Post By นายพลไอเซนฮาวน์
![](http://www.dvdbeaver.com/film/DVDReviews22/a%20Lewis%20Gilbert%20Sink%20the%20Bismarck!%20DVD/title%20Lewis%20Gilbert%20Sink%20the%20Bismarck!%20DVD.jpg)
จุดจบของเรือ Bismarck (Sink the Bismarck)
![](http://www.maryvit.ac.th/viboon/soc/his/his19.jpg)
เรือรบที่มาอานุภาพสูงสุดต้องประกอบได้ด้วย ความเร็ว, การป้องกันที่ดี, และ อานุภาพการยิงที่สูง เรือ Bismarck นั้นมีเกราะเหล็กที่หนาและปืนใหญ่ขนาด 15 นิ้วที่ทรงอานุภาพ เป็นความภูมิใจของกองทัพเรือเยอรมัน
![](http://www.maritimequest.com/warship_directory/germany/photos/battleships/bismarck/03_battleship_bismarck_launch.jpg)
14 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1939 เรือรบ Bismarck ได้สร้างตัวเรือเสร็จและพร้อมปล่อยลงน้ำ โดยมีอด๊อล์ฟ ฮิตเลอร์ และผู้นำหลายคนจากพรรคนาซี มาร่วมฉลองและปล่อยเรือลงน้ำ เพื่อใช้ในสงครามในอีก 6 เดือนข้างหน้า
เรือ Bismarck หนัก 35,000 ตัน แต่จริงๆ แล้วมันน่าจะหนักมากกว่า 50,000 ตัน มีขนาดที่ใหญ่ ประสิทธิภาพดี ลำตัวเรือยาว 1/6 ไมล์ กว้าง 120 ฟุต สามารถแล่นด้วยความเร็ว 30 น๊อต มีเกราะเหล็กหนา 13 นิ้ว ปืนใหญ่ขนาด 15 นิ้ว 8 กระบอก บรรจุกระสุนขนาด 200 ปอนด์ ระยะการยิ่งไกล 20 ไมล์
ย้อนกลับไปเมื่อ 50 ปีก่อน การปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษ เกราะเหล็ก เครื่องจักรไอน้ำ ทำให้อังกฤษสามารถผลิตเรือรบที่ทรงอานุภาพ เป็นผลให้ราชนาวีอังกฤษครองความยิ่งใหญ่ทางน้ำมาโดยตลอด และใช้กำลังทางน้ำเป็นกำลังรบหลัก
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ความสามารถของกองทัพเรืออังกฤษและเยอรมัน มีศักยภาพใกล้เคียงกันมาก แต่ในที่สุดในปี ค.ศ.1918 เยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 และให้คำมั่นว่า คราวหน้า เยอรมันจะสู้ตาย..
