dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



Life Is Beautiful ยิ้มไว้โลกนี้ไม่มีสิ้นหวัง(?)
วันที่ 19/05/2013   14:52:30

โดย webmaster@iseehistory.com

คงเคยได้ยินกันมาพอสมควรว่า หากต้องการมีสุขภาพจิตที่ดี หรือกระทั่งต้องการประสบความสำเร็จในชีวิตหรือในธุรกิจการงานต่างๆ แล้ว จะต้องหัดมองโลกในแง่ดี  หรือที่บางทีเรียกว่า "คิดบวก"  แต่มักจะไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนว่า "การมองโลกในแง่ดี" หรือ "คิดบวก" ที่ว่า มันหมายถึงอะไร มีหลักปฏิบัติอย่างไร  ผมเองเคยได้ฟังจากผู้ประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่ายท่านหนึ่งว่า การมองโลกในแง่ดีหรือการคิดบวกที่ว่านั้นคือการมองว่า "ทุกปัญหานั้นแก้ได้"   ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม  สำหรับเราๆ ที่ชอบภาพยนตร์ประวัติศาสตร์หรือหนังสงครามทั้งหลายเคยลองคิดดูไหมครับว่าถ้าเราต้องเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ร้ายๆ แบบในหนังเหล่านั้น  โดยที่เราไม่ได้เป็นพระเอกที่เก่งกาจแบบแรมโบ้แล้ว  เราจะมองโลกในแง่ดีหรือคิดบวกอย่างไรได้?  และยิ่งถ้าหากเรายังมีลูกเล็กๆ ที่ยังไม่เดียงสาต่อโลกที่ผู้ใหญ่บางคนสร้างความเลวร้ายเอาไว้  เราจะทำอย่างไร  ในภาพยนตร์เรื่อง Life Is Beautiful ของ Roberto Benigni ที่ฉายครั้งแรกในปี 1997/พ.ศ.2540 ได้ลองสมมติให้ตัวละครที่ตลกสุดๆ ต้องถูกนำตัวเข้าไปในค่ายกักกันยิวของนาซีพร้อมกับลูกชายอายุราว 5-6 ขวบ แล้วเขาจะแก้สถานการณ์อย่างไร? จะตลกออกจนจบเรื่องได้หรือไม่?


รักแรกพบเมื่อดอร่าหล่นจากบ้านลงมาพบกุยโดที่กองฟาง


โรดอลโฟ ตัวอุปสรรคของการเปิดร้านหนังสือและความรัก


รักใต้โต๊ะ

ภาพยนตร์เริ่มเรื่องขึ้นที่เมือง  Arezzo อิตาลี ปี 1939/พ.ศ.2482 เมื่อ Guido Orefice หนุ่มยิวกับเพื่อนชื่อ Feruccio เข้ามาในเมืองแห่งนี้เพื่อมาขออนุญาตเปิดร้านหนังสือ  วันแรกที่ทั้งสองขับรถเข้าเมืองเกิดเบรคแตกบังคับรถไม่อยู่ ขณะนั้นกำลังมีขบวนเสด็จของกษัตริย์อิตาลีเข้ามาในเมืองพอดี รถของทั้งสองเกิดเข้าไปอยู่ระหว่างรถมอเตอร์ไซค์นำขบวนกับรถพระที่นั่ง ทำให้ประชาชนที่รอรับเสด็จเข้าใจผิดคิดว่า กุยโดเป็นพระเจ้าแผ่นดิน มุกแบบนี้คงเอามาใช้ในหนังไทยไม่ได้ ที่เล่ายาวหน่อยคือจะแทรกเกร็ดประวัติศาสตร์ว่าแม้เวลานั้นมุสโสลินีจะได้เป็นจอมเผด็จการผู้นำประเทศแล้ว ประเทศยังมีพระมหากษัตริย์คือพระเจ้าวิคเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 3 (Victor Emmanuel III)  ไม่ใช่อย่างเยอรมันที่ฮิตเลอร์รวบตำแหน่งประธานาธิบดีกับนายกรัฐมนตรีเข้าด้วยกัน  มาเข้าเรื่องภาพยนตร์กันต่อครับ กุยโดกับเพื่อนได้ไปขอเช่าบ้านจากลุงซึ่งเป็นหัวหน้าบริกรของโรงแรมและนักสะสมของเก่า  เขาได้พบรักกับครูสาวสวยนามว่า Dora แต่ทั้งการเริ่มกิจการร้านหนังสือและความรักของเขาก็ต้องเผชิญอุปสรรคเมื่อเขาเดินทางไปขออนุญาตเปิดร้านหนังสือที่ศาลากลางกับนาย Rodolfo แต่ด้วยความซุ่มซ่ามของกุยโดหรือทั้งสองคนก็ตามแต่ กุยโดได้ทำกระถางต้นไม้ตกใส่หัวโรดอลโฟและทำไข่เลอะหัวตาคนนี้อีกซ้ำสองติดๆ กัน  แล้วยังปรากฏว่าอีตาโรดอลโฟนี้ดันเป็นคู่หมั้นคู่หมายกับดอร่าหญิงสาวที่เขาหลงรักอยู่ ซึ่งอย่างหลังนี้กลายเป็นเรื่องที่เขาต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ อย่างสุดฮา  ซึ่งในที่นี้คงไม่ขอเล่ารายละเอียดอะไรมากนัก  เพื่อความฮาที่สมบูรณ์ขอให้ชมจากภาพยนตร์กันเอาเองจะดีกว่า

