
webmaster@iseehistory.com
ในช่วงหลังจากเขียนแนะนำเรื่อง The Last Emperor ของ Bernardo Bertolucci ไม่นาน ผมได้ไปพบภาพยนตร์อีก 2 เรื่องที่เกี่ยวกับจักรพรรดิปูยีที่สร้างโดยฮ่องกง เป็นหนัง 2 ภาคต่อกัน คือเรื่อง "เว่ยตี่ฮองเฮา" (ชื่อภาษาอังกฤษที่ปกเหมือน ของ Bertolucci ซะด้วย คือ The Last Emperor) และ "สนมเอกนอกบัลลังก์" (The Last Imperial Concubine) ดูแล้วก็ดีใจเป็นอย่างยิ่งว่าได้เห็นอีกมุมมองของจักรพรรดิองค์สุดท้ายของจีนมาเติมเต็มกับของ Bertolucci เกือบจะพอดี อย่างนี้ก็ต้องนำมาเขียนแนะนำกันให้ครบชุดไปเลย แต่ก็ต้องสับสนกับข้อมูลของตัวภาพยนตร์ เนื่องจากในปกหนังของทั้งสองเรื่องไม่ได้ระบุข้อมูลอะไรเกี่ยวกับผู้แสดงหรือผู้สร้างเลย ครั้นพอลองใช้ชื่อภาษาอังกฤษค้นดู ทีแรกหลงนึกว่าภาพยนตร์ภาคแรกเป็นเรื่อง Huo long หรือ Last Emperor: Pu Yi's Latter Life แต่พอไปเจอคลิปหนังตัวอย่างของ Last Emperor: Pu Yi's Latter Life ใน Youtube ปรากฏว่าดูหน้าผู้แสดงแล้วเป็นคนละคนกัน จึงพยายาม Search กันใหม่จนแน่ใจว่าที่จริงแล้วคือเรื่อง Moot doi wong hau หรือ The Last Empress ต่างหาก ปีที่ออกฉายก็ยังไม่ตรงกันว่าเป็นปี 1986/พ.ศ.2529 หรือ 1987/พ.ศ.2530 กันแน่ ส่วน The Last Imperial Concubine ไม่มีข้อมูลใดๆ เลย แต่จากเนื้อเรื่องที่ต่อเนื่องกัน ผมจึงขอนำภาพยนตร์ทั้งสองมาเขียนแนะนำรวมกันไปเลย และข้อมูลภาพยนตร์ในตอนท้ายขอใช้ข้อมูลของเรื่อง Moot doi wong hau เลยนะครับ

ฉากไตเติ้ล หว่านหลงในขบวนพิธีอภิเษกอย่างมโหฬาร
ภาพยนตร์ภาคแรกเปิดฉากไตเติ้ลขึ้นมาเป็นขบวนแห่พระนางกั๊วปู้หลงหรือหว่านหลงเพื่อเข้าสู่พิธีอภิเษกกับพระจักรพรรดิหรือฮ่องเต้ปูยี ณ พระราชวังต้องห้ามกรุงปักกิ่งในเดือนธันวาคม 1922/พ.ศ.2465 หลังจากราชวงศ์ชิงหมดอำนาจไปแล้ว 11 ปี จากนั้นมาเริ่มเรื่องจริงๆ ในอีก 9 ปีถัดมาที่เทียนจินในปี 1931/พ.ศ.2474 พระจักรพรรดินีหรือฮองเฮาหว่านหลงทรงพักผ่อนอิริยาบถในสวนโดยมีพระเชษฐาของนางกับนายทหารญี่ปุ่นนามมัตสุโมโตดูแล พระนางได้ปฏิเสธที่จะไปร่วมงานวันเกิดของพระสนมซูหรือเหวินซิ่วที่ฮ่องเต้ปูยีทรงจัดขึ้น ฉากถัดมา ณ ที่จัดงานเลี้ยงดังกล่าว ฮ่องเต้ปูยีเสด็จออก ก็ทรงทราบข่าวว่านอกจากฮองเฮาจะไม่เสด็จแล้ว พระสนมก็ออกไปซื้อของยังไม่กลับ จึงโปรดให้คนสนิทออกไปตาม ปรากฏว่าพระสนมได้ปฏิเสธที่จะกลับไปร่วมงานและจะไม่กลับไปเป็นพระสนมอีกต่อไป ฮ่องเต้ได้ให้คนพยายามปิดข่าวและตามนางกลับมา แต่ไม่เป็นผล ฮ่องเต้ปูยีจึงทรงยอมหย่ากับนางโดยออกราชโองการว่านางมีชู้