ในปี 1939 กองทัพเรือของอังกฤษมีเรือมากกว่าฝ่ายเยอรมันถึง 10 เท่า แต่เรือ Bismarck นั้นยังไม่พร้อมเข้าประจำการรบ เพราะบนดาดฟ้าเรือนั้น ยังไม่มีการติดตั้งปืนใหญ่ใดๆ และยังต้องการเวลาอีก 18 เดือน เพื่อให้เสร็จสมบูรณ์พร้อมรบ
1 กันยายน 1939 การบุกเข้าโปรแลนด์ของเยอรมัน ทำให้ฝ่ายอังกฤษมีการเคลื่อนไหว แต่ทางกองทัพเรือเยอรมันยังไม่พร้อม แต่ก็จำเป็นที่ต้องโจมตี เรือขนสินค้าที่เล่นเข้าสู่อังกฤษเป็นเป้าหมายในการถล่มของเยอรมัน เพื่อให้อังกฤษได้รับความเสียหาย Bismarck ทำการจมเรือพาณิชย์ไปหลายลำ ทำให้ฝ่ายอังกฤษต้องการที่จะทำลายเรือ Bismarck ของเยอรมันให้ได้
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/f/f9/HMS_Prince_Of_Wales_in_Singapore.jpg/800px-HMS_Prince_Of_Wales_in_Singapore.jpg)
H.M.S. Hood
ย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ.1920 เรือ H.M.S Hood ของอังกฤษถือได้ว่าเป็นเรือที่มีขนาดใหญ่และมีความเร็วมาก ถือเป็นความภาคภูมิใจของราชนาวีอังกฤษ ศักยภาพของเรือ Bismarck นั้นพอๆ กับเรือ H.M.S. Hood แต่แตกต่างกันที่เรือ H.M.S. Hood นั้นออกมาแบบเพื่อใช้สำหรับลาดตระเวณมากกว่าที่จะทำการรบ เพราะมีเกราะที่บางเกินไป
20 สิงหาคม 1940 เรือ Bismarck ได้เข้าประจำการจบ หลังจากที่ใช้เวลาไปในการติดอาวุธต่างๆ ให้พร้อมรบ เรือ Bismarck มีขนาดใหญ่จนกัปตันเรือ Bismarck กล่าวว่า "โดยทั่วไปแล้วเรือมักจะเป็นเพศหญิง แต่นี่มันใหญ่และแข็งแรงมาก มันควรจะเป็นเพศชายมากกว่า"
40% ของน้ำหนักเรือคือเกราะเหล็ก กำลังขับเคลื่อน 1,500 แรงม้า บรรจุน้ำมันได้ 700 ตัน มีเรด้าห์ประจำอยู่ที่ตัวเรือ และมีลูกเรือประจำการ 2,200 คน มีสะเบียงเพียงพอที่สามารถอยู่ได้ถึง 3 เดือนโดยไม่เข้าฝั่ง ภายในเรือมี ยา หมอ ช่างเสื้อ แม่บ้าน ฯลฯ และในสถานการณ์ที่วิกฤติก็สามารถทำให้ที่เข้าประจำการได้
ความสำคัญของ Bismarck นั้นอยู่ที่ปืนใหญ่ ซึ่งประกอบไปด้วยปืนใหญ่ 8 กระบอก อยู่บนฐานที่มั่นคงมาก แต่จุดอ่อนที่แทบไม่มีใครจะนึกถึงเลยคือหางเสือของมัน
ในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ - มีนาคม ค.ศ.1941 Bismarck จมเรือขนส่งสินค้ากว่า 3 ล้านลำในแอตแลนติดเหนือ
2 เมษายน 1941 เป็นการปฏิบัติการครั้งแรกและเป็นปฏิบัติการสุดท้ายของ Bismarck คือการตัดเส้นทางพาณิชย์ และจมเรือสินค้า การหาเป้าหมายของ Bismarck ของฝ่ายอังกฤษเป็นไปได้ยากมาก ต้องอาศัยโชคและการสังเกตของเรือที่ได้รับการติดต่อมาเท่านั้น ปฏิบัติการของ Bismarck ในครั้งนี้ชื่อว่า Exercise Rhine โดยได้ออกปฏิบัติการกับเรืออีกลำชื่อ ปรินซอเก้น ปฏิบัติการนี้ เยอรมันต้องการให้ Bismarck หลบออกสู่แอนแลนติก เพื่อใช้ในการทำสงครามต่อไป
วันที่ 1 ของปฏิบัติการ Exercise Rhine (19 พฤษภาคม 1941) เรือ Bismarck พร้อมออกจากท่า หลังจากที่ทำการโจมตีเรือพาณิชย์มาตลอด 3 เดือน
