Post By Leo53
ภาพยนตร์เรื่องเจงกิสข่านเวอร์ชั่นนี้แตกต่างจากเวอร์ชั่นต่างๆที่คุณโรจน์นำมากล่าวถึงไม่ว่าจะเป็นเวอร์ชั่นของจีน รัสเซีย ญี่ปุ่น หรืออังกฤษ ตรงที่ว่าเวอร์ชั่นต่างๆที่อ้างถึงนั้นกล่าวถึงทั้งเรื่องดีและไม่ดีของเจงกิสข่าน ส่วนว่าจะดีมากดีน้อย เลวมาก เลวน้อยอย่างไร ก็แล้วแต่ทัศนคติและอคติของผู้เขียนบทภาพยนตร์ที่มีต่อเจงกิสข่าน ตัวอย่างเช่น สารคดีเรื่องเจงกิสข่านของบีบีซีที่คุณโรจน์นำมาเสนอนั้นมีการอ้างถึงคำกล่าวของเจงกิสข่าน ที่ว่า “โชคดีที่สุดของผู้ชายก็คือ การพิชิตศัตรู ขโมยสมบัติ ขี่ม้าของเขา และสนุกกับผู้หญิงของพวกเขา” คำกล่าวนี้มีอ้างถึงแต่เฉพาะในภาพยนตร์ของบีบีซี ซึ่งเจงกิสข่านได้กล่าวไว้จริงๆหรือไม่คงไม่มีใครสามารถรู้ได้ แต่ผลลัพธ์แน่ชัดอย่างหนึ่งก็คือ ผู้ชมร้อยทั้งร้อยจะรู้สึกเกลียดชังเจงกิสข่านขึ้นมาทันที เพราะประโยคดังกล่าวเป็นเครื่องชี้ชัดเจนว่า ผู้พูดเป็น คนชั่วช้าสามานย์ กระหายอำนาจ รุกราน ข่มเหง ก้าวร้าว ทำลายล้าง ปล้นสะดม ฉุดคร่า ข่มขืนผู้หญิง ฯลฯ การกระทำดังกล่าวอาจใช้ภาษาพูดว่าเป็นการกระทำของ “สัตว์นรก” ก็ว่าได้ เป็นไปได้ไหมว่าผู้เขียนบทภาพยนตร์มีเจตนาจะหาเรื่องร้ายเพื่อมาบั่นทอน ทำลายคุณความความดีที่เห็นได้เด่นชัดของเจงกิสข่านด้วยเรื่องเลวร้ายดังกล่าว เพราะเราต้องอย่าลืมว่าชาติตะวันตกเป็นนักล่าอาณานิคมตัวยง และในประวัติศาสตร์มีแต่ชาติตะวันตกเข้ามารุกรานชาติในเอเชีย อาจมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นคือในยุคของเจงกิสข่านและลูกหลานของเขาที่ชนเผ่ามองโกล (ผิวเหลือง) สามารถเข้าไปยึดครองแผ่นดินของชาติตะวันตกไว้ได้เป็นจำนวนมากในช่วงระยะเวลาที่ยาวนาน พวกตะวันตกส่วนใหญ่จึงมักมีอคติต่อเจงกิสข่าน แต่ไม่สามารถหาเรื่องเลวร้ายที่ชัดเจนมาให้ร้ายเขาได้ จึงได้แต่นำเรื่องของความโหดร้ายทารุณในสงครามมาเป็นเรื่องทำลายคุณความดีของเขา ซึ่งเรื่องของความโหดร้ายทารุณ การข่มขืน และทารุณกรรมต่างๆที่ผู้ชนะกระทำต่อฝ่ายที่พ่ายแพ้ในสงครามนั้น เป็นความจริงที่ปรากฏในสงครามมาทุกยุคทุกสมัย แม้กระทั่งในสงครามที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในโลกปัจจุบันหรือที่จะมีขึ้นในอนาคต ดังนั้นข้อความดังกล่าว จึงน่าจะเป็นการนำเรื่องราวปกติที่เกิดขึ้นในสงครามมาสร้างเป็นวาทะที่แหลมคมด้วยวัตถุประสงค์ เพื่อทำลายเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และคุณงามความดีของเจงกิสข่าน
