ได้ยินชื่อ "วันทหารผ่านศึก" มาตั้งแต่เริ่มฟังวิทยุดูทีวีรู้เรื่อง ด้วยตอนนั้นเรามีนายกรัฐมนตรีเป็นทหาร คือ ท่านจอมพลถนอม กิตติขจร พอจะถึงวันนี้ทีไร จะมีการประกาศทางโทรทัศน์ให้ทราบกันล่วงหน้า ความที่ไม่มีใครในครอบครัว ญาติมิตร หรือเพื่อนบ้านเป็นทหาร มีเพียงน้าชายที่เป็นทหารอากาศแต่ไม่ใช่เหล่านักบินหรือเหล่าที่ต้องออกรบ แถมบางช่วงประจำการอยู่ต่างจังหวัดอีกต่างหาก ผมจึงไม่ต่างอะไรกับคนไทยส่วนใหญ่ที่รู้ว่าวันที่ 3 กุมภาพันธ์ เป็นวันทหารผ่านศึกก็บุญแล้ว

ส่วนหนึ่งของ "คนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว" หรือ "นักรบนิรนาม 333"
เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ ได้ยินข่าวการรบระหว่างทหารกับบรรดา "สหาย" ทั้งหลาย หรือที่ในยุคนั้นเรียกว่า "ผกค." บ้าง ได้ยินว่าทหารไทยเคยไปรบในเกาหลีและเวียดนามบ้าง ผ่านยุคสมัยที่ "ทหาร" ปฏิวัติยึดอำนาจสำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง และยุคที่ประเทศเพื่อนบ้านเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วเกิดหวังดีแต่วิธีร้ายอยากจะมาเปลี่ยนการปกครองของไทยบ้าง ช่วงที่ได้ใกล้ชิดความเป็นทหารมากที่สุดคือช่วงที่ "เรียน ร.ด." หรือพูดให้เต็มๆ ว่าได้เป็น "นักศึกษาวิชาทหารรักษาดินแดน" ตั้งแต่ชั้นม.ศ.4 ในพ.ศ.2518 ซึ่งทีแรกก็คิดว่าจะเรียนให้พ้นๆ แค่ 3 ปี อย่างชาวบ้านเขา แต่พอจบปี 3 เข้าแล้ว ตอนนั้นเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์พึ่งจบปี 1 จะขึ้นปี 2 มีเพื่อนมาชวนให้เรียนต่อปี 4 ปี 5 โดยไม่ได้ให้เหตุผลอะไรมาก แต่มาหาเหตุผลด้วยตัวเองว่า ไม่อยากใช้ชีวิตแค่อยู่บ้านกับมาเรียนมหาวิทยาลัย ถ้าเรียนร.ด.ต่อให้ครบ 5 ปี จะได้มีโอกาสเห็นกรมกองทหารซึ่งเป็นชีวิตอีกแบบนอกรั้วมหาวิทยาลัย จึงตัดสินใจเรียนจนครบ 5 ปี มีสิทธิใช้ยศ "ว่าที่ร้อยตรี" แต่ก็แทบไม่ได้ใช้ ด้วยเหตุผลว่าจบมาทั้งวิชามหาวิทยาลัยและวิชาร.ด.แล้วก็ไม่ได้ทำมาหากินอะไรที่เกี่ยวข้องกับทหารอีกเลย

ถ่ายภาพร่วมกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่
ในช่วงที่เรียนร.ด. 5 ปีนี้ (รวมถึงการอบรมก่อนติดยศว่าที่ร้อยตรีและการถูกเรียกไปฝึกทบทวน 2 ครั้ง) เป็นช่วงที่ได้สัมผัสกับ "ทหารผ่านศึก" ซึ่งก็คือบรรดา "ครูฝึก" ทั้งหลายของพวกเรานั้นเอง ต้องขอบคุณกรมการรักษาดินแดนในยุคนั้นที่ได้คัดเลือกท่านเหล่านั้นมาเป็นครูฝึกของพวกเรา ไม่ว่าท่านเหล่านั้นจะ "โหด" อย่างไร ยังมีเวลาที่ท่านเหล่านั้นได้บอกเล่าถึงประสบการณ์การรบของท่าน ซึ่งเพียงได้ฟังก็นับว่ามีค่ามากแม้กับคนที่ไม่ได้มีโอกาสได้ข้องแวะกับอาชีพทหารอีกเลยในภายหลังอย่างผม อย่างไรก็ตาม "วันทหารผ่านศึก" ก็ยังเป็นแค่ความรู้รอบตัวสำหรับ "ทหารกองหนุน" อย่างผมที่ไม่มีโอกาสได้ไปหนุนหรือไปทดแทนกำลังรบหลักที่ไหนเลย

