dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสอง

เมื่ออ่านค้างมาจากตอนที่แล้ว..บางท่านอาจสรุปง่ายๆเอาได้ว่า เจ้าฮิตเล่อร์นี่มันต้องเป็นซาตานกลับชาติมาเกิด หรือไม่ก็ประเภทนรกส่ง
มาแบบไปรษณีย์ด่วน

มาดูประวัติเขานะคะ...ฮิตเล่อร์เกิดเมื่อ คศ. 1889 ที่ออสเตรีย และเป็นเด็กชนบทธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้นเอง ที่โตมาในครอบครัวที่พ่อมีเมียเรียงกันสามชุด..
แม่ของเขาเป็นเมียคนสุดท้อง(แถมยังมีศักดิ์เป็นหลานสาวของพ่ออีกด้วย..เรื่องนี้มีการซ้ำรอยประวัติศาสตร์เสียด้วย จะเล่าในตอนต่อๆไป)

เมียคนแรกของ อลอวส์(Alois) พ่อของเขานั้น คือ เอวา มาเรีย ผู้หญิงที่มีอายุแก่กว่าถึงสิบสี่ปี เสียงลือเล่าอ้าง
ว่า เพราะเธอมีฐานะดีกว่า ไม่มีลูกเต้าด้วยกันแต่อย่างใด แต่ อลอวส์ แอบมีอีหนูเอ๊าะแอบไว้ ชื่อว่า ฟรานเซสกา
ภายหลังก็เอามาอยู่ด้วยในบ้าน ขณะที่เมียหลวง เอวา มาเรีย เริ่มป่วยกระเสาะกระแสะ
ฟรานเซสกา มีลูกกับอลอวส์ สองคน ชายหนึ่ง ชื่อ อลอวส์จูเนียร์ หญิงหนึ่ง ชื่อ
แอนเจลา

ขณะเดียวกัน บ้านที่มีทั้งคนป่วยและเด็กอ่อน ค่อนข้างยุ่งเหยิงน่าดู อลอวส์จึงไปตามหลานสาวอายุ 16 ปี ที่ชื่อ
Klara Polzl แม่ของเธอนามสกุลเดิมก่อนแต่งงานคือ Hieder  ( Hieder คือนามสกุลต้นฉบับของแท้..ที่กลายมาเป็น  Hitler ในทีหลัง)
มาอยู่ด้วยในบ้านในฐานะกึ่งเด็กรับใช้
แต่ทำไปทำมา คลาร่า ก็กลายเป็นเมียของอลอวส์ไปอีกคนแบบแอบๆ มามีโอกาสเปิดเผยเพราะ ฟรานเซสกาชิง
ตาย ไปเสียก่อน..
(ความจริงตามกฏของสำนักวาติกันจะไม่ยอมให้คนทั้งสองแต่งงานกันในทีแรกเพราะว่าเป็นวงศ์เครือญาติ หากแต่ต้องจำยอม
เพราะ คลาร่าท้องลูกคนแรกซะแล้ว)

คลาร่ากับอลอวส์ก็ได้แต่งงานกัน มีลูกด้วยกันถึง 6 คน แต่สามคนแรก ชิงตายจากไปราวกับใบไม้ร่วงตั้งแต่วัยเยาว์
เหลือคนที่ 4 ที่ เป็นเด็กชายท่าทางขี้โรคชื่อว่า อดอล์ฟ และ คนที่ 5 เอดมันด์ เสียชีวิตตอนอายุ หกขวบ คนสุดท้ายเป็นหญิงที่สมองไม่ค่อยสมประกอบ ชื่อว่า พอลล่า

นี่คือเหตุผลที่คลาร่าประคบประหงมลูกชายขี้โรคของเธอนัก ถึงกับเข้าขั้นเลี้ยงดูชนิดแนบอก ว่ากันว่า
ฮิตเล่อร์มาหย่านมตอนที่เกือบจะเข้าโรงเรียนแล้ว..
และ สัมพันธภาพระหว่างเขาและพ่อนั้น...จัดว่าห่างเหิน เพราะ ในวัยเด็กเขาได้เห็นแม่ตัวเองต้องทำงานหนักเพื่อคนอื่นมาตลอด
อีกทั้ง ยามที่อลอวส์เกิดขัดอกขัดใจขึ้นมา ทุบตีเขาและแม่ออกบ่อยๆ

ครอบครัว ของเขาโยกย้ายไปโน่นนี่บ่อยๆเพราะหน้าที่การงานในฐานะข้าราชการของอลอวส์ แต่ หลังจากรีไทร์ได้ไม่นาน เขาก็เสียชีวิต ในปี 1903
และ ในปลายปีเดียวกันนั้น แอนเจล่าพี่สาวต่างมารดาได้ออกเรือน..แต่งงานกับ Leo Raubal

ภาพงานแต่งงานของแอนเจล่า

 

ยามที่กำพร้าพ่อนั้น..ฮิตเล่อร์เพิ่ง อยู่ชั้นมัธยม..
คลาร่าจึงตามใจลูกชายสุดที่รักได้เต็มที่ เช่นยอมส่งเขาไปเรียนโรงเรียนดีๆไกลบ้านโดยที่ต้องไปเช่าหอพักอยู่ และ ไม่เสียดมเสียดายค่าเรียนเปียนโนตามที่ลูกร้องขอ..

