* * *
พ.ศ.๒๓๓๐ พม่าตีนครลำปาง และป่าซาง - ไทยตีเมืองทวาย
สถานการณ์เดิม . . .
พ.ศ.๒๓๒๘ สงครามเก้าทัพ
พ.ศ.๒๓๒๙ สงครามท่าดินแดง
สงครามเก้าทัพ และสงครามท่าดินแดง ใน พ.ศ.๒๓๒๘ และ ๒๓๒๙ นี้ มีผลอย่างมากต่อการเมืองภายในพระราชอาณาจักรพม่า ดังที่นักประวัติศาสตร์พม่าท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า
. . . การที่พระเจ้าโพธิพญาทรงยกกองทัพไปไทย ก็ทำให้พระเกียรติยศเสื่อมลง และยังทำให้ชาวยะไข่ต่อต้านพระองค์มากยิ่งขึ้น เพราะชาวยะไข่ถูกเกณฑ์ไปในกองทัพดังกล่าวแล้วด้วย
ฯลฯ
พ.ศ.๒๓๓๐
พม่าตีนครลำปาง และป่าซาง
สืบเนื่องจากการที่พระเจ้าปดุงต้องล่าทัพจากเมืองไทยไปถึงสองครั้งติดๆ กัน เป็นที่ลือเลื่องทั่วไปในกลุ่มประเทศราชของพม่า ว่าพระราชอาณาจักรไทยเข้มแข็งและ เดชานุภาพของพระเจ้าปดุงไม่เป็นที่น่ายำเกรงดังแต่ก่อน ก็พากันแข็งเมือง กระด้างกระเดื่องต่อพม่า หัวเมืองประเทศราชลื้อเขินดังกล่าว มีเมืองเชียงรุ้ง และเชียงตุง เป็นต้น
พระเจ้าปดุงจึงทรงเกรงว่าหัวเมืองลื้อเขิน จะมาขึ้นกับไทยเสียหมด จึงทรงให้จัดกองทัพใหญ่ไปปราบปรามหัวเมืองที่กระด้างกระเดื่องเหล่านั้น
ใน พ.ศ.๒๓๓๐ (ค.ศ.๑๗๘๗) พม่ารวบรวมกำลังได้ ๔ หมื่น ๕ พัน ให้หวุ่นยีมหาชัยสุระเป็นแม่ทัพยกมาตั้งกองบัญชาการที่เมืองนาย (ปัจจุบันอยู่ในรัฐฉาน สหภาพพม่า) แล้วจัดแบ่งกองทัพแยกกันออกไปปราบหัวเมืองที่กระด้างกระเดื่อง จัดกำลังแบ่งให้จอข่องนรธา จำนวน ๕ พัน ยกมาตีเมืองฝาง สั่งให้โปมะยุง่วนซึ่งรักษาเมืองเชียงแสนให้นำกำลังมาสมทบด้วย เมื่อตีเมืองฝางได้แล้วตั้งยึดเมืองไว้ทำนาเตรียมเสบียงอาหาร รอฤดูแล้งจะยกไปตีนครลำปาง แล้วให้โปมะยุง่วนกลับไปรักษาเมืองเชียงแสนดังเดิม
ขอฟื้นความจำเกี่ยวกับเมืองเชียงใหม่ว่า ตั้งแต่ พ.ศ.๒๓๑๙ สมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีพระเจ้าจิงกูจา หรือสินธู โอรสพระเจ้ามังระ ส่งกองทัพจากพม่า สมทบกับกองทัพเมืองเชียงแสนของโปมะยุง่วน ลงไปตีเมืองเชียงใหม่ พระยาจ่าบ้านเจ้าเมืองเชียงใหม่เห็นเหลือกำลัง จึงถอนตัวไปเมืองสวรรคโลก สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดให้รับไปกรุงธนบุรี