พระสนมเหวินซิ่ว

ปูยีกลับมาครองราชย์ในฐานประมุขของประเทศแมนจูกัว หุ่นเชิดของญี่ปุ่น

ทหารญี่ปุ่นมาทูลเชิญให้ฮองเฮาเสด็จกลับวัง ชายตรงกลางที่หันหน้าคือ หลี่เย่ถิง ที่ภายหลังได้เป็นชายชู้ของฮองเฮา
ความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้ปูยีกับฮองเฮาหว่านหลงไม่ดีขึ้น วันหนึ่งพระนางได้ยินฮ่องเต้ตรัสปรึกษากับผู้ใกล้ชิดเกี่ยวกับชื่อของราชวงศ์ แต่พระนางกลับไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วม ตกกลางคืนฮ่องเต้ก็ทรงเมินเฉยต่อพระนางไม่ได้ร่วมเตียงกันเยี่ยงสามีภรรยา พอวันรุ่งขึ้นฮองเฮาจึงได้ทราบว่าฮ่องเต้ได้เสด็จไปแมนจูเรียแล้ว ภายหลังในปี 1932/2475 ฮ่องเต้ปูยีจึงได้พาฮองเฮาไปยังเมืองฉางชุนเพื่อคุมอำนาจในแมนจูเรีย และในฤดูใบไม้ผลิปี 1934/2477 ด้วยความช่วยเหลือของญี่ปุ่น ปูยีจึงได้กลับสู่บัลลังก์ราชวงศ์ชิงโดยสมบูรณ์ในฐานะประมุขรัฐแมนจูกัวที่เป็นหุ่นเชิดของญี่ปุ่น ความสัมพันธ์ระหว่างสองพระองค์ก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย องค์ฮ่องเต้นั้นด้านหนึ่งก็ทรงอึดอัดกับการที่ญี่ปุ่นมีอิทธิพลต่อบรรดาขุนนางข้าราชการทั้งหลาย แต่ก็ต้องจำยอมรวมถึงยอมรับมาตรการรักษาความปลอดภัยจนไม่ยอมเสด็จไปเดินเล่นกับฮองเฮาตามที่พระนางทูลเชิญ พระนางจึงเสด็จไปเที่ยวในสวนเองกับคนใกล้ชิดจำนวนหนึ่ง จนทหารญี่ปุ่นมาพบและทูลเชิญแกมบังคับให้เสด็จกลับ เมื่อฮ่องเต้ทรงทราบก็ลงโทษฮองเฮาถึงขั้นโบยตี ครั้นตกกลางคืนฮ่องเต้จึงทรงมีรับสั่งกับฮองเฮาด้วยดี โดยทรงขออย่าให้ฮองเฮารีบเลิกฝิ่นจนเสียสุขภาพ ทรงปรารภเรื่องที่ไม่มีพระโอรสและญี่ปุ่นจะให้รับหญิงญี่ปุ่นเป็นสนม

พระสนมถันอี้หลิง
ฮ่องเต้ปูยีเสด็จไปเยือนญี่ปุ่นโดยไม่ได้นำฮองเฮาไปด้วย ในระหว่างนี้ฮองเฮาได้ลักลอบเป็นชู้กับนายทหารคนสนิทนามหลี่เย่ถิง เมื่อฮ่องเต้ปูยีเสด็จกลับก็ไม่ได้เสด็จไปหาฮองเฮาถึง 5 เดือน จนกระทั่งวันหนึ่งมีคนไปพบว่าฮองเฮาทรงมีอาการแพ้พระครรภ์ ฮ่องเต้ปูยีจึงเสด็จไปหาฮองเฮาที่ห้องบรรทมและทำร้ายนางด้วยความพิโรธอย่างยิ่ง ต่อมา (ในประวัติศาสตร์คือปี 1937/พ.ศ.2480) ปูยีได้ทรงรับนางสนมใหม่เป็นหญิงสาวจากปักกิ่งที่งดงามมาก นามว่า ยู่หลินหรือถันอี้หลิง ด้านฮองเฮาได้ขอให้ทรงปล่อยหลี่เย่ถิงโดยทรงขู่ว่าจะให้นักข่าวเปิดโปงเรื่องราวทั้งหมด ฮ่องเต้ปูยีจึงทรงทำเป็นปล่อยหลี่เย่ถิงไป แต่แท้ที่จริงได้ให้คนติดตามไปบังคับให้หลี่เย่ถิงเขียนจดหมาย 3 ฉบับทำทีเป็นส่งข่าวแก่ฮองเฮาว่าได้เดินทางไปถึงที่ต่างๆ จนถึงบ้านเกิดแล้ว จากนั้นก็สังหารหลี่เย่ถิงเสีย ไม่นานฮองเฮามีพระประสูติกาลแต่พระโอรสสิ้นพระชนม์ทันที ฮ่องเต้ปูยีโปรดให้หลอกพระนางว่าพระโอรสยังมีชีวิตอยู่แต่ยกให้คนอื่นไปแล้ว ฝ่ายญี่ปุ่นได้แสดงอิทธิพลกดดันให้ฮ่องเต้ปูยีทรงปลดอำมาตย์เจิ้นที่ไม่นิยมญี่ปุ่นออก แล้วเอาจางอิ๋งฮุ่ยซึ่งปูยีทรงเห็นว่าไม่เป็นโล้เป็นพายแต่ภักดีญี่ปุ่นมาแทน และยังฟ้องเรื่องที่พระสนมยู่หลินเก็บใบปลิวของพวกต่อต้านญี่ปุ่นเพื่อกดดันให้เลือกสาวญี่ปุ่นเป็นสนมแทน ปูยีจำต้องทรงลงโทษพระสนมยู่หลินด้วยการโบยตีแทนการประหาร ดูภาพจากภาพยนตร์คงเข้าใจนะครับว่าผู้ชายปกติที่ไหนจะไปประหารพระสนมที่งดงามอย่างนี้ด้วยเหตุเพราะกระดาษแผ่นเดียวได้