ตอนนั้น ฮิตเล่อร์เริ่มโตขึ้นมาแบบมีพรสวรรค์ในการวาดรูปเหนือเด็กอื่นใดและความใฝ่ ฝันอยากเป็นจิตรกร จุดมุ่งหมายของเขาคือ
กรุงเวียนนา ..อันเป็นแหล่งที่เปรียบเสมือนสำนักตักศิลา..แต่ต้องชะลอแผนการไปเพราะ..
ในปี 1907 คลาร่าต้องเข้ารับการผ่าตัดมะเร็งที่ทรวงอก แต่เมื่อพออาการดีขึ้น..จึงอนุญาตให้ ฮิตเล่อร์ได้เดินทาง
ไปตามหาความ ฝันที่กรุงเวียนนาตามที่ใจปรารถนา
แต่..เขากลับสอบไม่ผ่าน กล่าวคือ เอนท์ไม่ติดนั่นแหละ..
ด้วยสาเหตุจากคณาจารย์แทงข้อความลงมาว่า งานของเขาที่ส่งเข้ามา..มันเป็นการวาดแบบสถาปัตยกรรมจนเกินไปกว่าคำว่า "วิจิตรศิลป"

และเสนอแนะว่า ฮิตเล่อร์ควรไปเรียนในด้านนี้มากกว่า แต่..ปัญหามันมีว่า การเรียนสถาปัตยกรรมในออสเตรีย
นั้น นักเรียนต้องมีใบประกาศนียบัตรจากโรงเรียนช่างศิลปมาก่อน
ซึ่ง..ฮิตเล่อร์ไม่ต้องการเสียเวลาตรงนั้น..
แต่เขาไม่มีเวลาคิดอะไรได้นานนัก เพราะไม่กี่เดือนต่อมา คลาร่า แม่ของเขาก็เสียชีวิต..
ปัญหาที่ ตามมานั้นก็คือ ใครเล่าจะเลี้ยงดู พอลล่า น้องสาวที่ไม่ค่อยสมประกอบของเขา
ในที่สุด แอนเจล่า พี่สาวต่างมารดาที่เพิ่งแต่งงานไป ก็รับไปเป็นภาระเลี้ยงดู ทั้งๆที่เขาก็จนแสนจน สามีเป็นเพียง
ข้าราชการชั้นผู้น้อย  ทั้งสองมีลูกเป็นของตัวเอง คือ Angelika {Geli} และ Elfriede แต่ ในยามนั้น รัฐบาลได้ให้เงินแต่ ลูกกำพร้าทั้งสอง
ของคลาร่า คนละ 25 Kronen ต่อเดือน ซึ่งเทียบแล้วช่างน้อยนิดเสียเหลือเกิน
ฮิตเล่อร์ก็รับส่วนของตัวอย่างหน้าตาเฉย..ไม่ได้เสนอสมทบให้กับแอนเจล่าผู้มีน้ำใจดูแลน้องสาวแต่อย่างใด
พร้อมทั้งโผผินบินหนีกลับไปเผชิญโชคที่เวียนนาราวกับนกน้อยๆ ที่แสวงหารังใหม่ ชีวิตใหม่


ที่เวียนนา เขาใช้ชีวิตแบบคุ้มค่าทุกนาที โดยไม่ต้องดูทีวีสีช่องสาม.. ยามที่ยังพอมีเงิน เขาก็อยู่อย่างหรูหรา ดู
ละครโอเปร่าได้ทุกวัน  ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยามที่เงินหมด เขาเกือบเป็นขอทาน ถังแตกเสียจนต้องจำนำเสื้อโค๊ต ยอมเข้าไปอยู่ในโรงทานเพื่อ
คนอนาถา
ที่นั่น..เขารู้จักกับชีวิตแบบใหม่ เพื่อนใหม่ และในฐานะที่เขามีฝีมือในการวาดรูป เพื่อนรักชาวยิวของเขาคนหนึ่ง
รับเป็นตัวแทนเอามันไปเร่ขาย ส่วนแบ่ง ห้าสิบห้าสิบ.. ซึ่งเขามีรายได้จากตรงนี้จนพอลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้บ้าง

ฮิตเล่อร์ใน ยามเด็กจนถึงรุ่นหนุ่มนั้น..ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นปรปักษ์กับยิวสักเท่าใดนัก เพื่อนๆของเขาหลายคนก็เป็นยิว อีกทั้งหมอที่รักษาแม่เขา (Dr. Bloch) ก็เป็นยิวขนานแท้
เขาหนีการเกณฑ์ทหารของออสเตรียในปี 1911-12 โดยการหลบไปอยู่ในเมืองมิวนิค ประเทศเยอรมันซะเฉยๆงั้นแหละ..

และนึกหรือว่าจะรอด..ปรากฏว่า ในปี 1913 สันติบาลของออสเตรียตามมาลากคอถึงบ้าน และนำตัวกลับไปยังประเทศออสเตรีย
ที่เมือง Linz อันเป็นหน่วยบังคับการที่ใกล้ชายแดนที่สุด ฮิตเล่อร์อ้างว่า ตัวเองมีกำลังหาที่เรียน(ศิลป)
แต่..หลังจากที่เข้ารับการตรวจสุขภาพ เขาไม่ผ่าน เพราะ สภาพร่างกายที่ผ่ายผอมเกินกว่าจะคอนอาวุธได้ไหว เป็นอันว่ารอดตะรางไป..

 

ในปีต่อมา เขาเข้าไปเป็นอาสาสมัครทหารกองเกินในหน่วยกองทัพเยอรมัน
(มณฑลบาวาเรีย) ในหน่วยจู่โจมซะด้วย
ตอนนี้แหละ..ที่เขาได้แสดงความกล้าหาญแบบบ้าบิ่น ในฐานะทหารสื่อสาร (วิ่งส่งข้อความในแนวรบ) แบบเสี่ยง
ตายอย่างชนิดเฉียด ฉิวหลายครั้งหลายครา ทั้งโดนระเบิดแก๊สจนตาเกือบบอดไปข้างนึง ต้องนอนโรงพยาบาลนานนับเดือน

เล่ากันว่า...ครั้งหนึ่งในสนามรบ.. เขากับเพื่อนๆกำลังอยู่ระหว่างพัก ทุกคนคว้ากล่องอาหารขึ้นมาตักใส่ปาก เขารู้สึกว่ามี
เสียงมากระซิบให้เขาลุกขึ้นไปจากที่นั่น..
หลังจากที่เดินจากมาไม่กี่ก้าว..ระเบิดจากฝ่ายตรงข้ามหย่อนลงมากลา
งวงพอดี
ผลคือ เพื่อนๆคอมราดของเขา ตายเรียบ..!!

