
ครับ . . . ทีนี้มาดูวีรกรรมของทหาร คำรวจ และ ยุวชนทหาร ที่ . . . ชุมพร กัน . . . นะ . . . ครับ
จังหวัดชุมพร ตั้งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทย บนแหลมมลายู บริเวณคอคอดกระอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔ (ถนนเพชรเกษม) ระยะทางประมาณ ๔๖๐ กิโลเมตร และทางรถไฟสายใต้ ๔๘๕ กิโลเมตร มีความยาวประมาณ ๒๐๐ กิโลเมตร กว้างโดยเฉลี่ยประมาณ ๓๖ กิโลเมตร


จังหวัดชุมพร แบ่งพื้นที่การปกครองออกเป็น ๘ อำเภอ คือ
1 อำเภอเมืองชุมพร 2 อำเภอท่าแซะ
3 อำเภอปะทิว 4 อำเภอหลังสวน
5 อำเภอละแม 6 อำเภอพะโต๊ะ
7 อำเภอสวี และ 8 อำเภอทุ่งตะโก
ภูมิประเทศ โดยทั่วไป มีลักษณะเป็นแนวยาว และแคบไปตามชายฝั่งทะเลอ่าวไทย โดยมีชายฝั่งทะเลยาวถึง ๒๒๒ กิโลเมตร พื้นที่ประกอบด้วยภูเขาสูงสลับพื้นที่ราบ พื้นที่ฝั่งตะวันตกของจังหวัดเป็นเทือกเขาตะนาวศรีและเทืองเขาภูเก็ต ซึ่งเป็นเขตชายแดนไทย - พม่า
จากชุมพร มีเส้นทางเข้าสู่ประเทศพม่า โดยใช้ถนนจาก จังหวัดชุมพร ผ่านอำเภอกระบุรี ถึงจังหวัดระนอง มีท่าเรือที่ ตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองระนอง และ ที่เกาะสอง* บนฝั่งพม่า
*เกาะสอง ไม่ใช่เกาะที่มีน้ำล้อมรอบ แต่เป็นชื่อเมือง Kawthaung บนฝั่งพม่า อังกฤษตั้งชื่อ วิคตอเรียพอยท์ แต่ในปัจจุบัน ทางการพม่าเปลี่ยนเป็น บุเรงนองพอยท์ Bayintnaung Point
การที่จังหวัดชุมพรถูกขนาบด้วยภูเขาและทะเลอีกทั้งยังได้รับมรสุมทั้งทางฝั่งทะเลด้านตะวันออก และด้านตะวันตก ทำให้มีฝนตกชุกเกือบตลอดปี
โลกหมุนเวียน . . . เราค้องเวียนหมุนไป
จากสถานการณ์ของโลกที่พัฒนาไป รัฐบาลไทย โดยกระทรวงกลาโหมพิจารณาเห็นความจำเป็นที่จะต้องมีกำลังทหารไว้รักษาเอกราช และอธิปไตยทางภาคใต้ จึงได้จัดตั้งหน่วยทหารบก และทหารอากาศ ในภาคใต้หลายหน่วย
ที่จังหวัดชุมพร ได้จัดตั้ง กองพันทหารราบที่ ๓๘ (ร.พัน ๓๘) ขึ้นที่บ้านนาเนียน ตำบลวังใหม่ อำเภอเมืองชุมพร บนเส้นทางสาย ชุมพร - กระบุรี ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ ๙ กิโลเมตร (ปัจจุบันคือ ค่ายเขตอุดมศักดิ์ เป็นที่ตั้งของ กองพันทหารราบที่ ๑ กรมทหารราบที่ ๒๕ - ร.๒๕ พัน ๑ , กองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๒๕ - ป.พัน ๒๕ และจังหวัดทหารบกชุมพร - จทบ.ช.พ.)
