อยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา ๗
ธนบุรีสมัย (๔)
อะแซหวุ่นกี้ตีหัวเมืองเหนือ พ.ศ.๒๓๑๘
สถานการณ์เดิมครั้ง ธนบุรีสมัย (๓)
รบพม่าที่บางแก้ว พ.ศ.๒๓๑๗ ถึงแม้ไม่เป็นศึกที่ใหญ่หลวงนัก แต่ก็เป็นการศึกที่มีผลต่อขวัญ กำลังใจของกองทัพ และพี่น้องราษฎรไทยทั่วกันเป็นอันมาก เพราะกองทัพไทยล้อมกองทัพพม่าเสียจนอดโซ แต่ใน พ.ศ.๒๓๑๘ นี้ ไทยก็ต้องเผชิญกับศึกใหญ่อีกครั้งหนึ่ง นับเป็นการศึกที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกคราวในสมัยกรุงธนบุรี ทีเดียว ครับ . . . "อะแซหวุ่นกี้ตีหัวเมืองเหนือ"
มหาสีหสุระ - อะแซหวุ่นกี้
พ.ศ. ๒๓๑๘ พระเจ้ามังระ "เซงพะยูเชง" (ฉินบูชิน - Hsinbyushin) ทรงพระประชวร ภายในราชสำนักพม่าเต็มไปด้วยข่าวลือ และกลอุบายทั่วไป แต่ก็ยังทรงบัญชาให้จัดกองทัพพม่าบุกไทยอีก เพื่อจับสมเด็จพระเจ้าตากสินให้ได้ ทรงแต่งตั้งให้ "มหาสีหสุระ" หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ "อะแซหวุ่นกี้" เป็นแม่ทัพ
ข้อมูลเกี่ยวกับอะแซหวุ่นกี้ซึ่งไม่ปรากฏในเอกสารของไทยเราคือ ลูกสาวอะแซหวุ่นกี้เป็นพระชายาเจ้าชายสินคู (จิงกูจา) รัชทายาทพระเจ้ามังระ
พม่าหนี
เมื่อวันอังคาร ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๕ (ตรงกับวันที่ ๔ เมษายน พ.ศ.๒๓๑๘) เวลากลางคืน พม่าในค่ายเขาชะงุ้มก็ทิ้งค่ายหนีกลับไปทางเหนือ กองทัพไทยไล่ติดตามไปฆ่าฟันพม่าล้มตาย และจับเป็นเชลยได้เป็นอันมาก เมื่อหนีไปถึงปากแพรก ตะแคงมรหน่องรู้ว่ากองทัพพม่าเสียทีกองทัพไทยหมดแล้ว ก็รีบยกกำลังกลับไปเมืองเมาะตะมะ (รายละเอียดใน ธนบุรีสมัย ๓)
แผนการสงคราม มหาสีหสุระอะแซหวุ่นกี้
มหาสีหสุระอะแซหวุ่นกี้ เมื่อได้รับสั่งพระเจ้ามังระแล้ว เดินทางมาถึงเมืองเมาะตะมะ ในเดือน ๕ ปีมะแม พ.ศ.๒๓๑๘ ก็ได้รับทราบผลการรบที่บางแก้วจากตะแคงมรหน่อง คิดว่า การที่จะเดินทัพเข้าตีกรุงธนบุรีเป็นสองเส้นทาง คือจากทางเหนือ และทางตะวันตก จากด่านพระเจดีย์สามองค์ ซึ่งเป็นการดำเนินกลยุทธเส้นนอก เห็นจะไม่สำเร็จ เพราะหากกองทัพทั้งสองเดินทางเข้ามาไม่พร้อมกัน องค์จอมทัพไทยอาจจะทรงใช้ "กลยุทธเส้นใน" ทำลายเสียทีละด้านก็ได้ จึงกำหนดแผนการสงครามใหม่ เป็นว่าจะยึดเอาหัวเมืองฝ่ายเหนือของไทยให้ได้เป็นที่มั่นเสียก่อน เมื่อได้เมืองเหนือแล้วจึงกรีธาทัพลงมาตีกรุงธนบุรีต่อไป ตามแบบพระเจ้าบุเรงนอง
พระเจ้ามังระได้รับหนังสือกราบทูลของอะแซหวุ่นกี้จากเมืองเมาะตะมะว่า กองทัพแตกจากเมืองไทย และว่าเมืองไทยบัดนี้กล้าแข็งเพราะมีเมืองเหนือ จึงขอกองทัพไปตีเอาหัวเมืองฝ่ายเหนือให้ได้เป็นที่มั่นเสียก่อน ตามแนวคิดข้างต้น พระเจ้ามังระทรงเห็นชอบด้วย
เริ่มศึกที่เชียงใหม่
มหาสีหสุระอะแซหวุ่นกี้ จึงสั่งให้โปสุพลากับโปมะยุง่วน (ซึ่งทิ้งเมืองเชียงใหม่อพยพผู้คนหนีออกไปทางประตูช้างเผือกข้างด้านเหนือ เมื่อ มกราคม พ.ศ.๒๓๑๗/๑๘ ไปตั้งหลักที่เมืองเชียงแสน) ให้มาตีเมืองเชียงใหม่ให้ได้ตั้งแต่ฤดูฝนนั้น (พ.ศ.๒๓๑๘) และให้สะสมเสบียงอาหาร และเตรียมเรือลำเลียงอาหารส่งกองทัพอะแซหวุ่นกี้ ในฤดูแล้ง ถัดไป
โปสุพลากับโปมะยุง่วน รวบรวมกองทัพลงมาตีเมืองเชียงใหม่ ในเดือน ๑๐ ปีมะแม พ.ศ. ๒๓๑๘
ทางกรุงธนบุรีทราบข่าวจากใบบอกเมืองเชียงใหม่ว่ามีศึกพม่า จึงรับสั่งให้เจ้าพระยาสุรสีห์เจ้าเมืองพิษณุโลก ยกทัพเมืองเหนือไปช่วยรักษาเมืองเชียงใหม่ และเจ้าพระยาจักรี ยกทัพจากกรุงธนบุรีหนุนขึ้นไปอีก และมีรับสั่งว่า หากมีชัยต่อกองทัพพม่าที่เมืองเชียงใหม่ แล้ว ให้ขึ้นไปตีเอาเมืองเชียงแสนเสียเลย
มิทันประดาบก็ถอยทัพ
โปสุพลากับโปมะยุง่วน เมื่อถึงเมืองเชียงใหม่ก็ตั้งค่ายประชิดเมืองเตรียมเข้าตี พอดีได้ข่าวว่ามีกองทัพจากเมืองพิษณุโลก และจากกรุงธนบุรีขึ้นไปช่วย ก็ถอนทัพกลับไปทางเมืองนาย หวังจะสมทบกับกองทัพใหญ่ของ อะแซหวุ่นกี้ (โดยยังมิได้รบกับเมืองเชียงใหม่ หรือกองทัพกรุงธนบุรี) เจ้าพระยาทั้งสองจึงเตรียมกองทัพสำหรับการไล่ติดตาม ต่อไป แต่โปสุพลา กับโปมะยุง่วนก็ไม่สามารถนำกำลังของตนสมทบกับกองทัพอะแซหวุ่นกี้ได้ทัน
มหาสีหสุระมาแล้ว
อะแซหวุ่นกี้ แบ่งกำลัง ๒๐,๐๐๐ เป็นกองทัพหน้า ออกจากเมืองเมาะตะมะใช้เส้นทางด่านแม่ละเมา ตรงเข้าเมืองตาก
เจ้าพระยาทั้งสองเมื่อได้ทราบข่าวกองทัพพม่า จึงระงับการไล่ติดตามกองทัพโปสุพลากับโปมะยุง่วน นำทัพกลับเมืองพิษณุโลก
อะแซหวุ่นกี้เองนำทัพหลวงจำนวน ๑๕,๐๐๐ ตามเข้ามา พร้อมด้วย ตะแคงมรหน่อง และเจ้าเมืองตองอู หัวเมืองตามรายทางไม่มีกำลังพอต่อสู้ราษฎรต้องอพยพหลบหนี
