* * *
สงครามฝรั่งเศส - เวียดมินห์ (๒) - เวียดนามยุคอาณานิคมของฝรั่งเศส
สถานการณ์เดิม . . . จาก . . . ญวน - ก่อนเป็นอาณานิคม
๒๕ สิงหาคม ๒๔๒๖ (ค.ศ.๑๘๘๓) เวียดนามทั้งหมดกลายเป็นรัฐอารักขาของ ฝรั่งเศสอย่างเด็ดขาด ฝรั่งเศสยอมให้เวียดนามยังมีพระจักรพรรดิเช่นเดิม แต่ต้องผ่านการร่วมคัดเลือกโดยข้าหลวงฝรั่งเศส และมีบทบาทเพียงเป็นสัญญลักษณ์ของประเทศเท่านั้น อำนาจในการบริหารการคลัง การทหารและการทูตสูงสุดเป็นของฝรั่งเศส นับได้ว่าเวียดนามสิ้นสุดฐานะเอกราชนับแต่นั้น
และจากการที่ฝรั่งเศสได้เวียดนามทั้งหมดเป็นรัฐอารักขานี้ ทำให้อาณาเขตของฝรั่งเศสประชิดกับพระราชอาณาเขตสยาม ฝรั่งเศสพยายามที่จะยึดครองลาวและเขมรซึ่งเป็นประเทศราชของไทยซึ่งทำให้เกิดกรณีพิพาทกัน ตั้งแต่เรื่องการปราบฮ่อ ลุกลามเป็นวิกฤติการณ์ ร.ศ.๑๑๒ และพยายามที่จะยึดเอาประเทศไทยเป็นอาณานิคมด้วย (รายละเอียดในเรื่อง "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว - ปราบฮ่อ - วิกฤติการณ์ ร.ศ.๑๑๒ - ทวยราษฎร์รักบาทแม้ ยิ่งด้วยบิตุรงค์")
สถานการณ์ต่อไป . . .
. . . เป็นเจ้าเข้าครอง คงจะต้องบังคับขับไส
เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำกรำไป ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย . . .
พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
พ.ศ.๒๔๓๐ ฝรั่งเศสกำหนดธงชาติให้อินโดจีนของฝรั่งเศส เป็นธงพื้นสีเหลือง มีธงชาติฝรั่งเศสประกอบที่มุมบนด้านคันธง
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1282500320/Flag_of_Colonial_Vietnam.jpg)
ธงชาติอินโดจีนของฝรั่งเศส ๒๔๓๐ -๒๔๙๖
แบ่งแยกแล้วปกครอง
ฝรั่งเศสแบ่งแยกการเมืองการปกครองตลอดจนสิทธิเสรีภาพของคนเวียดนามทั้ง ๓ แคว้นให้แตกต่างกันนั้น ก็เพราะสร้างความรู้สึกแตกแยกและความรู้สึกเหลื่อมล้ำต่ำสูงในหมู่ชาวเวียดนาม และเป็นการจูงใจว่าการเป็นคนเวียดนามในบังคับฝรั่งเศสได้สิทธิสูงกว่าคนเวียดนามอื่นๆ
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1282500320/Anam-Or-Annam.jpg)
ฝรั่งเศสได้จัดระเบียบการปกครองประเทศอารักขาทั้งสามประเทศขึ้นมาเสียใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวียดนามนั้น ฝรั่งเศสได้แบ่งแยกการปกครองดินแดนส่วนนี้ตามทฤษฎี "แบ่งแยกแล้วปกครอง" ออกเป็น ๓ ภาค โดยตั้งชื่อและให้มีสถานภาพแตกต่างกันออก ภาคทั้งสามนี้ได้แก่ อาณานิคมโคชินจีน ในภาคใต้ เขตอารักขาอันนัม ในตอนกลาง และเขตอารักขาตังเกี๋ยในภาคเหนือ
๑. อาณานิคมโคชินจีน (COCHINCHINE) ได้แก่ เวียดนามภาคใต้ มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงไซง่อน ดินแดนส่วนนี้เป็นอาณานิคม อยู่ภายใต้การอำนาจการปกครองของฝรั่งเศสอย่างสิ้นเชิง ปราศจากเงื่อนไข ตัดขาดอำนาจและความผูกพันใดๆกับองค์พระจักรพรรดิ