ตรงกันข้ามกับภาพยนตร์สารคดีของบีบีซีที่กล่าวถึงในวรรคก่อนหน้า ภาพยนตร์เรื่องเจงกิสข่านเวอร์ชั้นที่โอมาร์ ชารีฟ แสดงนำนี้ เป็นภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเชิดชูยกย่องวีรกรรมของเจงกิสข่านเป็นสำคัญ เรื่องราวต่างๆที่มีบันทึกในประวัติศาสตร์ถ้าขัดแย้งกันก็จะนำเรื่องราวที่ดีมาใช้ ถ้าเป็นข้อสันนิษฐานก็จะสันนิษฐานในทางที่ดีอีกด้วยเช่นกัน ดังนั้นผมคิดว่า ด้วยคุณงามความดีมากมายของเจงกิสข่าน ที่ได้กระทำให้กับพี่น้องร่วมชาติของเขา และผลงานการสร้างมหาอาณาจักรที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่โลกเคยมีมา ( 4 เท่าของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช 2 เท่าของมหาอาณาจักรโรมันขณะที่รุ่งเรืองที่สุด) ผนวกเข้ากับบทภาพยนตร์ที่เหมาะเจาะลงตัวพอดีเพื่อชี้ให้เห็นคุณงามความดี ความยิ่งใหญ่ และเกียรติยศของเจงกิสข่าน จึงทำให้บรรดานักศึกษาจากประเทศยากจนล้าหลังนับร้อยคนในโรงภาพยนตร์ที่สถาบันเอไอทีขณะนั้น พากันปรบมือพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายเมื่อภาพยนตร์จบลง
เรื่องราวในภาพยนตร์เริ่มต้นด้วย เผ่าของเตมูจิน (ชื่อเดิมของเจงกิสข่าน) ถูกโจมตีโดยเผ่าใหญ่อีกเผ่าหนึ่ง เตมูจินถูกจับไปเป็นเชลยและเป็นทาสในเผ่าที่จับเขาไป เตมูจินเติบโตในสภาพของเชลยทาสและได้รับความรักความเอ็นดูจากหมอผี ซึ่งมีฐานะเป็นนักปราชญ์ประจำเผ่าและเป็นครูของเขาด้วย วันหนึ่งเตมูจินเห็นกองทหารควบม้าเข้ามาในเผ่าของเขา เป็นกองทหารที่ดูงดงามและน่าสะพรึงกลัวมาก ทหารทุกคนสูงใหญ่ใส่เสื้อเกราะหนาเตอะพกพาหอกดาบส่องแสงแวววับแปลบปลาบตายิ่ง เตมูจิน ถามหมอผีว่าทหารพวกนั้นเป็นใครมาทำอะไร หมอผีตอบว่าเป็นกองทหารจีนเดินทางมาเพื่อเก็บส่วยจากเผ่าเราไปประเทศจีน สักพักใหญ่ๆกองทหารดังกล่าวก็นำพาขบวนสัมภาระ ข้าวปลาอาหาร ผู้คนทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เป็นแถวยาวเดินทางออกไป เตมูจิน ถามหมอผีว่าทำไมเราต้องให้ข้าวปลาอาหารกับจีน ในเมื่อพวกเราเองก็ยังอดอยากหิวโหย และทำไมเราต้องส่งผู้หญิงผู้ชายของเราไปเป็นทาสของพวกเขาด้วย หมอผีจึง วาดแผนที่ลงบนพื้นดินแล้วสอนเตมูจินว่า นี่คือที่ราบลุ่มแม่น้ำสำคัญหลายสายเป็นที่ราบอันกว้างใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ที่เรียกกันว่า “ประเทศจีน” ตรงนี้เป็น ตรงนี้เป็น.... รฯลฯ พวกเราไม่สามารถไปอยู่ในที่ที่อุดมสมบูรณ์ได้ เพราะชนชาติอื่นเข้าไปยึดครองหมดแล้ว พวกเราถูกขับไล่มาอยู่ทางเหนือนี่ซึ่งไม่มีใครอยากมาอยู่ เพราะเป็นพื้นที่ทะเลทรายที่แห้งแล้งกันดารและกว้างใหญ่ไพศาล พวกเรามีด้วยกันหลายร้อยเผ่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็รบราฆ่าฟันกันเองมาโดยตลอด ทำให้พวกเราอ่อนแอ และต้องตกเป็นทาสของชนชาติอื่นเสมอมา เตมูจินบอกกับหมอผีว่า “เมื่อข้าโตขึ้นข้าจะรวมมองโกลให้เป็นหนึ่ง ข้าจะไม่ให้คนมองโกลต้องตกเป็นทาสของชนชาติอื่นอีก และข้าจะพาคนมองโกลไปอยู่ในแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์เหล่านี้”
หลังจากนั้นเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นเขาก็หลบหนีจากการเป็นทาสออกมาตั้งเผ่าของตัวเอง โดยมีสมาชิกเผ่าเริ่มต้น 3 คน (ตรงนี้จำรายละเอียดไม่ได้ว่าอีกคนหนึ่งใช่ผู้หญิงที่เป็นภรรยาเขาหรือไม่ เนื่องจากจำชื่อนางไม่ได้จึงขอเรียกว่า บอร์เต้) ประกอบด้วยหมอผีและสตรีนางหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นภรรยาเขาต่อไป จากเผ่าเล็กๆเตมูจินก็ค่อยๆหาสมัครพรรคพวกเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มทำการรวบรวมเผ่าต่างๆให้เข้ามาสวามิภักดิ์ทั้งด้วยการทำสงครามปราบปราม และการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรโดยความสมัครใจ ภายใต้อุดมการณ์ที่แน่วแน่คือ “การรวมมองโกลให้เป็นหนึ่ง เพื่อมองโกลจะไม่ต้องเป็นทาสของใครอีก” ในขณะเดียวกันก็ทำงานเป็นกองทหารรับจ้างให้กับบรรดารัฐต่างๆในพื้นทวิปนั้นด้วย
ในระหว่างการรวบรวมชนเผ่าต่างๆเข้าด้วยกันนั้น เตมูจินได้รับอาสาเข้าไปเป็นทหารรับจ้างให้พระเจ้ากรุงจีนในการปราบปรามความไม่สงบภายในประเทศจีน ครั้นพอภารกิจสำเร็จลงแล้ว พระเจ้ากรุงจีนเกิดความระแวงว่าคนอย่างเตมูจินหากปล่อยกลับไปมองโกลได้ต่อไปอาจเป็นภัยต่อจีนได้ในภายหน้า จึงอ้างว่าต้องการจ้างให้ทำงานอยู่ต่อไปและไม่เปิดประตูกำแพงเมืองจีนให้ออกไป แต่ในที่สุดเตมูจินก็สามารถหาโอกาสพากองทัพของตนหลบหนีออกไปจากกำแพงเมืองจีนได้ ตอนที่ยกกองทัพออกมาจากกำแพงเมืองจีนได้นั้น เตมูจินบอกกับบรรดาเหล่าทหารของเขาว่าเขาจะกลับมาจีนอีกครั้งหนึ่งอย่างผู้พิชิต มีทหารตอบเขาว่าประเทศจีนกว้างใหญ่ไพศาล อุดมสมบูรณ์ มั่งคั่งร่ำรวย มีกองทัพใหญ่โต พวกมองโกลจะเอาชนะได้อย่างไร เตมูจินตอบว่า “สิงโตที่อ้วนพีย่อมตกเป็นเหยื่ออันโอชะของหมาป่าที่หิวโซ”