จากวีรกรรมอันกล้าหาญ หลายต่อหลายครั้งของเขานั้น..เขาได้รับเหรียญกล้าหาญ ระกับ Iron Cross ชั้นหนึ่ง
และ ชั้นสอง มาเป็นเกียรติประวัติ
และไอ้เหรียญสองอันนี้ เอง ..ที่ทำให้เขา"เกิด"ขึ้นมาในวงการทันที..
เขาเริ่มมุ่งมั่นที่จะเอา ดีทางด้าน "การเมือง"
เพราะการแพ้สงครามผสมความกดดันแกมรีดนาทาเร้นของผู้ชนะศึกในสนธิสัญญาแวซายย์

เขาเข้ามาในพรรคนาซีอย่างไรน่ะหรือ..คำตอบคือ..
เพราะต่อมาในปี 1919 เขาอาศัยความดังจากสมรภูมิรบผลักดันตัวเองเข้าไปรับการอบรมวิธีการปราศรัย เข้าทำนองปฏิบัติการจิตวิทยา ที่มหาวิทยาลัยมิวนิค
และเพียงไม่ กี่เดือนเขาก็ได้รับเลือกเข้ามาเป็นโฆษกของพรรค German Worker’s Party ที่มาเปลี่ยนเป็นพรรคนาซีในทีหลัง

นั่นคือ..ในปีต่อมา 1920 พรรคได้เปลี่ยนชื่อแบบเต็มยศว่า National Sozialistische Deutsche Arbeiter Partei (NSDAP)
ซึ่งเขาใช้เวลาเพียงแค่ปีเดียว..ในการที่ก้าวเข้ามา เป็นหัวหน้าพรรค อย่างเต็มภาคภูมิ..ในปี 1921


ตอนนี้ ฮิตเล่อร์นำพรรคพวกคอมราดร่วมตายในสนามรบมาค้ำบัลลังก์มากมายหลายคน อย่าง Max Amann และ Ernst Rohm
หรือสมญาว่า นักฆ่าหน้าบาก..
คนนี้ แหละ..ที่ทำให้วงการทหารหาญนาซีสั่นสะเทือน เพราะเธอยอมรับมาอย่างโต้งๆว่า เธอเป็นเกย์
และไม่อายที่จะไปไหนมาไหนโดยมีทหารหล่อๆแห่แหนตามเป็นฝูง ชนิดล้อมหน้าล้อมหลัง และเขาเป็นหนึ่งในไม่
กี่คนที่สามารถใช้สรรพนาม "Du" กับฮิตเล่อร์

Max Amann

เรื่องนี้ถ้าเล่าแบบสาวลึกละก้อ..สนุกทีเดียวเจียว..!!

 

 

Ernst Rohm

 

*** หมายเหตุ...ข้อมูลที่นำมาเล่านี้..จากหนังสือหลายเล่มและที่สมบูรณ์ที่สุด คือ ของ John Toland เพราะเขาค่อน
ข้างจะศึกษาจากต้นตอคือผู้เกี่ยวข้องที่มีชีวิตอยู่หลายคน และมาเรียบเรียงแบบเป็นกลางที่สุด..คือ มีทั้งส่วนดี
และส่วนร้ายในตัว บุคคลเป็นรายๆไป
อ้อ..ต้องอ่าน The Last European War ของ John Lukacs มาเป็นเหตุผลในการที่จะเข้าใจเรื่องราวด้วย
แต่ถ้าในเหตุการณ์ เฉพาะ แบบเจาะเป็นจุดๆไป ของ Max Gallo (The night of long knives) หรือ ของ Ronald Hayman (Hitler&Geli) อ้อ..Larry Collins & Dominique La Pierre ( Is Paris burning ?) ก็ดีค่ะ

 

 

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

 

ขอย้อนกลับไปขยายรายละเอียด..ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นศิลปินเร่ร่อนก่อนนะคะ


ตอนนั้น หลังจากที่ไม่ต้องถูกเกณฑ์เข้ากองทัพออสเตรียแล้ว
แต่ไม่ใช่หมายความว่า..เขาจะหลุดจากพันธะของทหารกองหนุนเสียเมื่อไหร่ ยังอาจถูกเรียกได้ทุกเมื่อ
อีกทั้งสภาพเศรษฐกิจของเขาก็แสนแร้นแค้น เนื่องจาก ค่าของเงินมาร์คตกต่ำ รูปก็ขายไม่ออก..
วันหนึ่ง ขณะที่เขานั่งๆนอนๆเอาน้ำลูบท้องอยู่ในห้องเช่าเล็กๆนั่น
เขาได้ยิน เสียงผู้คนคึกคักส่งเสียงด้วยความโกรธแค้นดังมาจากถนนด้านล่าง จึงชะโงกหน้าออกไป..
ได้ยินว่า..Archduke Franz Ferdinand มกุฎราชกุมารของออสเตรียพร้อมทั้งพระมเหสี Sophie(กำลังทรงครรภ์)
ถูกลอบ ปลงพระชนม์ขณะเยือน Sarajevo โดยชาวเซอร์เบียน
ที่ชื่อว่า.. Gavrilo Princip ในวันที่ 28 มิถุนายน 1914

ข่าวว่า...ก่อนหน้าที่จะไปสู่หอประชุมที่ต้อน รับ รถยนตร์พระที่นั่งถูกขว้างด้วยระเบิดน้อยหน่ามาทักทายก่อน แต่โชคดีที่
หลบทัน ถึงกับออกอาการกริ้ว ตรัสว่า..
"What is the good of your speeches? I come to Sarajevo on a visit, and I get bombs thrown
at me. It is outrageous!"