๒. เขตอารักขาอันนัม (ANAM / ANNAM) ได้แก่ เวียดนามภาคกลาง มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองเว้ แคว้นอันนัมเป็นดินแดนอารักขาฝรั่งเศส ให้องค์จักรพรรดิเป็นผู้ปกครอง ข้าราชสำนักตลอดจนขุนนางศักดินาตามลัทธิประเพณีดั้งเดิมฝรั่งเศสยังคงยินยอมให้คงไว้อยู่ แต่เป็นเพียงสัญญลักษณ์ที่ไร้ความหมายเท่านั้น ผู้สำเร็จราชการฝรั่งเศสเป็นผู้มีอำนาจเด็ดขาดแท้จริง
๓. เขตอารักขาตังเกี๋ย (TONKIN) ได้แก่ เวียดนามภาคเหนือ มีศูนย์กลางอยู่ที่ฮานอย แคว้นตังเกี๋ยเป็นดินแดนอารักขาฝรั่งเศส แต่ฝรั่งเศสแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการฝรั่งเศส ไปทำหน้าที่บริหารการปกครองโดยตรงในฐานะเป็นข้าหลวงต่างพระเนตรพระกรรณขององค์พระจักรพรรดิที่กรุงเว้ ข้าราชการทั้งหลายซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ในแคว้นตังเกี๋ยต้องรับนโยบายและ คำสั่งจากผู้สำเร็จราชการฝรั่งเศส โดยไม่เกี่ยวข้องกับองค์จักรพรรดิ และผู้สำเร็จราชการฝรั่งเศสนี้รับนโยบายและรับผิดชอบต่อกระทรวงอาณานิคมฝรั่งเศส
ชาวเวียดนามทั้ง ๓ แคว้นนี้ ต่างมีสิทธิในการถือสัญชาติตลอดจนสิทธิอื่นๆในฐานะพลเมืองแตกต่างกัน สุดแท้ใครจะเกิดหรือมีภูมิลำเนาอยู่ในแคว้นใดของอาณานิคมทั้งสาม
คนเวียดนามในโคชินไชน่า เป็นคนในบังคับฝรั่งเศสโดยตรง มีสิทธิเสรีภาพเท่ากับเป็นพลเมืองฝรั่งเศส คือมากกว่าคนเวียดนามในแคว้นอันนัมและตังเกี๋ย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่เกี่ยวกับขอบเขตของกฎหมาย เช่นคนเวียดนามในโคชินไชน่า หากกระทำผิดก็จะต้องขึ้นศาลฝรั่งเศส ซึ่งอาศัยประมวลกฎหมายฉบับเดียวกับที่ใช้บังคับแก่ชาวฝรั่งเศสหรือคนในบังคับโดยทั่วไป ในขณะที่ชาวเวียดนามที่อยู่ในอีก ๒ แคว้นนั้นยังคงอยู่ภายใต้ระบบ "อันนัม" ซึ่งยังคงใช้กฎหมายเดิม
ฝรั่งเศสแสวงหาผลประโยชน์จากการปกครองเวียดนามในทุกๆ ด้าน ชาวฝรั่งเศสเริ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเวียดนาม ที่ดินในเวียดนามจำนวนมากตกเป็นของชาวฝรั่งเศส ทางด้านเศรษฐกิจ ฝรั่งเศสใช้เวียดนามเป็นแหล่งปลูกข้าวและพืชเศรษฐกิจใหม่ ๆ เช่นกาแฟ และยางพารา ส่งกลับไปเป็นวัตถุดิบป้อนโรงงานในฝรั่งเศส ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมการศึกษาและวัฒนธรรมฝรั่งเศสให้แพร่หลายในเวียดนาม ชาวเวียดนามต้องศึกษาตามระบบของฝรั่งเศส
เมื่อชาวเวียดนามส่วนหนึ่งที่ได้รับการศึกษาแบบใหม่ตามระบบการศึกษาของฝรั่งเศส จึงเริ่มมีความคิดต้องการอิสรภาพ และปกครองประเทศของตนเอง เกิดความคิดชาตินิยม ทำให้เกิดกลุ่มชาตินิยม และจัดตั้งขบวนการใต้ดินขึ้น เพื่อต่อต้านฝรั่งเศส
ขบวนการใต้ดินต่อต้านฝรั่งเศส