หลังจากหลบหนีออกนอกกำแพงเมืองจีนมาได้ เตมูจินก็กลับไปมองโกลและสานต่อปณิธานในการรวมมองโกลให้เป็นหนึ่งต่อไป เขาสามารถรวบรวมเผ่าต่างๆให้เข้ามาสวามิภักดิ์ได้อีกเป็นจำนวนมาก ศัตรูสำคัญที่สุดของเขาคือหัวหน้าเผ่าที่สังหารพ่อแม่เขาและจับเขาไปเป็นทาสตั้งแต่แรกนั่นเอง (จำชื่อไม่ได้ ขอใช้ชื่อว่า จามูฮา) จามูฮาเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุดของเตมูจิน เพราะในระหว่างการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจกันอยู่นั้น จามูฮาได้ลักพาบอร์เต้ภรรยาของเตมูจินไป เมื่อตอนที่เตมูจินชิงตัวนางกลับมาได้นั้นนางตั้งครรภ์กลับมาด้วย ทำให้คนทั่วไปเชื่อว่าเด็กในท้องนั้นเป็นลูกของจามูฮา
จนกระทั่งในการศึกครั้งสุดท้ายระหว่างจามูฮากับเตมูจิน ก่อนการรบเตมูจินขอร้องให้จามูฮายอมเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับเขาโดยสันติ เพื่อให้มองโกลรวมกันเป็นหนึ่ง และไม่ต้องเป็นทาสของใครอีก แต่จามูฮาบอกว่า เขายินดีเห็นมองโกลเป็นทาสมากกว่าที่จะเห็นมองโกลเป็นไทยโดยมีเตมูจินเป็นผู้นำ กองทัพทั้งสองจึงเข้าประจัญบานกัน ซึ่งปรากฏว่ากองทัพของจามูฮาพ่ายแพ้และถูกจับเป็นเฉลยจำนวนมาก ต่อหน้าเตมูจินจามูฮาและทหารของเขาจำนวนมากที่ถูกจับเป็นเชลย ล้วนไม่ยอมคุกเข่าให้กับเตมูจิน จามูฮายังกล่าวสบประมาทเตมูจินอีกว่าลูกชายคนแรกของเตมูจินเป็นลูกของเขา เตมูจิน จึงประกาศต่อหน้าทหารของทั้งสองฝ่ายว่า ทุกคนได้ฟังแล้วนะว่าบุตรชายคนโตของข้าเป็นลูกของจามูฮา ดังนั้นเขาจะให้โอกาสแก่จามูฮาอย่างยุติธรรมด้วยการต่อสู่กันตัวต่อตัวครั้งสุดท้าย ใครที่มีชีวิตรอดอยู่จะได้เป็นผู้นำของมองโกลที่รวมกันเป็นหนึ่ง และถ้าหากทั้งสองคนเสียชีวิตในการต่อสู้ บุตรชายคนโตของเขาจะเป็นผู้นำของมองโกลที่รวมกันเป็นหนึ่งแล้วต่อไป จากนั้นเขาก็แก้มัดจามูฮาเพื่อให้ต่อสู้กับเขาด้วยดาบตัวต่อตัว ผลปรากฏว่าจามูฮาเสียชีวิตในการต่อสู้ ขณะที่เตมูจินเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
เตมูจินกลับไปนั่งที่บัลลังก์ของเขา และร้องถามบรรดาทหารของจามูฮาจำนวนมากที่ยังคงยืนอยู่หน้าเขาในสนามรบว่า พวกท่านจะคุกเข่าให้ข้าหรือไม่ ฉากนี้ในภาพยนตร์เป็นฉากที่น่าประทับใจมาก เพราะทหารจำนวนมากที่ก่อนหน้านี้ยืนอยู่ต่อหน้าเตมูจินในสนามรบพากันคุกเข่าลงกับพื้นโดยรอบด้าน แล้วกล้องก็ขยายให้เห็นเป็นมุมกว้างที่ทหารทั้งหมดในสนามรบล้วนคุกเข่าศิโรราบให้กับเตมูจิน แล้วภาพก็ซูมกลับมาที่เตมูจิน ซึ่งค่อยๆสิ้นลมหายใจไปต่อหน้าทหารทุกคน พร้อมกับมีคำบรรยายสรุปที่ซาบซึ้งใจยิ่งทยอยปรากฏขึ้นบนจอ เสียดายที่ผมจำเนื้อความโดยละเอียดไม่ได้ แต่เนื้อหาเป็นการสรุปในทำนองว่า “ชายสามัญธรรดาคนหนึ่งชื่อเตมูจิน เมื่อตอนเกิดมาเขาต้องใช้ชีวิตเยี่ยงทาสในแผ่นดินมองโกล