Post By นายพลไอเซนฮาวน์

จุดจบของเรือ Bismarck (Sink the Bismarck)

เรือรบที่มาอานุภาพสูงสุดต้องประกอบได้ด้วย ความเร็ว, การป้องกันที่ดี, และ อานุภาพการยิงที่สูง เรือ Bismarck นั้นมีเกราะเหล็กที่หนาและปืนใหญ่ขนาด 15 นิ้วที่ทรงอานุภาพ เป็นความภูมิใจของกองทัพเรือเยอรมัน

14 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1939 เรือรบ Bismarck ได้สร้างตัวเรือเสร็จและพร้อมปล่อยลงน้ำ โดยมีอด๊อล์ฟ ฮิตเลอร์ และผู้นำหลายคนจากพรรคนาซี มาร่วมฉลองและปล่อยเรือลงน้ำ เพื่อใช้ในสงครามในอีก 6 เดือนข้างหน้า
เรือ Bismarck หนัก 35,000 ตัน แต่จริงๆ แล้วมันน่าจะหนักมากกว่า 50,000 ตัน มีขนาดที่ใหญ่ ประสิทธิภาพดี ลำตัวเรือยาว 1/6 ไมล์ กว้าง 120 ฟุต สามารถแล่นด้วยความเร็ว 30 น๊อต มีเกราะเหล็กหนา 13 นิ้ว ปืนใหญ่ขนาด 15 นิ้ว 8 กระบอก บรรจุกระสุนขนาด 200 ปอนด์ ระยะการยิ่งไกล 20 ไมล์
ย้อนกลับไปเมื่อ 50 ปีก่อน การปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษ เกราะเหล็ก เครื่องจักรไอน้ำ ทำให้อังกฤษสามารถผลิตเรือรบที่ทรงอานุภาพ เป็นผลให้ราชนาวีอังกฤษครองความยิ่งใหญ่ทางน้ำมาโดยตลอด และใช้กำลังทางน้ำเป็นกำลังรบหลัก
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ความสามารถของกองทัพเรืออังกฤษและเยอรมัน มีศักยภาพใกล้เคียงกันมาก แต่ในที่สุดในปี ค.ศ.1918 เยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 และให้คำมั่นว่า คราวหน้า เยอรมันจะสู้ตาย..
ในปี 1939 กองทัพเรือของอังกฤษมีเรือมากกว่าฝ่ายเยอรมันถึง 10 เท่า แต่เรือ Bismarck นั้นยังไม่พร้อมเข้าประจำการรบ เพราะบนดาดฟ้าเรือนั้น ยังไม่มีการติดตั้งปืนใหญ่ใดๆ และยังต้องการเวลาอีก 18 เดือน เพื่อให้เสร็จสมบูรณ์พร้อมรบ
1 กันยายน 1939 การบุกเข้าโปรแลนด์ของเยอรมัน ทำให้ฝ่ายอังกฤษมีการเคลื่อนไหว แต่ทางกองทัพเรือเยอรมันยังไม่พร้อม แต่ก็จำเป็นที่ต้องโจมตี เรือขนสินค้าที่เล่นเข้าสู่อังกฤษเป็นเป้าหมายในการถล่มของเยอรมัน เพื่อให้อังกฤษได้รับความเสียหาย Bismarck ทำการจมเรือพาณิชย์ไปหลายลำ ทำให้ฝ่ายอังกฤษต้องการที่จะทำลายเรือ Bismarck ของเยอรมันให้ได้