จากเมืองตาก กองทัพพม่าผ่านบ้านด่านลานหอยเข้าเมืองสุโขทัย อะแซหวุ่นกี้ได้ข่าวว่า "พระยาเสือ" เจ้าพระยาสุรสีห์เจ้าเมืองพิษณุโลก นำกองทัพไปช่วยรักษาเมืองเชียงใหม่ จึงให้กองทัพหน้าตั้งที่บ้านกงธานี ส่วนทัพหลวงตั้งพักที่เมืองสุโขทัย
เจัาพระยาจักรีนำกำลังตรงมารักษาเมืองพิษณุโลก แต่เจ้าพระยาสุรสีห์ขอนำทัพแยกไปหยั่งกำลังข้าศึก พระยาสุโขทัย พระยาอักขรวงศ์ พระยาพิชัยสงคราม ไปตั้งรับพม่า ณ บ้านกงธานี
กองทัพอะแซหวุ่นกี้ เข้าตีเมืองสวรรคโลก เมืองสุโขทัย และกองทัพพระยาสุโขทัยที่ไปตั้งรับพม่า ณ บ้านกงธานี แตกแล้ว ติดตามมาจนถึงค่ายเจ้าพระยาสุรสีห์ที่บ้านไกรป่าแฝก เจ้าพระยาสุรสีห์สู้รบ อยู่สามวัน เห็นข้าศึกมากเหลือกำลัง และจะล้อมกองทัพ จึงเลิกทัพกลับมาเมืองพิษณุโลก ทางเมืองสวรรคโลก และเมืองพิชัย
อะแซหวุ่นกี้แบ่งกำลังไว้รักษาเมืองสุโขทัย ๕,๐๐๐ และนำกำลัง ๑๐,๐๐๐ ยกไปถึงเมืองพิษณุโลกในเดือน อ้าย ข้างขึ้น ให้ตั้งค่ายล้อมเมืองทั้งสองฟากแม่น้ำ
การรักษาเมืองพิษณุโลก
ด้านเมืองพิษณุโลก ได้จัดทหารประจำเชิงเทินปราการนอกเมือง และทำสะพานเรือก* ข้ามแม่น้ำกลางเมืองขึ้นสามแห่ง เพื่อให้การเคลื่อนย้ายกำลังสะดวก ป้องกันรักษาเมืองเป็นสามารถอยู่ รอกองทัพจากกรุงธนบุรีจะยกขึ้นไปเพิ่มเติมกำลัง
* สะพานเรือก คือ สะพานชั่วคราวที่ทำด้วยไม้ไผ่ผ่าซีกถักด้วยหวายหรือเชือก.
"ขอดูตัว"
และในระหว่างการสู้รบรักษาเมืองพิษณุโลกนี้เอง ที่ทำให้แม่ทัพเฒ่าอะแซหวุ่นกี้รู้สึกนิยมชมชอบท่านแม่ทัพหนุ่ม เจัาพระยาจักรี จึงเกิดการ "ขอดูตัว" ดังเป็นที่ทราบกันดีทั่วไปแล้ว จึงขอข้ามไป
อะแซหวุ่นกี้ทำศึกข้างหน้า แต่พะวังหลัง
หากจะพิจารณาว่า เหตุใด อะแซหวุ่นกี้จึงไม่เร่งเข้ายึดเมืองพิษณุโลก หรือเร่งเดินทัพไปกรุงธนบุรีเลย กลับหยุดทัพอยู่ที่เมืองสุโขทัย ในหลักฐานที่ปรากฎ แสดงความคิดของอะแซหวุ่นกี้ว่าเป็นสุภาพบุรุษไม่เข้ายึดเมืองเมื่อไม่มีกองทัพรักษาอยู่ ซึ่งไม่น่าจะเป็นเหตุผลที่แท้จริง
การไม่เร่งเดินทัพไปกรุงธนบุรี อาจจะมองได้ว่าท่านต้องการดำรงความมุ่งหมายที่จะยึดเมืองเหนือให้ได้มั่นคงเสียก่อน ก็ได้ แต่การที่ตั้งทัพที่เมืองสุโขทัยนั้น สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงแสดงเหตุผลว่า เมืองสุโขทัยอุดมสมบูรณ์กว่าเมืองใกล้เคียงอื่น ๆ จึงอยู่เพื่อรวบรวมเสบียงอาหารสำหรับกองทัพด้วย
นายทหารผู้ใหญ่ท่านหนึ่งให้ความเห็นว่า เพราะเมืองพิษณุโลกไม่มีคุณค่าทางการทหาร และ อะแซหวุ่นกี้ต้องการทำลายกองทัพ หรือขวัญกำลังใจของกองทัพ มิได้ต้องการยึดรักษาเมือง หากรีบยกไปกรุงธนบุรี ก็ยังมีกองทัพไทยอยู่ด้านหลังอีก เกรงว่าจะต้องรบสองด้าน จึงต้องการทำลายกองทัพของเจ้าพระยาทั้งสองนี้เสียก่อน
แต่เมื่อคราวที่ อะแซหวุ่นกี้ได้ขอดูตัวเจ้าพระยาจักรีก่อนจากกันได้บอกแก่เจ้าพระยาจักรีว่าขอให้รักษาเมืองให้ดี เราจะตีเอาเมืองให้จงได้ และแนวความคิดที่ว่า "จะยึดเอาหัวเมืองฝ่ายเหนือของไทยให้ได้เป็นที่มั่นเสียก่อน" ก็แสดงว่า ฝ่ายพม่า มีความมุ่งหมายจะหัวเมืองฝ่ายเหนือ จึงไม่รีบเข้าไปตีกรุงธนบุรี
ข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่ง ก็คือ สถานการณ์ทางการเมืองของพม่าในระยะนั้น ซึ่งน่าจะทำให้ขุนพลเฒ่ากังวลใจมาก เพราะพระเจ้ามังระทรงพระประชวร ภายในราชสำนักพม่าก็เต็มไปด้วยข่าวลือ และกลอุบายทั่วไป อะแซหวุ่นกี้จึงต้องห่วงใยอนาคตของรัชทายาทพม่า อยู่เองเป็นธรรมดา
ดังนั้น การที่อะแซหวุ่นกี้ไม่เข้ายึดเมืองพิษณุโลก และไม่รีบนำทัพสู่กรุงธนบุรี น่าจะเป็นเพราะเกรงว่าอาจจะนำกองทัพเข้าติดพันกับสถานการณ์อันยุ่งยากที่จะถอนทัพแต่ต้องการให้มีเสรีในการปฏิบัติที่สามารถจะเดินทางกลับกรุงรัตนปุรอังวะได้ทันท่วงทีเมื่อเกิดสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้วางในในราชสำนักพม่า
กรุงธนบุรี
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงได้รับใบบอก จากหัวเมืองทางใต้ว่า กองทัพพม่ายกมาจากเมืองตะนาวศรี จึงทรงจัดกองทัพให้กรมขุนอนุรักษ์สงคราม (เจ้ารามลักษณ์) นำไปตั้งที่เมืองเพชรบุรี แล้วทรงนำกองทัพจำนวน ๑๒,๐๐๐ จากกรุงธนบุรี ขึ้นไปเมืองพิษณุโลก เมื่อ เดือนยี่ แรม ๑๑ ค่ำ ปีมะแม
(แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ยี่ ปีมะแม จ.ศ.๑๑๓๗ ตรงกับวันอังคาร วันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ.๒๓๑๘/๑๙ - การตรวจสอบของ http://www.payakorn.com)http://www.payakorn.com)
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จทรงใช้หลักการระวังป้องกัน เป็นอย่างยิ่ง เพราะขณะนี้เท่าที่ทรงทราบ ฝ่ายพม่า ได้ล้อมเมืองพิษณุโลก และมีกำลังส่วนหนึ่งอยู่ที่เมืองสุโทัย และกองทัพพม่าก็กำลังมาจากเมืองตะนาวศรีอีกทางหนึ่ง
