* * *
ครั้งที่สุดไทยรบพม่า
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1255958793/RamaIV.jpg)
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงครองราชย์ พ.ศ.๒๓๙๔ - ๒๔๑๑ (ค.ศ.๑๘๕๑ - ๑๘๖๘)
ในจำนวนสงคราม ไทย - พม่า ตามพระนิพนธ์ไทยรบพม่านั้น เป็นที่รู้จัก และนำมาศึกษาในเชิงประวัติศาสตร์ทั่วไป ก็มีไม่กี่ครั้ง และที่ศึกษาในด้านประวัติศาสตร์การสงคราม ก็ยิ่งน้อยลงไปอีก การสงครามไทย - พม่า ในคราวไทยไปตีเมืองเชียงตุง นี้ ยังไม่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย จึงใคร่นำมาเผยแพร่เพื่อท่านที่สนใจจะได้ศึกษา และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความรู้ และความไม่รู้กันต่อไป . . .
สถานการณ์เดิม . . .
การตีเมืองเชียงตุง พ.ศ.๒๓๙๒ จึงไม่สำเร็จ เพราะกองทัพเมืองเชียงใหม่ไม่สามารถรวมกำลังอันมากเข้าด้วยกัน ในเวลาที่เหมาะได้ ประจวบกับเป็นช่วงที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวร การดำเนินการต่อเมืองเชียงตุงจึงได้ชลอไว้ จนเสด็จสวรรคตใน พ.ศ.๒๓๙๔
สถานการณ์ต่อไป . . .
เจ้าศาลวันก็ได้ครองเมืองเชียงรุ้งดังเดิม ในต้นปี พ.ศ.๒๓๙๔ นั้นเอง ได้แต่งทูตเชิญเครื่องราชบรรณาการมาถวาย พร้อมศุภอักษรขอบพระทัยที่ทรงพระกรุณาแก่มารดาและญาติในห้วงเวลาที่เกิดจลาจลที่เชียงรุ้ง และขอเป็นข้าขอบขัณฑสีมาสืบไป พร้อมทั้งขอพระราชทานมารดาและญาติกับครอบครัวชาวลื้อที่เมืองน่าน และเมืองหลวงพระบาง กลับไปเมืองเชียงรุ้งด้วย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้ตามที่ขอ แต่การขออยู่ในขอบขัณฑสีมานั้นทรงให้คณะเสนาบดีพิจารณา แล้วกราบบังคมทูลให้ทรงทราบ
คณะเสนาบดีได้ประชุมปรึกษาหารือกันแล้วทำหนังสือกราบบังคมทูล สรุปความว่า . . . ประเพณีเมืองน้อยมาขอพึ่งเมืองใหญ่ควรต้องรับไว้ ถ้าไม่รับ กิตติศัพท์ทราบไปถึงไหนก็จะเสียพระเกียรติยศในนานาประเทศ . . . และเห็นว่า . . . กองทัพเมืองเชียงใหม่ที่ไปตีเมืองเชียงตุงเมื่อ พ.ศ.๒๓๙๒ นั้น เกือบจะได้ชัยชนะอยู่แล้ว เพียงแต่ กองทัพเมืองเชียงใหม่ทำการไม่พร้อมเพรียงกัน หากจัดกองทัพจากกรุงเทพฯ ไปด้วย การย่อมน่าจะสำเร็จได้เป็นแม่นมั่น และพม่าเองก็กำลังทำสงครามกับอังกฤษเป็นสมัยที่สอง ยิ่งจะเป็นผลดีแก่ไทยยิ่งขึ้น
สงครามเชียงตุง พ.ศ.๒๓๙๕
จึงทรงพระกรุณาให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท เป็นแม่ทัพใหญ่ ยกไปตีเมืองเชียงตุงใน พ.ศ.๒๓๙๕ (ค.ศ.๑๘๕๒) เจ้าพระยายมราชเป็นแม่ทัพหน้า
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1255958793/Wongsa2.gif)
พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท แม่ทัพใหญ่ ในสงครามเชียงตุง พ.ศ.๒๓๙๕, ๒๓๙๖
