ปกติวันหยุดยาวผมจะไม่ค่อยได้มีปัญญาออกไปเที่ยวที่ไหนอยู่แล้ว อย่างมากอาจไปเดินห้างที่ไหนในกรุงเทพฯ ยิ่งสงกรานต์ด้วยแล้ว ไม่อยากออกไปโดน "สาดน้ำ" แทนที่จะเป็นการ "รดน้ำ" ตามที่ควรจะเป็นตามประเพณีไทย มาสงกรานต์ปี 2552 นี้ยังไม่ทันได้คิดว่าจะออกไปไหนบ้างหรือไม่ ก็มีสถานการณ์วุ่นวายทางการเมืองมาเป็นเหตุเป็นผลให้ต้องเจ่าจุกอยู่กับบ้านดังที่เคยเป็นมา
คนไทยต้องมาทะเลาะกันเองจนเสียประเพณี ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่นานพึ่งเกิดเหตุปะทะกันเล็กน้อยระหว่างทหารไทยกับทหารเขมรบริเวณชายแดน จะเป็นเพราะเหตุนี้เกิดขึ้นในระยะเวลาอันสั้นเกินไปหรือรุนแรงน้อยไปก็ไม่ทราบ จึงไม่ช่วยกระตุ้นให้คนไทยสมานสามัคคีกัน
นักเขียนประวัติศาสตร์ไทยรุ่นเก่าที่ชาตินิยมรุนแรงได้เคยประณามเขมรหรือกัมพูชาไว้อย่างรุนแรงสำหรับพฤติกรรมที่มักจะเข้ามาซ้ำเติมด้วยการเข้ามาปล้นสดมกวาดต้อนผู้คนในเวลาที่ไทยมีศึกกับทางพม่า แต่สำหรับพระนิพนธ์ "ไทยรบพม่า" ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ผู้ทรงเป็นบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย (ย้ำว่าทรงเป็น "บิดา" ไม่ใช่ "พระบิดา" เพราะประวัติศาสตร์ไทยไม่ใช่เจ้า) ได้กล่าวถึงเรื่องราวระหว่างไทยกับเขมรในช่วงหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1 ไว้ว่ามีส่วนที่ให้คุณอยู่บ้างเหมือนกัน ถ้าพูดภาษาสมัยนี้คงเรียกว่า บรรพบุรุษของเราได้ "พลิกวิกฤตเป็นโอกาส" ดังนี้ครับ
เมื่อสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชได้เป็นใหญ่ กรุงศรีอยุธยากำลังยับเยิน ด้วยถูกพระเจ้าหงสาวดีเก็บริบทรัพย์สมบัติและกวาดผู้คนพลเมืองไปเสียแทบจะสิ้นทั้งพระนคร ไม่ช้าเจ้ากรุงกัมพูชา (ในสมัยนั้นตั้งราชธานีอยู่ที่เมืองละแวก จึงเรียกในหนังสือพระราชพงศาวดารว่า "พระยาละแวก") เห็นได้ทีก็ยกกองทัพเขมรมาซ้ำเติมหมายจะกวาดเก็บเอาทรัพย์สมบัติและผู้คนในเมืองไทยที่ยังเหลืออยู่ไปเป็นประโยชน์บ้าง
ทัพเขมรยกมาหมื่นเดียวสามารถจะเข้ามาได้จนถึงชานพระนครถึง ๒ ครั้ง เพราะที่กรุงฯ ไม่มีรี้พลและเครื่องศัตราวุธพอจะยกออกไปต่อตีข้าศึก ก็ได้แต่รักษาพระนครมั่นอยู่ แต่ครั้นรบพุ่งกันเข้าเขมรสู้ไทยไม่ได้ก็เข็ดขยาดไม่อาจเข้ามาถึงพระนครอีก แต่นั้นจึงเป็นแต่มาเที่ยวปล้นทรัพย์จับเชลยตามหัวเมืองที่ห่างออกไป
การที่เขมรพลอยเข้ามาซ้ำเติมในครั้งนั้น คิดดูก็เป็นคุณในทางอ้อม เพราะเหมือนเตือนต้อนไทยที่เที่ยวแตกฉานอยู่ให้หนีภัยเข้ามารวบรวมกันที่กรุงศรีอยุธยาให้สมเด็จพระมหาธรรมราชามีกำลังรี้พลมากขึ้น อีกประการ ๑ เป็นโอกาสให้สมเด็จพระมหาธรรมราชาคิดอ่านจัดการป้องกันพระนครให้แข็งแรงขึ้นกว่าแต่ก่อนได้โดยไม่ต้องเกรงพระเจ้าหงสาวดีจะระแวงสงสัย เพราะฉะนั้นจึงปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดารว่า สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชได้ทรงจัดการป้องกันพระนครเพิ่มเติมขึ้นเป็นหลายอย่าง เป็นต้นว่าด้านตะวันออกที่ข้าศึกเคยเข้าพระนครได้นั้นให้ขุดขยายคลองขื่อหน้าคูพระนคร ตั้งแต่วัดแม่นางปลื้ม (คือแต่ตรงปากคลองเมืองทุกวันนี้) ลงไปจนปากข้าวสาร ให้ลึกและกว้างกว่าแต่ก่อน และเนื่องต่อการขุดคูขื่อหน้านั้นให้สร้างกำแพงพระนครข้างด้านตะวันออก ขยายลงไปถึงริมน้ำให้เหมือนกับด้านอื่นด้วย แล้วให้สร้างป้อมใหญ่ขึ้นอีกป้อมหนึ่งที่มุมเมืองด้านตะวันออกเฉียงเหนือ เรียกว่าป้อมมหาไชย (อยู่ตรงตลาดหัวรอทุกวันนี้)
(ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 3 โดยสำนักพิมพ์มติชน พ.ศ.2551 หน้า 75-76)
เรียกว่าเขมรฉวยโอกาสตีปล้นเมืองไทยได้ คนไทยก็พลิกวิกฤตเป็นโอกาสในการใช้เป็นข้ออ้างกับพม่าในการเริ่มฟื้นตัวได้เหมือนกัน หลังจากนั้น เมื่อสมเด็จพระนเรศวรเสด็จกลับจากพม่ามายังกรุงศรีอยุธยาแล้ว การรบกับเขมรก็กลายมาเป็นบททดสอบสำหรับพระองค์และทหารรุ่นใหม่ที่จะกู้อิสรภาพในภายภาคหน้า
ต่อมาอีกคราวหนึ่ง เป็นเวลาสมเด็จพระนเรศวรเสด็จลงมาประทับอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาเหมือนกับคราวก่อน ได้ข่าวเข้ามาว่าเจ้ากรุงกัมพูชาให้พระทศโยธากับพระสุรินทราชาคุมกองทัพเขมรมาเที่ยวไล่กวาดผู้คนทางเมืองนครราชสีมา พอได้ทรงทราบสมเด็จพระนเรศวรก็ทรงจัดกระบวนช้างเร็วม้าเร็วกับพวกพลทหาร ๓,๐๐๐ รีบเสด็จไปให้พระยาไชยบุรีกับพระศรีถมรรัตนผู้ว่าราชการเมืองท่าโรง (ซึ่งยกขึ้นเป็นเมืองวิเชียรบุรีในรัชกาลที่ ๓ กรุงรัตนโกสินทร์) คุมทัพม้า ๕๐๐ เป็นกองหน้าไปก่อน ให้ไปซุ่มอยู่สองข้างทางที่กองทัพเขมรจะยกมา ฝ่ายกองทัพเขมรยกมาด้วยความประมาท ด้วยคาดว่าห่างพระนครคงไม่มีใครต่อสู้ ทัพเขมรกองหน้าเดินถลำเข้ามาในที่ไทยซุ่มอยู่ ทหารไทยออกรุมตีไม่ทันรู้ตัวก็แตกฉาน กองทัพไทยไล่ติดตามฆ่าฟันเขมรไปจนถึงทัพหลวง ฝ่ายพระทศโยธาพระสุรินทราชาเห็นทัพหน้าแตกยับเยินไปไม่รู้ว่ากองทัพไทยจะใหญ่น้อยสักเพียงใด ก็รีบถอยทัพหนีกลับไปกรุงกัมพูชา
(หน้า 86)
ในพระนิพนธ์ "ไทยรบพม่า" กล่าวถึง "ไทยรบเขมร" ไว้แต่เพียงเท่านี้ ไม่ได้ล่วงเลยไปถึงเรื่องการยกทัพไปตีเมืองละแวกในภายหลัง ที่นักประวัติศาสตร์รุ่นเก่าเชื่อตามพงศาวดารว่ามีได้มี "พิธีปฐมกรรม" หรือสำเร็จโทษพระยาละแวกอย่างหนักหนาสากรรจ์ แล้วนักประวัติศาสตร์รุ่นหลังของไทยเองก็เริ่มจะแย้งตามหลักฐานใหม่ๆ ว่าพิธีดังกล่าวไม่น่าจะเกิดขึ้นจริง ซึ่งผมไม่ขอกล่าวถึงในรายละเอียด การเขียนบทความเรื่องนี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะให้ท่านรู้สึกรักหรือเกลียดเขมรอย่างไม่ลืมหูลืมตา แต่ขอกล่าวอย่างกลางๆ ดังที่เคยนำเสนอเพลงชาติกัมพูชาที่บล็อกดนตรีคลาสสิคว่า ประเทศเพื่อนบ้านนั้นย่อมมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง จากสาเหตุทางด้านภูมิศาสตร์และการเมืองแต่ละยุคสมัย แต่ในอีกด้านความเป็นประเทศเพื่อนบ้านกันนั้นก็ย่อมทำให้มีสายสัมพันธ์จากการแลกเปลี่ยนประเพณีและวัฒนธรรมกันมาเป็นเวลายาวนานด้วย ว่ากันว่าคนไทยเอาคำในภาษาเขมรมาใช้เป็นราชาศัพท์ฉันใด เขมรเองก็เอาคำในภาษาไทยไปใช้เป็นราชาศัพท์อยู่ด้วยเหมือนกัน ความขัดแย้งระหว่างประเทศในอดีตและปัจจุบันนั้น เป็นเรื่องปกติที่ใครๆ ก็เข้าข้างประเทศตัวเอง แต่อย่าให้กลายเป็นเรื่องเกลียดกันไปทั้งประเทศจนลืมสายสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมประเพณีที่มีมายาวนานเลยครับ หันมาหาช่องทางสร้างวิกฤตเป็นโอกาสด้วยดังเช่นบรรพบุรุษของเราจะดีกว่า
หมายเหตุ : เปิดให้แสดงความคิดเห็นเฉพาะสมาชิกเว็บไซต์ที่ด้านล่างสุด หรือสมาชิก Facebook แสดงความเห็นได้ในกรอบข้างล่างนี้ครับ