ดังนั้น จึงน่าจะทรงพระดำริว่า จะต้องควบคุมรักษาเส้นทางการเดินทัพจากเมืองพิษณุโลกถึงกรุงธนบุรีไว้ให้ได้ เมื่อทรงนำทัพหลวงถึงเมืองนครสวรรค์แล้ว จึงโปรดให้พระยาราชาเศรษฐีคุมกำลังจำนวน ๓,๐๐๐ ตั้งอยู่ที่เมืองนครสวรรค์เพื่อรักษาเส้นทาง และป้องกันกองทัพพม่าซึ่งอาจจะยกลงมาทางลำน้ำปิง ส่วนพระองค์ทรงนำทัพหลวงไปตามลำน้ำแควใหญ่ แม่น้ำน่าน ไปถึงปากพิง แขวงเมืองพิษณุโลก และทรงตั้งค่ายหลวง ที่ปากพิง เมื่อวันเสาร์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะแม จ.ศ.๑๑๓๗ ตรงกับ วันที่ ๒๗ มกราคม พ.ศ.๒๓๑๘/๑๙ (การตรวจสอบของ http://www.payakorn.com)
เหตุที่ทรงตั้งค่ายหลวงที่ปากพิง นั้น น่าจะทรงพิจารณาว่า ปากพิงอยู่ใต้เมืองพิษณุโลก ห่างเป็นระยะเดินวันหนึ่ง (ประมาณ ๒๕ - ๓๐ กิโลเมตร) เป็นปมคมนาคมทางน้ำ เนื่องจากเป็นปากคลองลัดระหว่างแม่น้ำยม กับแม่น้ำน่าน (ประมาณ ๕ กิโลเมตร) เป็นการป้องกันไม่ให้พม่าเพิ่มเติมกำลังทางน้ำได้ และจากค่ายหลวงที่ปากพิงนี้ ทรงวางกำลังคุ้มครองเส้นทางตลอดถึงเมืองพิษณุโลก เป็น ๕ ค่าย คือ
กองที่ ๑ พระยาสุภาวดีเป็นนายทัพ ตั้งที่บางทราย
กองที่ ๒ เจ้าพระยาอินทรอภัยเป็นนายทัพ ตั้งที่ท่าโรง
กองที่ ๓ พระยาราชภักดีเป็นนายทัพ ตั้งที่บ้านกระดาษ
กองที่ ๔ จมื่นเสมอใจราชเป็นนายทัพ ตั้งที่วัดจุฬามณี
กองที่ ๕ พระยานครสวรรค์เป็นนายทัพ ตั้งที่วัดจันทร์ ท้ายเมืองพิษณุโลก
ภารกิจ ให้จัดกองลาดตระเวนออกตรวจตรา รักษาเส้นทางคมนาคมทุกระยะ
นอกจากนี้ ทรงจัดให้มีกองปืนใหญ่ทหารเกณฑ์หัดเตรียมไว้เป็นกองหน้า สำหรับจะให้ไปช่วยกองทหารที่ตั้งไว้รายทางไหนๆ ได้ในเวลาต้องการได้ทันท่วงที กองปืนใหญ่นี้ หากจะเทียบกับ "การจัดปืนใหญ่เข้าทำการรบ" ในปัจจุบัน ก็คือจัดปืนใหญ่ทั้งหมดเข้าไว้เป็นปืนใหญ่ช่วยส่วนรวม อยู่ในมือแม่ทัพใหญ่ที่จะใช้บังคับวิถีการรบได้ (ไม่ใช่จัดปืนใหญ่เป็นกองหนุน นะครับ)
ในด้านการเตรียมพื้นที่การรบ ทรงให้พระศรีไกรลาศ คุมกำลังพล ๕๐๐ ทำทางริมลำน้ำเพื่อใช้เป็นเส้นทางเคลื่อนย้ายกำลังตั้งแต่ปากพิง ผ่านค่ายต่างตลอดถึงเมืองพิษณุโลกได้สะดวก และรวดเร็ว
ในด้านกำลังรบเปรียบเทียบ ฝ่ายพม่ามีกำลังพลมากกว่าฝ่ายไทย ประมาณ ๓ ต่อ ๒ แต่ไทยมีปืนใหญ่มากกว่า ไทยจึงมีอำนาจการยิง และมีความคล่องแคล่วในการเคลื่อมที่สูงกว่า เนื่องจากมีเรือรบ สามารถเคลื่อนย้ายกำลังรบ และส่งกำลังบำรุงทางลำน้ำได้ดีกว่า
ปัญหาของทั้งสองฝ่าย คือ การจัดหาเสบียงอาหาร เพราะพ้นฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว ฝ่ายพม่าซึ่งคาดหวังว่าจะได้เสบียงอาหารจากเมืองเชียงใหม่ และจากเมืองเหนืออื่นๆ ก็ไม่ได้ดังคาดแม้ว่าจะตั้งรวบรวมเสบียงอยู่ที่เมืองสุโขทัย ก็คงไม่ได้เต็มที่ ส่วนฝ่ายไทย น่าจะได้เปรียบกว่า เพราะสามารถรวบรวมได้กว้างขวางกว่า เพราะเมื่อปีก่อน ช่วงปลายสงครามที่บางแก้ว ก็โปรดให้มีตราเกณฑ์ข้าวสาร เมืองนครศรีธรรมราช ๖๐๐ เกวียน เมืองไชยา เมืองพัทลุง และเมืองจันทบุรี เป็นข้าวสารเมืองละ ๔๐๐ เกวียน ให้ส่งมาขึ้นฉางไว้สำรองราชการสงคราม และในสงครามนี้ ก็ทรงวางกำลังไว้ที่เมืองนครสวรรค์ ด้วย ซึ่งสามารถรวบรวมเสบียงอาหารได้อีกส่วนหนึ่ง
สงครามคราวนี้ฝ่ายไทยต้องการรักษาเมืองพิษณุโลกไว้ให้ได้ เพราะเหมือนกับเป็นฐานที่มั่นสำคัญทางเหนือ หากพม่ายึดได้แล้วแทบจะไม่มีเมืองใดที่จะเป็นที่มั่นต้านทานกองทัพพม่าได้ ดังนั้น ฝ่ายไทยจึงทุ่มเทความพยายาม และทรัพยากรเท่าที่รวบรวมได้ให้เมืองพิษณุโลก ดังที่ได้ว่ามาแล้ว
ฝ่ายพม่า ก็พยายามที่จะปิดล้อมให้เมืองพิษณุโลกขาดแคลนอาหาร (ฤๅจะแก้ตัวที่ค่ายบางแก้ว และค่ายเขาชะงุ้มเคยถูกฝ่ายไทยล้อมให้อดอาหารเมื่อปีก่อน) จึงพยายามทำลายทหารไทยที่รักษาเส้นหลักการส่งกำลังบำรุง ปากพิง - พิษณุโลก ให้ได้
พม่าพยายามทำลายเส้นทางส่งกำลังของไทย
ในวันอังคาร ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะแม จ.ศ.๑๑๓๗ ตรงกับ วันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ.๒๓๑๘/๑๙ (การตรวจสอบของ http://www.payakorn.com) อะแซหวุ่นกี้จัดกำลังมาตั้งค่ายหน้าค่ายจมื่นเสมอใจราช ที่วัดจุฬามณี ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน่าน และจัดกำลังอีกกองหนึ่งลาดตระเวน (ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน่านเช่นกัน) ตั้งแต่บางกระดาษ ถึงบางทราย หน่วยลาดตระเวนพม่านี้ได้ปะทะกับกำลังฝ่ายไทย สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงจัดปืนใหญ่รางเกวียน จำนวน ๓๐ กระบอก ขึ้นไปสนับสนุนพระยาสุภาวดี ที่ค่ายบางทราย ได้รบกันจนค่ำฝ่ายพม่าจึงถอยกลับไป