และหลังจากนั้นก็รีบเสด็จกลับโดยเปลี่ยนเส้นทางใหม่ให้ย่นระยะเข้า คราวนี้ เข้าทางของ นาย Gavrilo คอยดักยิงอยู่ ตรงเส้น
ทางพอดี..
กระสุนนัดแรก ส่งไปยังพระมเหสี..สิ้นพระชนม์ในทันที
และนัดต่อมา สู่พระอุระของมกุฎราชกุมาร ก่อนที่จะเสด็จสวรรคต
ทรงตรัสเรียกว่า Sophie เป็นพระดำรัสสุดท้าย..

ข่าวใหญ่ข่าวนี้ ทำเอาผืนแผ่นดินของออสเตรีย จรด เยอรมันลุกเป็นไฟ ประชาชนต่างโกรธแค้นพร้อมที่จะทำ
สงครามอย่างในเร็ววัน  รวมไปถึงฮิต เล่อร์ด้วย..
เขาถึงกับเขียนจดหมายด้วยลายมือตัวเอง
ส่งไปยัง พระเจ้า Ludwig III ขอเป็นอาสาสมัครเข้าร่วมด้วยกับกองทัพบาวาเรียของพระองค์
และ ความประสงค์ของเขาก็ได้รับการตอบสนองภายในไม่กี่วันต่อมา
ในการเข้า รายงานตัวต่อศูนย์กองทัพจู่โจมอาสาสมัคร..
ด้วยเหตุผลสองประการ..คือ
หนึ่ง..นับ จากต่อไปนี้ เขาไม่ต้องห่วงเรื่องสถานะของปากและท้อง
อีกทั้งที่ซุกหัวนอน
สอง..ถ้าไม่เข้ากับกองทัพที่นี่ เขาก็ต้องถูกเรียกกลับไปรับใช้หน่วยทหารกองหนุนของออสเตรียอยู่ดี..ถ้าจะให้ เขา
เลือก เขาย่อมเห็นว่ากองทัพของเยอรมันดีกว่า
ถึงแม้ว่า ในยามนั้น บาวาเรีย เป็นเอกเทศก็จริง แต่ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเยอรมัน (มารวมตัวในทีหลัง
ในไม่กี่ปี ต่อมา คือ 1918)

เมื่อมาคุยถึงเรื่องราชวงศ์ Hapsburg แล้วละก้อ ขอต่อหน่อยเถอะ
พูดถึง Archduke Franz Ferdinand และพระชายานี้แล้ว ประวัติรักของเขาทั้งสองนั่นสะท้านลือโลกในปี 1900's ทีเดียวเจียว..
กล่าวคือ ตัวมกุฎราชกุมารนั้น ความจริงแล้วอยู่อันดับที่สาม แต่เนื่องจาก อันดับหนึ่ง คือ Crown Prince Rudolf
ยิงตัวตายพร้อมกับนางสนมสุดเลิฟ เพราะความคับแค้นใจหลายๆเรื่อง เช่นว่า
ขาดความอบอุ่น..และ ถูกกั๊กอำนาจในทุกทาง..
อันดับสอง ตกลงมาที่พ่อของพระองค์เอง..หากแต่ สวรรคตไปซะก่อน ก็เลยหล่นมาลงที่พระองค์เป็นอันดับสาม..

วันดีคืนดี..พระองค์เสด็จไ ดูตัวว่าที่เจ้าสาว..แต่ให้เผอิญไปติดใจนางพระกำนัลเข้าแทน คือ Countess Sophia von Chotkowa คนนี้แหละ..
ถึงขนาดขอแต่งงาน  เล่นเอา Emperor Franz Josef พระปิตุลาถึงกับกริ้ว..
ไม่ยอมรับรู้ในพิธีครั้งนี้ เพราะหญิงนางนี้ไม่มียศศักดิ์คู่ควรแต่อย่างใด..
แต่เมื่อองค์มกุฎฯยัง ดื้อดึง ก็ต้องมีการแจ้งข้อเสนอหลายข้อ
เช่น..เหล่าโอรสและธิดาใดที่จะเกิดมา (ถ้ามี) จะไม่มีสิทธิใดๆในราชบัลลังก์
จะต้องตกไปเป็นของรัชทายาทจากสายอื่น..
Sofie จะไม่ได้รับสิทธิใดๆในราชวงศ์ รวมไปถึงการให้การต้อนรับการปรากฏตัวในงานพระราชพิธีต่างๆต้องไม่ใช่ระดับเดียวกับพระสวามี..เช่น..ต้องนั่งไปในรถคนละคัน

ซึ่งข้อเสนอทุกข้อนั้น Archduke Franz Ferdinand ยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ..
เพราะ ความรักสุดหัวใจ..จนกระทั่งมาพบจุดจบดังที่เล่ามานี่แหละ


(แต่พอเสด็จซาราโฮโว..พระองค์ก็เลยถือโอกาสที่ออกมานอกประเทศจึงให้พระชายาขึ้นมาประทับบนรถพระที่นั่งคันเดียวกัน..และมาถึงจุดจบดังกล่าว..)
 

 

ภาพ..การเสด็จซาราเฮโว..ก่อนเกิดเหตุในชั่วโมงต่อมาภาพ  มือปืนแห่งประวัติศาสตร์  Gavrilo Princip

 

 

เผื่อจะสงสัยว่า..ทำไมองค์มกุฎจึงต้องเสด็จ Sarajevo เมืองหลวงของ Bosnia ด้วย..