แม้ในช่วงครึ่งแรก พระเอกของเราจะใช้อารมณ์ขันฟันผ่าอุปสรรคต่างๆ มาได้  แต่ที่จริงแล้ว เค้าลางที่บ่งบอกถึงปัญหาใหญ่ที่จะเผชิญภายหน้าได้ก่อเค้าลางขึ้นบ้างแล้ว  คือ ในวันแรกที่เขาเข้าเมืองไปขอเช่าบ้านคุณลุง Eliseo อยู่นั้น  ปรากฏว่ามีชายกลุ่มหนึ่งได้เข้ามารุมทำร้ายคุณลุงแล้วรีบหนีไป  ต่อมาได้มีผู้ตรวจการศึกษา (ศึกษานิเทศก์) จากกรุงโรมมาบรรยายที่โรงเรียนของดอร่าเรื่องเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ (Race Manifesto) แต่กุยโดได้แอบปลอมเป็นเขาเพื่อมาหาดอร่าซะก่อน  และในครั้งที่กุยโดไปป่วนงานหมั้นของโรดอลโฟกับดอร่า  ได้มีคนแอบมาพ่นสีเขียวใส่ม้าของลุงเอลิซีโอกับเขียนข้อความว่า "ระวังม้ายิว"  ตรงนี้เป็นความรู้ใหม่สำหรับผมว่าในอิตาลีก็มีกระบวนการรังเกียจยิวก่อตัวอยู่ในระดับหนึ่งแล้ว


กุยโดมาพบลุงที่พึ่งถูกทำร้ายถึงในบ้าน


ปลอมเป็นศึกษานิเทศก์จากกรุงโรมมาพูดเรื่องทฤษฎีเผ่าพันธุ์


ม้าของลุงโดนพ่นสี "ระวังม้ายิว"

ภาพยนตร์ได้เดินเรื่องกระโดดข้ามจากตอนที่กุยโดไปแย่งชิงดอร่าจากคู่หมั้นมายังตอนที่ทั้งสองคนมีลูกด้วยกันคนหนึ่งแล้วชื่อว่า Joshua ตรงนี้ต้องเดากันเอาเองล่ะครับว่าเป็นปีไหน  ตามประวัติศาสตร์จริงหลังจากปี 1939 อิตาลีได้เข้าสงครามร่วมกับเยอรมัน  แต่ก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าที่ควร  และดูจะกลายเป็นทั้งลูกไล่และตัวถ่วงของเยอรมันอยู่กลายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สงครามในทะเลทรายอาฟริกาเหนือที่ฮิตเลอร์ต้องให้นายพลรอมเมลไปช่วยรบกู้หน้าสร้างชื่อเสียงและความก้าวหน้าให้กับรอมเมลอย่างมากมาย  แม้กระนั้นการที่ฮิตเลอร์ไม่ได้ตั้งใจจะช่วยอิตาลีอย่างจริงจังรวมถึงปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายเกินจะกล่าวในที่นี้  กองทัพอักษะทั้งเยอรมันและอิตาลีก็ต้องถอนทัพออกจากสมรภูมิอาฟริกาเหนือ  สัมพันธมิตรก็รุกไล่ขึ้นมาถึงอิตาลี จนในที่สุด กษัตริย์อิตาลีได้ปลดมุสโสลินีออกจาผู้นำและประกาศยอมแพ้ต่อสัมพันธมิตรเมื่อวันที่ 3 กันยายน 1943/พ.ศ.2486  แต่แล้วในวันที่ 12 เดือนเดียวกัน ฮิตเลอร์ได้จัดส่งหน่วยพลร่มไปช่วยเหลือมุสโสลินีออกจากที่คุมขังมาได้ และได้จัดตั้งรัฐบาลหุ่นสาธารณรัฐสังคมนิยมอิตาลีโดยการสนับสนุนของฮิตเลอร์ขึ้นทางตอนเหนือของอิตาลี  เมื่อลองค้นจากวิกิพีเดียพบว่าเมือง  Arezzo นี้ตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของอิตาลี  แต่จะได้รับการปลดปล่อยโดยสัมพันธมิตรเมื่อไหร่นี่ยังค้นไม่ได้ครับ  คงต้องขอเดาว่าเรื่องในครึ่งหลังนี้เริ่มขึ้นในราวปี 1944/พ.ศ.2487 ซึ่งโจชัวน่าจะมีอายุราวๆ 4-5 ขวบครับ