อีก ๒ วันต่อมา คือวันพฤหัสบดี ที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๓๑๘/๑๙ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จยกทัพหลวงไปตั้งที่บางทรายฝั่งตะวันออก ทำให้กำลังที่บางทรายเข้มแข็งขึ้นและในคืนนี้ พม่าได้ยกมาทางฝั่งตะวันตกเข้าตีค่ายเจ้าพระยาอินทรอภัย ที่ท่าโรง ได้รบพุ่งกันเป็นสามารถ ฝ่ายไทยจัดปืนใหญ่เข้าสนับสนุน ฝ่ายพม่าเข้าตีไม่สำเร็จ แตกพ่ายกลับไป
กำลังพม่าที่ใช้ในสองวันที่กล่าวมาแล้วนี้ อะแซหวุ่นกี้จัดกำลังจามกองทัพใหญ่ซึ่งล้อมเมืองพิษณุโลกอยู่ ครั้นจะจัดมามากนักก็ไม่ได้ เพราะเกรงว่าจะถูกตีจากในเมือง จึงสั่งใช้กองหนุนที่เมืองสุโขทัย ให้จัดกำลัง ๓,๐๐๐ แยกลงมาทำลายค่ายทหารไทยที่รักษาเส้นทาง ปากพิง - พิษณุโลก ส่วนอีก ๒,๐๐๐ ให้ส่งไปเพิ่มเติมกองทัพใหญ่
กระบวนศึกตอนที่ ๒
ไทยพยายามเข้าตีค่ายพม่า
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเห็นว่าพม่าถอนกลับไปทางเมืองพิษณุโลกแล้ว ก็ทรงเตรียมการเข้าตีค่ายพม่าบ้าง
ทรงให้ - พระยารามัญวงศ์คุมกองทหารมอญ ผ่านเมืองพิษณุโลกเข้าไปตั้งค่ายประชิดค่ายพม่าทางทิศเหนือ
- เจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาสุรสีห์ ออกไปตั้งค่ายประชิดค่ายพม่าทางตะวันออก
- พระยานครสวรรค์ ซึ่งตั้งอยู่ที่ค่ายวัดจันทร์ ตั้งค่ายชักปีกกาประชิดค่ายพม่าเป็นหลายค่าย
ผลการปฏิบัติ
ด้านเหนือ กองทหารมอญของพระยารามัญวงศ์ถูกพม่าเข้าตี แต่ทหารมอญก็ได้ต่อสู้จนทหารพม่าต้องถอนตัวกลับเข้าค่าย กองทหารมอญสามารถตั้งค่ายได้
ด้านตะวันออก กองทัพของเจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาสุรสีห์ที่ยกออกไปจากเมืองพิษณุโลกไปตั้งค่ายประชิดค่ายพม่า ทีแรกถูกพม่ารบชิงเอาค่ายได้ เจ้าพระยาสุรสีห์จึงต้องออกบัญชาการรบเองจนชิงเอาค่ายคืนมา และตั้งค่ายประชิดค่ายพม่าได้ตลอดแนวด้านตะวันออก พม่าพยามยามเข้าตีค่ายนี้อีกหลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ จึงใช้วิธีขุดคูเข้ามา ฝ่ายไทยก็ขุดคูออกไปบ้าง เมื่อคูทะลุถึงกัน จึงได้รบกันในคู รบกันอยู่หลายวันไม่ได้เพลี่ยงพล้ำแก่กัน
ข้างแรมอ่อนๆ เข้าตีใต้แสงจันทร์
จนกระทั่ง วันอังคาร เดือน ๓ แรม ๒ ค่ำ ตรงกับ วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๓๑๘/๑๙ เวลากลางคืน ๒๒ นาฬิกา สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จไปยังค่ายวัดจันทร์ ของพระยานครสวรรค์ รับสั่ง ให้กองทัพไทยที่ตั้งค่ายประขิดค่ายพม่าให้เข้าระดมตีค่ายพม่าที่ล้อมเมืองข้างด้านตะวันออกพร้อมกันทุกๆ ค่าย ในเวลา ๕ นาฬิกา และทรงให้กองทัพพระยายมราช พระยานครราชสีมา พระยาพิชัยสงคราม ยกหนุนไปช่วยพระยานครสวรรค์ทางด้านใต้
ฝ่ายอะแซหวุ่นกี้ เห็นฝ่ายไทยเตรียมการทางด้านตะวันออกเป็นการคึกคักมาหลายวัน ก็คาดว่าฝ่ายไทยน่าจะมีการปฏิบัติในด้านนี้ จึงดึงเอากำลังจากด้านอื่นมาคอยต้อนรับการเข้าตีของฝ่ายไทย
ผลการปฏิบัติ
ฝ่ายไทยให้สัญญาณเข้าตีในเวลา ๕ นาฬิกา เข้าระดมตีค่ายพม่าที่ล้อมอยู่ด้านตะวันออกพร้อมกันทุกค่าย รบกันจนสว่างก็ยังตีค่ายพม่าไม่ได้ เพราะพม่าได้เสริมกำลังไว้ดังได้กล่าวแล้ว จึงจำต้องถอยออกมา
ปรับแผนการเข้าตี
ในวันรุ่งขึ้น ฝ่ายไทยได้หารือกันที่ค่ายวัดจันทร์และได้ปรับแผนการเข้าตีดังนี้
เจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาสุรสีห์ ยกกำลังจากในเมืองเข้าตีค่ายด้านตะวันตกเฉียงใต้
กองทัพหลวงจัด ๑ กองตีกระหนาบทางด้านหลัง
เมื่อทรงหารือและปรับแผนเสร็จแล้ว สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จไปประทับแรมที่ค่ายท่าโรง
กองทหารที่กองทัพหลวงจัดขึ้น ๑ กองนั้น ประกอบด้วย กองทัพพระยานครสวรรค์ (จากค่ายวัดจันทร์) กองทัพพระโหราธิบดี และ กองมอญ ของพระยากลางเมืองจากค่ายบางทราย รวมรี้พลได้ ๕,๐๐๐ ให้พระยามหามณเฑียร เป็นแม่ทัพ พระยานครสวรรค์ เป็นกองหน้า หลวงดำเกิงรณภพ หลวงรักษ์โยธา เป็นกองหนุน ยกขึ้นไปซุ่มอยู่ด้านหลังค่ายพม่าฝั่งตะวันตก
ทางด้านกองหนุนของพม่าที่เมืองสุโขทัย เมื่อได้รับคำสั่งจากอะแซหวุ่นกี้ ให้จัดกำลัง ๓,๐๐๐ แยกลงมาทำลายค่ายทหารไทยที่รักษาเส้นทาง ปากพิง - พิษณุโลก ส่วนอีก ๒,๐๐๐ ให้ส่งไปเพิ่มเติมกองทัพใหญ่ ตั้งแต่วันพฤหัสบดี ที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๓๑๘/๑๙ นั้น กองสอดแนมของพระยาสุโขทัยได้ทราบความ จึงกราบทูลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีในวันเสาร์ที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๓๑๘/๑๙ แต่กองทัพพระยามหามณเฑียรได้ออกเดินไปแล้ว จึงโปรดให้พระยาราชภักดี กับพระยาพิพัฒน์โกษา ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านบางกระดาษให้ลงมาช่วยพระยาราช่าเศรษฐีรักษาเมืองนครสวรรค์ และให้กองมอญของพระยาเจ่ง กับกองหลวงภักดีสงคราม รวม ๕๐๐ เป็นหน่วยลาดตระเวน ไปตั้ง ณ บ้านลานดอกไม้ ข้างเหนือเมืองกำแพงเพชร คอยค้นหาข้าศึก หากพบ และได้ทีก็ให้โจมตี ถ้าไม่ได้ทีก็ให้ล่าถอยมา และให้พระยาธรรมายกไปหนุนพระยามหามณเฑียร อีกกองหนึ่ง (กองทัพพระยามหามณเฑียร คงปฏิบัติภารกิจเดิมต่อไป)