นอกจากกำลังทหารแล้ว ยังมียุวชนทหารหน่วยฝึกที่ ๕๒ ซึ่งได้จัดตั้งขึ้นที่โรงเรียนศรียาภัย อันเป็นโรงเรียนประจำจังหวัด กำลังพลหลักเป็นนักเรียนชั้นมัธยมปีที่ ๔, ๕ และ ๖ (เท่ากับชั้น มัธยมปีที่ ๑, ๒ และ ๓ ในปัจจุบัน) และยังได้มีการฝึกราษฏรอาสาสมัครไว้จำนวนหนึ่งด้วย
ความเป็นมา หรือสถานการณ์ก่อนหน้านี้ ปรากฏอยู่ใน "ก่อนจะถึงวันวีรไทย" และ "วันวีรไทย - ประจวบ" จึงขอกล่าวเพียงพอให้ต่อเนื่อง ไม่กล่าวซ้ำทั้งหมด
ฝ่ายญี่ปุ่น
กองทัพญี่ปุ่นที่ขอผ่านประเทศไทยเพื่อไปทำศึกกับอังกฤษในมลายู และพม่านั้น คือกองทัพที่ ๑๕ และกองทัพที่ ๒๕
การปฏิบัติการที่จังหวัดชุมพร และจังหวัดสุราษฎร์ธานีเป็นหน่วยใน กองทัพที่ ๑๕ ซึ่งพลโท โซจิโร อิอีดะ (Shojiro Iida) เป็นแม่ทัพ ประกอบด้วย กองพลที่ ๓๓ และกองพลที่ ๕๕ มีภารกิจปฏิบัติการในประเทศไทย และประเทศพม่า ใช้เรือในการลำเลียงทหารเพื่อยกพลขึ้นบก ที่จังหวัดชุมพร และจังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน ๓ ลำ

แผนที่สังเขป แสดงการรุกของกองทัพที่ ๑๕ ญี่ปุ่น
ฝ่ายไทย กำลังฝ่ายไทยที่ได้เข้าสู้รบในครั้งนั้น นอกจากกำลังทหาร แล้ว ยังมีกำลังตำรวจ และยุวชนทหารเข้าร่วมรบด้วย ดังนี้ครับ
กองพันทหารราบที่ ๓๘
ตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร
ยุวชนทหารหน่วยฝึกที่ ๕๒ โรงเรียนศรียาภัย
นอกจากปัจจัยในการรบที่มีตัวตน ได้แก่จำนวนกำลังพล และอาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งฝ่ายญี่ปุ่นเหนือกว่าฝ่ายเรามากแล้ว ก็ลองพิจารณาปัจจัยในการรบที่ไม่มีตัวตนกันดูบ้าง เฉพาะฝ่ายเรานะครับ
กองพันทหารราบที่ ๓๘ เป็นหน่วยจัดตั้งใหม่ ซึ่งกองทัพบกรวบรวมรี้พลสกลไกรจากหน่วยต่างๆ ดังนั้น สถานภาพกำลังพลก็ดี อาวุธยุทโธปกรณ์ก็ดี สถานภาพการฝึกก็ดี นับได้ว่า ยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ สมบูรณ์เต็มที่ก็แต่เพียงจิตใจรุกรบเท่านั้น และในต้นเดือนธันวาคม ๒๔๘๔ หน่วยกำลังออกฝึก ที่สนามบินทับไก่
ตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร สามารถทำการรบเช่นทหารได้ระดับหนึ่ง แต่เป็นช่วงที่ได้รับตำรวจใหม่เข้ารับราชการ และอยู่ในระหว่างการฝึกที่กองกำกับการ ก่อนที่จะส่งไปประจำตามอำเภอต่างๆ จึงทำให้มีกำลังพลมากกว่าปรกติ เมื่อรวมตำรวจเก่าและตำรวจใหม่แล้ว ประมาณ ๑๐๐ นาย
ยุวชนทหารหน่วยฝึกที่ ๕๒ เป็นหน่วยกึ่งทหาร อายุระหว่าง ๑๔ - ๑๗ ปี ได้รับการฝึกให้รบได้อย่างทหาร และ มีผู้นำ และครูฝึกที่ดี
๘ ธันวาตม ๒๔๘๔
เวลาประมาณ ๐๒๐๐ ญี่ปุ่นมาถึงเกาะมัตโพน จอดหลบพายุอยู่จนตีสี่ จึงเริ่มระบายพลขึ้นยึดหัวหาดที่อ่าวปากหาด(หรือมะหาด)บริเวณบ้านคอสน เป็นแนวยาวประมาณสามกิโลเมตร เวลานั้น เป็นเวลาน้ำทะเลลงต่ำสุด ต่อจากหาดเป็นเลนลึกออกจากฝั่งไปประมาณ ๑ กิโลเมตร เลนนี้คนธรรมดามือเปล่าเดินลงไปจะจมถึงขาอ่อน แต่ทหารญี่ปุ่นที่ขึ้นบกมีอาวุธประจำกาย เครื่องสนามตรบ และรถจักรยานอีกคนละคัน การเตลื่อนที่ผ่านเลนลึกจึงเป็นไปอย่างทุลักทุเล ต้องให้ส่วนหนึ่งทิ้งสัมภาระที่ติดตัวมา ตะเกียกตะกายฝ่าเลนนำเชือกขึ้นไปผูกกับต้นมะพร้าว ให้คนหลังๆ ได้สาวเชือกตามขึ้นมา
ดังนั้น กว่าทหารญี่ปุ่นจะขึนบกและรวมพลได้ก็เสียเวลาไปมาก
.jpg)
.jpg)
กรอบสี่เหลี่ยมสีน้ำเงิน คือตัว จ.ว. ชุมพร
กรอบสี่เหลี่ยมสีแดงไกล้ๆกัน คือบ้านนาทุ่ง
กรอบสีแดง ถัดลงมาคือ วัดท่ายางเหนือ
กรอบสีแดง ถัดลงมาล่างสุดคือ วัดท่ายางใต้ (วัดคงคาราม?)