คำ ตอบคือ จำเป็นค่ะ ในฐานะของตำแหน่งที่ต้องไปปรากฏตัวให้ประเทศราชในอาณาจักร Austria-Hungary รู้จักว่าต่อไป ไผจะเป็นไผ..
และอีกอย่างหนึ่ง ไปในงานพิธีครบรอบ Battle of Kosovo

ทีนี้มาถึงการขัดแย้งอันเป็น เหตุที่ต้องเกิดโศกนาฎกรรมนี้นะ..
ชาวเซอร์เบียน เป็นชนชาติที่น่าสงสารมาก น่าสงสารที่สุด ตลอดกาลนานมานั้น( จัดว่าเป็นพวก Slav จะอ่าน สล๊าฟ หรือ สเลฟ มันก็แปลว่า"ทาส"เหมือนกันนั่นแหละ)
ถูก ย่ำยีบีฑาจากสงครามแย่งดินแดนรอบด้าน บ้านเมืองถูกผลัดมือกันปกครองระหว่าง
ซาร์ ของรัสเซีย หรือไม่ก็เหล่าบรรดาสุลต่านแห่งออตโตมาน..ประชาชนที่ส่วนใหญ่ทำเกษตรกรรมไม่ เคยอยู่เย็นเป็นสุข
แต่ก็ร่ำร้องนักที่จะมีเอกราชเพื่อปกครองตัวเอง
หากเนื่องจาก ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ ความสามารถอื่นใดนอกจากทำไร่ทำนา จึงต้องยอมตกเป็นเบี้ยล่างเขาอยู่ตลอดเวลา

เช่น..มักถูกรัสเซียหลอก ใช้เป็นกันชน ยามที่มีศึกสงครามมาประชิดตัว..พอชนะแล้ว..ก็ปล่อยไปตามยถากรรม ไม่มาดูแลทะนุบำรุง
หรือ พวกออตโตมาน ก็เฉกเช่นเดียวกัน..
และไอ้การ ฆ่าตัดตอนของสมัยนั้น นับว่าเป็นเรื่องเกิดขึ้นอย่างมากมายในยุโรปของยุคนั้น จนเกือบกลายเป็น
แฟชั่น ของการที่ใครสักคนคิดที่จะปลดแอก
ตามสถิตินะคะ..ระหว่างปี 1893-1913 มีการสังหารผู้นำระดับประเทศถึง 41 รายนี่คือ เฉพาะในยุโรป

ว่าด้วยเรื่อง ของเซอร์เบียนก่อนละกัน..เมื่อครั้งก่อนหน้าของ การปลงพระชนม์ครั้งนี้ เกือบสิบปีได้มัง.. ก็มีเรื่องมาเล่า
ขยายค่ะ

คือในปี 1903 พวกเขาได้มีอิสระในการปกครองกันเอง โดยระบอบพระมหากษัตริย์เป็นประมุข..
พระ เจ้า Milan แห่งราชวงศ์ Obrenovic ได้ยกพระโอรสคือ พระเจ้า Alexander ขึ้นมาครองราชแทน โดยที่พระองค์ทรงเสด็จไปพักผ่อนในต่างประเทศ อย่าง
มอน ติ คาร์โลตามประสาคนมีกะตัง
ส่วนพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ ก็เกิดไปหลงรักหญิงสามัญชน แถมเป็นแม่ม่ายต่างหาก ถึงกับยกย่องขึ้นมาเป็น
พระ ราชินี..ชื่อว่า Draga (ในตระกูล Mashin}
หล่อนมีอายุ 36 ปี ซึ่งแก่กว่าพระสวามีถึงสิบปีเต็มๆ..

จากนั้นมา พระราชินีดรากา ก็เริ่มเข้ามามีบทบาทในการบริหารบ้านเมืองอย่างเต็มตัว โดยเข้าแทรกแซงมันไป
เสีย ทุกเรื่อง ยกพี่น้องของตัวเองให้เข้ามาควบคุมในตำแหน่งสำคัญๆทางการเมืองและการทหาร ทั้งหมด
(เอ..ฟังดู แล้วมันคุ้นๆนะ)
ประชาชนเดือดร้อนไปทุก หย่อมหญ้า..
ส่วนพระเจ้าแผ่นดินก็ไม่ฟังเสียงใคร นอกจากจะพยายามโปรโมทพระราชินีให้เป็นที่ยอมรับอย่างเอาจริงเอาจัง
โดย การตั้งเปลี่ยนชื่อ สถานที่สำคัญๆต่าง เช่นโรงเรียน โรงพยาบาล ให้เป็นชื่อของพระนางทั้งหมด

ต่อมา พระราชินีเริ่มเล่นเกมส์แบบหนักข้อขึ้น ถึงขนาดจะเอาน้องชายตัวเองขึ้นมาเป็นหนึ่งในรัชทายาทผู้ที่จะสืบสันตติวงศ์
ประชาชน เริ่มเดินขบวน ประท้วง ในเดือนเมษายน ที่เมือง Belgrade
ตำรวจถูกสั่งการ ให้กระทำขั้นเด็ดขาด ต่อผู้ที่ขัดขืน อันเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของนักศึกษาหลายร้อยศพ
(เอ..คุ้นๆอีก เหมือนกันอีกแล้ว)

กลุ่มผู้ประท้วงที่ถูกจับมานับร้อยๆนั้นปรากฏว่า.. มีทหารเข้ามาร่วมขบวนการด้วยหลายนาย..
เพราะย้อนไปในปี 1901 นายทหารกลุ่มหนึ่งเริ่มพบกันอย่างลับๆ เพื่อวางนโยบายในการปลงพระชนม์ของทั้งคู่
เริ่มจากการใช้ยาพิษ..โดยการ ที่ส่งคนเข้าไปหัดเรียนการทำอาหารให้เก่งกาจ จนได้เข้าไปทำงานในโรงแรมชั้น
หนึ่ง คือ The Grand Hotel ของ
Belgrade จนกระทั่งไม่กี่เดือนต่อมา เด็กหนุ่มคนนี้ชื่อเสียงโด่งดังจนถูกเรียกตัวให้เข้าไปทำอาหารถวายใน พระราชวัง
เข้าล๊อค..เขาละซิ..!!