ตลอดเวลาที่ฝรั่งเศสยึดครองเวียดนาม มีชาวเวียดนามที่คบคิดกันขับไล่ฝรั่งเศสมากมายหลายกลุ่มหลายคณะ หากเป็นสมัยกรุงธนบุรีเราก็เรียกเป็นก๊ก แต่ในสมัยที่กล่าวนี้ และต่อมาในปัจจุบันมักจะใช้คำว่าขบวนการ ก็ขอใช้เพื่อให้เข้าใจตรงกัน เป็นอันว่าทุกขบวนการล้วนแต่มีความรักชาติ และกำหนดเป้าหมายตรงกัน คือความเป็นเอกราชซึ่งจะต้องกำจัดฝรั่งเศสออกไปจากแผ่นดินเวียดนาม และขบวนการเหล่านี้ไม่สามารถดำเนินการอย่างเปิดเผยได้ ต้องทำกันอย่างปิดลับไม่ให้ฝ่ายฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคมรู้ระแคะระคายได้เลย จึงเรียกขบวนการเหล่านี้ว่าขบวนการใต้ดิน ซึ่งได้แก่
๑. ขบวนการเกิ่นเวือง (Can Vuong Movement)
ขบวนการนี้เกิดในราชสำนัก ก่อตัวขึ้นภายหลังการสวรรคตของจักรพรรดิตือดึ๊กในปี พ.ศ.๒๔๒๖ (ค.ศ.๑๘๘๓)
พ.ศ.๒๔๒๗ (ค.ศ.๑๘๘๔) พระจักรพรรดิห่ามหงี (Ham Nghi) ทรงนำการต่อต้านฝรั่งเศส โดยผู้สำเร็จราชการโตน ทัท เทวี๊ยด (Ton That Thuyet) เป็นผู้นำ ประกอบด้วยขุนนางราชสำนัก ขุนทหารใหญ่ นักศึกษาปัญญาชนรุ่นเก่าผู้มีบทบาทสำคัญได้มารวมกลุ่มกันเป็นจำนวนมากเพื่อต่อต้านฝรั่งเศส และโจมตีชาวเวียดนามที่นับถือคริสตศาสนา . . . การต่อต้านดำเนินไปได้ไม่นานนักจึงพาองค์พระจักรพรรดิหนีเข้าป่าในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๔๒๘ ตน ทัต เทวี้ยตต้องหนีไปจีน
พ.ศ.๒๔๓๑ (ค.ศ.๑๘๘๘) พระจักรพรรดิห่ามหงี ถูกจับ และถูกส่งไปแอลจีเรีย
ขบวนการ “เกิ่น เวือง” จึง . . . เรียบโร้ย
๒. ขบวนการด๋องคินห์เงี่ย หรือขบวนการโรงเรียนราษฎร์
ฝรั่งเศสตั้งโรงเรียนฟรังโกอานัมไมท์เปิดสอนวิชาการแผนใหม่ตามแบบของฝรั่งเศส ในชั้นต้นชาวเวียดนามส่วนใหญ่ไม่นิยมให้บุตรหลานของตนเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนแห่งนี้ แต่ต่อมาก็นิยมมากขึ้นจนโรงเรียนไม่พอรองรับได้ ฝรั่งเศสก็ไม่ยอมขยายโรงเรียน และไม่ยอมให้เอกชนเวียดนามตั้งโรงเรียนเองด้วย ชาวเวียดนามจึงต้องตั้งโรงเรียนกันอย่างลับๆ เมื่อฝรั่งเศสรู้ก็ปราบกันไป ยิ่งปราบ ยิ่งปิด ก็ยิ่งเปิด ก็ว่ากันไป
๓. ขบวนการด๋องดู
ชัยชนะของญี่ปุ่นในสงครามญี่ปุ่น - รัสเซีย พ.ศ.๒๔๔๘ ค.ศ.๑๙๐๕ เป็นแรงบันดาลใจให้กลุ่มคนหนุ่มปัญญาชนของประเทศในเอเชียที่ตกเป็นอาณานิคมให้ขับไล่เจ้าอาณานิคมจากตะวันตกออกไป
ในเวียดนาม ก็ตั้ง "สมาคมเวียดนาม กวาง - ฟุคฮอย" หรือ "สมาคมฟื้นฟูเวียดนาม" มีสำนักงานอยู่ที่มณฑลกวางตุ้งของจีนและมีสาขาอยู่หลายแห่งในเวียดนาม แต่ในที่สุด ขบวนการชาตินิยมค่อยๆอ่อนแอลงไป จนหมดขีดความสามารถ ท้ายที่สุดถูกฝรั่งเศสปราบปรามจนแตกสลายเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๓ (ค.ศ.๑๙๓๐)
๔. ขบวนการคอมมิวนิสต์เวียดมินห์
ขบวนการชาตินิยมเวียดนามเป็นผู้จุดประกายและปูทางด้วยเลือดเนื้อและชีวิตให้แก่ขบวนการคอมมิวนิสต์เวียดมินห์ เมื่อขบวนการชาตินิยมหมดขีดความสามารถแล้ว จึงเหลือแต่เพียงขบวนการคอมมิวนิสต์เวียดมินห์เท่านั้น และดำเนินการต่อไป
หนึ่งไม่พอ เอาสอง . . . สองไม่พอเอาสามสี่ห้า . . .
