* * *
สงครามปิวนิค (ครั้งที่ ๓) พ.ศ.๓๙๔ - ๓๙๗ หรือ ๑๔๙ – ๑๔๖ ปี ก่อนคริสตศักราช
สถานการณ์เดิม . . . จาก สงครามฮานนิบาล
ฮานนิบาล . . . ช่วยชาวโรมันมิให้หนักใจอีกต่อไป . . . ด้วยการดื่มยาพิษ ที่บ้านในเมืองลิบิสซา (Libyssa) ริมชายฝั่งตะวันออกของทะเลมาร์มะรา
สถานการณ์ต่อไป . . .
คาร์เธจหลังฮานนิบาล
ก็เป็นธรรมดาที่พวกมั่งมีและมีอำนาจบารมีก็คงมีความเป็นปรกติสุขต่อไป แต่ประชาชาวคาร์เธจจะต้องก้มหน้าทำงานหาเงินเป็นค่าปรับ หรือเรียกภาษาปัจจุบันก็น่าจะนับว่าเป็นค่าปฏิกรรมสงครามอะไรประมาณนั้น ปีละ ๒๐๐ Silver talents ต่อไปเหมือนกัน
เมื่อไม่มีกองทัพไว้ป้องกันตน คาร์เธจมักถูกเพื่อนบ้านด้านตะวันตก คือนูมิเดีย ส่งกำลังมารุกรานล้ำดินแดนของคาร์เธจอยู่เสมอๆ ซึ่งทางคาร์เธจก็น่าจะได้ตอบโต้บ้างและได้ร้องเรียนไปยังกรุงโรม แต่ก็เป็นที่เข้าใจกันได้ไม่ยาก ว่าโรมก็เข้าข้างนูมิเดียเสมอ และ
คาร์เธจเองก็ค่อยๆ ฟื้นตัวจากสงครามและเจริญรุ่งเรืองด้วยการค้าทางทะเลอีกครั้ง . . . จน . . . โรมอิจฉา
พ.ศ.๓๙๒ (๑๕๑ ปีก่อนคริสตศักราช)
ครบห้าสิบปีแห่งการจ่ายค่าปรับให้โรม คาร์เธจพิจารณาว่าได้ปฏิบัติตามสัญญาสงบศึกครบถ้วนแล้ว และหมดพันธะข้อผูกมัดต่างๆ ตามสัญญา จึงจัดตั้งกองทัพเพื่อต่อต้านนูมิเดียผู้รุกราน แต่ . . . โรม . . . ซึ่งมองตนว่าเป็นมหาอำนาจใหม่โลกรอบเมดิเตอเรเนียนไม่คิดเช่นนั้น
"Centerum censeo Carthaginem esse delenduam."
เมื่อกรุงโรมทราบข่าวการจัดกองทัพของคาร์เธจ จึงส่ง คณะสังเกตการณ์เดินทางมาหาข้อเท็จจริงถึงคาร์เธจ มี คาโต (Cato) เซเนตเตอร์คนหนึ่งมาในคณะด้วย เมื่อกลับไปแถลงแก่สภาเซเนต คาโต กล่าวสรุปว่า "Centerum censeo Carthaginem esse delenduam." - "Furthermore, I think that Carthage must be destroyed." แต่ เซเนตเตอร์อีกคนหนึ่ง คือ ปุบลิอุส คอร์เนลิอุส สกิปิโอ คอร์คูลุม (Publius Cornelius Scipio Nasica Corculum) ไม่เห็นด้วย
เหตุผลอื่นที่โรมันต้องการพิชิตคาร์เธจและดินแดนที่เหลืออยู่ เนื่องจาก โรมันไม่มีผลิตผลทางการเกษตรพอที่จะเลี้ยงดูประชากรของตน ซึ่งมีจำนวนกว่า ๔๐๐,๐๐๐ และดินแดนคาร์เธจและดินแดนโดยรอบ เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ที่โรมันยังไม่ได้ครอบครอง
พ.ศ.๓๙๔ (๑๔๙ ปีก่อนคริสตศักราช)
หมาป่ากับราชสีห์ไม่มีเขี้ยวเล็บ
โรมพยายามหาเหตุให้เกิดข้อขัดแย้งอย่างเปิดเผย เป็นขั้นเป็นตอน
ประการแรก เรียกร้องให้ตาร์เธจส่งเด็กชายจากครอบครัวชนชั้นสูงจำนวน ๓๐๐ ไปเป็นตัวประกัน ซึ่งคาร์เธจก็ให้สัญญา
ประการต่อมา ในทางการเมือง โรมสามารถชักชวนอัตติกา (Uttica) พันธมิตรของคาร์เธจแปรพรรคไปเข้ากับโรม และส่งทหารโรมันจำนวน ๘๐,๐๐๐ มาไว้ที่อัตติกา
ประการที่สาม สั่งปลดอาวุธคาร์เธจ โดยให้ส่งมอบอาวุธ และเกราะ
ประการสุดท้าย ให้คาร์เธจสร้างเมืองใหม่ลึกเข้าไปในแผ่นดิน เป็นระยะทาง ๑๐ ไมล์ (๑๖ กิโลเมตร) ส่วนสิ่งปลูกสร้างเดิมให้ . . . ริ้อถอน . . .