วันหนึ่งโอกาสเหมาะก็มาถึง..เขาจัดการผสมยาพิษให้เข้ากับอาหารตามแผนที่ เตรียมมา
แต่..ไม่รอดพ้นสายตาของหัวหน้ากุ๊กไปได้
เขาถูกสอบสวนทันที..ผลคือ เขาถูกยิงทิ้งชนิดที่ไม่ต้องรอคำสารภาพ
มาถึงตอนนี้ พระเจ้า Alexander เริ่มรู้พระองค์แล้วว่า ในไหเกลือของพระองค์นั้นเต็มไปด้วยหนอน
จึงรีบประกาศยกน้องเมีย Nicolai Bunevitch ขึ้นมาเป็นรัชทายาททันที

และ นี่คือ ฟางเส้นสุดท้าย ที่ทหารสุดแสนจะทนต่อไปได้..
ทหาร 28 นายบุกเข้าไปในพระราชวัง..ที่เหลือล้อมอยู่วงนอก จัดการเก็บอาวุธของเหล่ามหาดเล็กจนหมดสิ้น.
แล้วพังประตูเข้าสู่พระราช ฐานชั้นในด้วยขวานในทีแรก ...แต่ สักพักคงฟันจนเหนื่อย เลยวางระเบิดมันซะให้รู้แล้วรู้รอด

เสียงระเบิดปลุกให้บุคคลที่เป็นเป้าหมายทั้งสองรู้ตัวได้ทันทีว่าได้เกิดเหตุร้ายขึ้นแล้ว..จึงพากันไปซ่อนในช่องลับ ด้วยความหวาดกลัว
เหล่าทหาร 28 นาย..เดินค้นหาจนทั่วพระราชวัง..ไม่พบ
จึงเรียกหัวหน้าทหารมหาดเล็กมา เค้นเอาความจริง ว่า ช่องลับนั้นอยู่ที่ไหน?
Gen. Lazar Petrovitch ค่อยชี้ไปทางหลังห้องสรง..ซึ่งมีประตูกลไปสู่ห้องเล็กๆด้านหลัง
และทัน ที่ที่เปิดออก.. พระเจ้า Alexander และ พระราชินี ต่างอยู่ในสภาพที่อยู่ในชุดนอน ท่าทางหวาดวิตกจนตัวสั่นงันงก

เหล่านายทหาร..จัดการเชือดไก่ให้ King ดู โดยการหันไปยิง Gen. Lazar Petrovitch หัวหน้ามหาดเล็กดับดิ้นไป
ต่อหน้าต่อตาเป็นการขอบอกขอบใจ
พระเจ้า Alexander และ พระราชินี ต่างร้องขอชีวิตอย่างน่าสงสาร แต่ ไร้ผลโดยสิ้นเชิง..
ทั้งคู่ถูกทำการทารุณกรรมอย่างเหี้ยมโหด จากคน 28 คน ก่อนที่จะโยนศพทิ้งลงมาจากชั้นดาดฟ้าของพระราชวัง..
ขบวนการยังไม่หยุด แค่นั้น..เหล่าครอบครัวของ พระราชินี Draga ถูกฆ่าเรียงตัวไปจนสิ้นซาก..

จาก นั้นมา..ทุกอย่างก็กลับเข้ามาสู่ความเป็นเซอร์เบี้ยนแบบเดิมๆอีก นั่นคือ
ยาม หน้าร้อนก็ไปต่อตีกับรัสเซียมั่ง..กันสมองฝ่อ
ยามหน้าหนาวก็กลับเข้ามา กัดกันเองในหมู่..
(แหม..แล้วก้อไม่รู้เป็นไงกันซิ..ชอบแนะให้มาเล่า เรื่องยี่เกๆนี่บ่อยจัง)

 

มาคุยต่อกันถึงเรื่องเหรียญกล้าหาญของฮิตเล่อร์ที่ได้มาก่อนนะคะ..เพราะหลายคน อาจสงสัย เดี๋ยวจะนึกว่าได้กันมาง่ายๆ

หลังจากเข้ารับเครื่องแต่งกายชุดทหาร
(ที่แสนอัตคัต เพราะหมวกเหล็กไม่มีแจกให้ ทหารอาสาได้รับแต่หมวกผ้า
ใบอาบน้ำมันแบบที่ใช้ในสงครามปี 1812-13แทน)
ทั้งหมดได้เข้ารับการฝึกอบรมอย่างหนัก
ในช่วงระยะเวลาอันสั้น และถูกส่งออกไปแนวหน้าที่ใกล้กับเมือง Ypres ชายแดนเบลเยี่ยม

กองร้อยย่อยๆของเขานี้ ถ้าจะว่าไปก็เปรียบกับการรวมใจกันทำสงคราม เพราะทหารทุกคนต่างกระตือรือร้น
อยากจะออกไปต่อตีด้วยกันทั้งนั้น
อาจเป็นเพราะกระแสการปลุกใจที่กระหึ่มไปทั่วเยอรมัน และการวมตัวได้เป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันของคนในชนชาติ
แม้แต่ฮิตเล่อร์ เองที่เขียนใน Mein Kampf ก็บอกไว้ว่า ไปรบน่ะไม่กลัวเลยแม้แต่นิด จะกลัวก็กลัวว่าสงครามจะเลิกก่อนได้รบต่างหาก
ทั้งที่กองร้อยของเขานำ โดย พันโท Fritz Weideman ที่ห่างจากการสู้รบภาคสนามมานาน
แต่กอง ร้อยอื่นๆก็เช่นกันที่นำโดย นายทหารจากกองหนุน กองเกินที่กองทัพเรียกเข้ามา
ทหาร ในอาณัติทุกคนต่างรอสัญญาณการสั่งออกรบอย่างใจจดใจจ่อ

ทันทีที่ได้ รับมอบหมายให้ปฏิบัติการออกไปลาดตระเวณ แล้วกลับมาส่งข่าว เพราะตอนนั้นการสื่อสารยังใช้วิธีโบราณคือวิ่งส่งสาสน์ไปมา..ระหว่างหลุมเพลาะในแนวรบ..
ฮิตเล่อร์และพวกต้อง วิ่งหลบทั้งกระสุนและเศษไม้ที่เกิดจากการยิงระเบิดไปตามแนวป่า
แบบถ้ารอดก็นับ ว่าผีคุ้ม..แต่ นับว่าผีคุ้มจริงๆเพราะพวกที่มาด้วยเสียชีวิตเกือบหมด ส่วนเขานั้นเพียงแต่มีรอยไหม้ที่แขนเสื้อเท่านั้นเอง..
กว่าจะพาตัวไปถึง ใกล้กับเหตุการณ์ได้ก็หลังจากที่ต้องวิ่งกลับไปมาถึงห้าครั้ง..