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1282500320/mapwar1.jpg)
เมื่อฝรั่งเศสเข้ายึดครองเวียดนามไว้โดยสิ้นเชิงแล้วนั้น ฝรั่งเศสมิใช่จะพอใจครอบครองหรือเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยเหนือเวียดนามเท่านั้น แต่อ้างสิทธิในลาวและเขมรด้วย โดยอ้างว่าลาวและเขมรต่างก็เคยเป็นของญวนมาก่อน เมื่อฝรั่งได้ได้ญวนแล้ว ก็ต้องได้ลาวและเขมรด้วย ดังนั้น ฝรั่งเศสจึงได้กระทบกระทั่งกับไทย ในการปราบฮ่อ และวิกฤติการณ์ ร.ศ.๑๑๒ ซึ่งขอกล่าวย่อๆ เพื่อให้เห็นภาพรวมต่อเนื่องดีขึ้นดังนี้
พ.ศ. ๒๔๒๘ (ค.ศ.๑๘๘๕) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้กองทหารที่ได้รับการฝึกหัดตามแบบยุโรปขึ้นไปปราบฮ่อ โดยจัดเป็นสองกองทัพคือ กองทัพฝ่ายใต้ และกองทัพฝ่ายเหนือ (การปราบฮ่อ ครั้งที่ ๒)
พ.ศ.๒๔๓๐ (ค.ศ.๑๘๘๗) พวกฮ่อได้รุกจากสิบสองจุไท ลงมาตีเมืองหลวงพระบางได้ เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๔๓๐ ซึ่งครั้งนี้ มองสิเออร์ ปาวี กงศุลฝรั่งเศสประจำลาวตกอยู่ในอันตราย ซึ่งไทยช่วยให้รอดชีวิตมาได้
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้ นายพลตรี พระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง - ชูโต) เป็นแม่ทัพยกกำลังไปปราบฮ่ออีกครั้งหนึ่ง (การปราบฮ่อ ครั้งที่ ๓)
การปราบฮ่อทุกครั้งฝรั่งเศสไม่เคยช่วยเหลือตามที่ตกลงกัน แต่เมื่อไทยปราบฮ่อเสร็จแล้วฝรั่งเศสกลับยึดเอาแคว้นสิบสองจุไทยและหัวพันทั้งห้าทั้งหกไว้ โดยอ้างว่าเอาไว้เป็นกำลังปราบฮ่อ ไทยจะเจรจาอย่างไรฝรั่งเศสไม่ยอมถอยทัพกลับ
ฉะนั้น ใน พ.ศ.๒๔๓๑ ไทยจึงเสียแคว้นสิบสองจุไทยและหัวพันทั้งห้าทั้งหกให้ฝรั่งเศส (คือพื้นที่หมายเลข 2 ในแผนที่)
พ.ศ.๒๓๓๖ (ค.ศ.๑๘๙๓) หลังวิกฤติการณ์ ร.ศ.๑๑๒ ฝรั่งเศสยึดเอาดินแดนลาวฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ไปจากไทยเพื่อจัดตั้งอินโดจีนของฝรั่งเศส (French Indochina) และฝรั่งเศสไปยึดเมืองจันทบุรีไว้เป็นประกัน (คือพื้นที่หมายเลข 3 ในแผนที่)
พ.ศ. ๒๔๔๕ (ค.ศ.๑๙๐๒) ไทยยอมทำสัญญาแลกเปลี่ยนยอมยกเมืองจำปาศักดิ์ มโนไพร ให้แก่ฝรั่งเศส โดยฝรั่งเศสจะยอมยกออกจากเมืองจันทบุรี แต่แล้วฝรั่งเศสก็ไม่ยอมถอนทหารจากจันทบุรี ไปยึดเมืองตราด และเกาะกง ไว้อีก (คือพื้นที่หมายเลข 4 ในแผนที่)
พ.ศ. ๒๔๔๘ (ค.ศ.๑๙๐๕) ไทยยอมยกเขมรส่วนใน คือเมืองเสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณ ให้แก่ฝรั่งเศส เพื่อแลกกับเมืองตราด เกาะกง และ สิทธิสภาพนอกอาณาเขตของฝรั่งเศส (คือพื้นที่หมายเลข 5 ในแผนที่)