ลูกศรสีแดง คือแนวที่ญี่ปุ่นบุกขึ้นทางปากหาด (มะหาด?)
แนวสีน้ำเงิน แนวที่ 1 คือแนวตั้งรับของ ร.พัน ๓๘ ร้อย ๑,ตำรวจ,ยุวชนทหาร
แนวสีน้ำเงิน แนวที่ ๒ คือแนวตั้งรับของ ร.พัน ๓๘ ร้อย ๔
เส้นสีเขียวคือสะพานท่านางสังข์
ประมาณ ๐๓๐๐ ชาวบ้านแหลมดิน และบ้านคอสน ที่ตื่นมา ได้เห็นทหารญี่ปุ่นเต็มหาดแล้ว ทหารญี่ปุ่นได้แต่กันชาวบ้านไม่ให้ออกจากหมู่บ้าน ส่วนชาวบ้านที่อยู่ห่างออกไปทราบข่าวได้เข้ามารวมตัวกันที่บ้านท่ายาง เมื่อกำนันผู้ใหญ่บ้านทราบ จึงรวบรวมชาวบ้านท่ายาง และที่มาจากหมู่บ้านอื่นข้ามสะพานท่านางสังข์ไปตำบลบางหมาก และให้ชาวบ้านนำหนังสือรายงานหลวงจรูญประศาสตร์ ข้าหลวงประจำจังหวัดชุมพรทราบ (ถึงทหารญี่ปุ่นจะกันชาวบ้านไม่ให้ออกจากหมู่บ้านก็จริง แต่ก็คงไม่สามารถกันได้สมบูรณ์เต็มที่ และชาวบ้านอื่น ก็คงต้องทราบเข้าจนได้ - ผู้เขียน)
วันนี้ ฝนตกตั้งแต่เช้ามืด
ข้าหลวงฯ ได้ทราบข่าวเมื่อเวลาประมาณ ๖ นาฬิกา จึงรีบแจ้งข่าวให้ นายพันตรี ขุนเอกสิงห์สุรศักดิ์ (เชิด เอกสิงห์) ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ ๓๘ นายพันตำรวจตรี หลวงจิตการุณราษฏร์ ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร และ นายร้อยเอก ถวิล นิยมเสน ผู้บังคับหน่วยฝึกยุวชนทหารที่ ๕๒ ทราบ แต่ นายร้อยเอก ถวิล นิยมเสน ได้ทราบข่าวจากชาวบ้านท่ายางโดยตรงแล้ว และกำลังเดินทางไปพบข้าหลวงประจำจังหวัดชุมพร (ชาวบ้านที่แจ้งข่าวแก่นายร้อยเอก ถวิล นิยมเสน น่าจะเป็นผู้ปกครองยุวชนทหารที่รู้จักและคุ้นเคยกันมาก่อนแล้ว - ผู้เขียน)
เวลาประมาณ ๐๖๓๐ นายพันตรี ขุนเอกสิงห์สุรศักดิ์ เมื่อทราบข่าวจากข้าหลวงประจำจังหวัดชุมพรแล้ว จึงสั่งการให้นายพันตรี ขุนเชื้อชาญรบ รองผู้บังคับกองพันทหารราบที่ ๓๘ ซึ่งนำหน่วยออกฝึกให้นำกำลังกลับที่ตั้งทันที และให้ นายร้อยเอก ประชา มัณยานนท์ ผู้บังคับกองร้อย นำกำลัง ๑ หมวด รีบรุดไปสกัดกั้นทหารญี่ปุ่นไว้ก่อน กำลังส่วนนี้ได้เพิ่มเติมปืนกลหนัก ให้เป็นหมู่ละ ๓ กระบอก (ปรกติหมู่ทหารราบจะมีปืนกลหนัก หมู่ละ ๑ กระบอก ดังนั้น หมวดนี้ จึงมีปืนกลหนักถึง ๙ กระบอก)
ฝ่ายเราส่วนอื่นๆ ได้ดำเนินการ ตามคำสั่งของข้าหลวงประจำจังหวัดชุมพร ดังนี้