ผลการปฏิบัติ
เจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาสุรสีห์ ยกกำลังจากในเมืองเข้าตีค่ายด้านตะวันตกเฉียงใต้ ในวันเสาร์ ที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๓๑๘/๑๙ ตามรับสั่ง เจ้าพระยาสุรสีห์ให้เอาผ้าชุบน้ำมันยางผูกปลายไม้ทำคบ และเอาต้นคบยัดในกระบอกปืนใหญ่ เอาไฟจุดปลายคบแล้วยิงเข้าไปในค่ายพม่า สามารถเผาค่าย และหอรบพม่าได้ หลายหอ หทารพม่าออกมาดับไฟก็ถูกปืนใหญ่ไทยยิงบาดเจ็บล้มตาย เป็นอันมาก
เจ้าพระยาสุรสีห์ท่านสามารถใช้ประโยชน์จากปืนใหญ่ได้อย่างดี การปฏิบัตินี้ก็คือการเลือกใช้กระสุนให้เหมาะกับเป้าหมาย หากใช้กระสุนลูกเหล็กกลมธรรมดา หากถูกเป้าหมายก็ได้แต่พังทลาย แต่ท่านใช้กระสุนเพลิง มีผลในการเผาผลาญเป้าหมายที่ลุกไหม้ได้ง่าย
พระยามหามณเฑียรไปไม่ถึงพื้ที่การรบ
ส่วนกองทัพกระหนาบของพระยามหามณเฑียรนั้น เมื่อกองหน้าของพระยานครสวรรค์ไปถึงบ้านส้มป่อย ได้ปะทะกับกองทหารพม่า ซึ่งคาดว่าเป็น กองทียกมาจากเมืองสุโขทัยเพื่อไปเมืองพิษณุโลก (จำนวน ๒,๐๐๐)จึงไม่สามารถเดินทางไปถึงพื้นที่การรบได้
เจ้าพระยาจักรี และเจ้าพระยาสุรสีห์ก็เพียงแต่รักษาค่ายมั่นอยู่
กระบวนศึกตอนที่ ๓
อะแซหวุ่นกี้สังเกตเห็นว่ากำลังฝ่ายไทยที่ตั้งค่ายรายทางรักษาเส้นทางคมนาคม ปากพิง - พิษณุโลก เบาบางลง จึงจัดกำลังให้กะละโบ่เป็นนายทัพ ตั้งสกัดตัดขบวนลำเลียงเสบียงอาหารที่ส่งไปให้เมืองพิษณุโลก และตีตัดเอาไปได้เป็นหลายครา (ชะรอยฝ่ายไทยจะจัดกำลังคุ้มกันไม่เข้มแข็งพอ)
ฝ่ายไทยจึงปรับวิธีการ ให้พระยานครราชสีมา คุมกำลังคุ้มกันขึ้นไป และเจ้าพระยาสุรสีห์ คุมกำลังจากเมืองพิษณุโลกลงมารับ แต่ก็ถูกกองกำลังกะละโบ่ตีสกัดไว้ ฝ่ายไทยไม่สามารถส่งเสบียงอาหารไปให้เมืองพิษณุโลกได้อีก
กะละโบ่นี้ เป็นนายทหารที่มีฝีมือเข้มแข็งท่านหนึ่ง ถึงกับเป็นที่สรรเสริญอยู่ในพระราชพงศาวดาร และพงศาวดาร พม่าทีเดียว
ศึกเสือ - เหนือใต้
ครั้นแรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะแม จ.ศ.๑๑๓๗ ตรงกับวันศุกร์ วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๓๑๘/๑๙ กรุงธนบุรีมีใบบอกขึ้นมาว่า กองทัพพม่ายกเข้ามาทางด่านสิงขร ตีได้เมืองกุย เมืองปราณ กรมขุนอนุรักษ์สงครามซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองเพชรบุรี แต่งกองทหารไปขัดตาทัพอยู่ที่ด่านช่องแคบในแขวงเมืองเพชรบุรี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงรับสั่งให้เจ้าประทุมไพจิตรแบ่งกองทัพลงมารักษากรุงธนบุรีอีกกองหนึ่ง ทำให้กำลังกองทัพหลวงลดลงไปอีก
กำแพงเพชร
ทางด้านกองมอญของพระยาเจ่ง กับกองหลวงภักดีสงคราม รวม ๕๐๐ ซึ่งเป็นหน่วยลาดตระเวน ไปตั้ง ณ บ้านลานดอกไม้ ข้างเหนือเมืองกำแพงเพชร คอยค้นหาข้าศึกนั้นได้เข้าที่ซุ่มอยู่ เมื่อเห็นทหารพม่า (ที่มาจากเมืองสุโขทัย) ก็เข้าโจมตีทันที พม่าแตกหนีไป แต่เมื่อทหารพม่าส่วนใหญ่มาถึงมีกำลังมากกว่า พระยาเจ่งจึงต้องถอนตัว แต่ถึงกระนั้น ก็ยังได้เครื่องศาสตราวุธของพม่าส่งมาถวายจำนวนหนึ่ง
ทหารพม่าส่วนนี้ได้รับคำสั่งให้ไปตีเมืองนครสวรรค์เพื่อทำลายแหล่งเสบียงอาหารที่ส่งไปเมืองพิษณุโลก แต่เนื่องจากสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดให้พระยาราชภักดี กับพระยาพิพัฒน์โกษา ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านบางกระดาษให้ลงมาช่วยพระยาราชาเศรษฐีรักษาเมืองนครสวรรค์ ก่อนแล้ว กองกำลังของพม่ามาถึงเมืองกำแพงเพชรได้ข่าวว่า ฝ่ายไทยป้องกันเมืองนครสวรรค์เข้มแข็ง เห็นว่ากำลังฝ่ายตนเพียง ๓,๐๐๐ ไม่พอที่จะเอาชนะได้ จึงตั้งค่ายอยู่ที่ บ้านโนนศาลา บ้านถลกบาตร และบ้านหลวง แขวงเมืองกำแพงเพชร แล้วแต่งกองโจรเดินเข้าป่าอ้อมหลังเมืองนครสวรรค์ไปเมืองอุทัยธานี กองหนึ่ง และกองนี้ได้เผาบ้านอุทัยธานี
เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงทราบสถานการณ์นี้ จึงทรงปรับการวางกำลัง ดังนี้