ครับ . . . ในที่สุดฝรั่งเศสก็แย่งดินแดนลาวและเขมรจากไทย ไปเป็นอาณานิคมรวมเข้าไว้ในอินโดจีนของฝรั่งเศส ด้วยเหตุผลของนักล่าอาณานิคม ด้วยประการ ฉะนี้
เหงียน ไอ่ กว๊อก - โฮจิมินห์ กับ เวียดมินห์ ![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1282500320/HoChiMinh_Civ.jpg)
หลังสงครามโลกครั้งที่ ๑
พ.ศ.๒๔๖๒ (ค.ศ.๑๙๑๙) เหงียน ไอ่ กว๊อก - Nguyen Ai Quoc (โฮจิมินห์ - Ho Chi Minh) เดิมชื่อ เหงียน ชิง กุง (Nguyen Sinh Cung) ได้เดินทางไปเข้าร่วมประชุมการเจรจาสันติภาพที่กรุงปารีสมีส่วนในการยื่นคำร้องต่อต้านการปกครองแบบอาณานิคมเสนอต่อการประชุมที่แวร์ซายส์ เพื่อเรียกร้องเอกราชให้กับเวียดนาม แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ จึงเดินทางไปรัสเซีย และได้รับการถ่ายถอดแนวความคิดของลัทธิมาร์กซิสม์ (Marxism) และการปฏิวัติ
เหงียน ชิง กุง Nguyen Sinh Cung
เหงียน ไอ่ กว๊อก Nguyen Ai Quoc
โฮ จิ มินห์ Ho Chi Minh
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1282500320/Flag_of_South_Vietnam_jpg.jpg)
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1282500320/flag_of_the_Nguyen_Dynasty_jpg.jpg)
(ซ้าย) ธงราชวงศ์เหงียน พ.ศ.๒๔๓๓ - ๒๔๖๓
(ขวา) ธงราชวงศ์เหงียน และแคว้นอันนัม (เวียดนามภาคกลาง รัฐในอารักขาฝรั่งเศส) พ.ศ.๒๔๖๓ - ๒๔๘๘)
พรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีน
พ.ศ.๒๔๖๘ (ค.ศ.๑๙๒๕) ขบวนการคอมมิวนิสต์เวียดมินห์ถือกำเนิดขึ้น เมื่อ เหงียน ไอ่ กว๊อก (โฮจิมินห์) สำเร็จหลักสูตรการปฏิวัติของลัทธิมาร์กซิสม์ - เลนินม์จากกรุงมอสโคว์ และ เป็นผู้ลงนามรับมอบภารกิจการปฏิวัติเวียดนามให้เป็นคอมมิวนิสต์จากองค์การโคมินเทอร์น
โฮจิมินห์ได้จัดตั้งสมาคมแห่งการปฏิวัติของเยาวชนชาวเวียดนามขึ้นบังหน้า ที่เมืองกวางตุ้ง สมาชิกองค์การนี้ได้แก่ เยาวชนเวียดนามที่ขบวนการชาตินิยมส่งไปเข้ารับการศึกษาที่จีนและญี่ปุ่น เมื่อจบการศึกษาแล้วก็จะกลับเข้าเวียดนามอย่างลับๆ
สามประสาน สมานฉันท์ . . . พรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีน
ขบวนการสำคัญที่ต่อต้านฝรั่งเศสซึ่งต่อมาได้ยึดแนวทางของลัทธิคอมมิวนิสต์ ประสานกับความรู้สึกชาตินิยมและแนวทางมาร์กซิส - เลนินนิสต์ มีอยู่ ๓ ขบวนการ ได้แก่
๑) พรรคคอมมิวนิสต์ชาวอินโดจีน เคลื่อนไหวในภาคกลางและภาคเหนือ
๒) พรรคคอมมิวนิสต์ชาวอันนัม เคลื่อนไหวในภาคใต้
๓) สหพันธ์ชาวคอมมิวนิสต์อินโดจีนของสมาชิกก้าวหน้า