พระสนมถันอี้หลิงเข้าเฝ้าฮองเฮาหว่านหลง

ขบวนแห่พระศพพระสนมถันอี้หลิง อีกฉากที่มโหฬารตระการตา
ช่วงต่อมาดูเหมือนปูยีจะทรงพบแต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดอยู่ตลอด เมื่อฮองเฮาทรงแอบได้ยินนางกำนัลคุยกันเรื่องที่หลี่เย่ถิงตายและพระโอรสได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ทำให้พระนางเสียพระทัยจนเสียพระสติไปในทันที อำมาตย์เจิ้นที่พึ่งพ้นจากตำแหน่งก็ถึงแก่กรรมกระทันหันเพราะยาพิษของญี่ปุ่น ด้านพระสนมยู่หลินได้ไปเข้าเฝ้าฮองเฮาหว่านหลงที่แม้จะทรงเสียพระสติ แต่ก็สามารถพูดจากันได้ด้วยดี หลังจากนั้นพระสนมทรงพระประชวร ญี่ปุ่นทำทีเป็นส่งหมอมาช่วยรักษา แต่พอหมอญี่ปุ่นฉีดยาให้สักพักหนึ่งเท่านั้น พระสนมก็เท่งทึง เอ๊ย! สิ้นพระชนม์ไปต่อหน้าพระพักตร์ปูยี ปูยีทรงพระพิโรธอย่างยิ่ง เป็นผู้ชายคนไหนก็ต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแบบนี้หละครับ ภรรยาคนหนึ่งขอหย่า อีกคนเป็นบ้าอยู่ คนที่สามทั้งสวยทั้งดีเพียบพร้อมก็ต้องมาตายลงอีก ถ้าเป็นเมืองไทยสมัยนี้คุณหมอยุ่นโดนฟ้องอานแน่ๆ ภาพยนตร์ภาคแรกจบลงที่ฉากขบวนพิธีพระศพพระสนมยู่หลิน ที่ทำให้ฮองเฮาคุ้มคลั่งเพราะทรงนึกไปถึงวันที่อภิเษกกับฮ่องเต้ กลางงานพระศพนั้นเอง ก็มีรถของญี่ปุ่นคันหนึ่งวิ่งมาจอด เจ้าโยซึโอกะนายทหารญี่ปุ่นตัวแสบก็จูงเด็กผู้หญิงในชุดนักเรียนเดินกะเล่อกะล่ากันมา พร้อมด้วยคำบรรยายว่าพระสนมยู่หลินสิ้นพระชนม์ในปี 1942 (พ.ศ.2485) และทางญี่ปุ่นได้นำเด็กหญิงญี่ปุ่นอายุ 15 มาเป็นพระสนมแทน แต่ในภาคสองที่จะเล่าต่อไปนั้นตลอดเรื่องกลับดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้เป็นญี่ปุ่นเลย เล่นเอางงเหมือนกันครับ

แค่จะหาผู้หญิงซื่อๆ ที่คุมได้ซักคน?