๑, จัดกำลังจากกองทัพหลวง ๑,๐๐๐ ให้เจ้าอนุรุธเทวา เป็นนายกอง มีภารกิจป้องกันขบวนลำเลียงเสบียงอาหาร และเครื่องศาตราวุธที่ส่งมาจากทางใต้ แบ่งออกเป็น ๓ กองย่อย คือ กองที่ ๑ ให้ขุนอินทรเดช เป็นนายกอง กองที่ ๒ ให้หลวงปลัด เป็นนายกอง กับให้หลวงสรวิชิตซึ่งเป็นนายด่านเมืองอุทัยธานี เป็นกองหน้า กองที่ ๓ ให้เจ้าเชษฐกุมาร เป็นนายกอง
๒. แบ่งคนจากกองอาจารย์ ลงมาช่วยที่เมืองนครสวรรค์ และให้ลงไปตั้งที่บ้านคุ้งสำเภา แขวงเมืองชัยนาทอีกกองหนึ่ง
๓. ให้ถอนกองทัพพระโหราธิบดี จากใต้ใต้เมืองพิษณุโลก หลวงรักษ์มณเฑียร จากค่ายท่าโรง ข้างเหนือปากพิง มาตั้งค่ายที่โคกสลุด แขวงเมืองพิจิตร
๔, ให้พระยานครชัยศรี มาตั้งที่โพธิ์ประทับช้าง ใต้โคกสลุดลงไปอีกกองหนึ่ง
ประชุมปรับแผนการทัพ
ครั้นวันแรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะแม ตรงกับวันเสาร์ วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๓๑๘/๑๙ (ใน "ไทยรบพม่า" ว่าเป็นวันอาทิตย์) รับสั่งให้หาเจ้าพระยาจักรี และเจ้าพระยาสุรสีห์มาเฝ้าที่ค่ายท่าโรง แต่เจ้าพระยาจักรีป่วย มาเฝ้าแต่เจ้าพระยาสุรสีห์ ทรงปรึกษาโดยพระราชดำริจะผ่อนกองทัพหลวงลงไปตั้งที่เมืองนครสวรรค์เพื่อป้องกันเสบียง ให้เจ้าพระยาทั้งสองป้องกันรักษาเมืองพิษณุโลก
ทั้งนี้ เนื่องจากทรงพระราชดำริว่า กำลังฝ่ายไทยเราน้อยกว่าพม่า และต่างฝ่ายต่างขาดแคลนเสบียงอาหาร หากฝ่ายเรารักษาชัยภูมิ เมืองสำคัญอู่ข้าวอู่น้ำไว้ให้ได้ และตัดเสบียงอาหารจนพม่าอดหยากระส่ำระสายแล้ว จึงใช้กำลังเข้าระดมโจมตี แต่ในระหว่างนี้ เจ้าพระยาทั้งสองจะต้องรักษาเมืองพิษณุโลกไว้ให้ได้
ฝ่ายแม่ทัพเฒ่าอะแซหวุ่นกี้ ก็ตระหนักในปัญหานี้เช่นกัน และพยายามรวบรวมกำลังเพื่อเข้าตีกองทัพกรุงธนบุรีไม่ให้คุ้มครองป้องกันเมืองพิษณุโลกให้ได้
ในวันขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะแม ตรงกับวันอังคาร วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๓๑๘/๑๙ กองสอดแนมจากค่ายหลวงที่ปากพิงตรวจพบว่าพม่าเตรียมตั้งค่ายในคลองพิง (ห่างเข้าไปสัก ๓ คุ้ง) จึงรับสั่งให้หลวงวิสูตรโยธามาตย์ หลวงราชโยธาเทพ นำปืนใหญ่รางเกวียนจำนวน ๘ กระบอก ขึ้นไปสนับสนุนค่ายปากพิงฝั่งตะวันตก
และในค่ำวันนี้ พม่าก็ได้เข้ามาประชิดค่ายพระยาธรรมา และพระยานครสวรรค์ที่บ้านแขก ๔ ค่าย แล้วมีทีท่าว่าจะตั้งค่ายโอบต่อลงมา (สันนิษฐานกันว่า บ้านแขกน่าจะอยู่แถวบ้านบางกระดาษ)
วันรุ่งขึ้น วันพุธที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๓๑๘/๑๙ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จพระราชดำเนืนด้วยพระบาทจากค่ายบ้านท่าโรง ขึ้นไปถึงบ้านแขก (ที่พม่าจะตั้งค่ายโอบ) รับสั่งพระยาสีหราชเดโชชัย กับจมื่นทิพเสนา ยกกองไปช่วยพระยานครสวรรค์รักษาค่าย แล้วรับสั่งให้เจ้าพระยาจักรีมาเฝ้าหารือการทัพที่ค่ายบ้านท่าโรง
ความมุ่งหมายเดียวกัน หนทางปฏิบัติที่แตกต่าง
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพระดำริว่ากองทัพกรุงธนบุรี เห็นจะตั้งรบพุ่งกองทัพพม่าไม่ไหวจะถอนลงมาตั้งที่แขวงเมืองพิจิตร แต่สองเจ้าพระยาต้องรักษาเมืองพิษณุโลกให้ได้ ซึ่งจะมีข้อดีคือ
- ฝ่ายเรามีเสรีในการปฏิบัติที่จะคอยตีตัดเสบียงอาหารฝ่ายพม่า
- เป็นการล่อกองทัพพม่าที่ล้อมเมืองพิษณุโลกให้ติดตามลงมา จะทำให้การล้อมเมืองต้องอ่อนกำลังลง และอาจจะทำลายกองทหารพม่าในการรบกลางแปลงได้บ้าง
แต่ข้อเสียก็มี เช่น
- เมืองพิษณุโลกต้องต่อสู้ตามลำพัง ในสถานการณ์ที่ขาดแคลนอาหาร อย่างไม่มีกำหนด
เจ้าพระยาจักรีเห็นว่าในสถานการณ์ขาดแคลนอาหารทั้งเมืองเช่นนี้ หากกองทัพกรุงธนบุรีถอน ก็ควรทิ้งเมืองพิษณุโลกเสียให้หมดห่วง แล้วไปรวบรวมผู้คนกลับมารบเอาใหม่ (ท่านเจ้าพระยาจักรีอาจจะประมาณสถานการณ์แล้วว่าไม่สามารถรักษาเมืองไว้ได้แน่ เพราะไม่สามารถหาเสบียงอาหารมาเลี้ยงดูพลเมือง และทหารได้ กว่ากองทัพพม่าจะระส่ำระสาย กองทัพไทยจะหมดกำลังเสียก่อน)
การปรึกษาการทัพครั้งนี้ดำเนินไปจนค่ำก็ยังไม่ทันได้ข้อสรุป ก็พอดี
ฝ่ายพม่าได้เข้าตีค่ายที่ปากพิง เสียงปืนดังไปถึงค่ายหลวงที่บ้านท่าโรง จึงดำรัสสั่งให้เจ้าพระยาจักรีอยู่รักษาค่ายหลวง ส่วนสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จยกทัพเรือลงมาช่วยรักษาค่ายปากพิง ตั้งแต่เวลา ๓ นาฬิกา พอ ๕ นาฬิกา พม่าก็เข้าตีค่ายพระยาธรรมไตรโลก และพระยารัตนพิมลข้างด้านคลองกระพวง รบกันจนรุ่งสว่าง
การรบที่ปากพิง
วันรุ่งขึ้น สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จข้ามสะพานเรือกไปฝั่งตะวันตก ทรงนำกำลังไปช่วยรบพม่ารักษาค่ายคลองกระพวง และทรงจัดกำลังเข้าไปเพิ่มเติม และตีกระหนาบด้วย
เจ้าพระยาจักรีกลับเมืองพิษณุโลก . . . เตรียมการ . . .