และโปรดให้เจ้าพระยาสุรสีห์คุมกองทัพหัวเมืองเหนือ (ขณะนั้นท่านเป็นเจ้าเมืองพิษณุโลก) ขึ้นไปสมทบเจ้ากาวิละ เจ้าเมืองลำปางยกไปตีเอาเมืองเชียงใหม่คืน โปมะยุง่วนจึงถอนกำลังกลับไปเมืองเชียงแสน เมื่อเสร็จศึกนี้แล้ว สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพระดำริว่า เมืองเชียงใหม่นั้นไพร่บ้านพลเมืองระส่ำระสายมาก จะรวบรวมผู้คนตั้งเป็นเมืองเช่นเดิมน่าจะไม่พอรักษาเมืองได้ หากไม่มีกองทัพไทยตั้งรักษาเมืองอยู่ และพม่ายกมา ก็ต้องเสียให้พม่าอีก จึงโปรดให้ทิ้งเมืองเชียงใหม่เสีย
เมืองเชียงใหม่จึงร้าง แต่บัดนั้น (พ.ศ.๒๓๑๙)
เมื่อโปมะยุง่วนจึงถอนกำลังจากเมืองเชียงใหม่กลับไปเมืองเชียงแสน พ.ศ.๒๓๑๙ นั้น มีกำลังประมาณ พันคน พ.ศ.๒๓๓๐ นี้จัดกำลังสมทบกองทัพจอข่องนรธาไปตีเมืองฝางได้เพียง ห้าร้อย คน เมื่อได้เมืองฝางแล้ว โปมะยุง่วนจะกลับไปรักษาเมืองเชียงแสนดังเดิม จึงเหลือกำลังเพียงไม่กี่ร้อยคน
แคว้นล้านนาผนึกกำลังต่อสู้พม่า
ขณะนั้นเจ้าเมืองต่างๆ ในแคว้นล้านนาเห็นเป็นโอกาสที่จะต่อสู้พม่า พระยาแพร่ และพระยายอง (ปัจจุบันคือ เมืองยองอยู่ใน รัฐฉาน สหภาพพม่า) จึงร่วมกันยกทัพไปตีเมืองเชียงแสนเพื่อจะรบไล่กองทัพโปมะยุง่วน ซึ่งเหลือกำลังเพียงไม่กี่ร้อยคน จนต้องหนีไปเชียงราย ก็ถูกเจ้าเมืองเชียงรายจับส่งให้พระยาแพร่ พระยายอง คุมตัวไปให้พระยากาวิละที่นครลำปางต่อไป พระยากาวิละถวายรายงานไปกรุงเทพฯ
ฝ่ายไทยได้ข่าวสารจากโปมะยุง่วนว่า พม่ารอจะยกไปตีนครลำปางในฤดูแล้ง จึงได้โปรดฯ ให้พระยากาวิละแบ่งครอบครัวจากนครลำปางไปรักษาเมืองเชียงใหม่ และให้พระยาคำโสมน้องพระยากาวิละ เป็นเจ้าเมืองนครลำปางแทน
ฝ่ายพระยากาวิละเห็นว่าครอบครัวที่มาจากนครลำปางมีจำนวนน้อยไม่พอรักษาเมืองเชียงใหม่ได้ จึงตั้งอยู่ที่เมืองป่าซาง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดให้พระยาสวรรคโลก และพระยากำแพงเพชร จัดกองทัพไปช่วยรักษาเมืองป่าซาง
นครลำปาง
ครั้นถึงฤดูแล้ง หวุ่นยีมหาชัยสุระแม่ทัพพม่าก็ยกกำลังจากเชียงตุง ตีเอาเมืองเชียงรายได้แล้ว เรียกกองทัพจอข่องนรธาจากเมืองฝาง มารวมกำลังเพื่อไปตีนครลำปางตามแผน แต่พระยาคำโสมเจ้าเมืองรักษาเมืองเป็นสามารถ พม่าได้แต่ล้อมเมืองไว้