ตำรวจ มีกำลังและอยู่ใกล้เหตุการณ์ (ประมาณ ๗ กิโลเมตร) เดินทางโดยรถบรรทุกของแขวงการทางชุมพรไปยึดสะพานท่านางสังข์ (ฝั่งใกล้) ไว้ก่อน
ยุวชนทหารหน่วยฝึกที่ ๕๒
นายร้อยเอก ถวิล นิยมเสน "ครูหวิน" ตามตัวครูฝึกยุวชนทหาร ให้ตามยุวชนทหารซึ่งพักอยู่กับผู้ปกครองที่บ้านให้แต่งเครื่องแบบมารวมพล ได้ประมาณ ๓๐ นาย เมื่อรับอาวุธแล้ว นายร้อยเอก ถวิล นิยมเสน และ นายสิบเอก สำราญ ควรพันธุ์ "ครูราญ" ครูฝึก นำยุวชนทหารขึ้นรถยนตร์ประจำทางขนาดเล็ก ๒ คัน ไปสะพานท่านางสังข์ และให้จ่าสิบเอก จง แจ้งชาติ "ครูจง" นำยุวชนทหาร ซึ่งจัดเป็นหมู่ปืนกลแยกไปสกัดข้าศึกที่อ่าวพนังตัก
สะพานท่านางสังข์ บนเส้นทางสายชุมพร - ปากน้ำชุมพร
ประมาณ ๐๖๔๐ กำลังตำรวจน่าจะไปถึง และยึดสะพานท่านางสังข์ (ฝั่งใกล้ - ฝั่งตะวันตก) ไว้ได้ก่อน ขณะนั้น ชาวบ้านท่ายางแตกตื่นพากันเดินข้ามสะพานท่านางสังข์เพื่อจะให้ห่างจากทหารญี่ปุ่น ผู้บังคับกองตำรวจที่ตั้งรับอยู่จึงได้ข่าวสารว่า มีทหารญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งชุมนุมกันอยู่ที่วัดท่ายางใต้ และอีกจำนวนหนึ่งกำลังเคลื่อนที่มายังสะพานท่านางสังข์ ผู้บังคับกองตำรวจจึงสั่งการให้กำลังตำรวจข้ามไปฝั่งตรงข้าม (ฝั่งไกล - ฝั่งตะวันออก) และ เริ่มปะทะกันประปราย เป็นการปะทะกับหน่วยลาดตระเวนหน้าของญี่ปุ่น ที่มีกำลังประมาณ ๑ กองร้อย
นายร้อยเอก ถวิล นิยมเสน และ นายสิบเอก สำราญ ควรพันธุ์ ครูฝึก นำยุวชนทหารถึงดอนยายทัด (ก่อนถึงสะพานท่านางสังข์ ประมาณ ๓๐๐ เมตร) ให้ยุวชนทหารลงรถแล้ว วิ่งไปยึดคูถนนที่คอสะพานท่านางสังข์รอรับคำสั่งอยู่
ทหารราบมาแล้ว
ประมาณ ๐๘๐๐ นายร้อยเอก ประชา มัณยานนท์ ผู้บังคับกองร้อย นำกำลัง ร.พัน ๓๘ จำนวน ๑ หมวด มาถึงสะพานท่านางสังข์ ทราบว่า มีทหารญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งอยู่ที่วัดท่ายางใต้ จึงสั่งให้รถบรรทุกทหารวิ่งฝ่ากระสุนข้ามสะพานไปฝั่งตรงข้าม โดยไม่เป็นอันตราย
เมื่อถึงวัดท่ายางกลาง ติดกับวัดท่ายางใต้ เห็นทหารญี่ปุ่นอยู่ในสวนมะพร้าวอย่างหนาแน่น จึงลงรถแล้วจัดรูปขบวนรบ และโจมตีก่อน ทหารญี่ปุ่นไม่รู้ตัว และฝ่ายเราใช้ปืนกลเป็นจำนวนมาก (๙ กระบอก) จึงสูญเสียมาก แต่หมวดนี้ก็นำกระสุนปืนไปน้อยมาก จึงต้องให้รถกลับไปรับกระสุนเพิ่มเติมอีก แต่ได้ยินเสียงการสู้รบอย่างหนาแน่นที่สะพานท่านางสังข์ จึงจอดรถไว้ที่บ้านท่ายาง แล้วพลขับรถต้องว่ายน้ำกลับมาฝั่งตัวเมืองเพื่อติดต่อกลับไปที่กองบังคับการกองพันต่อไป