ส่วนเจ้าพระยาจักรีอยู่ที่ค่ายหลวงท่าโรงจนเช้า ฝ่ายพม่ามิได้มาเข้าตีจึงได้มอบให้พระยาเทพอรชุน และพระวิชิตณรงค์ รักษาการ แล้วจึงเดินทางกลับเมืองพิษณุโลก ได้หารือกับเจ้าพระยาสุรสีห์เห็นพ้องต้องกันว่า ในเมืองขัดสนเสบียงอาหารเป็นยิ่งนัก พลเมืองและทหารอดหยาก อ่อนแรงอิดโรยลงทุกที จึงเตรียมวางแผนการถอนตัว
ในชั้นต้น ได้สั่งให้ค่ายที่ตั้งประชิดค่ายพม่าถอนเข้ามาในเมือง พม่าก็ตามมาตั้งค่ายชิดกำแพงเมือง และพยายามเข้าปล้นเมือง ฝ่ายไทยก็ใช้ปืนใหญ่น้อยระดมยิงจนพม่าต้องถอยกลับไป และยิงปืนใหญ่โต้ตอบกัน
ทางด้านคลองกระพวง
วันเสาร์ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะแม ตรงกับ วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๓๑๘/๑๙ ฝ่ายไทยเข้าตีค่ายพม่าที่คลองกระพวง ได้รบพุ่งกันเป็นสามารถถึงใช้อาวุธสั้นแต่ฝ่ายพม่ามีกำลังมากกว่านัก ฝ่ายไทยไม่สามารถตีค่ายพม่าได้
รุ่งขึ้นวันอาทิตย์ ที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ฝ่ายไทยให้กองทัพเจ้าพระยาอินทรอภัย จากค่ายท่าโรง และกองมอญของพระยากลางเมือง มาเสริมกำลังที่ปากพิงอีก ในตอนค่ำ พม่าเข้าตีค่ายไทยรบพุ่งกันเป็นสามารถก็ตีไม่ได้ ต่างตั้งรากันอยู่ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีรับสั่งให้พระยายมราชนำกำลังมาจากค่ายวัดจันทร์ และให้ถืออาญาสิทธิ์บังคับบัญชาทหารไทยในการรบที่คลองกระพวง
วันอังคาร ที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๓๑๘/๑๙ อะแซหวุ่นกี้ให้กะละโบ่ยกมาตีค่ายที่เหนือปากพิง กะละโบ่ยกมาประชิดค่ายพระยานครสวรรค์ที่บ้านแขก ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำ ครั้นอีกสองวัน ก็ข้ามน้ำมาเข้าตีค่ายทหารไทยทางฝั่งตะวันออกได้ แต่ในวันรุ่งขึ้นฝ่ายไทยก็รบชิงเอาค่ายคืนมาได้ พม่าก็ถอยกลับไปค่ายเดิม และต่างก็ตั้งมั่นกันอยู่
พม่าพยายามโอบหลังกองทัพหลวง
อะแซหวุ่นกี้ให้มังแยยางูนำกองทัพข้ามฟากมาโอบหลังกองทัพหลวงที่ปากพิงด้านตะวันออก สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเห็นว่ากำลังข้าศึกมากนัก จึงทรงให้ถอนลงมาตั้งที่บางข้าวตอก แขวงเมืองพิจิตร กำลังที่ตั้งตามเส้นทางก็ทะยอยถอนตามลงมา
กระบวนศึกตอนที่ ๓ ก็ผ่านไปโดยที่ฝ่ายเราดูจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ดูกระบวนศึกตอนต่อไปนะครับ
กระบวนศึกตอนที่ ๔
เจ้าพระยาจักรีเมื่อกลับถึงเมืองพิษณุโลก เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ นั้น ครั้นแรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะแม ตรงกับวันศุกร์ วันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ.๒๓๑๘/๑๙ ทางเมืองพิษณุโลกทราบว่ากองทัพหลวงย้ายที่ตั้งไปเมื่อวันก่อนแล้ว จึงเตรียมการถอนตัว
การเตรียม
- ระดมยิงปืนใหญ่น้อยอย่างหนัก หนาแน่นกว่าแต่ก่อน ทั้งวัน ตั้งแต่เช้า
- เอาวงปี่พาทย์ขึ้นไปตีบรรเลงตามป้อมต่างๆ เพื่อลวงให้ข้าศึกเข้าใจว่าเตรียมการต่อสู้เป็นนานวัน
การจัด
- จัดกำลังรบได้จัดเป็น ๓ กอง คือ
- กองระวังหน้า เลือกพลรบที่กำลังแข็งแรง สำหรับตีฝ่าข้าศึก เปิดช่องให้ฝ่ายเราตามออกไป
- กองกลาง มีหน้าที่ดูแล อำนวยความสะดวก ครอบครัวราษฎร ส่วนราษฎรวัยฉกรรจ์ทั้งชาย หญิงก็ได้รับเครื่องศาสตราวุธให้สามารถป้องกันตนได้
- กองระวังหลัง เป็นทหาร มีภารกิจป้องกันท้ายขบวน
การปฏิบัติ
เวลาค่ำ ประมาณ ๒๑ นาฬิกา เปิดประตูเมืองด้านตะวันออก กองหน้าก็ตีออกมา พม่าออกต้านทานจนรบกันถึงขั้นตะลุมบอน แต่กองหน้าก็สามารถตีฝ่าเปิดทางออกมาได้ และมุ่งหน้าไปบ้านมุง ดอนชมพู มุ่งสู่เมืองเพชรบูรณ์ ส่วนครอบครัวนั้นมีเป็นจำนวนมาก ตามกองหน้าไปก็มี ที่แยกไปหากองทัพหลวงที่บางข้าวตอก ก็มี ที่กระปลกกระเปลี้ยตามไม่ทันถูกพม่าจับ ก็มี
ฝ่ายอะแซหวุ่นกี้ก็เข้าตั้งในเมือง และจัดกองทหารออกติดตามกองทหารไทย และหาเสบียงอาหาร สองกองคือ มังแยยางู ยกไปทางเมืองเพชรบูรณ์ และกะละโบ่ยกไปทางเมืองกำแพงเพชร
พระเจ้ามังระสวรรคต - มหาสีหสุระถอนทัพ
พ.ศ.๒๓๑๙ พระเจ้ามังระสวรรคต บรรดาขุนนางและเสนาอำมาตย์ซึ่งแตกออกเป็นพวก ๆ อยู่แล้ว ต่างก็สนับสนุนเชื้อพระวงศ์ที่ฝ่ายตนสนับสนุน ให้ได้ราชบัลลังก์ ส่วนอะแซหวุ่นกี้ปรารถนาที่จะให้เจ้าชายสินคู ( จิงกูจา - Singu Min ) รัชทายาท ผู้เป็นบุตรเขยได้ราชสมบัติต่อโดยไม่มีผู้ขัดขวาง จึงต้องถอนทัพกลับกรุงอังวะอย่างเร่งด่วน
อะแซหวุ่นกี้ไปแล้ว ข้าศึกตกค้าง
เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงทราบว่า อะแซหวุ่นกี้ถอนทัพไปแล้วทรงให้กองทัพต่างๆ คืดตามกองทัพพม่าดังนี้
- พระยาพิชัย กับพระยาพิชัยสงคราม
- พระยาเทพอรชุน พระยารัตนพิมล พระยานครชัยศรี
- พระยาทุกขราษฎร เมืองพิษณุโลก หลวงรักษ์โยธา หลวงอัคเนศร เป็นกองหน้า พระยาสุรบดินทร์ เป็นกองหลวง
- พระยาธิเบศร์บดี คุมกองอาสาจาม
ทั้งสี่กองนี้ให้ตามตีกองทัพอะแซหวุ่นกี้ ที่กลับไปทางเมืองตาก