เมืองป่าซาง
ทางฝ่ายพม่ารวบรวมกำลังได้อีก ๓ หมื่น ๕ พัน ให้เลตะละสีหะสิงครันเป็นแม่ทัพ ยกจากเมาะตะมะ ตรงเข้าตีเมืองป่าซางโดยผ่านทางเมืองยวม (อ.แม่สะเรียง จว.แม่ฮ่องสอน ในปัจจุบัน) พระยากาวิละกับพระยาสวรรคโลกพระยากำแพงเพชร ก็ร่วมกันตีพม่าที่ล้อมอยู่ แต่ไม่สำเร็จ
กองทัพพม่าทั้งสองกองจึงได้แต่ล้อมนครลำปาง และเมืองป่าซางไว้ ทั้งสองเมืองหวังให้ในเมืองขาดแคลนเสบียงอาหาร
เตรียมตีทวาย แก้ปัญหานครลำปาง ป่าซางก่อน
ขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงเตรียมกองทัพ จะไปทำสงครามตีเอาเมืองทวาย พอดี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ทรงเป็นแม่ทัพหลวง นำทัพ ๖ หมื่น ยกไปช่วยแก้ปัญหาที่นครลำปาง และป่าซาง
กองทัพสมเด็จพระบวรราชเจ้าฯ ไปถึงนครลำปางก่อน ในเดือน ๔ ทรงให้ล้อมกองทัพพม่าไว้ และส่งกำลังไปสกัดกั้นเส้นทางไม่ให้พม่าจากทางเหนือยกมาเพิ่มเติมกำลังได้อีก แล้วนัดวันเข้าตีค่ายพม่าพร้อมกับกองทัพในนครลำปาง กองทัพพม่าของหวุ่นยีมหาชัยสุระต้านทานอยู่ได้ ๔ วันก็แตกกลับไปเชียงแสน ในเดือน ๔ แรม ๑๐ ค่ำ (แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะแม จ.ศ.๑๑๔๙ ตรงกับวันจันทร์ วันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ.๒๓๓๐ - การตรวจสอบของ http://www.payakorn.com/moondate.php)
เมื่อกองทัพพม่าที่นครลำปางแตกหนีพ่ายไปแล้ว กองทัพจากกรุงเทพฯ ก็ยกต่อไปเมืองป่าซาง พระยากาวิละก็ยกตีกระหนาบออกมาจากในเมือง กองทัพเลตะละสีหะสิงตรันก็แตกกลับไปเช่นกัน
ครั้นเสร็จศึก สมเด็จพระบวรราชเจ้าฯ ก็เสด็จกลับ โปรดให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ จากเชียงใหม่ มาประดิษฐานที่กรุงเทพฯ ด้วย
พระพุทธสิหิงค์
บน ประดิษฐาน ณ พระที่นั่งพุทไธศวรรย์ พระบวรราชวัง
ซ้าย ประดิษฐาน ณ วิหารลายคำ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร เชียงใหม่
ขวา ประดิษฐาน ณ วิหารพระพุทธสิหิงค์ นครศรีธรรมราช
ไทยตีเมืองทวาย
. . . มันทำเมืองเราก่อนเท่าใด จะทดแทนมันให้หมดสิ้น
มันจิตอหังการ์ทมิฬ จะล้างให้สิ้นอย่าสงกา . . .
