ในวันนี้ (14 ธันวาคม 2553) ที่ทำงานผม คือ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พึ่งได้จัดงานวันสิทธิมนุษยชนขึ้น ทั้งที่โดยสากลจะเป็นวันที่ 10 ธันวาคม แต่เพื่อสับหลีกกับวันรัฐธรรมนูญ จึงได้จัดรายการการเดินรณรงค์ที่บริเวณศูนย์การค้ามาบุญครองและสยามสแควร์เมื่อวันที่ 9 แล้วมาจัดงานใหญ่อีกทีในวันนี้ ที่ทำงานจัดงานใหญ่ทั้งที ขอลอกข้อมูลจากบอร์ดหนึ่งในบริเวณงานมาอัพเดทบล็อกกันซะหน่อย ดังนี้ครับ
๑๐ ธันวาคม วันสิทธิมนุษยชน และสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย
หลังจากที่สงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลงเมื่อปี ๒๔๘๙ (ค.ศ.๑๙๔๖) ประเทศต่างๆ ตระหนักว่า การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เกิดสันติภาพและความเจริญก้าวหน้าขึ้นในโลก จึงร่วมกันจัดตั้งองค์การสหประชาชาติ (United Nations) ให้ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการดำเนินการให้การคุ้มครองมนุษยชาติ ให้ได้รับความเป็นธรรมอย่างเสมอภาค และเท่าเทียมกัน โดยมีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนเพื่อทำหน้าที่พัฒนากลไกและเครื่องมือด้านสิทธิมนุษยชนต่างๆ ขึ้นมา
โดยต่อมา คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน ก็ได้จัดทำร่างปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights) เพื่อใช้เป็นหลักการและมาตรฐานทั่วไป ที่เป็นความเข้าใจร่วมกันในด้านสิทธิมนุษยชน และนำเสนอให้สมัชชาใหญ่สหประชาชาติพิจารณา โดยสมัชชาใหญ่ได้มีมติรับรองปฏิญญาฉบับดังกล่าว เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๙๑ (ค.ศ.๑๙๔๘) และกำหนดให้วันที่ ๑๐ ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันสิทธิมนุษยชน ซึ่งหลังจากที่มีการรับรองปฏิญญาฉบับดังกล่าว ประชาคมโลกก็ได้กำหนดกลไก และเครื่องมือด้านสิทธิมนุษยชนขึ้นมาอีกหลายลักษณะ เพื่อประกันสิทธิขั้นพื้นฐาน ตลอดจนส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเหล่านั้น พร้อมกับจัดงานเฉลิมฉลองทั่วโลกในวันสิทธิมนุษยชน โดยใช้แนวคิดร่วมกันว่า "มนุษย์ทุกคนล้วนมีศักดิ์ศรี และสิทธิ ซึ่งเกิดขึ้นมาอย่างมีอิสระ มีเสรีภาพ และความเสมอภาคเท่าเทียมกัน"
ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน พันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน และความเกี่ยวข้องของสังคมไทย
ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ประกอบด้วยวรรคอารัมภบท และบทบัญญัติ ๓๐ มาตรา ที่กำหนดสิทธิมนุษยชน และเสรีภาพขั้นพื้นฐานของมนุษย์ที่พึงได้รับโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ อาทิ สิทธิในการมีชีวิตอยู่รอด เสรีภาพและความมั่นคงปลอดภัยของบุคคล สิทธิที่จะได้รับมาตรฐานในการดำรงชีวิตอย่างเพียงพอ สิทธิเสรีภาพที่จแสดงความคิดเห็น สิทธิในการศึกษา สิทธิในเสรีภาพจากการไม่ถูกทรมานและการกระทำย่ำยี ริดลอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เป็นต้น ทั้งนี้ปฏิญาดังกล่าวเป็นเพียงหลักการและมาตรฐานทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานเท่านั้น
ถ้าอ่านแล้วยังรู้สึกว่าวิชาการเกินความเข้าใจ ขอยกคำพูดของท่านนายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช กรรมการสิทธิมนุษยชน 1 ใน 7 ท่านในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนชุดปัจจุบัน ท่านได้กล่าวไว้เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2553 ในงานเดินรณรงค์ที่ผมกล่าวถึงในตอนต้น ว่าที่จริงแล้วคนไทยมีสำนึกในเรื่องสิทธิมนุษยชนมาช้านานก่อนโลกตะวันตกซะอีก ดังปรากฏในคำว่า "เกรงใจ" ในภาษาไทยนั้น ถ้าเรารู้สึกเกรงใจผู้ใด เราก็จะไม่ไปละเมิดสิทธิของเขา ขอทิ้งท้ายไว้ให้คิดกันเท่านี้แหละครับ
หมายเหตุ : เปิดให้แสดงความคิดเห็นเฉพาะสมาชิกเว็บไซต์ที่ด้านล่างสุด หรือสมาชิก Facebook แสดงความเห็นได้ในกรอบข้างล่างนี้ครับ