วันที่ 3 ของปฏิบัติการ Exercise Rhine (21 พฤษภาคม 1941) Bismarck นั้นไม่ได้เติมเชื้อเพลิงให้เต็ม ถือได้ว่าเป็นจุดผิดพลาดอย่างมากของฝ่ายเยอรมัน Bismarck ได้ทำการทาเรือให้เป็นสีเทาเพื่อเป็นการพรางขนาดของเรือให้กลืนไปกับหมอกในมหาสมุทรแอตแลนติก แต่ด้วยอากาศที่แจ่มใสในวันนั้น เครื่องบินของฝ่ายอังกฤษทำการบินออกลาดตระเวณและถ่ายภาพเรือ Bismarck ได้ ฝ่ายอังกฤษต้องการความชัดเจนอย่างมากในเรื่องตำแหน่งของเรือ Bismarck, เรือ Bismarck และ ปรินซอเก้น ยังคงเคลื่อนตัวต่อไปตามแผนเดิมโดยอ้อมเกาะ Iceland ทางทิศเหนือเพื่อออกสู่แอตแลนติก โดยฝากความหวังไว้กับสภาพอากาศและการพรางตัว
วันที่ 4 ของปฏิบัติการ Exercise Rhine (22 พฤษภาคม 1941) ฮิตเลอร์พึ่งได้ทราบภาระกิจของ Bismarck และแสดงความไม่พอใจอย่างมาก แต่จะให้ถอนตัวในตอนนี้คงสายไปแล้ว ฝ่ายอังกฤษยังคงต้องการข่าวเพิ่มในเรื่องตำแหน่งของเรือ เรือ Bismarck มุ่งสู่อังกฤษเพื่อออกสู่แอตแลนติดโดยไม่รู่ว่าฝ่ายอังกฤษได้พยายามปิดเส้นทางอยู่ข้างหน้า ด้วยความโชคดีของฝ่ายเยอรมันสามารถพรางเรือผ่านหมอกหนาไปได้ แต่ก็ได้ไม่นาน เมื่อช่วงพลบค่ำท้องฟ้าสดใส ถือเป็นหายนะของฝ่ายเยอรมัน .. ฝ่ายอังกฤษเห็นเรือทั้ง 2 ลำ ของฝ่ายเยอรมันห่างออกไปประมาณ 7 ไมล์ แต่เนื่องจากฝ่ายอังกฤษมีเรือที่เล็กกว่าทำให้ไม่สามารถทำการโจมตีได้ จึงได้เรียกเรือที่ใหญ่กว่ามาช่วยเหลือ เรือเล็กพยายามติดตาม Bismarck ไม่ให้คลาดสายตา Bismarck ได้ทำการยิงปืนใหญ่ 5 ชุด เพื่อสกัด แต่ก็ไม่เป็นผล เนื่องจากฝ่ายอังกฤษมีเรด้าห์ที่ทันสมัยกว่าเยอรมัน ทำให้รู้ระยะในการติดตามที่ปลอดภัย และยังมีเรือที่มีความเร็วมากกว่า สามารถหลบหนีได้ง่าย และได้รายงานตำแหน่งเรือ Bismarck ให้ทางฝ่ายอังกฤษได้ทราบ
![](http://ahoy.tk-jk.net/ImagesJuly12006/HMSPrinceOfWales.jpg)
h.m.s Prince of Wales
วันที่ 5 ของปฏิบัติการ Exercise Rhine (23 พฤษภาคม 1941) เวลา 9.00 น. เรือ H.M.S. Hood และ Prince of Wales แล่นด้วยความเร็วรวมกันถึง 60 ไมล์ต่อชั่วโมง พร้อมที่จะทำการต่อสู้กับเรือ Bismarck แต่ฝ่ายเยอรมันยังไม่รู้ว่าฝ่ายอังกฤษได้เข้าใกล้ขนาดไหนแล้ว ผลจากการยิงทำให้เรด้าห์ของฝ่ายเยอรมันมีปัญหา ต่อมาเรือ Bismarck ได้พบเรือ H.M.S. Hood การต่อสู้จึงเริ่มขึ้น Hood เริ่มยิงเรือ ปรินซอเก้น ของเยอรมัน Bismarck จึงทำการยิงโต้ตอบ ด้วยกระสุนขนาด 15 นิ้ว เรือ Hood โดยยิ่งที่ดาดฟ้าเรือ และคลังกระสุน 2 .. Bismarck ยังคงโจมตีต่อ ปืนใหญ่ของ Hood เสียหายมาก จึงต้องกลับลำเรือเพื่อใช้ปืนอีกฝั่ง เรือ H.M.S. Hood โดนยิงที่ฐานปืนอีก จนได้รับความเสียหายมาก กระสุนหลายนัดเจาะเรือ Hood แตก ทำให้เรือจมลงอย่างรวดเร็ว ภายใน 8 นาที จากลูกเรือ H.M.S. Hood 1 พันกว่าชีวิตเหลือรอดมาเพียง 3 คน เหตุที่รอดมาเพียง 3 คนนั้นเนื่องจากห้องไอน้ำของเรือเกิดระเบิดใต้น้ำขณะที่เรือจมลงไป ทำให้เกิดฟองอากาศดันตัวคน 3 คนนี้ขึ้นมาจากแรงดึงดูดของน้ำที่เป็นผลมาจากการจมของเรือ..
