝรั่งไว้มากมาย และเรทติ้งถ้าจำไม่ผิดพวกเขาให้ต่ำกว่า 5 จาก 10 ด้วยซ้ำ และนี่อาจเป็นสาเหตุที่ไม่มีบริษัทใดทำหนังเรื่องนี้ออกมาจำหน่ายในรูปของ วีซีดีหรือดีวีดีอีก !!!