H.M.S. Hood
ย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ.1920 เรือ H.M.S Hood ของอังกฤษถือได้ว่าเป็นเรือที่มีขนาดใหญ่และมีความเร็วมาก ถือเป็นความภาคภูมิใจของราชนาวีอังกฤษ ศักยภาพของเรือ Bismarck นั้นพอๆ กับเรือ H.M.S. Hood แต่แตกต่างกันที่เรือ H.M.S. Hood นั้นออกมาแบบเพื่อใช้สำหรับลาดตระเวณมากกว่าที่จะทำการรบ เพราะมีเกราะที่บางเกินไป
20 สิงหาคม 1940 เรือ Bismarck ได้เข้าประจำการจบ หลังจากที่ใช้เวลาไปในการติดอาวุธต่างๆ ให้พร้อมรบ เรือ Bismarck มีขนาดใหญ่จนกัปตันเรือ Bismarck กล่าวว่า "โดยทั่วไปแล้วเรือมักจะเป็นเพศหญิง แต่นี่มันใหญ่และแข็งแรงมาก มันควรจะเป็นเพศชายมากกว่า"
40% ของน้ำหนักเรือคือเกราะเหล็ก กำลังขับเคลื่อน 1,500 แรงม้า บรรจุน้ำมันได้ 700 ตัน มีเรด้าห์ประจำอยู่ที่ตัวเรือ และมีลูกเรือประจำการ 2,200 คน มีสะเบียงเพียงพอที่สามารถอยู่ได้ถึง 3 เดือนโดยไม่เข้าฝั่ง ภายในเรือมี ยา หมอ ช่างเสื้อ แม่บ้าน ฯลฯ และในสถานการณ์ที่วิกฤติก็สามารถทำให้ที่เข้าประจำการได้
ความสำคัญของ Bismarck นั้นอยู่ที่ปืนใหญ่ ซึ่งประกอบไปด้วยปืนใหญ่ 8 กระบอก อยู่บนฐานที่มั่นคงมาก แต่จุดอ่อนที่แทบไม่มีใครจะนึกถึงเลยคือหางเสือของมัน
ในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ - มีนาคม ค.ศ.1941 Bismarck จมเรือขนส่งสินค้ากว่า 3 ล้านลำในแอตแลนติดเหนือ
2 เมษายน 1941 เป็นการปฏิบัติการครั้งแรกและเป็นปฏิบัติการสุดท้ายของ Bismarck คือการตัดเส้นทางพาณิชย์ และจมเรือสินค้า การหาเป้าหมายของ Bismarck ของฝ่ายอังกฤษเป็นไปได้ยากมาก ต้องอาศัยโชคและการสังเกตของเรือที่ได้รับการติดต่อมาเท่านั้น ปฏิบัติการของ Bismarck ในครั้งนี้ชื่อว่า Exercise Rhine โดยได้ออกปฏิบัติการกับเรืออีกลำชื่อ ปรินซอเก้น ปฏิบัติการนี้ เยอรมันต้องการให้ Bismarck หลบออกสู่แอนแลนติก เพื่อใช้ในการทำสงครามต่อไป
วันที่ 1 ของปฏิบัติการ Exercise Rhine (19 พฤษภาคม 1941) เรือ Bismarck พร้อมออกจากท่า หลังจากที่ทำการโจมตีเรือพาณิชย์มาตลอด 3 เดือน
วันที่ 3 ของปฏิบัติการ Exercise Rhine (21 พฤษภาคม 1941) Bismarck นั้นไม่ได้เติมเชื้อเพลิงให้เต็ม ถือได้ว่าเป็นจุดผิดพลาดอย่างมากของฝ่ายเยอรมัน Bismarck ได้ทำการทาเรือให้เป็นสีเทาเพื่อเป็นการพรางขนาดของเรือให้กลืนไปกับหมอกในมหาสมุทรแอตแลนติก แต่ด้วยอากาศที่แจ่มใสในวันนั้น เครื่องบินของฝ่ายอังกฤษทำการบินออกลาดตระเวณและถ่ายภาพเรือ Bismarck ได้ ฝ่ายอังกฤษต้องการความชัดเจนอย่างมากในเรื่องตำแหน่งของเรือ Bismarck, เรือ Bismarck และ ปรินซอเก้น ยังคงเคลื่อนตัวต่อไปตามแผนเดิมโดยอ้อมเกาะ Iceland ทางทิศเหนือเพื่อออกสู่แอตแลนติก โดยฝากความหวังไว้กับสภาพอากาศและการพรางตัว
วันที่ 4 ของปฏิบัติการ Exercise Rhine (22 พฤษภาคม 1941) ฮิตเลอร์พึ่งได้ทราบภาระกิจของ Bismarck และแสดงความไม่พอใจอย่างมาก แต่จะให้ถอนตัวในตอนนี้คงสายไปแล้ว ฝ่ายอังกฤษยังคงต้องการข่าวเพิ่มในเรื่องตำแหน่งของเรือ เรือ Bismarck มุ่งสู่อังกฤษเพื่อออกสู่แอตแลนติดโดยไม่รู่ว่าฝ่ายอังกฤษได้พยายามปิดเส้นทางอยู่ข้างหน้า ด้วยความโชคดีของฝ่ายเยอรมันสามารถพรางเรือผ่านหมอกหนาไปได้ แต่ก็ได้ไม่นาน เมื่อช่วงพลบค่ำท้องฟ้าสดใส ถือเป็นหายนะของฝ่ายเยอรมัน .. ฝ่ายอังกฤษเห็นเรือทั้ง 2 ลำ ของฝ่ายเยอรมันห่างออกไปประมาณ 7 ไมล์ แต่เนื่องจากฝ่ายอังกฤษมีเรือที่เล็กกว่าทำให้ไม่สามารถทำการโจมตีได้ จึงได้เรียกเรือที่ใหญ่กว่ามาช่วยเหลือ เรือเล็กพยายามติดตาม Bismarck ไม่ให้คลาดสายตา Bismarck ได้ทำการยิงปืนใหญ่ 5 ชุด เพื่อสกัด แต่ก็ไม่เป็นผล เนื่องจากฝ่ายอังกฤษมีเรด้าห์ที่ทันสมัยกว่าเยอรมัน ทำให้รู้ระยะในการติดตามที่ปลอดภัย และยังมีเรือที่มีความเร็วมากกว่า สามารถหลบหนีได้ง่าย และได้รายงานตำแหน่งเรือ Bismarck ให้ทางฝ่ายอังกฤษได้ทราบ