วันที่ 6 ของปฏิบัติการ Exercise Rhine (24 พฤษภาคม 1941) Bismarck ได้ฝ่าการปิดล้อมของฝ่ายอังกฤษได้ และได้จมเรือ H.M.S. Hood ของอังกฤษอย่างง่ายดายภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที ยังเหลือเรือ Prince of Wales ขนาด 44,000 ตัน อีก 1 ลำ ซึ่งโดนยิงไป 4 นัด ทำให้ปืนใหญ่มีปัญหา ภายหลังจากการสู้รบ 21 นาที Prince of Wales จึงต้องล่าถอยไป ส่วนฝ่าย Bismarck ได้รับความเสียหาย โดยถูกยิง 3 นัด ที่หัวเรือ และถังเก็บเชื้อเพลิง เป็นผลให้เชื้อเพลิงรั่ว Bismarck จึงทำการเปลี่ยนแผนโดยจะแยกกับเรือ ปรินซอเก้น โดย Bismarck จะนำเรือเข้าอู่ที่ฝรั่งเศส ในวันเดียวกันนี้เอง ทางฝ่ายอังกฤษได้รับข่าวสารที่แจ้งถึงการจมของ H.M.S. Hood ชาวอังกฤษมีความเสียใจอย่างมาก และเตรียมที่จะเล่นงาน Bismarck โดยอังกฤษระดมทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อจัดการกับเรือ Bismarck และได้ทำการติดต่อทุกหน่วย เพื่อหาตำแหน่งของเรือ Bismarck เรืออังกฤษ 40 ลำ ทำการออกลาดตระเวณหาเรือ Bismarck ... Bismarck กำลังมุ่งหน้าสู่ฝรั่งเศสตามลำพัง
![](http://www.mikekemble.com/ww2/bismarck/victorious1.jpg)
ผู้พิชิตบิสมาร์ก
ในเวลาประมาณ 4 ทุ่ม เรือบรรทุกเครื่องบินของอังกฤษชื่อ H.M.S. Victorious ทำการส่งเครื่องบิน 9 ลำ ไปทิ้งระเบิดเตอร์ปิโดเรือ Bismarck เรือ Bismarck ทำการยิงตอบโต้ใส่เครื่องบินฝ่ายอังกฤษ แต่ไม่เป็นผล ในระยะ 400-500 หลา เครื่องบินได้ทิ้งเตอร์ปิโด และยิงโดนเป้าหมาย เป็นผลให้ห้องไอน้ำของเรือ Bismarck ได้รับความเสียหาย แต่ไม่มาก ฝูงบินบินกลับสู่เรือเวลาประมาณ ตี 2 อย่างปลอดภัยทุกลำ .. Bismarck ใกล้ที่จะถึงฝั่งของฝรังเศสแล้ว
วันที่ 8 ของปฏิบัติการ Exercise Rhine (26 พฤษภาคม 1941) เรือ Bismarck ต้องเล่นด้วยความเร็วช้า เพื่อประหยัดเชื้อเพลิง ขณะนั้น เครื่องบินลาดตระเวณของอังกฤษชื่อ คาตาลินา บินออกหาเรือ Bismarck เมื่อเวลา 10.30 น. ก็พบเรือ Bismarck และได้ทำการตอบโต้กับ แต่คาตาลินาได้หนีจากการโจมตีไปได้.. Bismarck โดนเตอร์ปิโดยิงที่หางเสือ ไม่สามารถซ่อมแซมได้ ฝ่ายกองเรืออังกฤษกำลังใกล้เข้ามา ไม่มีอะไรที่สามารถช่วยเรือ Bismarck ได้เนื่องจากยังอยู่ห่างจากฝั่งของฝรั่งเศส