พระสนมอี้ฉิน (ขวา) กับนางจิ้งหลัน (ซ้าย) ที่กลายมาเป็นคู่ทุกข์คู่ยากในตอนหลัง

เอารากกระเทียมที่ขุดได้ในสวนมาแจกบนโต๊ะเสวย
เปิดฉากภาพยนตร์ภาค 2 ในปี 1956/พ.ศ.2499 ตอนที่อดีตสนมหลี่อี้ฉินไปเยี่ยมอดีตฮ่องเต้ปูยีที่เรือนจำ ผู้คุมมีท่าทีเห็นใจปูยีถึงกับบอกว่าจะให้ปูยีพักสัก 2-3 วันเพื่อจะได้อยู่กับเธอ แต่แท้ที่จริงเธอมาเพื่ออะไรเดี๋ยวจะเฉลยตอนท้ายเรื่อง ภาพยนตร์ได้ย้อนเรื่องกลับไปปี 1942/พ.ศ.2485 ขณะฮ่องเต้กำลังพิจารณาเลือกนางสนมจากภาพเด็กสาวที่ญี่ปุ่นนำมาให้ดู แล้วกลับมาที่ฉากพิธีศพพระสนมยู่หลิน ขบวนแห่ศพยังเคลื่อนไปไม่ทันพ้นวัง ทหารญี่ปุ่นก็จูงเด็กหญิงในชุดนักเรียนลงรถมาเข้าพิธีอภิเษก (เรื่องจริงยังไงๆ ก็ไม่น่าจะเป็นวันเดียวกัน แต่หนังเขาคงอยากเน้นอะไรบางอย่างเท่านั้น) เพียงวันแรกๆ ผลของการเลือก "เด็ก" มาเป็นสนมก็แสดงออกมา ทั้งการสั่งน้ำมูกในโต๊ะเสวย การไปปีนกำแพงวังเพื่อดูวิวกับเด็กผู้ชาย ตกกลางคืนได้ยินเสียงฮองเฮาหวีดร้อง และเห็นนางจิ้งหลันสาวใช้แอบพบกับสามี เอารากกระเทียมมากินที่โต๊ะเสวย ฯลฯ บางเรื่องก็โดนดุไปตามระเบียบ แต่บางเรื่องกลับกลายเป็นที่เอ็นดูไปด้วยซ้ำ

กลัวญี่ปุ่นวางยา?
คืนหนึ่งทหารญี่ปุ่นได้นำของว่าง 10 อย่างจากองค์จักรพรรดิญี่ปุ่นมาถวายให้ปูยีทรงลองว่าชอบแบบไหน ปูยีทรงผลัดว่าวันถัดไปจะให้คำตอบ แล้วกลับเอาขนมเหล่านั้นไปให้เด็กๆ กินแทน โดยบอกพระสนมอี้ฉินว่ากลัวถูกญี่ปุ่นวางยา (ก็น่าให้ระแวงอยู่หรอก ในภาคก่อนทั้งอำมาตย์เจิ้นทั้งพระสนมยู่หลินก็เสร็จพี่ยุ่นแกไปแล้ว แต่ไหงต้องมาหลอกใช้เด็กด้วยล่ะ) และทรงอึดอัดพระทัยที่ถูกบังคับให้พระองค์ทรงกราบไหว้บรรพบุรุษญี่ปุ่นแทนบรรพบุรุษตนเอง พระสนมอี้หลันได้แอบไปเข้าเฝ้าฮองเฮา ทีแรกๆ ฮองเฮาก็ต้อนรับด้วยดี ไปๆ มาๆ ก็อาละวาดจนพระสนมอี้ฉินเตลิดออกมาเหมือนกัน เธอก็เลยออกมาอาละวาดต่อกับพวกข้าราชบริพาร และทูลฮ่องเต้เป็นนัยว่าเธอรู้แล้วว่าทำไมฮองเฮาถึงเป็นบ้า ฮ่องเต้ทรงไม่พอพระทัยไปทำร้ายฮองเฮาเข้าอีก วุ่นดีแท้