(ร.พัน ๓๘ น่าจะเคลื่อนย้ายจากสนามฝึกที่สนามบินทับไก่ ไปสะพานท่านางสังข์อย่างเร่งด่วน เพื่อให้ทันสถานการณ์ โดยไม่ได้แวะเข้าไปรับกระสุนเพิ่มเติม จึงมีกระสุนเพียงเล็กน้อย และเนื่องจากสภาพถนนจากสนามบินทับไก่ มาถึงจังหวัดชุมพร - สะพานท่านางสังข์ ไม่สะดวกเช่นปัจจุบัน จึงทำให้รู้สึกว่า ทหารไปถึงที่ตั้งรับล่าช้า และไม่ค่อยพร้อมรบ - ผู้เขียน)
ขณะเมื่อรถบรรทุกทหาร ร.พัน ๓๘ วิ่งฝ่ากระสุนข้ามสะพานไปฝั่งตรงข้ามแล้วนั้น นายร้อยเอก ถวิล นิยมเสน ได้ขึ้นไปบนคอสะพานเพื่อตรวจการณ์ฝั่งตรงข้ามเห็นว่าฝั่งตรงข้ามไม่มีข้าศึกยึดอยู่ และพิจารณาเห็นว่าหากข้ามไปยึดฝั่งตรงข้ามได้จะยิงต่อสู้ได้ดีกว่า จึงสั่ง นายสิบเอก สำราญ ควรพันธุ์ กับยุวชนทหารอีก ๓ นาย ให้ยึดคอสะพานไว้เพื่อติดต่อกับหน่วยข้างหลัง ส่วนตนเองวิ่งนำหน้ายุวชนทหารทั้งหมดข้ามสะพานท่านางสังข์ไปยึดคอสะพานฝั่งตะวันออก (ฝั่งไกล) ได้อย่างปลอดภัย
ฝ่ายญี่ปุ่นอยู่ในสวนมะพร้าว คนละฟากถนน ห่างกันประมาณ ๒๐ - ๓๐ เมตร ทหารญี่ปุ่นเคลื่อนที่ตามกันเข้ามาในสวนมะพร้าวไม่ขาดสาย นายร้อยเอก ถวิล นิยมเสน คงจะต้องการทำลายข้าศึกให้ได้มากที่สุด จึงสั่งยุวชนทหาร "ติดดาบ" และยิงตรงหน้าไปยังข้าศึกให้มากที่สุด ตนเองวิ่งนำหน้ายุวชนทหารข้ามถนนเข้าประจันบานกับฝ่ายญี่ปุ่น ยุวชนทหารสามารถข้ามถนนไปถึงที่รกในสวนมะพร้าว ไปไม่ถึงตัวข้าศึก
การรบที่สะพานท่านางสังข์ ภาพเขียนสีน้ำมันจากอนุสรณ์สถานแห่งชาติ
นายร้อยเอก ถวิล นิยมเสน เมื่อวิ่งข้ามถนนมาถึงสวนมะพร้าว ถูกยิงเสียชีวิต

ยุวชนทหารส่วนนี้ ได้นำปืนกลเบาข้ามสะพานไปด้วย แต่ขาทราย*ชำรุดใช้ตั้งยิงไม่ได้ ยุวชนทหารนายหนึ่งจึงใช้หลังหนุนปากกระบอกปืนแทน และใช้ยิงต่อสู้ศัตรูอยู่จนกระทั่งมีคำสั่งให้หยุดยิง
*ขาทราย (Bipod) ไม้ ๒ อัน ผูกหรือร้อยปลายให้อ้าออกเป็นง่ามสำหรับรับ หรือค้ำของ ที่ใช้กับปืนกลทำด้วยโลหะ รับปากกระบอกปืน (ดูภาพประกอบนะครับ)
เมื่อ "ครูหวิน" เสียชีวิต "ครูราญ" จึงต้องอำนวยการรบต่อไป และสามารถสังหารทหารญี่ปุ่นได้หลายนาย จนตนเองถูกยิงที่เหนือข้อศอกแขนขวาไม่สามารถใช้การได้ และต้องถูตัดแขนขวาเหนือข้อศอกในโอกาสต่อมา