h.m.s Prince of Wales
วันที่ 5 ของปฏิบัติการ Exercise Rhine (23 พฤษภาคม 1941) เวลา 9.00 น. เรือ H.M.S. Hood และ Prince of Wales แล่นด้วยความเร็วรวมกันถึง 60 ไมล์ต่อชั่วโมง พร้อมที่จะทำการต่อสู้กับเรือ Bismarck แต่ฝ่ายเยอรมันยังไม่รู้ว่าฝ่ายอังกฤษได้เข้าใกล้ขนาดไหนแล้ว ผลจากการยิงทำให้เรด้าห์ของฝ่ายเยอรมันมีปัญหา ต่อมาเรือ Bismarck ได้พบเรือ H.M.S. Hood การต่อสู้จึงเริ่มขึ้น Hood เริ่มยิงเรือ ปรินซอเก้น ของเยอรมัน Bismarck จึงทำการยิงโต้ตอบ ด้วยกระสุนขนาด 15 นิ้ว เรือ Hood โดยยิ่งที่ดาดฟ้าเรือ และคลังกระสุน 2 .. Bismarck ยังคงโจมตีต่อ ปืนใหญ่ของ Hood เสียหายมาก จึงต้องกลับลำเรือเพื่อใช้ปืนอีกฝั่ง เรือ H.M.S. Hood โดนยิงที่ฐานปืนอีก จนได้รับความเสียหายมาก กระสุนหลายนัดเจาะเรือ Hood แตก ทำให้เรือจมลงอย่างรวดเร็ว ภายใน 8 นาที จากลูกเรือ H.M.S. Hood 1 พันกว่าชีวิตเหลือรอดมาเพียง 3 คน เหตุที่รอดมาเพียง 3 คนนั้นเนื่องจากห้องไอน้ำของเรือเกิดระเบิดใต้น้ำขณะที่เรือจมลงไป ทำให้เกิดฟองอากาศดันตัวคน 3 คนนี้ขึ้นมาจากแรงดึงดูดของน้ำที่เป็นผลมาจากการจมของเรือ..
วันที่ 6 ของปฏิบัติการ Exercise Rhine (24 พฤษภาคม 1941) Bismarck ได้ฝ่าการปิดล้อมของฝ่ายอังกฤษได้ และได้จมเรือ H.M.S. Hood ของอังกฤษอย่างง่ายดายภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที ยังเหลือเรือ Prince of Wales ขนาด 44,000 ตัน อีก 1 ลำ ซึ่งโดนยิงไป 4 นัด ทำให้ปืนใหญ่มีปัญหา ภายหลังจากการสู้รบ 21 นาที Prince of Wales จึงต้องล่าถอยไป ส่วนฝ่าย Bismarck ได้รับความเสียหาย โดยถูกยิง 3 นัด ที่หัวเรือ และถังเก็บเชื้อเพลิง เป็นผลให้เชื้อเพลิงรั่ว Bismarck จึงทำการเปลี่ยนแผนโดยจะแยกกับเรือ ปรินซอเก้น โดย Bismarck จะนำเรือเข้าอู่ที่ฝรั่งเศส ในวันเดียวกันนี้เอง ทางฝ่ายอังกฤษได้รับข่าวสารที่แจ้งถึงการจมของ H.M.S. Hood ชาวอังกฤษมีความเสียใจอย่างมาก และเตรียมที่จะเล่นงาน Bismarck โดยอังกฤษระดมทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อจัดการกับเรือ Bismarck และได้ทำการติดต่อทุกหน่วย เพื่อหาตำแหน่งของเรือ Bismarck เรืออังกฤษ 40 ลำ ทำการออกลาดตระเวณหาเรือ Bismarck ... Bismarck กำลังมุ่งหน้าสู่ฝรั่งเศสตามลำพัง