ท่ามกลางมองโกลหลายร้อยเผ่าที่ยากจนค่นแค้น เร่ร่อนอยู่ในทะเลทราย ทำศึกสงคราม รบราฆ่าฟันกันเองระหว่างเผ่าต่างๆอยู่ตลอดเวลา โดยคนมองโกลต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลอำนาจของชนชาติอื่นๆมาโดยตลอด แต่เมื่อเวลาที่เขาเสียชีวิตลงนั้น มองโกลทุกเผ่ารวมกันเป็นหนึ่ง ไม่มีชนชาติใดมาบังคบคนมองโกลให้เป็นทาสได้อีก แผ่นดินมองโกลขยายออกไปกว้างไกล ทิศเหนือจรด .... ทิศตะวันออกจรด .... ทิศใต้จรด ทิศตะวันตกจรด ..... ลูกหลานของเขาสามารถตีกำแพงเมืองจีนแตกและเข้ายึดครองประเทศจีนได้ทั้งประเทศ สถาปนาราชวงศ์ใหม่ขึ้นปกครองประเทศจีนสืบเนื่องต่อไปอีกถึง .... ปี อาณาจักรมองโกลได้ครอบครองพื้นที่มากกว่าอาณาจักรใดๆที่เคยมีมาในโลก มากว่าอาณาจักรของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ มหาราช 4 เท่า และมากกว่าอาณาจักรโรมันในยุครุ่งเรืองที่สุด 2 เท่า ....”
ที่ผมเขียนมาทั้งหมดนี้ในรายละเอียดคงมีคลาดเคลื่อนไปบ้าง เพราะได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้มาตั้ง 30 ปีแล้ว แต่เนื้อหาและประเด็นหลักๆที่ประทับใจยังจำได้อยู่เสมอ ผมคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ทำได้ดีมากในการนำเสนอคุณงามความดีและเกียรติประวัติของเจงกิสข่านซึ่งมีผลงานเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาโลกมาจนถึงปัจจุบัน ชนิดที่ไม่มีใครจะสามารถลบล้างได้ ก็คือ หนึ่ง เขาเป็นผู้ที่สามารถรวบรวมชาวมองโกลที่ยากไร้เร่ร่อนนับร้อยเผ่าให้สมานสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ทำให้ชาวมองโกลไม่ต้องตกเป็นทาสของชนชาติใดอีก และยังสามารถสร้างความผาสุขและความเจริญรุ่งเรืองยิ่งให้แก่ชาวมองโกลทั้งมวล สอง เขาสามารถสร้างอภิมหาอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่โลกเคยมีมาได้ อาณาจักรมองโกลของเขา ครอบคลุมพื้นที่มากกว่าอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่อื่นๆทุกอาณาจักรที่เคยมีมาในโลกจนถึงปัจจุบัน ใหญ่กว่าอาณาจักรของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ มหาราชสี่เท่า และใหญ่กว่าอาณาจักรโรมันในยุคที่รุ่งเรืองที่สุดสองเท่า และ สาม เรื่องราวของเขาเป็นแรงบันดาลใจให้ประชาชนผู้ยากไร้ ในประเทศในโลกที่สามทั้งหลายที่ล้าหลังและยากจนมีความหวังว่าประเทศที่ล้าหลังและยากจนของพวกเขา ก็มีโอกาสจะลืมตาอ้าปากได้เช่นเดียวกัน โดยมีเจงกิสข่านได้ทำให้พวกเขาได้เห็นเป็นตัวอย่างมาแล้ว