ตำรวจก็ข้ามสะพานมาทางฝั่งตะวันออก เพื่อเสริมกำลังยุวชนทหาร
ขณะที่ ตำรวจ และยุวชนทหาร ปะทะอยู่ที่สะพานท่านางสังข์ และ กำลัง ร.พัน ๓๘ ๑ หมวดเพิ่มเติมกำลัง ปะทะอยู่ที่วัดท่ายางกลางนั้น กำลังส่วนใหญ่ของ ร.พัน ๓๘ ก็มาถึงดอนยายทัด และไม่ได้มีส่วนในการสู้รบ ส่วนปืนใหญ่ติดตามทหารราบ เข้าที่ตั้งยิงที่ใกล้สะพานรถไฟข้ามแม่น้ำท่าตะเภา และภายในโรงเรียนสตรี แต่ไม่ปรากฏว่าได้ยิง
ร.พัน ๓๘ ต้องจัดกำลังส่วนหนึ่งไปรักษาเส้นทาง ชุมพร - กระบุรี ด้วย
เวลา ๑๑๕๐ ฝ่ายเราได้รับคำสั่งให้หยุดยิง แต่ญี่ปุ่นยังไม่ยอมหยุด
เวลา ๑๓๔๐ เริ่มการเจรจาหยุดยิง
การสูญเสีย
ฝ่ายเรา

เสียชีวิต บาดเจ็บ
๑. ร.อ. ถวิล นิยมเสน ๑. ส.อ.สำราญ ควรพันธุ์
๒. ส.ต.ท. บุญเสริม เศวตจันทร์ ๒. พลทหาร เชิด สายัณห์
๓. พลตำรวจ เปียก ชูธวัช ๓. พลตำรวจ จันทร์ พิบูลพล
๔. พลตำรวจ เพชร ธานา ๔. นายเช้า สีไสสง
๕. นายน้อย มณีสุวรรณ ๕. นายนุ้ย ใยนิรัตน์
ร.อ. ถวิล นิยมเสน
ฝ่ายข้าศึก
ไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน แต่ผู้บังคับหมู่ปืนกลเบาที่ได้สู้รบที่วัดท่ายางกลาง ให้การตรงกันว่า ฝ่ายเรา"ด้เริ่มยิงก่อนด้วยปืนกลเบาทั้ง ๙ กระบอก เห็นทหารญี่ปุ่นล้มตายเป็นจำนวนมาก แต่ได้ขนศพกลับไปลงเรือทั้งหมด การสู้รบที่สะพานท่านางสังข์ก็เช่นกัน
ฮะเฮ้ยอย่าเยาะเย้ย หยามเด็ก . . .
ครับ . . . ผมได้ข้อมูลจากหน่วยบัญชาการกำลังสำรอง กองทัพบกดังนี้ครับ
. . . ที่จังหวัดชุมพร มีการสู้รบอย่างหนักหน่วงที่สะพานท่านางสังข์ และที่ วัดท่ายางใต้ ซึ่งอยู่ในตำบลท่ายาง อำเภอเมืองชุมพร นอกจากตำรวจ - ทหารแล้ว เรายังมียุวชนทหารซึ่งเป็นนักเรียนโรงเรียนศรียาภัย เข้าสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ใหญ่ทั้งหลายอีกด้วย การสร้างอนุสาวรีย์ จึงสร้างเป็นรูปยุวชนทหาร เพื่อเน้น เป็นพิเศษ ให้เห็นวีรกรรมของเด็ก
อนุสาวรีย์ยุวชนทหาร ท่านางสังข์ ชุมพร น่าจะเป็นอนุสาวรีย์แรก ที่ประกาศคุณงามความดี ของเด็กนักเรียน
วีรกรรมของลูกหลานไทยที่สะพานท่านางสังข์และวัดยางใต้ ค่อยๆ เลือนออกจากความทรงจำของผู้คนรุ่นใหม่ หรือคนเพิ่งอพยพเข้ามาอยู่ใหม่ไม่ทราบ หรือไม่สนใจที่ทราบ
. . . เรื่องนี้ เวลาล่วงมาอีก ๓๐ ปี . . .