พากันหนีออกจากวัง
และแล้ววิกฤตก็มาถึงในปี 1945/พ.ศ.2488 เมื่อทหารญี่ปุ่นเข้ามาทูลฮ่องเต้ว่าโซเวียตรัสเซียได้ประกาศสงครามกับญี่ปุ่นและรุกเข้ามาในแมนจูกัวแล้ว พระจักรพรรดิญี่ปุ่นจะทรงส่งข่าวเมื่ออเมริกันยึดครองญี่ปุ่นได้เพื่อให้เสด็จไปมอบตัวกับอเมริกันแทนรัสเซีย ขณะนี้ขอให้รีบเสด็จหนีออกจากเมืองก่อน ฮ่องเต้ปูยีจึงโปรดให้เก็บสมบัติข้าวของมีค่า เผาทำลายเอกสารและม้วนฟิล์มต่างๆ และทรงบอกความลับกับพระสนมอี้ฉินว่า ยังทรงมีสมบัติมีค่าต่างๆ เก็บอยู่ที่เทียนจินถึง 148 หีบ ได้ทรงมอบโองการกับกุญแจสำหรับเปิดหีบเหล่านั้นไว้กับเธอ คณะของฮ่องเต้ปูยีและทหารญี่ปุ่นได้ออกเดินทางโดยรถไฟและเดินเท้าไปจนถึงชนบทแห่งหนึ่ง ชื่อ "ต้าลี่จือ" (Talitzou) ถึงวันที่ 15 สิงหาคม เมื่อได้ทราบข่าวว่าจักรพรรดิญี่ปุ่นได้ยอมแพ้ต่อสัมพันธมิตรโดยปราศจากเงื่อนไข ฮ่องเต้ปูยีจึงมีโองการประกาศสละบัลลังก์เป็นสามัญชนธรรมดา จากนั้นชาวบ้านในแถบนั้นได้ก่อเหตุจลาจลปล้นฆ่าทหารญี่ปุ่น และมีทหารญี่ปุ่นหลายคนกระทำฮาราคีรี แต่ยังโชคดีที่คณะของปูยีไม่ถูกทำร้าย ทางฝ่ายญี่ปุ่นขอให้ปูยีขึ้นเครื่องบินไปญี่ปุ่นโดยให้เอาคนติดตามไปเฉพาะที่จำเป็น ปูยีอ้างกับอี้ฉินว่าไม่สามารถนำเธอไปด้วยได้เพราะเครื่องบินเต็ม แล้วจะให้รถไฟมารับทีหลังภายใน 3-10 วัน ซึ่งเธอก็ซื่อพอที่จะเชื่อ

ทหารหญิงกองทัพจีนตรวจค้นร่างกายอี้ฉิน

ทหารรัสเซียมาส่งข่าวว่าปูยีถูกจับได้แล้ว
เมื่อปูยีไปแล้ว ทหารรัฐบาลจีนได้ตามมาถึงและควบคุมตัวคณะของปูยีที่ยังเหลือและยึดทรัพย์สินเท่าที่พอจะตรวจค้นได้ อี้ฉินพึ่งจะทราบความจริงจากแผนที่ว่าจะไม่มีรถไฟจากญี่ปุ่นมารับเธอได้เพราะมีทะเลกั้นระหว่างญี่ปุ่นกับจีน ต่อมาทหารรัสเซียได้มาแจ้งข่าวว่าปูยีไม่ได้ไปที่ญี่ปุ่น แต่ถูกควบคุมตัวไปที่รัสเซีย โดยได้ขอคนไปรับใช้รวม 3 คน ซึ่ง 1 ใน 3 นั้นคือสามีของนางจิ้งหลัน คณะของปูยียังอยู่กันอย่างลำบากจนพวกคนใช้แอบขโมยกินเนื้อไก่ที่ทางรัสเซียให้อดีตฮองเฮา ปล่อยให้เธอกินแต่กระดูก อี้ฉินรู้เข้าก็ต่อว่าพวกคนใช้แล้วเอาแหวนไปขายซื้อไก่มาปรุงไก่ตุ๋นให้เธอ แต่อดีตฮองเฮาบอกให้เอาเนื้อไปให้เด็กแล้วตัวเองซดแต่น้ำ (เป็นงั้นไป) ต่อมาอี้ฉินก็จำใจต้องทิ้งอดีตฮองเฮาไป ซึ่งในบทพากย์ไทยบอกว่า "กลับบ้านเกิด" แต่ในฉากต่อมาปี 1946/พ.ศ.2489 กลายเป็นว่าเธอไปอยู่ที่ตึกแห่งหนึ่งในเมืองเทียนจินอยู่ในห้องเดียวกับนางจิ้งหลันซึ่งกำลังป่วยหนัก เธอได้รับข่าวจากหัวต่งซังว่าปูยีได้ไปให้การในศาลนานาชาติ เพียงเท่านี้ก็ทำให้เธอดีใจเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่ออาการของจิ้งหลันทรุดหนักลงเรื่อยๆ เธอได้ตัดสินใจนำโองการและกุญแจไปเปิดหีบสมบัติที่ปูยีมอบไว้ ปรากฏว่าภายในหีบไม่มีของมีค่าใดๆ และจิ้งหลันก็สิ้นใจตายไปในที่สุด