![](http://static.howstuffworks.com/gif/united-states-enacts-lend-lease-bill-8.jpg)
วันที่ 9 ของปฏิบัติการ Exercise Rhine (27 พฤษภาคม 1941) เวลาประมาณ 8.00 น. ฝ่ายอังกฤษพบเรือ Bismarck ลอยลำอยู่ จนถึงเวลา 8.47 น. เรืออังกฤษหลายลำเปิดฉากยิงเรือ Bismarck และ Bismarck ก็ได้ทำการตอบโต้เท่าที่ทำได้ ในที่สุดเรือ Bismarck ถูกระดมยิงอย่างหนักจากฝ่ายราชนาวีอังกฤษที่มีเรือมากกว่า เป็นผลให้เรือ Bismarck ถูกยิงบริเวณด้านหน้าไป 2 นัด และห้องบัญชาการอีก 1 นัด Bismarck ได้รับความเสียหายอย่างมาก ถึงจุดนี้ ฝ่ายอังกฤษมีความมั่นใจว่า Bismarck ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว และกลายเป็นเป้านึ่งไปในที่สุด Bismarck โดนยิงตลอดทั้งลำรวมประมาณ 400 นัด และค่อยๆ จมลงอย่างช้าๆ ฝ่ายอังกฤษต้องการที่จะจมเรือ Bismarck ให้ได้จึงปล่อยเตอร์ปิโดยิงใส่เรือ Bismarck ... จากลูกเรือ 22,000 คน เหลือรอดชีวิต 800 คน แต่ได้รับการช่วยเหลือเพียง 115 คน ส่วนที่เหลือต้องปล่อยให้เผชิญชะตากรรมด้วยตัวเองต่อไป ฝ่ายอังกฤษได้ช่วยเหลือลูกเรือ Bismarck จำนวน 115 คน ในฐานะผู้ประสพภัยหาใช่ศัตรูไม่..
![](http://www.historylearningsite.co.uk/fileadmin/historyLearningSite/bismar1.jpg)
หลังจากการจมเรือ Bismarck กองกำลังทางอากาศมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในสงครามโลกครั้งที่ 2 และ 7 เดือนให้หลังของการจมเรือ Bismarck ญี่ปุ่นก็ได้เข้าสู่สงครามอย่างเต็มตัว อันเนื่องมาจากผลของเศรษฐกิจที่ตกประกอบกับสหรัฐได้หยุดทำการค้ากับญี่ปุ่น อันเนื่องมาจากความต้องการของญี่ปุ่นที่จะเข้ามาครอบครองดินแถบเอเชียอาคเนย์ โดยวันที่ 7 ธันวาคม 1941 กองบินญี่ปุ่นได้บินเข้ามาโจมตีท่าเรือสหรัฐที่อ่าว Pearl เป็นผลให้สหรัฐได้ร่วมเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเต็มตัว
จาก http://www.maryvit.ac.th/viboon/soc/his/his19.htm