* * *
เมษายน ๒๔๕๓ - ดาวหางฮัลเลย์
จากจดหมายเหตุปูมสุริยยาตร หรือปูมโหร . . .
"วันจันทร์ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๕ เวลา ๑๐ ทุ่ม ดาวอุตรพัทรเกิดหางยาว ๓ วา โต ๓ กำ เบื้องทิศบูรพาหางไปข้างทิศอาคเนย์ วันจันทร์ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖ จึงหาย"
วันจันทร์ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๕ ตรงกับวันที่ ๑๔ เมษายน ๒๔๕๓
วันจันทร์ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖ ตรงกับวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๔๕๓

ภาพถ่ายดาวหางฮัลเลย์ซึ่งได้ถ่ายไว้เมื่อครั้งที่ปรากฏเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๓ ค.ศ.๑๙๑๐
เมื่อดาวหางฮัลเลย์โคจรจากไปจากสายตาชาวไทยโดยไม่มีเหตุร้ายใดเกิดขึ้นดังที่วิตกกังวลกัน ในที่สุดชาวไทยก็ชักจะลืมๆ กันไป และต่างเตรียมตัวเตรียมใจจะฉลองพระบรมรูปทรงม้าเป็นครั้งที่สองในเดือนพฤศจิกายน ๒๔๕๓ ก็มีเหตุให้ไม่ได้ฉลองพระบรมรูปทรงม้าดังหวัง
และหากมีผู้สงสัยว่าจะเป็นผลมาจากดาวหางฮัลเลย์หรือไม่ ก็คงตอบได้ว่า ไม่

เสด็จสวรรคต - ร่ำไห้โศกาดูรกันทั้งแผ่นดิน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรพระโรคพระธาตุพิการ มาแต่วันที่ ๑๖ ตุลาคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๙ พระโรคกลายเป็นทางพระวักกะพิการ แพทย์ได้ประกอบพระโอสถถวายพระอาการหาคลายไม่ ถึงวันเสาร์ที่ ๒๒ ตุลาคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๙ เวลา ๒ ยาม ๔๕ นาที เสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังสวนดุสิต พระชนมพรรษา ๕๘ เสด็จดำรงศิริราชสมบัติ ๔๓ พรรษา วันในรัชกาลนับแต่มูลพระบรมราชาภิเศก ๑๕๓๒๐ วัน . . .
(ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๒๗ วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๑๒๙ หน้า ๑๗๘๒ ข่าวสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)

พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต
วันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๕๓
เวลาเช้า สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวีประทับเป็นประธานในการถวายน้ำสรงพระบรมศพเป็นส่วนฝ่ายใน
ตอนบ่าย เชิญพระบรมศพขึ้นพระแท่นทอง ทรงพระภูษาแดงลอยชาย ทรงสพักแพรสีนวล สะไบเฉียง
เวลา ๑๖.๐๐ นาฬิกา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชทรงเครื่องเต็มยศถวายสรงน้ำพระบรมศพ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้า และข้าราชการชั้นเสนาบดี หม่อมเจ้าชั้นพานทอง เสร็จแล้ว พนักงานภูษามาลาถวายเครื่องสุกำ ทรงเครื่องตามขัติยราชประเพณี ทรงภูษาเขียนทองพื้นขาว โจงหน้าหลัง แลมีทับพระทรวง พระสังวาล พาหุรัด ทองพระกร พระธำรงค์ ๘ นิ้วพระหัตถ์ ทองข้อพระบาท ทองปิดพระพักตร์ลงยา ห่อใบเมี่ยง ๑๖ ผืน เสร็จแล้ว เชิญเสด็จลงพระลองเงินประทับบนกาจับหลักทองคำลงยาราชาวดี แล้วคลุมตาด สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชถวายพระชฎามหากฐิน เสร็จแล้วเชิญพระลองจากชั้นบนลงอัฒจันทร์ ผ่านมาทางหลังห้องประชุมลงอัฒจันทร์ใหญ่ถึงหน้าที่นั่ง ตั้งพระเสลี่ยงไปขึ้นสามคาน ประกอบพระโกศทองใหญ่ มีพระมหาเศวตฉัตรกั้น พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าดิลกนพรัตน์ และ พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าสุริยงประยูรพันธ์ ประคองพระโกศ มีกระบวนแห่ ทหารบก ๒,๐๐๐ คน แล้วถึงตำรวจมหาดเล็กแต่งยูนิฟอร์มเสื้อครุยอย่างขบวนพยุหยาตรา กลองชนะแดง ๘๐ ทอง ๒๐ เงิน ๒๐ จ่าปี่ จ่ากลอง ๒ สำรับ มีตำรวจถือหวาย ถือหอก ขั้นนาย สพายกระบี่ เครื่องสูงหักทองขวาง บังแซก ๒ สำรับ พระแสงหว่างเครื่อง แต่งเครื่องเสื้อครุยลำพอก แล้วถึงพระที่นั่งสามคาน มีพระกลดบังสุริยาคู่เคียง ๘ คู่ พระยา ทหาร และราชสำนัก มหาดเล็กเชิญเครื่องสูง หลังนาฬิวันเปลือยผมอยู่ท้ายเครื่อง มีธงสแตนดาร์ดเดินตาม มีนายทหารกำกับธง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชทรงพระดำเนินตาม แล้วถึงเจ้านายทรงดำเนินเรียง ๔ ตั้งแต่เจ้าฟ้า พระองค์เจ้า หม่อมเจ้า แล้วม้าพระที่นั่ง ๔ ตัว แล้วขุนนางตั้งแต่เจ้าพระยาเป็นต้นไป ทหารเรืออยู่ท้ายกระบวน จำนวน ๖๐๐ แห่ออกผ่านพระที่นั่งสีตลาภิรมย์ มาออกกำแพงที่รื้อเป็นช่องเลียบทางพระที่นั่งอนันตสมาคม ออกพระลาน ผ่านพระบรมรูปทางด้านตะวันตก ไปตามถนนราชดำเนิน เลี้ยวหน้าพระลาน
ตามทางกระบวนแห่จะได้เห็นราษฎรสองข้างทางมีดอกไม้ ธูปเทียนบูชา และร้องไห้แทบทุกคน แม้แต่ทหารถือปืนข้างถนน
กระบวนแห่เข้าประตูวิเศษไชยศรี พิมานไชยศรี เข้าพระมหาปราสาท เมื่อพระบรมศพถึงแล้ว เปลื้องประกับ เชิญขึ้นทางมุขเหนือประตูตะวันตกมีฐานพระบุพโพฐานเขียง ห้อยเศวตรฉัตร์ ๙ ชั้น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชผู้ครองแผ่นดินทอดผ้าสดัปกรณ์ ๑๒๐ ผ้าขาว ๒๔๐ แล้วเสด็จขึ้นราว ๕ ทุ่ม
ระยะทางเดินกระบวนจากสวนดุสิตถึงพระบรมมหาราชวังราว ๓ ชั่วโมง ทหารปืนใหญ่ยิงสลุตถวายตั้งแต่สรงน้ำพระบรมศพทุกนาที จนตั้งพระโกศเสร็จ มีประโคมและนางร้องไห้พวกเจ้าจอมและพนักงาน
ผู้ใหญ่ที่มีชีวิตทันเหคุการณ์นี้ ได้เล่าว่า วันนั้นอากาศมืดครึ้มอยู่ทั้งวัน ครั้นกระบวนเชิญพระบรมศพเข้าสู่พระบรมมหาราชวังแล้ว พักใหญ่ ฝนก็ตกหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตา

พระบรมโกศประดิษฐาน ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท


ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