อี้ฉินมาเยี่ยมปูยีในเรือนจำ

ปูยีกอดตุ๊กตาที่เคยมอบให้อี้ฉินด้วยความเสียใจ
ย้อนกลับมาที่ฉากอี้ฉินมาเยี่ยมอดีตฮ่องเต้ปูยีที่เรือนจำ เธอจำใจต้องค้างคืนอยู่กับเขา ครั้นรุ่งเช้าเธอได้แจ้งกับเจ้าหน้าที่เรือนจำว่าเธอต้องประสบความยากลำบากเนื่องจากหางานทำไม่ได้ เพราะพวกญาติวงศ์ของปูยีที่หัวโบราณเห็นว่าเธอไม่จำเป็นต้องทำงานให้เสียศักดิ์ศรี แต่เธอต้องการรายได้เลี้ยงชีวิต จึงตัดสินใจขอหย่ากับปูยีโดยไม่ฟังคำทัดทานของเจ้าหน้าที่เรือนจำ จากนั้นเธอจึงได้ไปขอหย่ากับปูยีโดยนำข้าวของที่เธอเคยได้จากเขาในอดีตมาคืนให้ทั้งหมด ท่ามกลางความโศกเศร้าของปูยี
จากการดูเปรียบเทียบกับ The Last Emperor ของ Bertolucci ประกอบกับการค้นคว้าเพิ่มเติม ผมมีข้อสังเกตบางประการรวมถึงข้อเท็จจริงบางประการที่ควรทราบประกอบการดูภาพยนตร์ดังนี้
ปูยีในมุมมองจีน
ภาพลักษณ์ของปูยีในเรื่องนี้ต่างจากในภาพยนตร์ของ Bertolucci อย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ใน The Last Emperor นั้น ปูยีมีแต่ความน่าเห็นใจจากการเป็น "เด็กที่เหงาที่สุดในโลก" และพยายามแสดงออกด้วยการปฏิวัติปฏิรูปอะไรๆ ในพระราชวังต้องห้าม แต่ต้องถูกรัฐบาลสาธารณรัฐผลักไส สุสานบรรพชนถูกทำลาย จนต้องเตลิดไปเป็นหุ่นเชิดของญี่ปุ่น มาในภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งน่าจะช่วยเติมเต็มเรื่อง The Last Emperor ในเรื่องของชีวิตรักบนราชบัลลังก์แมนจูกัว ภาพลักษณ์ของปูยีกลับเต็มไปด้วยความหรูหรา ฟุ้งเฟ้อ บ้าอำนาจ ใช้ความรุนแรงกับภรรยาตนเองไม่เว้นกระทั่งคนท้องคนเสียสติ รับเด็กสาวอายุน้อยมาเป็นพระสนมและหลอกลวงเธอต่างๆ ฯลฯ แม้จะมีบางตอนที่สะท้อนความรู้สึกอึดอัดของปูยีจากการกดดันต่างๆ ของญี่ปุ่น คล้ายกับบางตอนใน The Last Emperor แต่ภาพด้านลบของปูยีในส่วนอื่นดูเหมือนจะบดบังความน่าเห็นใจนี้ไปจนสิ้น
สรุปว่าฝรั่งมองปูยีในแง่ดีเกินไปหรือคนจีนมองปูยีในแง่ร้ายเกินไป หรือภาพลักษณ์จากภาพยนตร์ทั้ง 2 เรื่องจะผสมกลมกลืนกันอย่างไร? ก็แล้วแต่ท่าน ที่แน่ๆ คือเราคงไม่อาจมองข้ามภาพยนตร์เรื่องใดเรื่องหนึ่งได้แน่ รวมถึงเรื่อง Last Emperor: Pu Yi's Latter Life ก็เป็นอีกเรื่องที่จะต้องนำมาพิจารณากันในโอกาสต่อไป
แล้วพระสนมยู่หลินกับพระสนมอี้ฉินเป็นญี่ปุ่นหรือจีน/แมนจู?
ที่ Blog ของ "หนูปุจฉา" (http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=drib777&group=11) ระบุชัดว่า ยู่หลินหรือถังอี้หลิงเป็นนักศึกษาญี่ปุ่น ส่วนอี้ฉินหรืออี้จินนั้น ระบุเพียงว่าปูยีสุ่มเลือกจากผู้หญิงที่ญี่ปุ่นเสนอ
ข้อมูลจากวิกิพีเดียระบุว่ายู่หลินหรือ Tan Yuling เป็นคนแมนจู ส่วนอี้ฉินหรือ Li Yuqin นั้นไม่ได้ระบุตรงๆ แต่ก็น่าจะเป็นคนจีน