ผู้พิชิตบิสมาร์ก
ในเวลาประมาณ 4 ทุ่ม เรือบรรทุกเครื่องบินของอังกฤษชื่อ H.M.S. Victorious ทำการส่งเครื่องบิน 9 ลำ ไปทิ้งระเบิดเตอร์ปิโดเรือ Bismarck เรือ Bismarck ทำการยิงตอบโต้ใส่เครื่องบินฝ่ายอังกฤษ แต่ไม่เป็นผล ในระยะ 400-500 หลา เครื่องบินได้ทิ้งเตอร์ปิโด และยิงโดนเป้าหมาย เป็นผลให้ห้องไอน้ำของเรือ Bismarck ได้รับความเสียหาย แต่ไม่มาก ฝูงบินบินกลับสู่เรือเวลาประมาณ ตี 2 อย่างปลอดภัยทุกลำ .. Bismarck ใกล้ที่จะถึงฝั่งของฝรังเศสแล้ว
วันที่ 8 ของปฏิบัติการ Exercise Rhine (26 พฤษภาคม 1941) เรือ Bismarck ต้องเล่นด้วยความเร็วช้า เพื่อประหยัดเชื้อเพลิง ขณะนั้น เครื่องบินลาดตระเวณของอังกฤษชื่อ คาตาลินา บินออกหาเรือ Bismarck เมื่อเวลา 10.30 น. ก็พบเรือ Bismarck และได้ทำการตอบโต้กับ แต่คาตาลินาได้หนีจากการโจมตีไปได้.. Bismarck โดนเตอร์ปิโดยิงที่หางเสือ ไม่สามารถซ่อมแซมได้ ฝ่ายกองเรืออังกฤษกำลังใกล้เข้ามา ไม่มีอะไรที่สามารถช่วยเรือ Bismarck ได้เนื่องจากยังอยู่ห่างจากฝั่งของฝรั่งเศส

วันที่ 9 ของปฏิบัติการ Exercise Rhine (27 พฤษภาคม 1941) เวลาประมาณ 8.00 น. ฝ่ายอังกฤษพบเรือ Bismarck ลอยลำอยู่ จนถึงเวลา 8.47 น. เรืออังกฤษหลายลำเปิดฉากยิงเรือ Bismarck และ Bismarck ก็ได้ทำการตอบโต้เท่าที่ทำได้ ในที่สุดเรือ Bismarck ถูกระดมยิงอย่างหนักจากฝ่ายราชนาวีอังกฤษที่มีเรือมากกว่า เป็นผลให้เรือ Bismarck ถูกยิงบริเวณด้านหน้าไป 2 นัด และห้องบัญชาการอีก 1 นัด Bismarck ได้รับความเสียหายอย่างมาก ถึงจุดนี้ ฝ่ายอังกฤษมีความมั่นใจว่า Bismarck ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว และกลายเป็นเป้านึ่งไปในที่สุด Bismarck โดนยิงตลอดทั้งลำรวมประมาณ 400 นัด และค่อยๆ จมลงอย่างช้าๆ ฝ่ายอังกฤษต้องการที่จะจมเรือ Bismarck ให้ได้จึงปล่อยเตอร์ปิโดยิงใส่เรือ Bismarck ... จากลูกเรือ 22,000 คน เหลือรอดชีวิต 800 คน แต่ได้รับการช่วยเหลือเพียง 115 คน ส่วนที่เหลือต้องปล่อยให้เผชิญชะตากรรมด้วยตัวเองต่อไป ฝ่ายอังกฤษได้ช่วยเหลือลูกเรือ Bismarck จำนวน 115 คน ในฐานะผู้ประสพภัยหาใช่ศัตรูไม่..

หลังจากการจมเรือ Bismarck กองกำลังทางอากาศมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในสงครามโลกครั้งที่ 2 และ 7 เดือนให้หลังของการจมเรือ Bismarck ญี่ปุ่นก็ได้เข้าสู่สงครามอย่างเต็มตัว อันเนื่องมาจากผลของเศรษฐกิจที่ตกประกอบกับสหรัฐได้หยุดทำการค้ากับญี่ปุ่น อันเนื่องมาจากความต้องการของญี่ปุ่นที่จะเข้ามาครอบครองดินแถบเอเชียอาคเนย์ โดยวันที่ 7 ธันวาคม 1941 กองบินญี่ปุ่นได้บินเข้ามาโจมตีท่าเรือสหรัฐที่อ่าว Pearl เป็นผลให้สหรัฐได้ร่วมเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเต็มตัว
จาก http://www.maryvit.ac.th/viboon/soc/his/his19.htm