กลอนเพลงยาว ของกรมพระราชวังบวร มหาสุรสิงหนาท
ตามที่ได้เรียนให้ทราบตั้งแต่สงครามคราวพม่าตีนครลำปางและป่าซางแล้วว่า กรุงเทพฯ ได้รับข่าวศึกขณะที่กำลังเตรียมทัพไปตีเมืองทวาย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้าฯ เสด็จยกทัพไปรักษาพระราชอาณาเขตทางเหนือได้ทันท่วงที
พระราชดำริที่เสด็จไปตีเมืองทวายครั้งนี้น่าจะเป็นเพราะ
- ไทยเราชนะสงครามกับพม่าถึง ๒ ครั้งติดๆ กันในเวลา ๒ ปี รี้พลสกลไกรกำลังฮึกเหิม มีจิตใจรุกรบ ขวัญและกำลังใจดีเยี่ยม ส่วนฝ่ายพม่านั้นตรงกันข้าม เป็นฝ่ายที่ครั่นคร้ามกองทัพไทย จึงน่าจะเป็นโอกาสที่ . . .จะทดแทนมันให้หมดสิ้น . . . ได้
- เมืองทวายเป็นดินแดนของพวกมอญซึ่งไม่ชื่นชอบพม่าเท่าใดนัก หากเห็นไทยเข้มแข็งสามารถรุกไปตีเมืองพม่าได้พวกมอญอาจจะสนับสนุนฝ่ายไทยช่วยรบพม่าบ้าง
- หากตีทวายได้และเป็นท่วงทีก็จะขยายผลต่อไปถึง มะริด และตะนาวศรี หากไม่สำเร็จก็ถือว่าเป็นการศึกษาภูมิประเทศ เพื่อประโยชน์ในโอกาสต่อไป
ส่วนการที่ไม่ทรงรอกองทัพสมเด็จพระบวรราชเจ้าฯ กลับจากการศึกทางเหนือเสียก่อน อาจจะเป็นเพราะไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าการพระราชสงครามทางเหนือจะแล้วเสร็จเมื่อใด หากเนิ่นนานไปอาจยกไปไม่ทันฤดูแล้งนี้ การจะเลื่อนไปตีในปีต่อไป สถานการณ์และสภาพแวดล้อมต่างๆ อาจเปลี่ยนแปลงจนไม่เหมาะที่จะทำศึกได้
อนึ่ง ต้นปีมะแม นพศก จ.ศ.๑๑๔๙ เมื่อก่อนยังไม่ได้เสด็จยกทัพหลวงไปตีเมืองทวายนั้น จึงมีพระราชโองการตรัสให้สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรฯ เสด็จออกไปเป็นแม่การยกพระมณฑปพระพุทธบาท . . .
เมื่อสมเด็จพระบวรราชเจ้าฯ เสด็จยกทัพไปทางเหนือแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชก็ทรงยกทัพ จำนวน ๒ หมื่นไปตีเมืองทวาย เสด็จกรีธาทัพหลวงจากกรุงเทพฯ ในวันขึ้น ๕ ค่ำ เดือนยี่ ปีมะแม จ.ศ.๑๑๔๙ ตรงกับวันเสาร์ วันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ.๒๓๓๐ (การตรวจสอบของ http://www.payakorn.com/moondate.php)
โปรดให้ เจ้าพระยารัตนาพิพิธ สมุหนายก เป็นแม่ทัพหน้า เจ้าพระยามหาเสนา กับพระยายมราช เป็นกองหนัาของทัพหลวง อีกสองกอง รวมกองหน้า ๓ กอง สิริรี้พลหมื่นเศษ ยกล่วงหน้าไป พระยาพระคลังเป็นเกียกกาย เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร พระโอรสองค์ใหญ่ ทรงเป็นยกกระบัตร เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ ทรงเป็นกองหลัง
เส้นทางการเดินทัพ
ท่านว่าเส้นทางการเดินทัพไปเมืองทวายนั้น มีสองเส้นทางคือ