ในภาพยนตร์ 2 ภาคที่กล่าวนี้ ระบุว่ายู่หลินเป็นคนแถวๆ ปักกิ่ง อันนี้ไม่เป็นปัญหามากนัก หากเธอเป็นญี่ปุ่นแล้วคงไม่ถูกพวกทหารญี่ปุ่นกำจัดแน่ แต่กับอี้ฉินนั้น ตอนจบของภาคแรกเสียงบรรยายภาษาไทยบอกว่าเธอเป็นเด็กนักเรียนญี่ปุ่น แต่ในภาคสองแม้ปูยีจะเลือกเธอจากรูปภาพที่ญี่ปุ่นเสนอ แต่ไม่เคยระบุตรงๆ ว่าเธอเป็นญี่ปุ่น และอะไรหลายๆ อย่างในเรื่องก็บอกอยู่โดยอ้อมว่าเป็นคนจีน โดยเฉพาะเมื่อเธอถูกปูยีหลอกว่าจะให้รถไฟจากญี่ปุ่นมารับ แล้วมารู้จากการดูแผนที่ทีหลัง เธอจึงน่าจะเป็นเด็กสาวจีนที่อ่อนภูมิศาสตร์มากกว่าจะเป็นเด็กสาวญี่ปุ่นที่จะต้องถูกนำตัวมาทางเครื่องบินหรือทางเรือ จะแปลกอยู่หน่อยตรงที่ว่าทำไมการยัดเยียดหญิงญี่ปุ่นให้เป็นสนมปูยีจึงไม่สำเร็จ
ประเด็นอื่นๆ
- ระหว่างฮองเฮาหว่านหลงกับพระสนมเหวินซิ่วนั้น ว่ากันว่าเดิมทีฮ่องเต้ปูยีทรงพอพระทัยเหวินซิ่วมากกว่า แต่พระญาติทั้งหลายเห็นว่าหว่านหลงมีความงามเหมาะสมกว่า ผลจึงลงเอยว่าให้หว่านหลงเป็นฮองเฮาแล้วเหวินซิ่วเป็นสนมเอก นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มของปัญหาครอบครัวมาที่พัฒนามาจนทำให้เหวินซิ่วต้องขอหย่าในภายหลัง
- น่าสังเกตว่าชีวิตของปูยีในเทียนจินก่อนจะไปเป็นประมุขของแมนจูกัวนั้น ยังนับว่าโอ่อ่า มีข้าราชบริพารรับใช้อยู่จำนวนไม่น้อย
- ไม่มีการกล่าวถึง Kawashima Yoshiko หรือองค์หญิงตงเจินเลย และไม่มีการลักพาตัวฮองเฮาจากเทียนจินไปยังแมนจูกัว
- ความแตกต่างในเรื่องชะตากรรมของชายชู้ของฮองเฮาและการสิ้นพระชนม์ของโอรสฮองเฮาในภาพยนตร์เรื่องนี้กับใน The Last Emperor
- ใน The Last Emperor ฮองเฮาถูกพวกญี่ปุ่นพรากไปจากวังหลังจากประสูติพระโอรส แต่เรื่องนี้พระนางยังคงอยู่ในบริเวณวังและมีบทบาทในเรื่องมาตลอดแม้จะเสียพระสติไปแล้ว
- ในบทภาษาไทยตอนที่ทะแม่งที่สุดคือตอนที่นายทหารญี่ปุ่นมาทูลปูยีแจ้งข่าวเรื่องโซเวียตประกาศสงครามกับญี่ปุ่น และได้พูดคุยกันเรื่องการ "บุก" ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ เหตุการณ์ต่อมาในเรื่องเป็นการอพยพหนีชัดๆ ไม่ทราบว่าแปลกันมาอย่างไร
- เรื่องชื่อและสำเนียงภาษาจีนเป็นเรื่องที่วุ่นวายพางงสำหรับคนไม่รู้ภาษาจีนอย่างผม เคยอ่านพบว่าคนจีนแต่ละคนนั้น มีทั้งชื่อตัว ชื่อรอง ชื่อแซ่ ฯลฯ จำกันแทบไม่ไหว แล้วยังมีสำเนียงภาษาต่างกัน ทั้งแมนดารินหรือจีนกลาง แต้จิ๋ว (คนจีนส่วนใหญ่ในไทย) กวางตุ้ง (สำเนียงในฮ่องกง) จากชื่อที่ปกของภาคแรกว่า "เว่ยตี่ฮองเฮา" แต่ในภาพยนตร์ทั้ง 2 ภาคไม่เอ่ยชื่อว่า "เว่ยตี่" แม้แต้คำเดียว ผู้จำหน่ายหนังน่าจะยึดอะไรสักอย่างให้ตลอด
- ฯลฯ
ดังที่ผมได้กล่าวในตอนท้ายการแนะนำเรื่อง The Last Emperor ว่า ภาพยนตร์เรื่องนั้นไม่ได้กล่าวถึงพระสนมทั้งสองของปูยีในระหว่างที่ครองราชย์ในแมนจูกัว ที่อาจสะท้อนถึงปัญหาบางอย่างในชีวิตปูยีขณะนั้นได้เหมือนกัน ก็มาได้ภาพยนตร์เรื่อง "เว่ยตี่ฮองเฮา"-"สนมเอกนอกบัลลังก์" นี้ เข้ามาเสริมได้พอเหมาะพอเจาะ แต่ในทางกลับกัน หากใครได้ชมภาพยนตร์สองภาคนี้โดยไม่ได้ชม The Last Emperor หรือไม่ทราบข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาก่อน ก็จะขาดความเข้าใจในหลายๆ เรื่องเช่นกัน ยิ่งถ้าได้ชมเพียงภาคใดภาคหนึ่งโดยไม่ได้ชมอีกภาคหนึ่งจะยิ่งไปกันใหญ่ การจัดจำหน่ายภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ในบ้านเราคงต้องทำการบ้านกันอีกมากครับ