แต่ต่อมา องค์การคอมมิวนิสต์สากลได้แนะนำให้กลุ่มคอมมิวนิสต์ทั้งสาม รวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อให้การต่อสู้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๓ (ค.ศ.๑๙๓๐) ขบวนการคอมมิวนิสต์ทั้งสามได้ประชุมร่วมกัน โดยมีโฮจิมินห์เป็นประธาน มีมติตั้งเป็นพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามขึ้น และต่อมาในเดือนตุลาคม ปีเดียวกันนั้น พรรคฯ ได้มีการประชุมที่ฮ่องกง และได้เปลี่ยนชื่อพรรคเป็น . . . พรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีน
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1282500320/spratly_88.gif)
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ เมื่อเยอรมันบุกฝรั่งเศส และเป็นต่ออยู่นั้น ญี่ปุ่นซึ่งเป็นพันธมิตรของเยอรมันก็ฉวยโอกาสเข้ายึดหมู่เกาะสแปรตลี่ย์ของฝรั่งเศสในคาบสมุทรอินโดจีน โดยอ้างว่าเพราะอินโดจีนฝรั่งเศสส่งอาวุธให้จีนมารบกับญี่ปุ่นทางด้านอ่าวตังเกี๋ย
หมู่เกาะสแปรตลี่ย์ >
สันนิบาตเพื่อเอกราชของเวียดนาม - เวียดมินห์
พฤษภาคม ๒๔๘๔ (ค.ศ.๑๙๔๑) ในการประชุมครั้งที่ ๘ ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีนได้ประกาศจัดตั้ง สันนิบาตเพื่อเอกราชของเวียดนาม (League for the Independence of Vietnam เวียดนามด็อคแล็บดองมินห์ฮอย Viet Nam Doc Lap Dong Minh Hoi) เรียกสั้นๆว่า เวียดมินห์ (Viet Minh) เพื่อต่อสู้กับฝรั่งเศสและญี่ปุ่น
ในปลายปี พ.ศ.๒๔๘๔ ญี่ปุ่นก็เข้าไปตั้งฐานทัพในอินโดจีน
สงครามมหาเอเซียบูรพา
๗ ธันวาคม ๒๔๘๔ เช้าตรู่ ญี่ปุ่นส่งเตรื่องบินจากกองเรือเข้าโจมตีเพิร์ล ฮาเบอร์ ในหมู่เกาะฮาวายของสหรัฐอเมริกา เป็นการเปิดฉากสงครามมหาเอเซียบูรพา
๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ เช้าตรู่ ญี่ปุ่นก็บุกเข้าประเทศไทยหลายแห่ง เป็นเวลาเดียวกับการเข้าโจมตีเพิร์ล ฮาเบอร์ (แต่เป็นคนละวันเพราะอยู่คนละฟากเส้นแบ่งวัน) ซึ่งประชาชน ยุวชนทหาร และทหารไทยในพื้นที่ได้ต่อสู้หลั่งเลือดป้องกันอธิปไตย และต่อมา ทางการไทยกำหนดให้ วันที่ ๘ ธันวาคม ของทุกปี เป็นวัน "วีรไทย"
กองทัพประชาชนเวียดนาม (the People's Army of Vietnam - PAVN)
เวียดนามพิจารณาจัดตั้งกองทัพอย่างจริงจังในต้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ เนื่องจากต้องเตรียมการต่อสู้ขับไล่ผู้รุกรานด้วยอาวุธ โดยจัดตั้งหน่วยทหาร และหน่วยกึ่งทหาร (para military) ในพื้นที่บัคคัน (Bac Kan) และเกาบัง (Cao Bang) เมื่อประธานโฮจิมินห์มั่นใจว่าพร้อมที่จะปฏิบัติการทางทหารได้แล้ว . . .