แผนการสงครามของไทย
ขั้นที่ ๑ การเตรียมพล และเคลื่อนย้ายเข้าสู่ที่รวมพล
๑. กองทัพกรมหลวงวงศาธิราชสนิท มีทั้งกำลังจากคนในกรุงเทพฯ ทั้งวังหลวง วังหน้า สองพันเศษ กับที่เรียกเกฌฑ์จากหัวเมืองชั้นในต่างๆ คือ เมืองพิษณุโลก เมืองสุโขทัย เมืองพิชัย เมืองพิจิตร เมืองนครสวรรค์ เมืองเพชรบูรณ์ เมืองวิเชียร และเมืองหล่มศักดิ์ ได้ประมาณ ๒ พัน ๔ ร้อย รวมรี้พลกองทัพกรมหลวงวงศาฯ ๔,๕๐๐ นายเศษ ช้าง ๒๔๕ เชือก โคต่าง ๑๕๗ ตัว
๒. กองทัพเจ้าพระยายมราช (กองทัพหน้า) มีกำลังพลจากกรุงเทพฯ และหัวเมืองประมาณ ๒,๐๐๐ ช้าง ๑๔๕ เชือก
นอกจากนี้ ยังเกณฑ์คนจากภาคพายัพทุกหัวเมืองอีก ๒๐,๐๐๐ พลลำเลียงจากเมืองหลวงพระบางอีก ๓,๐๐๐ คน
สรุป สิริรวมรี้พลสกลไกรไปการพระราชสงครามเมืองเชียงตุงครานี้ ประมาณ ๓๐,๐๐๐ ช้าง และโคต่าง อีกจำนวนหนึ่ง ด้านเครื่องแสงศาสตราวุธ มีปืนใหญ่ ขนาด กระสุน ๓ นิว ๑ กระเบียด จำนวน ๕ กระบอก ปืนขนาดกลาง (ไม่บอกขนาด) จำนวน ๑๙๑ กระบอก
กำหนดชุมพลพร้อมที่เมืองเชียงแสน (ไม่กำหนดเวลา)
เจ้าพระยายมราช ยกกองทัพหน้าออกจากกรุงเทพฯ เมื่อ วันพฤหัสบดี เดือน ๑๒ แรมค่ำ ๑ ปีชวด พ.ศ.๒๓๙๕ ตรงกับวันที่ ๒๘ เดือนตุลาคม ตามเส้นทาง เมืองกำแพงเพชร - เมืองตาก - เมืองเชียงใหม่ ใช้เวลา ๒ เดือน กับ ๒ วันจึงถึงเชียงใหม่ และต้องพักรอรี้พล และเสบียง ที่เชียงใหม่อีก ๑ เดือน กับ ๗ วัน จึงเดินทัพต่อไปเชียงแสนได้ และได้ไปถึงช้ากว่ากองทัพหลวงถึง ๓ วัน
กรมหลวงวงศาฯ เสด็จยาตราทัพออกจากกรุงเทพฯ ภายหลังกองทัพหน้า ๒๐ วัน โดยกระบวนเรือไปถึงเมืองอุตรดิตถ์ ก็ต้องพักรอรี้พล และพาหนะเสียอีก เดือนเศษๆ จึงเดินทางบกต่อไปถึงเมืองน่าน - เมืองเชียงของ ใช้เวลาทั้งสิ้น ๓ เดือน จึงถึงเมืองเชียงแสน
การที่กองทัพทั้งสองต้องพักรอรี้พลและพาหนะอยู่ถึงเดือนเศษ นั้น แสดงถึงความพร้อม และประสิทธิภาพของระบบการระดมสรรพกำลังในยุคนั้น ซึ่งอาจจะเป็นเพราะบ้านเมืองอยู๋อย่างสงบสุขมาเป็นเวลานาน เจ้าพนักงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องจึงไม่ได้รักษาข้อมูลต่างๆ ให้เป็นปัจจุบัน เมื่อถึงคราต้องปฏิบัติพระราชสงครามจึงให้ขัดข้องขลุกขลักล่าช้าไป
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1255958793/KengTung_JingHong.jpg)
![](http://images.widetalks.multiply.com/image/1/photos/upload/300x300/R6sw4QoKCs8AAGKZAi41/map.png?et=2fSbZ8WGRYvMBGs5CtdDlg&nmid=)
เมืองเชียงตุง
อยู่บนยอดเขาสูง ภูมิประเทศล้อมรอบด้วย ป่าเขา มีป้อมปราการและสนามเพลาะภายนอก จำกัดเส้นทางเข้า - ออก เป็นชัยภูมิเหมาะแก่การตั้งรับ สามารถใช้คนน้อย ต่อสู้คนมากได้ แต่หากถูกปิดล้อมอยู่นานก็อาจขาดแคลนเสบียงอาหารได้ ซึ่งฝ่ายปิดล้อมก็อาจจะขาดแคลนได้เหมือนกัน