การสู้รบกับอังกฤษและเบลเยี่ยมเป็นอย่างดุเดือดถึง 11 วัน นายพลผู้บัญชาการรบตายในสนาม พันเอกรอง ผบ.บาดเจ็บ
ฮิตเล่อร์อยู่ในหน่วยสื่อสารและส่งข่าว สามารถจัดการเรียกพยาบาลสนามมาลากกลับไปยังหน่วยได้อย่างกล้าหาญ
เพียงใน เดือน พฤศจิกายน ในหน่วยของเขา เสียนายทหารไป สามสิบกว่านาย และ เสียพลทหารอาสาไป ร่วมเจ็ดร้อย
เท่ากับอัตราที่เหลือคือ หนึ่งในห้า..

ใ วันหนึ่ง ฮิตเล่อร์และเพื่อนพลทหารอีกคนหนึ่ง ได้รับคำสั่งให้พา ผบ.กองร้อยคนใหม่ คือ พันเอก Engelhardt
ออกลาดตระเวณ ใกล้กับแนวรบข้าศึก และ ทันทีที่เกิดเสียงห่ากระสุนดังขึ้นมา เขาและเพื่อน กระโดดผลักนาย
ให้ล้มนอนลงในคูสนามเพลาะอย่างว่องไวเกินคาด ผบ.กองร้อย ถึงกับจับมือขอบคุณทหารอาสาสองคนอย่างประทับใจ และจะทำเรื่องเสนอขอเหรียญตราให้ เมื่อ
กลับไปถึงหน่วย

แต่..วันนั้นเอง..วันที่เล่าว่า อยู่ๆเขาลุกขึ้นเดินไปจากเต้นท์นั่นแหละ..ระเบิดลงกลางวงพอดี ทุกคนเสียชีวิตรวมไป
ถึง ผบ. Engelhardt ด้วย..

ในที่สุด เยอรมันต้องถอนกำลังออกมาจาก แนวรบ Ypres กลับมาฟื้นฟูพักผ่อน(เพราะใกล้เทศกาลสิ้นปี ใครๆ
มันก็ต้องพักกันมั่งละ จะมายิงกันอยู่ได้ไง)ที่เขตเมือง Messines
และที่นั่น ฮิตเล่อรมีเวลาวาดรูป
เพราะมีเครื่องมืออุปกรณ์ติดตัวมาด้วย..เขาใช้เวลา วาดภาพจากเหตุการณ์ในสนามต่างๆเก็บไว้เตือนความทรงจำ
และภาพเหล่านั้น ทำให้เขาเป็นที่รู้จักในบรรดาผองเพื่อนรวมไปถึงเจ้านาย เพราะในบรรยากาศเครียดๆระหว่าง
สงคราม ภาพการ์ตูนขำๆของเขาต่างเรียก เสียงหัวเราะได้อย่างเฮฮา

สิบเอก Max Amann เป็นคนหนึ่งที่พาฮิตเล่อร์ไปรู้จักกับใครต่อใครในระดับอื่นๆ
ฮิตเล่อร์ เป็นพลทหารเพียงคนเดียวที่ไม่เคยได้รับจดหมายหรือพัสดุจากบ้าน..
แม้ กระทั่งในวันคริสต์มาส เพื่อนๆต่างก็พยายามที่จะแบ่งๆของของตัวมาให้ แต่เขาก็ปฏิเสธอย่างสุภาพ
คนอย่างเขาเป็นที่รู้กันว่า ไม่เคยรับของของใครถ้าไม่สามารถจะตอบแทนให้ได้
แม้เมื่อ เจ้านาย พันโท Fritz Weideman พยายามยัดเยียดเงินจำนวน 10 มาร์ค ให้เป็นสินน้ำใจ..
เขาปฏิเสธแบบไม่มีเยื่อใย แถมยังมีท่าทีไม่พอใจหน่อยๆเอาซะด้วยภาพ

 

ภาพวาดด้วยฝีมือของฮิตเล่อร์ในยามสงครามที่พูดถึงค่ะ

 

 

 

 

 

 

 




ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม โดย "วิวันดา"

ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบสาม (สมบูรณ์)
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบสอง
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบเอ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบ
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบเก้า
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบแปด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบเจ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบหก
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบห้า
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบสี่
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบสาม
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบสอง
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบเอ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนเก้า และตอนสิบ
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนแปด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนเจ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนหก
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนห้า
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสี่
ฮิต เล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสาม
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม



1

ความคิดเห็นที่ 1 (798)
avatar
wiwanda
บรรยายภาพค่ะ...๑ ภาพแต่งงานของพี่สาวต่างมารดา Angela กับ Leo Raubal (จะมีบทบาทที่จะเล่าถึงในตอนต่อๆไป) ๒.ทหารคนบน คือ Max Armann ๓. Ernst Rohm ๔. การเสด็จขึ้นรถที่พระที่นั่งก่อนเกิดเหตุในชั่วโมงต่อมา.. ๕. นาย Gavrilo Princip มือปืนแห่งประวัติศาสตร์
ผู้แสดงความคิดเห็น wiwanda (wwiwanda-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-03-30 04:03:33 IP : 99.40.101.56