ทางเหนือ เรียกทางช่องเขาสูง เป็นทางข้ามเขาบรรทัด ตรงเข้วสู่เมืองทวาย ระยะทางใกล้ที่สุด แต่ทุรกันดาร ยากลำบากมาก
ทางใต้ คือด่านบ้องตี้ เมื่อข้ามเขาบรรทัดแล้วต้องผ่านเมืองตะนาวศรีก่อน แล้วจึงถึงเมืองทวาย ทางนี้น่าจะดีกว่าทางเหนือ แต่ก็ยังบับว่าเป็นเส้นทางทุรกันดารอยู่ดี
นับว่าทั้งสองเส้นทางไม่เหมาะสำหรับการเคลื่อนย้ายกองทหารขนาดใหญ่ แต่พระราชสงครามคราวนี้ทรงเลือกเส้นทางเหนือ เพราะเป็นเส้นทางใกล้ที่สุด ได้ผลในทางจู่โจม
กองหน้าลงเขา เข้าตีทันที
กองหน้าของกองทัพหน้า จำนวน ๕,๐๐๐ ข้ามเขาลงไป ถึงด่านวังปอ เมื่อวัน ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะแม จ.ศ.๑๑๔๙ ตรงกับวันศุกร์ วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๓๓๐ เข้าตีค่ายพม่าที่ด่านนี้ในทันที กำลังพม่าต้องถอยไปเมืองกลิอ่อง กองหน้า พักที่ด่านวังปอ สองวัน ก็ตามไปตีเมืองกลิอ่องได้อีก เมื่อวันขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะแม จ.ศ.๑๑๔๙ ตรงกับวันเสาร์ วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ.๒๓๓๐ (การตรวจสอบของ http://www.payakorn.com/moondate.php)
กองทัพหลวงยกตามไปตั้งที่ด่านวังปอ
ฝ่ายพม่าตั้งค่ายปีกกาตั้งรับที่ท้องทุ่ง จึงรับสั่งให้กองหน้าทั้งหมดเข้าตีค่ายพม่าที่ท้องทุ่ง รบกันคั้งแต่เช้าจนค่ำ ก็ตีได้ค่ายพม่าทั้งหมด ในวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะแม จ.ศ.๑๑๔๙ ตรงกับวันเสาร์ วันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ.๒๓๓๐ (การตรวจสอบของ http://www.payakorn.com/moondate.php)
กองทัพไทยก็ยกตามไปเมืองทวายในคืนนั้น กองทหารพม่าที่แตกหนีกองทัพไทยไปนี้ไม่ใช่กองกำลังหลัก เป็นเพียงกองทหารขนาดเล็ก ลักษณะกองรักษาด่านที่รั้งหน่วงการเคลื่อนที่ของฝ่ายเราให้ได้นานที่สุดเท่านั้น
กองทัพพม่าที่รักษาเมืองทวาย (ประมาณ ๘ พัน) ก็ถอนออกจากเมืองทวายข้ามแม่น้ำไป กองทัพหน้าของเจ้าพระยารัตนาพิพิธไปถึงเมืองทวาย ในวันรุ่งขึ้น เห็นแต่ประตูเมืองเปิดอยู่ ไม่มีทหารรักษาเชิงเทิน เกรงว่าจะเป็นกลอุบาย จึงตั้งค่ายล้อมเมืองไว้สามด้าน เว้นด้านแม่น้ำ กองทัพหลวงตั้งห่างกองทัพหน้าออกมา ๕๐ เส้น (ประมาณ ๒๐๐ เมตร) เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ทรงนำกองยกกระบัตรเข้าตั้งแทรกระหว่างกองทัพหน้า และกองทัพหลวง
กองทัพพม่าเห็นกองทัพไทยไม่เข้าเมืองทวายก็ยกกลับเข้าตั้งในเมืองทวาย และรักษาเมืองมั่นอยู่ไม่ได้จัดกำลังออกมารบ กองทัพไทยตั้งล้อมอยู่ราวครึ่งเดือน เสบียงอาหารก็เบาบาง