๒๒ ธันวาคม ๒๔๘๗ จึงจัดตั้ง "หน่วยกู้ชาติ" ขึ้น เป็นทหารหน่วยแรก กำลังพล ๓๔ นาย ที่หุบเขา ดินห์คา ใกล้พรมแดนจีน จะนับว่าเป็น ทหารหมวดแรก ก็ว่าได้
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1282500320/vn05_02a.jpg)
ทหารหมวดแรก
และพร้อมกันนี้ ได้จัดตั้ง "กองพลน้อยโฆษณาติดอาวุธเพื่อปลดแอกเวียดนาม" (Armed Propaganda Brigade for the Liberation of Vietnam) เป็นกองทัพประชาชนเวียดนาม (the People's Army of Vietnam - PAVN) โดยมีฐานที่ตั้งในบางอำเภอของจังหวัดเกาบัง (Cao Bang) แบคคัน (Bac Kan) และลางซัน (Lang Son)
ซึ่งหน่วยนี้ได้พัฒนาเป็น กองพลน้อยที่ ๒๐๙ ในโอกาสต่อมา
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1282500320/Giap.jpg)
นายพล โว เหวียน เกี๊ยบ (Vo NGuyen Giap) อายุ ๓๖ อดีตนักศึกษาวิชานิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยฮานอย เป็นผู้บัญชาการกองทัพคนแรก
ประเดิมชัยฉลองคริสตมาส ๑๙๔๔
๒๕ ธันวาคม ค.ศ.๑๙๔๔ ผู้บัญชาการ เกี๊ยบ ได้นำทหารหมวดแรกนี้ โจมตีที่มั่นของฝรั่งเศส สองแห่ง ที่อยู่ติดกับพรมแดนจีน คือที่ พีคัต และนางัน
ผลการโจมตีเป็นที่น่าพอใจ คือ สังหารทหารรักษาที่มั่นของฝรั่งเศส . . . เรียบโร้ยยยยย
พ.ศ.๒๔๘๘ - ค.ศ.๑๙๔๕
๙ มีนาคม ญี่ปุ่นเข้ายึดอำนาจในเวียดนาม เป็นข้าศึกที่เผชิญหน้ารายใหม่ของเวียดนาม ชาวเวียดนามมีการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านญี่ปุ่น โดยการใช้มวลชนและสงครามจรยุทธ
๑๑ มีนาคม ญี่ปุ่นบังคับจักรพรรดิเบาได๋ของ Annam ประกาศยกเลิกความอารักขาของฝรั่งเศสและการประกาศเอกราชของเวียดนาม
เมื่อเจ้าหน้าที่ผู้ปกครองอาณานิคมชาวฝรั่งเศสได้พากันอพยพหลบหนีออกไปจากอินโดจีน ญี่ปุ่นจึงได้จัดตั้งรัฐบาลเวียดนามขึ้นปกครองตนเอง ญี่ปุ่นขอเพียงความร่วมมืออำนวยความสะดวกแก่กองทัพญี่ปุ่นและความร่วมมือในเรื่องที่ญี่ปุ่นต้องการเท่านั้น
เสริมสร้างกำลังกองทัพ
ในช่วงนี้ เวียดนามเสริมสร้างกำลังกองทัพ โดยได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ มีการจัดตั้งหน่วยใหม่ และฐานที่มั่นที่เมืองไทเหงียน (Thai Nguyen) เหนือกรุงฮานอยไปทางเหนือตามเส้นทางอาณานิคมหมายเลข ๓ และ เมืองฮัวบินห์ (Hoa Binh) ริมฝั่งแม่น้ำดำ (Riviere Noire) ห่างกรุงฮานอยไปทางตะวันตกเฉียงใต้
ฝ่ายฝรั่งเศสก็เพิ่มกำลังเข้ามาในเวียดนามจนมีจำนวนถึง ๖๓,๐๐๐ พร้อมทั้งยานเกราะ และอาวุธหนักต่างๆ
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1282500320/LaiChau.jpg)
เกาบัง (Cao Bang) แบคคัน (Bac Kan) ลางซัน (Lang Son) ไทเหงียน (Thai Nguyen) ฮัวบินห์ (Hoa Binh)
ปลายสงครามโลกครั้งที่ ๒
๘ พฤษภาคม ๒๔๘๘ ค.ศ.๑๙๔๕ เยอรมันนียอมแพ้สงครามอย่างเป็นทางการ
๑๗ กรกฎาคม ถึง ๒ สิงหาคม ๒๔๘๘ การประชุมปอตสดัม (the Potsdam Conference)