ดูเหรียญตราของ 3 ท่านนี้ซีครับ
ผ่านเลยมาจนกระทั่งอายุปาเข้าหลักสี่ จึงได้มาเปิดเว็บไซต์ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ (www.iseehistory.com) ซึ่งตอนแรกอาจจะคิดเพียงทำแก้เหงา หาหนังเกี่ยวกับประวัติศาสตร์มาเขียนเปรียบเทียบระหว่างตัวหนังกับข้อเท็จจริงที่หาได้ ตามประสาคนที่ดูหนังประวัติศาสตร์มาหลายเรื่อง แล้วยังเคยเรียนประวัติศาสตร์ในระดับสูงมาแล้ว เริ่มทำจากเขียนเองคนเดียวจนมีผู้รู้มาช่วยเขียนบ้างในบางช่วง แต่ยังต้องส่งบทความให้ผมขึ้นเว็บเอง จนกระทั่งได้รับการสนับสนุนระบบ Blog ที่สมาชิกสามารถร่วมเขียนบทความได้โดยไม่ต้องรอผมเป็นบรรณาธิการ จึงได้รับเกียรติจากท่าน "samphan" หรืออดีต "หัวหน้าภูสิน" หนึ่งใน "คนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว" มาร่วมเขียนบทความที่เป็นความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ทั้งไทยและสากล รวมถึงประสบการณ์การรบเมื่อครั้งเป็น "คนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว" ด้วย จนกลายเป็นสื่อให้อดีตคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาวท่านอื่นๆ ได้มาพบปะพูดคุยกันจนเกิดการนัดหมายให้มาพบกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิในวันทหารผ่านศึกปี 2553 นี้ มาถึงขั้นนี้แล้ว ทหารกองหนุนอย่างผมที่ยังไม่เคยเห็นสงครามมากกว่าการฝึกและในหนังสงครามก็อดใจไม่ได้ ต้องลางานไปดูตัวตนของบรรดาทหารผ่านศึกที่มาเป็นขาประจำเว็บไซต์ตลอดจนถึงพิธีการจริงๆ ของงานวันทหารผ่านศึกที่สักแต่ว่าได้ยินมาแต่เด็ก

โอกาสจะได้ถ่ายภาพอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิใกล้ๆ แบบนี้หายาก
ตอนแรกตั้งใจว่าจะเล่าด้วยภาพเป็นหลัก ไหงเขียนเกริ่นนำซะยาวก็ไม่ทราบ เอาเป็นว่าจากที่นัดหมายกันไว้ว่า 6.30 น.เป็นต้นไป ผมไปถึงเอาราวๆ 7 โมงครึ่งกว่าๆ แต่ก็ไม่นับว่าสายเพราะพิธีการจริงๆ จะเริ่มหลังเคารพธงชาติ มาถึงหน้างานแล้วยังไม่รู้จะหาใครเจอได้ยังไง แถมจำผิดคิดว่าเคยจดเบอร์โทร.ของท่าน samphan ไว้ แต่ยังดีที่ก่อนออกจากบ้านได้จดเบอร์ของคุณ Combat ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมนัดหมายเผื่อไว้อีกราย จึงหากันจนเจอ แล้วบรรยากาศที่คล้ายๆ สมัยผมเรียนร.ด.ก็กลับมาอีกครั้ง แม้ว่าผมจะอยู่ในฐานะคนในก็ไม่เชิงคนนอกก็ไม่เชิง ได้ยินได้ฟังผู้ที่เคยเป็นสหายร่วมรบคุยกันบ้าง ให้สัมภาษณ์น้องนักข่าวจาก Voice TV บ้าง บอกเล่าเรื่องต่างๆ ให้ผมฟังโดยตรงบ้าง แม้ผมกับบรรดาอดีตนักรบในลาวจะไม่ได้อยู่ตรงจุดที่เห็นพิธีการต่างๆ ได้ชัด การได้ยินได้ฟังเรื่องเหล่านี้ข้างๆ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิที่ผมมีโอกาสได้เข้ามาดูใกล้ๆ เป็นครั้งแรก นับเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ อย่างยิ่ง

ฐานล่างของอนุสาวรีย์ที่รายรอบไปด้วยพวงมาลา
ผมได้อยู่ในบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิจนเสร็จพิธีของวันทหารผ่านศึกที่นั่นในราว 10 โมง บรรดาทหารผ่านศึกท่านมีกำหนดที่จะไปสังสรรค์กันต่อที่กรมทหารราบที่ 11 แต่สำหรับผมที่ยังรู้สึกว่าตัวเองจะเป็นคนในก็ไม่เชิงคนนอกก็ไม่เชิง ได้ตัดสินใจปลีกตัวไปทางอื่น โดยก่อนนั้นก็ได้รับทราบแล้วว่า บรรดาคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาวในอดีต ซึ่งได้รวมตัวกันในนาม "สมาคมนักรบนิรนาม 333" มีกำหนดที่จะพบปะสังสรรค์กันในวันเสาร์ที่ 3 เมษายน ณ หอประชุมกานตรัตน์ รายละเอียดเพิ่มเติมจะได้นำมาประชาสัมพันธ์กันต่อไป ตัวผมเองหากไม่มีปัญหาอื่นใดก็จะไปร่วมด้วยครับ
----------
เพิ่มเติมอีกนิด ด้วยคลิปจาก Voice TV ทีวีของลูกๆ อดีตนายกฯ ที่บังเอิญนักข่าวของเขาได้มาสัมภาษณ์ 1 ในนักรบนิรนามในกองทัพพระราชอาณาจักรลาวเข้าพอดีครับ
หมายเหตุ : เปิดให้แสดงความคิดเห็นเฉพาะสมาชิกเว็บไซต์ที่ด้านล่างสุด หรือสมาชิก Facebook แสดงความเห็นได้ในกรอบข้างล่างนี้ครับ