ขั้นที่ ๒ การเข้าสู่สนามรบ
เมื่อกองทัพทั้งหมดถึงพร้อมกันแล้ว ปรากฏว่าเสบียงจากเมืองต่างๆ ยังนำส่งไม่ครบตามแผน ค้างอยู่อีกประมาณร้อยละ ๓๐ แต่เพื่อไม่ให้เสียผลทางการรบ แม่ทัพใหญ่จึงรับสั่งให้เจ้าพระยายมราช แม่ทัพหน้า นำกองทัพหน้า กับกองทัพเมืองเชียงใหม่ เมืองนครลำปาง และเมืองลำพูน เดินทัพไปเชียงตุง ผ่านทางเมืองพยาค
เมื่อถึงเมืองพยาคแล้ว แม่ทัพหน้าสั่งให้ กองทัพเมืองเชียงใหม่ยกไปทางด่านผาช้าง กองทัพเมืองลำพูน ไปทางเมืองล้ง และกองทัพเมืองนครลำปาง เมืองแพร่ร่วมกันยกไปทางเมืองยอง (ไม่ใช่เมืองยอน) ส่วนแม่ทัพหน้านำกองทัพจากกรุงเทพฯ ตามไปทางด่านผาช้าง
ส่วนทัพหลวงเคลื่อนทัพตามทัพหน้า เมื่อทัพหน้าเคลื่อนที่ไปแล้ว เป็นเวลา ๑๓ วัน
![](http://images.widetalks.multiply.com/image/1/photos/upload/300x300/R8GSmQoKCs8AAC782Ms1/ID_58785_.jpg?et=yaRTBscxNpIyp5u%2BmaZwyw&nmid=)
ขั้นที่ ๓ การเข้าตี (ที่ยังไม่ได้เข้าตี)
กองทัพเมืองเชียงใหม่ถึงเมืองเชียงตุงก่อน ตั้งค่ายบนเนินด้านตะวันออกเฉียงใต้ เมืองเชียงตุงยกกำลังมาตีค่าย ๓ ครั้งแล้วกลับเข้าเมืองไป เอาปืนใหญ่ยิงออกมาบ้าง
กองทัพหน้าของเจ้าพระยายมราช เมื่อไปถึงตั้งค่ายต่อจากทัพเชียงใหม่ แต่ปรากฏว่ากันดารน้ำ จึงย้ายไปตั้งค่ายด้านทิศเหนือของเมือง ระหว่างการย้ายค่ายก็ได้ปะทะกับทหารเชียงตุง แต่ในที่สุด กองทัพหน้า ทั้งหมดก็ตั้งล้อมเมืองเชียงตุงไว้ และต่างฝ่ายก็ใช้ปืนใหญ่ยิงกันไป ยิงกันมา แต่ฝ่ายเราเอาปืนใหญ่ที่ค่ายยิงเข้าไปในเมืองนั้น กระสุนตกเพียงกำแพงเมืองบ้าง ใบเสมาบ้าง
เจ้าพระยายมราชจึงให้ตีค่ายพม่าที่เขาจอมศรี (อยู่นอกเมือง) เมื่อตีได้แล้วก็เอาปืนใหญ่ขึ้นไปตั้งยิง ที่ตั้งยิงบนเขาจอมศรีนี้สูงกว่าในเมือง จึงยิงโต้กับปืนใหญ่ในเมืองได้ พวกเมืองเชียงตุงจึงได้แต่รักษาเมืองมั่นอยู่
ทางกองทัพหลวงประสบปัญหาทางการส่งเสบียงอาหารเพิ่มเติม ทั้งของกำลังพล และของสัตว์ต่าง แต่แม่ทัพใหญ่ก็ทรงหวังว่าจะตีเมืองเชียงตุงให้ได้ก่อนเสบียงจะขาดแคลน แต่เมื่อเดินทัพไปเกือบจะถึงเมืองเชียงตุง เหลือระยะทางเดินอีกประมาณ ครึ่งวัน ทางเชียงตุงจัดกำลัง ประมาณ ๒๐๐ แต่งกายเหมือนทหารเมืองเชียงใหม่ มาซุ่มอยู่ข้างทาง และระดมยิงแม่ทัพใหญ่ แต่ไม่ถูก ในที่สุด กองทัพหลวงไปตั้งค่ายล้อมเมืองทางด้านทิศเหนือ
การตรวจภูมิประเทศก่อนเข้าตี และข้อตกลงใจ
เมื่อแม่ทัพใหญ่ได้ทรงตรวจพิจารณาภูมิประเทศ (ก่อนเข้าตี) แล้วทรงประชุมหารือบรรดาแม่ทัพนายกองชั้นรองๆ ลงไป ทรงพระดำริว่า