- พระยาพลเทพ จมื่นเสมอใจราช หลวงเนาวโชติ กองหนึ่ง และพระยาราชภักดี อีกกองหนึ่ง ตามกองทัพมังแยยางู ไปทางเมืองเพชรบูรณ์
- พระยานครสวรรค์ กับพระยาสวรรคโลกตามกองทัพกะละโบ่ ซึ่งยกไปทางเมืองกำแพงเพชร
- กองทัพหลวงรอรับครอบครัวราษฎรที่มาจามเมืองพิษณุโลก และต่อมาทรงให้พระยายมราชมารักษาค่ายที่บางข้าวตอกเพื่อรอรับครอบครัวราษฎรต่อไป
ในวันพฤหัสบดี แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ ปีวอก จ.ศ.๑๑๓๘ ตรงกับ วันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๓๑๙ ก็เสด็จยกทัพหลวงลงมาที่บางแขม แขวงเมืองนครสวรรค์
ผลการการขับไล่ข้าศึก
ด้านเมืองตาก
กองทัพที่ตามตีกองทัพอะแซหวุ่นกี้ ทางเมืองตากนั้น ทีแรกคงคาดว่ากองทัพพม่ายังมีกำลังสมบูรณ์จึงไม่เข้าไล่ติดตาม ต่อมาภายหลัง ปรากฏว่ารี้พลสกลไกรของกอง ทัพขุนพลเฒ่าล้มตายมากขึ้น จึงทราบว่ากองทัพอะแซหวุ่นกี้ ก็ระส่ำระสายไม่น้อย แต่ก็ถอยไปเสียไกลเกินกว่าจะไล่ติดตามและบดขยี้เสียแล้ว
ด้านเมืองเพชรบูรณ์
กองทัพพระยาพลเทพและพระยาราชภักดี พบกับกองทัพมังแยยางู ที่บ้านนายม ใต้เมืองเพชรบูรณ์ ซึ่งคาดว่ามังแยยางูได้รับคำสั่งให้ถอนทัพกลับพม่า จึงจะกละบทางเมืองพิษณุโลก - เมืองตาก จึงได้กลับมาพบกองทัพไทยสองกองนี้ กองทัพมังแยยางูถูกกองทัพไทยเข้าโจมตีจึงต้องถอนตัวไปทางเหนือเข้าไปในแคว้นล้านช้าง แล้วผ่านเมืองเชียงแสน
ด้านเมืองกำแพงเพชร
เมื่อเสด็จยกทัพหลวงลงมาที่บางแขม แขวงเมืองนครสวรรค์ เมื่อวันพฤหัสบดี แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ ปีวอก จ.ศ.๑๑๓๘ ตรงกับ วันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๓๑๙ นั้น ต่อมาได้ทรงทราบว่ามีกองทหารพม่าอยู่ที่เมืองกำแพงเพชร ประมาณ ๒,๐๐๐ จึงตรัสสั่งให้กองทัพพระยายมราช เดินไปทางฝั่งตะวันตกแม่น้ำปิง กองทัพพระยาราชสุภาวดีเดินขึ้นไปทางฝั่งตะวันออก และให้พระยานครสวรรค์ซึ่งตั้งอยู่ ณ บ้านโคน ใต้เมืองกำแพงเพชรยกขึ้นไปโจมตีกองทัพพม่าดังกล่าว ส่วนกองทัพหลวงยกขึ้นไปตั้งที่ปากคลองขลุง
ฝ่ายกองทัพกะละโบ่ ของพม่านั้นน่าจะได้รับคำสั่งให้มาแสวงหาเสบียงอาหารส่งไปสนับสนุนการล้อมเมืองพิษณุโลก ไม่ทราบว่าสถานการณ์ได้พัฒนาไปอย่างไร เมื่อได้รับคำสั่งจากแม่ทัพอะแซหวุ่นกี้ จึงรีบเดินทางกลับ ก็นับว่ากะละโบ่โชคดีที่รอดพ้นกองทัพไทยไปได้ แต่ก็ยังมีส่วนย่อยอีก ประมาณ ๑,๐๐๐ ซึ่งในที่สุดก็ถูกกองทหารไทยเข้าโจทตี จนกระทั่งต้องทิ้งค่ายที่นครสวรรค์ ถอยหนีไปทางเมืองอุทัยธานี บ้านเดิมบางนางบวช และ ออกไปทางด่านพระเจดีย์สามองค์
อริราชศัตรูไปพ้นพระราชอาณาเขต
เมื่อวันแรม ๒ ค่ำ เดือน ๙ ปีวอก จ.ศ.๑๑๓๘ ตรงกับวันพฤหัสบดี วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๓๑๙ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จยกทัพหลวงจากเมืองชัยนาท ขึ้นไปถึงเมืองนครสวรรค์รับสั่งให้กรมขุนรามภูเบศร์ กับเจ้าพระยาอินทรอภัยอยู่รักษาค่าย แล้วทรงยกทัพหลวงขึ้นไปเมืองตาก
ถึงกระนี้กระนั้นกระไรก็ตาม กองทัพไทยก็ยังสามารถจับเชลยได้ ๓๐๐ กว่า
ก็แลเมื่ออริราชศัตรูไปพ้นพระราชอาณาเขตแล้ว จึงเสด็จคืนกรุงธนบุรี
ครับ . . . อะแซหวุ่นกี้ตีหัวเมืองเหนือ ซึ่งนับเริ่มตั้งแต่โปสุพลากับโปมะยุง่วน รวบรวมกองทัพลงมาตีเมืองเชียงใหม่ ในเดือน ๑๐ (ประมาณ เดือนตุลาคม) ปีมะแม พ.ศ. ๒๓๑๘ จนถึง เดือน ๙ (เดือนสิงหาคม) ปีวอก พ.ศ.๒๓๑๙ นับเวลาได้ ๑๐ เดือน สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์ไว้ใน "ไทยรบพม่า" ตอนหนึ่งว่า . . . ดูเหมือนที่รบกันคราวนี้พม่าได้เปรียบแต่ต้นมา จนตีเมืองพิษณุโลกได้ ฝ่ายไทยเป็นแต่รักษาตัวได้ไม่พ่ายแพ้พม่า เพราะฉะนั้น เนื้อความดูประหนึ่งว่าที่อะแซหวุ่นกี้ยกกองทัพมาครั้งนี้ มาทำได้ตามความมุ่งหมายหมด เป็นแต่พระเจ้าอังวะให้หากองทัพ พม่าจึงได้เลิกทัพกลับไป แต่ในพงศาวดารพม่าหาว่าเช่นนั้นไม่ พงศาวดารพม่ากล่าวเหมือนกันหมดทุกฉบับ ว่าอะแซหวุ่นกี้ยกกองทัพมาตีเมืองไทยคราวนี้ เอาไพร่พลมาล้มตายเสียเป็นอันมาก ไม่สำเร็จประโยชน์อย่างใดแต่สักอย่างหนึ่ง รอดแต่ตัวกลับไปได้ ไม่แตกหนีไทยไปเท่านั้น . . .
ผลของการสงครามครั้งนี้ ควรลงเนื้อเห็นเป็นยุติว่าไม่ได้ชัยชนะกันทั้ง ๒ ฝ่าย
บรรณานุกรม - ไทยรบพม่า พระนิพนธ์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
- พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับหมอบรัลเล พิมพ์ครั้งที่ ๓ พ.ศ.๒๕๕๑ สำนักพิมพ์โฆษิต บางแค กรุงเทพฯ
- สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พลตรี จรรยา ประชิตโรมรัน โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กันยายน ๒๕๔๓
- ประวัติศาสตร์พม่า หม่องทินอ่อง เพ็ชรี สุมิตร แปล พิมพ์ครั้งที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๔๘ โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- แผนที่ในเรื่อง นำมาจาก หนังสือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ของ พลตรี จรรยา ประชิตโรมรัน ซึ่งขอขอบพระคุณท่านไว้ ณ โอกาสนี้