การที่กองทัพไทยไม่เข้าเมืองทวาย คงเพราะยังกริ่งเกรงว่าจะเป็นอุบายของพม่า และไม่มั่นใจว่าชาวเมืองจะสนับสนุนมากน้อยเพียงใด เพราะอย่างไรก็ตาม พม่าก็ยังคงมีอิทธิพลอยู่ หากกองทัพไทยเข้ายึดเมืองทวาย ขณะที่กองทัพพม่ายังบริบูรณ์ อาจจะเสียทีแก่พม่า และย่อมจะเสียหายมากกว่า โดยเฉพาะทางจิตวิทยา
กองทัพไทยตั้งล้อมเมืองทวายอยู่ก็มีปัญหาเรื่องการส่งเสบียงอาหาร และจำเป็นต้องเลือกหนทางปฏิบัติว่าจะตีหักเอาเมืองทวายให้ได้ หรือ ถอนทัพกลับ บรรดาแม่ทัพนายกองทูลอาสาจะตีเอาเมืองทวายถวายให้จงได้ แต่ทรงพิจารณาว่า แม้นว่าจะตีได้เมืองทวายก็ตาม ก็ต้องสูญเสียรี้พลไปส่วนหนึ่ง หากพม่ายกทัพมาตีคืน ก็คงไม่สามารถรักษาเอาไว้ได้ เนื่องจากรี้พลสกลไกรน้อยนัก จะเป็นการสูญเปล่า การกรีธาทัพมาครั้งนี้ก็นับว่าเป็นการศึกษาภูมิประเทศดังที่ได้ทรงกำหนดไว้ ถือว่าได้สำเร็จตามพระราชดำริแล้ว
เมื่อพักกองทัพได้ ๑๕ วัน พม่ามิได้ออกต่อรบ ก็โปรดให้เลิกทัพกลับพระนคร
สมเด็จพระบวรราชเจ้าฯ เสร็จศึกเหนือ
สมเด็จพระบวรราชเจ้าฯ กลับจากการศึกทางเหนือ ระหว่างอยู่กลางทางได้ข่าวว่า กองทัพหลวงถอยกลับจากทวาย สำคัญว่าเสียทีข้าศึก จึงยกกองทัพวังหน้าตามออกไป ได้ทันเฝ้าสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชที่ลำน้ำเมืองไทรโยค จึงทรงตั้งทัพเป็นฉากกำบัง ให้กองทัพหลวงกลับพระนคร ครั้นเห็นพม่าไม่ยกตามมาก็เลิกทัพกลับคืนมาพระนคร
องเชียงสือหนี
องเชียงสือซึ่งได้โดยเสด็จในกองทัพหลวงคราวสงครามท่าดินแดง เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชมีพระราชกังวลด้วยศึกพม่ายังรบพุ่งติดพันกันอยู่ เห็นจะช่วยธุระไม่ได้ ครั้นจะกราบทูลถวายบังคมลาออกไปรบข้าศึก (พวกไกเซิน) ตีเอาบ้านเมืองคืน ก็เกรงว่าจะไม่โปรดให้ไป จำต้องหนีออกไป จึงเขียนหนังสือทูลลาเอาไว้ ณ เรือน แล้วลอบพาสมัครพรรคพวก ขุนนาง และไพร่ครอบครัวลงเรือ รีบแจวออกปากน้ำเมืองสมุทรปราการ แต่ในเพลากลางคืน
องเชียงสือ - เหงียน ฟุค อาห์น >
สมเด็จฯ กรมพระราชวังบวรเสด็จลงเรือพระที่นั่งตามไปก็มิทัน เรือองเชียงสือออกพ้นปากน้ำตกถึงท้องทะเล ก็เสด็จกลับขึ้นยังพระนคร
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงทราบความในหนังสือทูลลา ว่า . . . ต้องคิดอ่านหนีด้วยความจำเป็น . . . ขอเป็นข้าทูลละอองธุลีพระบาทไปตราบเท่าสิ้นชีวิต . . . จะไปตั้งซ่องสุมเกลี้ยกล่อมผู้คนเข้าตีเอาเมืองคืน แม้นขัดสนกรุสุนดินดำและเหหลือกำลังประการใด ก็จะขอพระราชทานลูกดินและกองทัพออกไปช่วยกว่าจะสำเร็จ . . . จะขอเป็นเมืองขึ้นข้าขอบขัณฑสีมาสืบไป . . .
จึงตรัสห้ามสมเด็จพระอนุชาธิราช ว่า อย่าไปติดตามจับเขาเลย . . . เรามีคุณแก่เขา เขียนด้วยมือ แล้วจะลบด้วยเท้ามิบังควร . . .
สมเด็จพระอนุชาธิราช จึงกราบทูลว่า องเชียงสือคนนี้ . . . นานไปภายหน้าหาบุญเราไม่แล้ว มันจะทำความลำบากเดือดร้อนแก่ลูกหลานเราเป็นแน่แท้ อย่าสงสัยเลย . . .
ผลการพระราชสงครามเมืองทวาย
ถึงแม้ว่าการพระราชสงครามเมืองทวาย พ.ศ.๒๓๓๐ นี้ ไทยจะไม่ได้เมืองทวายก็ตาม แต่ก็เป็นผลดีแก่ฝ่ายไทย ด้งนี้
๑. ได้ศึกษาเส้นทาง และสภาพภูมิประเทศเมืองทวาย
๒. ได้ผลทางจิตวิทยา ว่าไทยสามารถรุกไปตีพม่าได้แล้ว พวกมอญซึ่งเป็นอริกับพม่าก็เลื่อมใสไทยมากขึ้น
พระราชสงครามใน พ.ศ.๒๓๓๐ นี้ ไม่เป็นการใหญ่หรือมียุทธวิธี ที่จะนำมาศึกษาเป็นบทเรียนในเชิงยุทธศิลปะ การที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงกรีธาทัพไปตีเมืองทวาย ด้วยกำลังพลเพียง สองหมื่น และทรงเลือกใช้เส้นทางที่ยากลำบากมาก หากจะพิจารณาตามเหตุผลปรกติแล้ว น่าจะไม่เหมาะสม แต่ด้วยพระอัจฉริยภาพด้านการทหาร และการเมืองการปกครองซึ่งไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้ จึงเป็นผลดีดังได้กล่าวแล้ว และกองทัพไทยก็ได้ใช้ประโยชน์ในการสงครามตีเมืองทวาย พ.ศ.๒๓๓๖ ต่อไป
พบกันในสถานการณ์ต่อไปนะครับ . . . ตีเมืองทวาย พ.ศ.๒๓๓๖
สถานการณ์ต่อไป . . . ตีเมืองทวาย พ.ศ.๒๓๓๖
สถานการณ์ต่อไป . . . ตีเมืองทวาย พ.ศ.๒๓๓๖
สถานการณ์ต่อไป . . . ตีเมืองทวาย พ.ศ.๒๓๓๖
บรรณานุกรม
- ไทยรบพม่า พระนิพนธ์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
- ไทยรบพม่า เอกสารอัดสำเนาวิชาประวัติศาสตร์การสงคราม กองวิชาสรรพาวุธและประวัติศาสตร์การสงคราม โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า พ.ศ.๒๕๐๔
- พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับหมอบลัดเล พิมพ์ครั้งที่ ๓ สำนักพิมพ์โฆษิต กรุงเทพฯ พ.ศ.๒๕๕๑
- พระราชพงศาวดารพม่า พระนิพนธ์ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ พิมพ์ครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๕๕๐ สำนักพิมพ์ศรีปัญญา
- ประวัติศาสตร์พม่า หม่องทินอ่อง เพ็ชรี สุมิตร แปล โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มิถุนายน ๒๕๔๘
- ข้อมูล และรูปภาพ ส่วนหนึ่งได้นำมาจาก เว็ปไซต์ ต่างๆ ทำให้เรื่องสมบูรณ์และน่าอ่านยิ่งขึ้น จึงขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ แลหากท่านที่มีข้อมูลที่แตกต่าง หรือมีข้อคิดเห็น คำแนะนำ ขอโปรดแจ้งให้ทราบเพื่อจะได้ตรวจสอบ และดำเนินการ เพื่อประโยชน์แก่ผู้สนใจโดยทั่วไป