๑. กองทัพต้องจัดกำลังส่วนหนึ่งลำเลียงสัมภาระ ทำให้กำลังรบน้อยลงไปไม่พอแก่การ
๒. กองทัพบางเมืองไม่มีประสิทธิภาพในการรบ
๓. ปืนใหญ่ฝ่ายเราสู้ของทางเมืองเชียงตุงไม่ได้ ทั้งจำนวนและกำลังยิง กระสุน/ดินดำไม่พอเพียง
๔. เสบียงอาหารไม่พอเพียงทั้งของคนและสัตว์ต่าง
๕. หากล่าช้าไม่รีบถอนทัพ เมื่อถึงฤดูฝนจะยิ่งอันตรายและยากลำบากยิ่งขึ้นนัก
จึงทรงตกลงพระทัยและบัญชาให้ขนย้ายกำลังพลที่เจ็บป่วยออกจากพื้นที่การรบก่อน แล้วจึงทะยอยล่าทัพ กรมหลวงวงศาฯ มาประทับอยู่ที่ เมืองน่าน ส่วนเจ้าพระยายมราช กลับมาพักที่เมืองตาก แต่ยังคงเตรียมการที่เมืองเชียงราย และเมืองเชียงแสนไว้เป็นที่ตั้งกองทัพในปีหน้า
ศึกเชียงตุง พ.ศ.๒๓๙๕ นี้ ไม่เป็นไปตามแผน เพียงแต่ได้บทเรียนที่ต้องปรับปรุงต่อไป
อนึ่ง พ.ศ.๒๓๙๕ (ค.ศ.๑๘๕๒) นี้ พม่าทำสงครามกับอังกฤษเป็นครั้งที่สอง ผลของสงคราม พม่าต้องเสียมณฑลพะโค (หงสาวดี) ให้อังกฤษ และในปีต่อมา พระเจ้ามินดง ได้เป็นกษัตริย์พม่าต่อจากพระเจ้าพุกามแมง
สงครามเชียงตุง พ.ศ.๒๓๙๖
บทเรียนที่ต้องปรับปรุงแก้ไขซึ่งแม่ทัพใหญ่ได้ขอพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวคือ
๑. ขอกำลังพลจากหัวเมืองชั้นในเพิ่มอีก ๑ เท่าตัว
๒. ขอปืนใหญ่ขนาดใหญ่ขึ้น และจำนวนเพิ่มมากขึ้น พร้อมทั้งกระสุนดินดำให้มากยิ่งขึ้นด้วย
๓. เกณฑ์คนจากเมืองอุบลไปถึงเมืองหลวงพระบางเพิ่มเติมอีกเพื่อใช้เป็นพลลำเลียง
๔. เปลี่ยนที่ประชุมทัพมาที่เมืองเชียงรายแห่งเดียว และ
๕. จะเริ่มเคลื่อนย้ายเข้าสู่พื้นที่การรบตั้งแต่เนิ่นๆ (เดือน ๓) เพื่อได้มีเวลารบพุ่งนานๆ
ทางกรุงเทพฯ ก็คงพยายามจัดให้ แต่คงไม่ได้ครบถ้วนทุกประการโดยเฉพาะการเกณฑ์คนในข้อ ๓. นั้น ไม่โปรดอนุญาต แต่ทางเมืองเชียงรุ้งรับว่าจะส่งเสบียงให้ถึงเมืองเชียงตุงทีเดียว
เมื่อสิ้นฤดูฝน กรมหลวงวงศาฯ ทรงจัดทัพที่เมืองน่าน ส่วนเจ้าพระยายมราชไปจัดทัพที่เมืองเชียงใหม่ กำหนดไปพร้อมกันที่เมืองเชียงรายในต้นเดือน ๓ (ประมาณ เดือน กุมภาพันธ์)
แต่การดำเนินการไม่เป็นไปตามที่กะการ ผู้คนก็หลีกเลี่ยงการเกฌฑ์ สัตว์ต่าง ก็หายากเพราะล้มตายเสียเมื่อปีก่อนก็มาก และเมื่อเกณฑ์กำลังรบมากขึ้น ก็ต้องการเสบียงอาหารมากขึ้นเป็นเงาตามตัว กองทัพหลวงไปถึงเมืองเชียงรายในราวกลางเดือน ๓ ซึ่งนับว่าเป็นไปตามแผน (ช้าไปไม่กี่วัน) แต่พาหนะและผู้คนยังไมได้ครบตามเกณฑ์ ต้องพักรออยู่ที่เชียงรายอีกเดือนเศษ ส่วนเจ้าพระยายมราช ก็ต้องเร่งรัดผู้คนอยู่ที่เชียงใหม่ กว่าจะยาตราทัพจากเมือเชียงรายได้ก็ เข้าเดือน ๔ (ไม่เป็นไปตามแผน ช้าไปประมาณ เดือนหนึ่ง ทั้งทัพหลวง และ ทัพหน้า)