คาร์เธจปฏิเสธ . . . โรมันประกาศสงครามกับคาร์เธจ
สงครามปิวนิค (ครั้งที่ ๓)
ถึงแม้ว่าจะถูกโจมตีจากข้าศึกที่ล้อมอยู่รอบด้าน คาร์เธจยังยืนหยัดอยู่ได้ถึงฤดูใบไม้ผลิ พ.ศ.๓๙๗ (๑๔๖ ปีก่อนคริสตศักราช) เมื่อสกิปิโอ เอมิเลียนุส (Scipio Aemilianus) เข้าโจมตีอย่างรุนแรง ถึงแม้ว่าชาวคาร์เธจ (ผู้มีหน้าที่ป้องกัน ๙๐,๐๐๐ และ ประชาชน ๓๐,๐๐๐) จะต่อสู้อย่างกล้าหาญ และเสียสละยิ่ง แต่ด้วยกำลังอันมากมายของกองทัพโรมัน . . . ชาวคาร์เธจค่อยๆ ถูกผลักดันและถูกทำลาย . . . อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ชาวคาร์เธจต้องเสียชีวิตเพราะอดอาหารในระหว่างการปิดล้อมเมืองจำนวนหนึ่ง และถูกสังหารในการสู้รบหกวันสุดท้าย ในที่สุด เมื่อการรบยุติ มีชาวคาร์เธจ เหลือผู้คนอยู่เพียง ๕๐,๐๐๐ ถูกขายเป็นทาส ตามวิธีปฏิบัติในยุคนั้นสมัยนั้น กรุงคาร์เธจถูกเผา บางแห่งไฟไหม้อยู่ถึง ๑๐ วัน ๑๗ วัน . . . กำแพงเมือง . . . อาคารใหญ่โต . . . ท่าเรือ ถูกทำลายอย่างที่สุด
ข้อมูลบางแห่งว่าโรมันเอาเกลือโรยพื้นดินของคาร์เธจเพื่อไม่ให้ใช้เพาะปลูกได้ แต่หากพิจารณาว่า โรมต้องการพื้นที่เพาะปลูกของคาร์เธจเป็นแหล่งผลิตอาหารเลี้ยงประชากรโรมัน ก็ไม่สมเหตุสมผล
ดินแดนของอาณาจักรคาร์เธจถูกผนวกเป็นของโรม ซึ่งจัดเป็นอาณาเขตโรมันแห่งอาฟริกา
(ตอนนี้ไม่ทราบว่าฮานโนและพวกพ้องซึ่งเป็นอริของตระกูลบาร์คา ยังอยู่เป็นผู้มีบารมีสูงแห่งอาณาจักรคาร์เธจอยู่หรือไม่)
ครับ . . . ตับฮานนิบาล ตั้งแต่ - คาร์เธจ - สงครามปิวนิค (ครั้งที่ ๑) - สงครามฮานนิบาล (Bellum Hanniballicum) - ชัยชนะในคาบสมุทรอิตาลี - การคุมเชิง และแสวงหาพันธมิตร - ซามา และ ดำเนินมาจนถึง - คาร์เธจหลังสงครามฮานนิบาล . . . จนคาร์เธจเหลือแต่ชื่อและทรากให้เราได้ศึกษากัน
Carthage walls
Tunesia Carthage
อย่างไรก็ตาม ในด้านผู้ชนะก็เกิดผลกระทบจากสงครามเหมือนกัน
ผลกระทบต่อสังคมโรมัน ได้แก่
๑. ยกย่องและเชิดชูเกียรติทหารกันมาก ทำให้ทหารมีอำนาจมากขึ้น
๒. แม่ทัพ นายกอง ขุนทหาร ข้าหลวง และนายทุนด้านการเกษตรได้ที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์มากขึ้น
๓. กสิกรสูญเสียที่ดินให้แก่เศรษฐี และทหารที่กลับจากสงคราม จึงมีฐานะยากจนลง
๔. พ่อค้า นักธุรกิจ และพวกเพลเบียนที่มั่งมี นิยมเข้าเป็นทหารมากขึ้น
๕. พื้นที่ราบในแคว้นละติอุมดินเสื่อมลง
๖. เกิดผู้ประกอบอาชีพธุรกิจทางการค้าขายมากขึ้น
๗. มีทาสเชลยในกรุงโรมมากมาย
ความล่มสลายของคาร์เธจ เป็นตัวอย่างหนึ่งของอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งก่อร่างสร้างตัวจนกว้างใหญ่ไพศาล มีนักรบที่สามารถ และกองทัพที่เกรียงไกร แต่รัฐบาลไม่สนับสนุนเพราะความขัดแย้งกันเองภายในอาณาจักร ขอเชิญทุกท่านใช้วิจารณญาณ และแสดงความเห็นกันนะครับ . . .
Head of the Punic Goddess Tanit, Terracotta 4th to 3rd century BCE
บรรณานุกรม
- แหล่งกำเนิดอารยธรรมยุคแรกของโลก มนต์ ทองชัช สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์ วังบูรพา กรุงเทพมหานครฯ พ.ศ.๒๕๒๗
- พงษาวดารยุทธศิลปะ นายพลเอก สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ พิมพ์ครั้งที่ ๑ ในพระพุทธศักราช ๒๔๕๙
- ชีวะประวัติของฮานนิบาล จอมทัพแห่งกรุงคาร์เธจ พันตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ โรงพิมพ์โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๙๐
- ANCIENT AND MEDIEVAL WARFAIRE UNITED STATES MILITARY ACADEMY WEST POINT - NEW YORK 1973
- ข้อมูล และรูปภาพ ส่วนหนึ่งได้นำมาจาก เว็ปไซต์ ต่างๆ ทำให้เรื่องสมบูรณ์และน่าอ่านยิ่งขึ้น จึงขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ แลหากท่านที่มีข้อมูลที่แตกต่าง หรือมีข้อคิดเห็น คำแนะนำ ขอโปรดแจ้งให้ทราบเพื่อจะได้ตรวจสอบ และดำเนินการ เพื่อประโยชน์แก่ผู้สนใจโดยทั่วไป