คำคมชวนคิด
- "คนดีๆ อย่างเจ้า ก็ต้องเข้ามาใช้กรรมในวังเรอะ?" ฮองเฮาหว่านหลงตรัสกับพระสนมยู่หลิน
- "... เขาแค่จะหาเด็กผู้หญิงซื่อๆ ที่ควบคุมได้ซักคน..." ฮองเฮาหว่านหลงตรัสกับพระสนมอี้ฉิน
- "วิญญาณของเราเหมือนถูกเนรเทศออกไปนอกโลกแล้ว" ชายชราผู้หนึ่งกล่าวหลังจากทราบข่าวญี่ปุ่นยอมจำนน
- "คุณคิดว่าฉันเดินทางมาไกลจนถึงที่นี่เพื่อจะหาผู้ชายนอนด้วยรึไงล่ะ" คำพูดสุดท้ายของอี้ฉินที่กล่าวกับปูยีที่เรือนจำก่อนจะจากไป
เนื่องจากบทความนี้เป็นลิขสิทธิ์อัน ชอบธรรมของผู้เขียน และอาจะมีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลบ้างตามความเหมาะสม ในการนำบทความไปเผยแพร่ในเว็บไซต์อื่นๆ จึงขอความร่วมมือให้ใช้วิธีการคัดลอกเฉพาะ Link หรือ URL Address แทนการคัดลอกบทความทั้งหมด หากมีการคัดลอกไปในลักษณะแอบอ้างเป็นผู้เขียน หรือมีเจตนาอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อทางเว็บ iseehistory.com แล้ว จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดตามกฎหมาย
ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ : The Last Empress (ฉบับที่ขายในไทยใช้ชื่อภาษาอังกฤษบนปกว่า The Last Emperor และ The Last Imperial Concubine)
ชื่อภาษาจีน : Moot doi wong hau, Mo dai huang hou (Hong Kong: Mandarin title)
ชื่อภาษาไทย : เว่ยตี่ฮองเฮา, สนมเอกนอกบัลลังก์
ผู้กำกำกับ : Chan Ga Lam, Suen Ching Gwok (imdb อ้างว่าเป็น Jialin Chen กับ Han Hsiang Li)
ผู้เขียนบท : Cheung Siu Tin
ผู้แสดง : (ตามข้อมูล imdb)
- Athena Chu ... Wen Xiu (as Yin Zhu)
- Yiwei Fu ... Tan Yuling
- Zhang Hua ... Li Chang'an
- Wen Jiang ... Pu Yi
- Wei Liu ... Li Yueting
- Hong Pan ... Wan Rong
- Bide Yan ... Zhang Jinghui
(hkcinemagic.com ระบุชื่อผู้แสดงเพียง 4 คน คือ Poon Hung, Jiang Wen, Foo Aau Wai, Lau Wai)
ควรอ่านเพิ่มเติม
กระทู้ที่เกี่ยวข้อง
เรียนเชิญสมาชิกร่วมแสดงความคิดเห็นที่ด้านล่างสุดของหน้าเว็บ (ต้องสมัครและ Login ก่อน) ผู้ชมทั่วไปหรือสมาชิกที่ต้องการโพสต์รูป เชิญร่วมแสดงความเห็นได้ที่เว็บบอร์ด "คุยกันหลังฉาก" ในกระทู้ที่มีอยู่แล้ว หรือ สร้างกระทู้ใหม่ (คลิกที่นี่) ครับ
หากเป็นสมาชิก Facebook แสดงความเห็นได้ในฟอร์มข้างล่างนี้ครับ
ทางเว็บไม่มีนโยบายนำภาพยนตร์ฉบับ เต็มมาให้ดูออนไลน์หรือให้ดาวน์โหลดเนื่องจากเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์และไม่ มีพื้นที่สำหรับเก็บไฟล์ภาพยนตร์