การยกทัพโยธาคราวนี้ยิ่งยากลำบากกว่าครั้งก่อน เนื่องจากเกรงว่าจะอัตคัดขัดสนเรื่องเสบียง จึงเตรียมเสบียงไปมาก จนเป็นปัญหาในการขนส่ง ทั้งเครื่องอาวุธปืนใหญ่ กระสุน ดินดำ ก็เตรียมไปเป็นอันมาก แต่สัตว์ต่างกลับน้อยกว่าเดิม ด้วยเหตุที่กล่าวแล้ว และพม่าก็เสร็จศึกกับอังกฤษเรียบร้อยแล้ว จึงจัดส่งกำลังจำนวน ๓ พัน คนมาช่วยเมืองเชียงตุง
กองทัพกรมหลวงวงศาฯ เมื่อเข้าใกล้เมืองเชียงตุงก็ต้องปะทะกับกองทหารพม่าที่ส่งมาขัดขวางหน่วงเวลาตลอดไป ทำให้เดินทัพล่าช้าไปอีก ถึงเมืองเชียงตุงในเดือน ๖ เข้าฤดูฝน และเป็นธรรมดา พื้นที่ป่าทึบเขาสูงฝนตกหนัก ทหารเมืองเชียงตุงก็ออกมารบพุ่งเป็นหลายครั้ง ฝ่ายไทยก็ป้องกันค่ายไว้เป็นสามารถ แต่ไม่ปรากฏว่าได้ใช้ปืนใหญ่ที่เตรียมมาให้เป็นประโยชน์แต่ประการใด กองทัพหลวงก็อ่อนกำลังลง ด้วยเหตุฝนตกชุก รี้พลเป็นไข้ และโรคต่างๆ ต้องสูญเสีย เจ็บป่วยล้มตายลงวันละหลายๆ คน ช้างและสัตว์ต่าง ก็เกิดโรคระบาดล้มตายลงอีก กองทัพหลวงล้อมเมืองเชียงตุงอยู่ได้ ๒๑ วัน กองทัพเจ้าพระยายมราชก็ยังมาไม่ถึงเพราะเดินทัพเส้นทางใหม่ที่ไม่คุ้นเคย แม่ทัพใหญ่จึงทรงพระดำริว่า หากล้อมเมือง รอกองทัพหน้า อยู่เห็นทีว่าจะเพลี่ยงพล้ำเสียทีแก่ข้าศึกเป็นแน่แท้ จึงรับสั่งให้ถอยทัพเสียเมื่อ วันอาทิตย์ เดือน ๖ แรม ๑๑ ค่ำ ปีขาล ตรงกับวันจันทร์ วันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๓๙๗
". . . กองทัพกรมหลวงวงศาฯ ถอยลงมาคราวนี้ลำบากมาก ด้วยกำลังเป็นฤดูฝน ทั้งผู้คนและพาหนะก็เจ็บป่วยทรุดโทรม ต้องเสียทรัพย์สิ่งของแก่ข้าศึกหลายอย่าง
ฝ่ายกองทัพเจ้าพระยายมราชยกขึ้นไปได้สักครึ่งทาง ทราบว่ากองทัพกรมหลวงวงศาฯ ถอยลงมาแล้ว เจ้าพระยายมราชก็ถอยกลับตามลงมา
เป็นเสร็จเรื่องรบพม่าที่เมืองเชียงตุงเพียงเท่านี้ . . . "
ไทยรบพม่า พระนิพนธ์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ครับ . . . และนี่คงเป็นสาเหตุที่ชาวเราไม่ค่อยรู้จัก สงครามเชียงตุง เพราะไม่เป็นสงครามที่น่าภาคภูมิใจ แต่ในมุมมองของประวัติศาสตร์การสงครามนั้น มิได้ศึกษาว่า ปีใดเกิดสงครามอะไร ที่ไหน ใครรบกับใคร เท่านั้น ประวัติศาสตร์การสงครามจะศึกษา ถึงความเป็นมา ความเป็นไประหว่างการรบ หรือการสงคราม เหตุการณ์ต่างๆ จะนำมาเป็นบทเรียนเพื่อปรับปรุงแก้ไขในโอกาสต่อไปอย่างไร
สงครามเชียงตุงนี้ อาจจะพิจารณาได้ว่า เนื่องจากกองทัพไทยได้ว่างเว้นการศึกเป็นเวลา ประมาณ ๔๐ ปี คือได้ทำศึกกับพม่า ครั้งล่าสุดเมื่อคราวป้องกันเมืองถลาง พ.ศ.๒๓๕๒ แม่ทัพนายกอง และรี้พลล้วนแต่เป็นคนยุคใหม่ไม่เคยผ่านการศึกมาก่อน ว่างเว้นการฝึกปรือฝีมือเพลงอาวุธ และทักษะการรบ ทั้งระดับบุคคล และระดับหน่วย ห่างเหินการศึกษาตำราพิชัยสงคราม