ความคิดเห็นที่ 2 (799)
avatar
wiwanda
เรียนท่านเว็บมาสเตอร์ เข้าใจในระบบแล้วค่ะ...ทำได้แล้ว..หลังจากที่มะงุมมะงาหราอยู่นานสองนาน.. ไม่ต้องแก้ไขอะไรแล้วค่ะ..เอามาลงรวดเดียวแบบนี้นับว่าสะดวกดี.. ขอบพระคุณมากค่ะ วิวันดา
ผู้แสดงความคิดเห็น wiwanda (wwiwanda-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-03-30 04:07:32 IP : 99.40.101.56


ความคิดเห็นที่ 3 (800)
avatar
สัมพันธ์

เรียน  คุณวิวันดา

          ดีครับ    น่าสนใจและเป็นประโยชน์มาก  จะคอยติดตามครับ

                                                                                                  สัมพันธ์

ผู้แสดงความคิดเห็น สัมพันธ์ (samphan_chaeng-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-03-30 05:30:41 IP : 124.121.28.30


ความคิดเห็นที่ 4 (101473)
avatar
wiwanda

สวัสดีค่ะ  คุณสัมพันธ์

 

อยากจะต่อตอนที่สาม..แต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร..ไม่สามารถแทรกภาพได้เลยค่ะ 

ต้องขอเรียนฝากไปยังท่านเว็บมาสเตอร์ด้วย..

 

ด้วยจิตคารวะ

 

 

วิวันดา

ผู้แสดงความคิดเห็น wiwanda (wwiwanda-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-03-30 23:32:24 IP : 99.40.101.56


ความคิดเห็นที่ 5 (101484)
avatar
sakpaisit

สุดยอดครับได้ความรู้เยอะครับ ชอบ ๆ ครับ ผมกำลังอ่านหนังสือ "ห้องสมุดลับของฮิตเลอร์" โดย Timothy w. Ryback  เขียน  และ  โรจนา นาเจริญ แปล ครับ  ซึ่งขยายข้อมูล เพิ่มรายละเอียดได้เยอะเลยครับ

ขอบคุณครับคุณวิวันดา รออ่านบทความต่อไปครับ

ด้วยจิตคารวะ

ศักดิ์ไพสิฐ

ผู้แสดงความคิดเห็น sakpaisit ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-04-09 11:13:52 IP : 180.183.163.169


ความคิดเห็นที่ 6 (101520)
avatar
เอกสิทธิ์

อ่านสนุกดีมากครับ  ผมชอบมาก

 

ขอบคุณ  คุณวิวันดาครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น เอกสิทธิ์ วันที่ตอบ 2011-04-23 11:57:55 IP : 125.27.21.113


ความคิดเห็นที่ 7 (101665)
avatar
รอมเมล

เรื่องราวฮิตเลอร์ที่เป็นผลพวงจากที่เกี่ยวกับข้อมูลนี้   ที่เคยอ่านสมัยฮิตเลอร์เริ่มดัง มีการหาเสียงใหญ่โต มีการโฆษณาเล่าวีรกรรมอันกล้าหาญของฮิตเลอร์ในสงครามโลกครั้งที่1 มากมาย  แล้วคนที่รุ้จักฮิตเลอร์จริงในสงครามก็เล่าชีวิตในสงครามของฮิตเลอร์หลายคนโดนกำจัด     ซึ่งอันที่จริงทหารในสงครามจริงๆไม่ได้เป็นแบบที่โฆษณาเลย สนามเพลาะเน่าๆ หนุเทาะศพวิ่งไปมาสนุกสนาน ศพไม่ต้องไปจับเลย ในตัวศพมีหนุกินอยุ่ข้างใน ไหนจะหนอนอีก เรื่องพวกนี้ไม่ต้องว่าฮิตเลอรืเลย ทหารทุกคนในสงครามบ้าแตกกันหมด แล้วพอคนที่เคยรุ้จักฮิตเลอร์มาเล่าตอนฮิตเลอร์ในบางตอนที่น่าขบขันซึ่งก็เป็นกันทุกคน พวกที่เล่าเลยโดนจัดการส่ะ ด้วยฝีมืออันธพาลหน่วยSA.เพราะคนดังแล้วอย่างฮิตเลอร์ไม่ขำ การมาเล่าบางเรื่องมันไม่เป็นผลดีภาพพจน์ต่อการเมือง ที่ฮิตเลอร์พยายามใส่กางเขนเหล็กอย่างภาคภูมิ

 

ดังนั้นข้อมูลคำให้การถึงชีวิตในสงครามโลกของฮิตเลอร์ถ้ามาจากเจ้ากรมโฆษณาของฮิตเลอร์ก็จะเป็นวีรบุรุษ แล้วถ้ามาจากคู่แข่งทางการเมืองของฮิตเลอร์ซึ่งไม่คิดมาก น่าขบขัน ไม่เป็นวีรบุรุษเลยให้ร้ายต่างๆนานซึ่งพวกนี้ในสมัยนั้นก็พวกฝ่ายคอมมิวนีสที่เจอกันเมื่อยกพวกตีกันตลอด    แล้วก็มีหนังสือพิมพ์ที่ชาวยิวเป็นเจ้าของก้โดนบุกทำลาย ก้ฮิตเลอร์หาเสียงด้วยการใส่ร้าย โทษชาวยิวที่ทำให้ประเทศตกต่ำ   เหล่าหนังสือพิมพ์ที่ยิวเป็นเจ้าของเลยขุดคุ้ยโจมตีเอาแต่ด้านลบมาออกสื่อ     คนรุ่นหลังเราเลยไม่รู้ว่าอันไหนจริงอันไหนเท็จ

ผู้แสดงความคิดเห็น รอมเมล (goh_17-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-02 07:48:07 IP : 58.9.128.165


ความคิดเห็นที่ 8 (102026)
avatar
Demetorius

 ขอบคุณครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น Demetorius (maceus-at-hotmail-dot-co-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-03-24 19:57:39 IP : 171.96.37.24



1


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker