สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เสด็จถอยมาประทับอยู่ที่ค่ายโคกกระต่าย ด้วยเหมาะที่จะให้การสนับสนุนได้ทุกด้าน แล้วมีรับสั่งให้หลวงบำเรอภักดิ์ คุมกองกำลังทหารกองนอก ๔๐๐ คน เป็นกองโจรไปคอยตีสะกัด ไม่ให้พม่าที่เขาชะงุ้ม ออกลาดตระเวนหาอาหารแลน้ำใช้ได้สะดวก
อดแล้ว ยอมซะดีดี
ในคืนวันข้างขึ้น เดือน ๔ พม่าในค่ายบางแก้ว ยกกำลังออกปล้นค่ายพระยาพิพัฒน์โกษา แล้วปล้นค่ายหลวงราชนิกุลอีก แต่ก็ไม่เป็นผลเช่นเคย พม่าขัดสนเสบียงอาหาร ต้องกินเนื้อสัตว์พาหนะ แต่น้ำในบ่อยังมีอยู่ พม่าต้องอาวุธปืนใหญ่น้อยของไทย เจ็บป่วยล้มตาย จนต้องขุดหลุมลงอาศัยกันโดยมาก ครั้นถึงวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ เวลาบ่าย สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จทรงม้าไปที่ค่ายหลวงมหาเทพ ซึ่งตั้งล้อมพม่าอยู่ทางด้านตะวันตก มีรับสั่งให้จักกายเทวะมอญเข้าไปร้องบอกแก่พม่าในค่าย ให้ออกมายอมอ่อนน้อมแต่โดยดี
อดแล้ว ยังขอเจรจา
งุยอคงหวุ่นจึงขอเจรจากับ ตละเกล็บหัวหน้ามอญที่มาอยู่กับไทย และได้เป็นที่พระยาราม แต่ก็ยังไม่เป็นผล เพราะฝ่ายไทยต้องการให้พม่าออกมายอมแพ้ และทูลขอชีวิต แต่พม่าขอให้ปล่อยไปเฉยๆ
เมื่อเจ้าพระยาสุรสีห์กับพวกผู้ว่าราชการหัวเมืองฝ่ายเหนือ คุมกองทัพหัวเมืองลงไปถึง จึงรับสั่งให้เจ้าพระยาสุรสีห์ คุมกองทัพหัวเมืองทั้งปวง ไปตั้งประชิดค่ายพม่าที่เขาชะงุ้มกันไว้ ไม่ให้เข้ามาช่วยพม่าที่ค่ายบางแก้วได้ ทั้งนี้เพื่อจะจับพวกพม่าที่ค่ายบางแก้ว ให้ได้เสียก่อน แม้จะมีข่าวคราวความเคลื่อนไหวของข้าศึก ณ ที่แห่งอื่น ๆ เช่น เมืองคลองวาฬหรือเมืองกุย บอกเข้ามาว่า พวกพม่าที่ยกเข้ามาจากเมืองมะริด ตีบ้านทับสะแกได้แล้ว ลงไปตีเมืองกำเนิดนพคุณ ผู้รั้งกรมการเมืองนำกำลังราษฎรเข้าต่อสู้ ข้าศึกได้เผาเมืองกำเนิดนพคุณ แล้วยกเลยไปทางเมืองปะทิว ซึ่งขึ้นแก่เมืองชุมพร ในกรณีนี้ ได้มีรับสั่งให้มีตราตอบไปว่า ให้ทำลายหนองน้ำและบ่อน้ำ ตามเส้นทางที่จะขึ้นมาเมืองเพชรบุรีให้หมด อย่าให้ข้าศึกอาศัยใช้ได้
ฝ่ายไทยได้ทราบข่าวสารจากเชลยที่จับมาได้ว่า พม่าที่เขาชะงุ้มพยายามเล็ดลอด ขนเสบียงมาให้พม่าในค่ายบางแก้ว และได้บอกไปยังตะแคงมรหน่อง ขอกำลังมาเพิ่มเติมให้ทางค่ายเขาชะงุ้ม เพื่อจะได้ตีหักมาช่วยที่ค่ายบางแก้ว จึงมีรับสั่งให้เพิ่มเติมกองโจรให้มากยิ่งขึ้น แล้วให้หลวงภักดีสงคราม นายกองนอกซึ่งอยู่ในกองเจ้าพระยาอินทรอภัย คุมกำลังขึ้นไปทำลายแหล่งน้ำ ในเส้นทางที่จะมาจากปากแพรก
ต่อมาพม่าในค่ายเขาชะงุ้มทำ ค่ายวิหลั่น* บังตัวออกมาปล้นค่ายเจ้าพระยาสุรสีห์ในเวลากลางคืน แต่ถูกฝ่ายไทยตีแตกกลับไป จากนั้นก็ไปปล้นค่ายจมื่นศรีสรรักษ์แต่ไม่เป็นผล ต้องถอยกลับเข้าค่ายไปอีก ในวันอังคาร แรม ๕ ค่ำ เดือน ๔ ก็ยกกำลังออกมาปล้นค่ายพระยานครสวรรค์ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านใต้ ตั้งแต่เวลา ๓ นาฬิกาจนรุ่งสว่าง สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีรีบเสด็จขึ้นไป รับสั่งให้กองอาจารย์และทนายเลือก (กองกำลัง ๗๔๕) เข้าช่วยรบ จนถึงเวลา ๘ นาฬิกา พม่าจึงถอยกลับไป
*ค่ายวิหลั่น คือ ค่ายที่ทําให้ขยับลุกเข้าไปหาข้าศึกทีละน้อย ๆ
การเจรจา (ครั้งที่ ๒) - ยอมแพ้ แต่ขอให้ปล่อย
งุยอคงหวุ่น เห็นสภาพการณ์เช่นนั้น จึงขอเจรจากับฝ่ายไทยอีก โดยให้นายทัพคนหนึ่งออกมาหาพระยาราม ๆ จึงพาไปที่เจ้ารามลักษณ์ และเจ้าพระยาจักรี นายทัพพม่าวิงวอนขอให้ปล่อยทัพพม่ากลับไป แต่ฝ่ายไทยไม่ยินยอม ฝ่ายพม่า จึงขอกลับไปปรึกษากันก่อน
การเจรจา (ครั้งที่ ๓) - ขออีก
ต่อมาเมื่อวันศุกร์ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๔ งุยอคงหวุ่นให้พม่าตัวนาย ๗ คน ออกมาเจรจาอีกว่า พวกพม่าจะยอมอ่อนน้อม ถวายช้างม้าพาหนะ และเครื่องศัตราวุธทั้งหมด ขอเพียงให้ปล่อยตัวกลับไป ทางฝ่ายไทยตอบว่า ถ้าออกมาอ่อนน้อมจะยอมไว้ชีวิต แต่จะปล่อยกลับไปไม่ได้ และให้คณะเจรจาของพม่ากลับไปเพียง ๕ คน
การเจรจา (ครั้งที่ ๔) - มอบอาวุธของตน ขอทำราชการไทย
ในวันนั้นอุตมสิงหจอจัว ปลัดทัพของยุงอคงหวุ่น ได้พานายหมวดนายกองพม่ารวม ๑๔ คน นำเครื่องศัตราวุธของตนออกมาส่งให้ไทย จึงได้นำไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี อุตมสิงหจอจัวกราบทูลว่า จะขอถือน้ำทำราชการกับไทยต่อไปจนชีวิตจะหาไม่ จึงมีรับสั่งให้อุตมสิงหจอจัว ออกไปพูดเกลี้ยกล่อม ให้พวกพม่าออกมาอ่อนน้อม พวกพม่าในค่ายก็ขอปรึกษากันก่อน
การเจรจา (ครั้งที่ ๕)
ครั้นถึงวันเสาร์ แรม ๙ ค่ำ เดือน ๔ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมีรับสั่งให้พระยานครราชสีมา ซึ่งยกกำลังเดินทางมาถึง ให้ไปตั้งค่ายประชิดพม่าที่เขาชะงุ้ม และมีการเจรจาอีกครั้งระหว่างยุงอคงหวุ่น กับอุตมสิงหจอจัว แต่ก็ยังไม่ได้ข้อยุติ เพราะงุยอคงหวุ่น คิดว่าจะทรงพระดรุณาเฉพาะผู้น้อย ส่วนตนคงจะถูกประหารชีวิต
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงทราบว่าอแซหวุ่นกี้ยังคุมกองทัพใหญ่อยู่ที่เมืองเมาะตะมะอีก ไม่ทราบแน่ชัดว่าจะยกตามเข้ามาหรือไม่ และทรงพระดำริจะเกณฑ์กองทัพจากหัวเมืองปักษ์ใต้ขึ้นมาช่วย เจ้าพระยาจักรีประมาณสถานการณ์ และกราบทูลว่า พม่าน่าจะยังไม่ยกเข้ามาในปีนี้ ด้วยจวนจะเข้าฤดูฝน หากจะเพิ่มเติมกำลังให้ตะแคงมรหน่องช่วยแก้ไขสถานการณ์ของงุยอคงหวุ่น ก็คงส่งกำลังเข้ามามามากนัก กองทัพที่มีอยู่สามารถต้านทานได้ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเห็นด้วย จึงไม่ต้องเกณฑ์กองทัพหัวเมือง เป็นแต่มีตราเกณฑ์ข้าวสาร เมืองนครศรีธรรมราช ๖๐๐ เกวียน เมืองไชยา เมืองพัทลุง และเมืองจันทบุรี เมืองละ ๔๐๐ เกวียน ให้ส่งมาขึ้นฉางไว้สำรองราชการสงคราม
พม่าค่ายบางแก้ว ยอมอ่อนน้อม
ในที่สุดเมื่อวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ งุยอคงหวุ่น และพวกนายทัพนายกองพม่าในค่ายบางแก้ว ก็ออกมายอมอ่อนน้อมทั้งหมด หลังจากที่ฝ่ายไทยล้อมค่ายพม่าได้ ๔๗ วัน ก็ได้ค่ายพม่าทั้ง ๓ ค่าย ได้เชลยรวม ๑,๓๒๘ คน ที่ตายไปเสียเมื่อถูกล้อมอีกกว่า ๑,๖๐๐ คน
(แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะเมีย จ.ศ.๑๑๓๖ ตรงกับวันศุกร์ วันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ.๒๓๑๗/๑๘)
กวาดล้าง
เมื่อได้ค่ายพม่าที่บางแก้วแล้ว รุ่งขึ้น ณ วันเสาร์ ขึ้นค่ำ ๑ เดือน ๕ ปีมะแม พ.ศ.๒๓๑๘ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ก็มีรับสั่งให้กวาดล้างค่ายพม่าที่เหลิอดังนี้
เจ้าพระยาสุรสีห์ นำกำลังพล ๑,๐๐๐ คน ขึ้นไปทางริมน้ำฟากตะวันตก และให้หลวงมหาเทพยกกำลังพลอีก ๑,๐๐๐ ขึ้นไปทางริมน้ำฟากตะวันออก ให้ไปตีค่ายพม่าที่ปากแพรก พร้อมกับกองทัพของพระยายมราช (แขก)
เจ้าพระยาจักรีขึ้นไปตีค่ายพม่าที่เขาชะงุ้ม
ในค่ำวันนั้นเวลาเที่ยงคืน พม่าในค่ายเขาชะงุ้มยกค่ายวิหลั่นออกมาปล้นค่ายพระมหาสงคราม หมายจะเข้ามาช่วยพวกของตนที่ค่ายบางแก้ว พม่าเอาไฟเผาค่ายพระมหาสงคราม เจ้าพระยาจักรีไปช่วยทันชิงเอาค่ายกลับคืนมาได้ พม่าย้ายไปปล้นค่ายจมื่นศรีสรรักษ์แต่ถูกฝ่ายไทยต่อสู้ จนต้องล่าถอยกลับเข้าค่าย
หนีดีกว่า
ต่อมาเมื่อวันอังคาร ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๕ (ตรงกับวันที่ ๔ เมษายน พ.ศ.๒๓๑๘) เวลากลางคืน พม่าในค่ายเขาชะงุ้มก็ทิ้งค่ายหนีกลับไปทางเหนือ กองทัพไทยไล่ติดตามไปฆ่าฟันพม่าล้มตาย และจับเป็นเชลยได้เป็นอันมาก เมื่อหนีไปถึงปากแพรก ตะแคงมรหน่องรู้ว่ากองทัพพม่าเสียทีกองทัพไทยหมดแล้ว ก็รีบยกกำลังกลับไปเมืองเมาะตะมะ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็มีรับสั่งให้กองทัพยกติดตามไปจนสุดพระราชอาณาเขต แล้วให้กองทัพกลับคืนมาพระนคร พระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่แม่ทัพนายกองผู้ใหญ่ผู้น้อย ตามสมควรแก่ความชอบ ที่มีชัยชนะพม่าครั้งนี้โดยทั่วกัน และโปรดตั้งพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้าจุ้ย เป็น กรมขุนอินทรพิทักษ์ พระเจ้าหลานเธอรามลักษณ์ เป็น กรมขุนอนุรักษ์สงคราม พระเจ้าหลานเธอเจ้าบุญจันเป็น กรมขุนรามภูเบศร์
การรบครั้งนี้ เมื่อพิจารณาดูแล้วจะเห็นว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ตั้งพระทัยที่จะจับพม่าที่ค่ายบางแก้วให้ได้ทั้งหมด ด้วยเหตุที่พม่าประกาศหมิ่นไทยประการหนึ่ง และทรงประสงค์จะปลุกใจคนไทย ให้กลับกล้าหาญดังแต่ก่อน หายครั่นคร้ามพม่า จึงทรงทนความลำบาก ใช้เวลาล้อมพม่าอยู่ถึง ๔๗ วัน โดยไม่รบแตกหัก ซึ่งถ้าจะทำลายกำลังพม่าก็ทำได้โดยใช้เวลาน้อยกว่านี้ แต่ผลที่ได้จะต่างกัน การจับพม่าเป็นเชลยได้เป็นจำนวนมากเช่นนี้ ให้ผลทางด้านจิตวิทยามาก
การรบพม่าที่บางแก้วเมืองราชบุรี พ.ศ.๒๓๑๗ ส่งผลให้ผู้คนที่หลบซ่อนตามที่ต่าง ๆ กลับเข้ามา เป็นจำนวนมาก เนื่องจากหมดความกลัวเกรงครั่นคร้ามพม่า และเชื่อมั่นกองทัพไทยมากขึ้น
ถวายพระเพลิงพระบรมศพ กรมพระเทพามาตย์
เมื่อเสด็จกลับจากเมืองเชียงใหม่ และเสด็จไปการพระราชสงครามเมืองราชบุรีนั้น กรมพระเทพามาตย์พระราชมารดาทรงประชวรอยู่มาก และได้เสด็จสวรรคต เมื่อเสร็จการพระราชสงครามจึงโปรดให้จัดการถวายพระเพลิง ณ พระเมรุ วัดบางยี่เรือใต้