นอกจากนั้น ระบบการเรียกเกณฑ์ก็ไม่สมบูรณ์ ข้อมูลต่างๆ คงคลาดเคลื่อนไม่เป็นปัจจุบัน เมื่อถึงคราวที่ต้องปฏิบัติจึง เกิดข้อขัดข้องขลุกขลักเป็นอย่างมาก ดังที่ได้เรียนให้ทราบแล้ว
. . . ตามเรื่องราวที่ปรากฏมาในพงศาวดาร เมื่อกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ไทยได้ทำสงครามกับพม่า ๒๔ ครั้ง ต่อมาถึงเมื่อกรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี ได้ทำสงครามกับพม่าอีก ๒๐ ครั้ง รวมเป็น ๔๔ ครั้งด้วยกัน ในจำนวนสงครามที่ว่ามานี้ ฝ่ายพม่ามาบุกรุกรบไทยบ้าง ฝ่ายไทยไปบุกรุกรบพม่าบ้าง . . .
ฯลฯ
. . . ในชั้นกรุงรัตนโกสินทร์ พ้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมา ไทยได้ไปตีเมืองพม่าเมื่อในรัชกาลที่ ๓ ครั้งหนึ่ง ในรัชกาลที่ ๔ อีกครั้งหนึ่ง ก็หาสำเร็จไม่
ไทยกับพม่ารบกันเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อปีฉลู พ.ศ.๒๓๙๖
ในคราวไทยไปตีเมืองเชียงตุงเมื่อในรัชกาลที่ ๔
ต่อนั้นก็มิได้รบพุ่งกันอีกตราบเท่าทุกวันนี้ . . .
ไทยรบพม่า พระนิพนธ์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
. . . ครับ . . . "ครั้งที่สุดไทยรบพม่า" ก็คงถึงที่สุด เพียงเท่านี้ . . . ครับ
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1255958793/Thai_Swad.jpg)
บรรณานุกรม
- ไทยรบพม่า พระนิพนธ์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
- ไทยรบพม่า เอกสารอัดสำเนาวิชาประวัติศาสตร์การสงคราม กองวิชาสรรพาวุธและประวัติศาสตร์การสงคราม โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า พ.ศ.๒๕๐๔
- พระราชพงศาวดารพม่า พระนิพนธ์ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ พิมพ์ครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๕๕๐ สำนักพิมพ์ศรีปัญญา
- ประวัติศาสตร์พม่า หม่องทินอ่อง เพ็ชรี สุมิตร แปล โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มิถุนายน ๒๕๔๘
- ประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ถึง รัชกาลที่ ๓ ศาสตราจารย์ หม่อมราชวงศ์ แสงโสม เกษมศรี และ นางวิมล พงศ์พิพัฒน์ กรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทยเรียบเรียง สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กุมภาพันธ์ ๒๕๒๓
- ข้อมูล และรูปภาพ ส่วนหนึ่งได้นำมาจาก เว็ปไซต์ ต่างๆ ทำให้เรื่องสมบูรณ์และน่าอ่านยิ่งขึ้น จึงขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ แลหากท่านที่มีข้อมูลที่แตกต่าง หรือมีข้อคิดเห็น คำแนะนำ ขอโปรดแจ้งให้ทราบเพื่อจะได้ตรวจสอบ และดำเนินการ เพื่อประโยชน์แก่ผู้สนใจโดยทั่วไป