เช้าวันหนึ่งชาย สูงอายุผู้หนึ่ง มายืนดูเจดีย์เล็ก ๆ ที่ริมสะพานท่านางสังข์ ด้วยกริยาอันเศร้าซึม ชายผู้นั้นแขนขวาขาดเหนือข้อศอก ท่านคือ ร้อยโท สำราญ ควรพันธ์ ซึ่งเมื่อ วันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ มียศเพียง สิบเอก ร่วมกับร้อยเอก ถวิล นิยมเสน (ยศในครั้งนั้น) คุมกำลังยุวชนทหารโรงเรียนศรียาภัย เข้าห้ำหั่นกับทหารญี่ปุ่น ที่เชิงสะพานท่านางสังข์ พอร้อยเอก ถวิล นิยมเสน ถูกกระสุนปืนข้าศึกถึงแก่ความตาย สิบเอก สำราญ ควรพันธ์ ผู้นี้ได้อำนวยการรบแทนผู้บังคับหน่วยจนตนเองถูกกระสุนข้าศึกกระดูกแขนขวาแตกละเอียด แต่ยังกัดฟันสู้อยู่ไม่ยอมถอย จนการรบยุติลง
ท่าท่านมีกิริยาเศร้าซึม เพราะทราบว่า นาย ประชุม สุยสิน อดีตยุวชนทหาร รุ่น ๒๔๘๔ ซึ่งเป็นศิษย์ของท่าน ได้บริจาคเงินซื้อเจดีย์เล็ก ๆ มาวางไว้ พอเป็นนิมิตหมาย ครบรอบปี ก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ครูทหารและเพื่อนยุวชนทหาร ที่ล่วงลับไปแล้ว
ร้อยโท สำราญฯ เที่ยวตามหาอดีตยุวชนทหาร ที่เคยเป็นศิษย์ได้อีกหลายคน มีนายเทพไท ใจสมคม เป็นหัวหน้า ได้ติดต่อขอความสนับสนุน จากผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกชุมพร หัวหน้าสำนักงานทหารผ่านศึกจังหวัดชุมพร รวบรวมเงินได้ ๒๑๔,๒๕๙ บาท แขวงการทางชุมพร อนุญาตให้ใช้สถานที่ในรัศมีถนนริมสะพานท่านางสังข์ กรมศิลปากร อนุญาตให้สร้างรูปยุวชนทหาร กับอาวุธประจำกาย ในท่าเฉียงอาวุธ ยืนอยู่บนแท่น สร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๒๔ แล้วทำหนังสือมอบให้เป็นสมบัติของจังหวัดชุมพร
จังหวัดได้จัดให้มีพิธี วางพวงมาลา ในวันที่ ๘ ธันวาคม ของทุกปี
.gif)
ในปี พ.ศ.๒๕๒๗ ร้อยโท สำราญ ควรพันธ์ และทายาทของพันโท ถวิล นิยมแสน (พลโท ทวีวิทย์ นิยมเสน และ พลเอก ทวีวรรณ นินมเสน - ผู้เขียน) มอบให้ผู้อำนวยการ โรงเรียนศรียาภัย ขอให้จังหวัด ทำพิธีเปิดอนุสาวรีย์ แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดทักท้วงว่า รูปปั้นและแท่นเล็กไม่สง่างาม พอที่จะเชิญผู้ใหญ่ในบ้าน เมืองมาทำพิธีเปิดได้ ขอให้อดีตยุวชนทหารและศิษย์เก่าโรงเรียนศรียาภัย ช่วยปรับปรุงรูปปั้นและฐานให้ใหญ่ขึ้นและสง่างามกว่าเดิมเสียก่อน ผู้อำนวยการโรงเรียนศรียาภัย (สนั่น ชุมวรฐายี) ชักชวนอดีตยุวชนทหารและศิษย์เก่าโรงเรียนศรียาภัย หลายรุ่นให้ช่วยกันหาเงินปรับปรุงอนุสาวรีย์
กรรมการชุดนี้หาเงินกันได้ ๒๗๕,๐๐๐ บาท จ้างช่างปฏิมากรรม ร.อ.นพดล สุวรรณสมบัติ ปั้นรูปยุวชนทหารขนาดเท่าครึ่งคนจริง ยืนแท่นถืออาวุธประจำกายในท่าแทงปืน (คือรูปปัจจุบัน) ขยายแท่นให้กว้างกว่าเดิม ติดโคมไฟฟ้า ๔ ดวง ๔ มุม