ผู้นำประเทศสัมพันธมิตรมหาอำนาจ ทั้ง ๔ ได้ตกลงกันว่า ให้กองทัพของจีนคณะชาติหรือก๊กมินตั๋งและกองทัพอังกฤษปลดอาวุธกองทัพญี่ปุ่นในเวียดนาม โดยกำหนดให้ กองทัพจีนคณะชาติเข้ามาทางเหนือ กองทัพอังกฤษเข้ามาทางใต้ และแบ่งเขตความรับผิดชอบที่เส้นขนานที่ ๑๖ (เมืองดานัง Da Nang) ส่วนฝรั่งเศสจะได้กลับเข้าฟื้นฟูสถานะในอาณานิคมเวียดนามต่อไปอีก
รัฐบาลจีนแสดงความต้องการดินแดนบางส่วนในอินโดจีนที่เคยตกอยู่ใต้การยึดครองของกองทัพญี่ปุ่นยาวลงไปถึงเส้นขนานที่ ๑๖ ซึ่งเรื่องนี้กระทบต่อรัฐบาลของโฮจิมินห์ในฮานอยเป็นอย่างมาก
สนธิสัญญานี้ทำให้ ชาวเวียดนามไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งที่ฝรั่งเศสจะกลับเข้าไปมีอำนาจกดขี่ชาวเวียดนามต่อไปอีก จึงรวบรวมกำลังเข้าต่อต้านต่อสู้การปกครองของฝรั่งเศส และเปิดฉากทำสงครามกับฝรั่งเศส ต่อไป
"ปฏิวัติสิงหาคม August Revolution"
๑๑ สิงหาคม ๒๔๘๘ เริ่มเกิดการจลาจลในจังหวัดฮาทินห์
๑๒ สิงหาคม ๒๔๘๘ มีการออกประกาศให้ก่อการจลาจล มีการโจมตีที่มั่นทหารต่างชาติหลายแห่ง
๑๓ สิงหาคม ๒๔๘๘
- คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีน (The Central Committee of the Indochinese Communist Party - ICP) ประชุมกันที่ตันเตรา (Tan Trao) ได้ข้อตกลงใจที่จะให้แสวงประโยชน์ในช่องว่างแห่งอำนาจนี้ด้วยนำประชาชนปฏิวัติทั่วไป และเข้ายึดอำนาจรัฐ
- ประชาชนในจังหวัดกวางไงลุกฮือแสดงพลัง
๑๔ สิงหาคม ๒๔๘๘ ญี่ปุ่นยอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไข
๑๕ สิงหาคม ๒๔๘๘ กองทัพญี่ปุ่นทุกสมรภูมิวางอาวุธ
หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒
เมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้จึงเกิดช่องว่างแห่งอำนาจขึ้นในเวียดนาม เวียดมินห์ได้ทำการ "ปฏิวัติสิงหาคม August Revolution" ทั่วประเทศเข้ายึดที่ทำการของรัฐ
๑๙ สิงหาคม ๒๔๘๘ เกิดการจลาจลในฮานอย
๒๓ สิงหาคม ๒๔๘๘ เกิดการจลาจลในเมืองเว้
๒๕ สิงหาคม ๒๔๘๘
- เกิดการจลาจลในไซง่อน
- สมเด็จพระจักรพรรดิเบาได๋แห่งเวียดนาม (๘ มกราคม พ.ศ.๒๔๖๙ – ๒๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๘๘ - ค.ศ.๑๙๒๖ - ๔๕) ทรงสละราชบัลลังก์ เป็นการสิ้นสุดราชวงศ์เหงียน ก่อนสละราชบัลลังก์ได้ทรงแต่งตั้งให้โฮจิมินห์ ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ เพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่ขึ้นในฮานอยและเป็นประธานาธิบดีคนแรก
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1282500320/Bao_Dai_nho.jpg)
![](http://iseehistory.socita.com/images/column_1282500320/BAO-DAI.jpg)
สมเด็จพระจักรพรรดิเบาได๋ พระเจ้ากรุงเวียดนาม
๘ มกราคม ๒๔๖๙ – ๒๕ สิงหาคม ๒๔๘๘
สถานการณ์ต่อไป . . . สาธารณรัฐประชาธิปไตยแห่งเวียดนาม
สถานการณ์ต่อไป . . . สาธารณรัฐประชาธิปไตยแห่งเวียดนาม
สถานการณ์ต่อไป . . . สาธารณรัฐประชาธิปไตยแห่งเวียดนาม