ต่อมาในต้นปี ๒๕๓๒ พลตรี ทวีวิทย์ นิยมแสน บุตรชายของ พันโทถวิล นิยมแสน ได้บริจาคเงินให้ทางจังหวัดชุมพร เป็นจำนวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อจัดซื้อที่ดินด้านตะวันออกของอนุสาวรีย์ ขยายบริเวณออกไปให้ถึงริมท่าน้ำ แต่เจ้าของที่ดินไม่ยอมขาย จึงเปลี่ยนเป็นใช้เงินจำนวนนี้ ขยายฐานปรับปรุงพื้นที่ให้ดียิ่งขึ้น ขอให้กรมยุทธศึกษาทหารบกออกแบบ ฐานอนุสาวรีย์ เริ่มสร้างฐานใหม่ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๓๒ ในปีนั้น เกิดขัดข้องด้วยภัยธรรมชาติ คือ พายุใต้ฝุ่นและน้ำท่วม การก่อสร้างล่าช้า เพิ่งแล้วเสร็จ เมื่อเดือนกันยายน ๒๕๓๓ นอกจากนี้ ร.ท.สำราญ ควรพันธ์ กับ พ.อ.สุเทพ ควรพันธ์ (บุตรชาย) ได้สร้างศาลาที่พักริมทางไว้อีกหลังหนึ่งด้วย
ครั้นอนุสาวรีย์สร้างเสร็จสมบูรณ์ตามรูปแบบ ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร ( นายกนก ยะสารวรรณ) ให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ถมและปรับพื้นที่ รอบๆ อนุสาวรีย์ ตัดถนน ปลูกดอกไม้ และปลูกต้นไม้ในบริเวณ

๘ ธันวาคม ๒๕๓๓ พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ประกอบพิธีเปิดอนุสาวรีย์ยุวชนทหาร ที่ เชิงสะพานท่านางสังข์ด้านตะวันตก ต.ท่ายาง อ.เมือง จ.ชุมพร เป็นอนสุรณ์แด่ ยุวชนทหารแห่งโรงเรียนศรียาภัย ทหาร และตำรวจที่ได้แสดงวีรกรรมอันกล้าหาญ เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ ณ บริเวณสะพานท่านางสังข์ ริมทางหลวงหมายเลข ๔๐๐๑ สายชุมพร - ปากน้ำ
๘ ธันวาคม วันวีรไทย - วันนักศึกษาวิชาทหาร
กองทัพบกเล็ง เห็นว่า “นักศึกษาวิชาทหาร” ได้พัฒนามาจาก"ยุวชนทหาร"ในอดีต ได้รับการฝึกและภารกิจเดียวกัน คือ เป็นกำลังพลสำรอง ของประเทศ สนับสนุนกำลังประจำการในยามบ้านเมืองคับขัน
จึงอนุมัติให้ วันที่ ๘ ธันวาคม ของทุกปีเป็น “วันนักศึกษาวิชาทหาร” และให้กระทำพิธี ชุมนุมสวนสนามนักศึกษาวิชาทหารเป็นประจำทุกปี พร้อมกันทั่วประเทศ
จากปี ๒๔๘๔ ถึง ปีนี้ ๒๕๕๒ เกือบ ๗๐ ปี ที่ ท่านทั้งหลายได้สละเลือด เนื้อ และชีวิตเป็นชาติพลี เป็นแบบฉบับให้อนุชนถือเป็นเยี่ยงอย่างสืบไป
. . . ขอท่านเป็นสุข และสงบ ในสัมปรายภพ . . . เทอญ


.jpg)



.jpg)
* * * * * * * * * * * * * * *
บรรณานุกรม
- วีระบุรุษทหารไทย พ.ต. ม.ร.ว. ประพีพันธ์ สุบรรณ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก กรุงเทพฯ พ.ศ.๒๕๐๒
- ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ ๒ โดย ศาสตราจารย์ ดิเรก ชัยนาม แพร่พิทยา กรุงเทพฯ ๒๕๐๙
- ประวัติกองทัพไทย ในรอบ ๒๐๐ ปี พ.ศ.๒๓๒๕ - ๒๕๒๕ กรมแผนที่ทหาร กรุงเทพฯ ๒๕๒๕
- ๕๐ ปี วีรไทย กองทัพภาคที่ ๔ จัดพิมพ์เนื่องในวาระครบ ๕๐ ปี แห่งสงครามมหารเอเซียบูรพา ๘ ธันวาคม ๒๕๓๔
- เว็บไซต์ ของกองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และเว็บไซต์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้