รถไฟนำชาวยิวมายังค่ายกักกัน


กุยโดพยายามหลอกลูกตั้งแต่มาถึงค่ายกักกันว่าเป็นแค่การเล่นเกม


กุยโดอ้างตัวเป็นล่ามแปลกฎของค่ายกักกันเป็นกติกาการเล่นเกมหลอกลูก

ขอเล่าเรื่องในภาพยนตร์ครึ่งหลังต่อละครับ  ในวันเกิดของโจชัว ซึ่งในเรื่องไม่ได้บอกว่าวันที่เท่าไหร่ กุยโด โจชัว และลุงเอลิซีโอถูกทหารเยอรมันนำตัวขึ้นรถบรรทุกไปยังสถานีรถไฟที่จะนำพวกเขาต่อไปยังค่ายกักกันชาวยิว  ซึ่งกุยโดไม่ได้ยอมบอกความจริงกับลูกโดยอำว่าเป็นการไปเที่ยว  ดอร่าเมื่อทราบว่าสามีและลูกถูกจับก็ตามมาถึงสถานีรถไฟ และร้องขอต่อนายทหารเอสเอสให้ปล่อยตัวคนทั้งสอง เมื่อไม่สำเร็จจึงขอขึ้นรถไฟไปด้วย  ซึ่งนายทหารผู้นั้นก็ยินยอมแต่ไม่ได้ขึ้นไปบนโบกี้เดียวกัน  เมื่อถึงค่ายกักกันบรรดาผู้หญิงก็ถูกแยกไปอยู่คนละที่กัน  กุยโดยังคงหลอกโจชัวว่านี่เป็นการเล่นเกมที่จะต้องสะสมแต้มให้ได้ถึง 1,000 คะแนน ผู้ชนะจะได้รับรางวัลเป็นรถถังคันใหญ่  แต่สำหรับค่ายกักกันของนาซีอันแสนโหดแล้วอะไรๆ ก็ใช่ว่าจะง่ายๆ  เมื่อทางค่ายเริ่มนำเด็กไปเข้าห้องรมแก๊สก็ต้องสั่งให้โจชัวไปหลบซ่อน  โดยอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของเกมอีกเช่นเคย


ชีวิตในค่ายกักกันชาวยิว


ขวาคือหมอเลสซิ่ง ที่กุยโดเคยรู้จัก และช่วยให้เขามาเป็นบริกรในงานเลี้ยง


กุยโดยังแสร้งทำตลกต่อหน้าลูกเพื่อปิดบังชะตากรรมของตน

วันหนึ่ง กุยโดถูกส่งไปตรวจร่างกาย ปรากฏว่าหมอนาซีที่ทำหน้าที่นี้คือ Doctor Lessing ที่เขาเคยรู้จักตั้งแต่เข้ามาในเมือง  Arezzo ใหม่ๆ  หมอเลสซิ่งได้ช่วยเหลือให้เขาได้ทำหน้าที่คนเสิร์ฟในงานเลี้ยงคืนหนึ่ง ทำให้โจชัวพลอยได้กินอาหารดีๆ มื้อหนึ่งไปด้วย  แต่คุณหมอแกก็ช่วยอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้น  ต่อมาไม่นาน ทหารเยอรมันเริ่มถอนตัวออกจากค่ายแห่งนั้น  และเริ่มการขนย้ายคนยิวในค่ายกักกันออกไปข้างนอก  กุยโดได้สั่งให้โจชัวไปหลบซ่อนอยู่ในตู้ใบหนึ่ง สั่งไม่ให้ออกมาจนกว่าจะไม่เห็นใคร  ส่วนตนเองพยายามออกตามหาดอร่า  แต่ถูกทหารเยอรมันจับตัวได้และถูกนำไปยิงทิ้ง  ก่อนตายกุยโดซึ่งคงจะไม่รู้ชะตากรรมของตนเองแล้วยังพยายามทำตลกขณะเดินผ่านหน้าบริเวณตู้ที่ลูกชายซ่อนอยู่   รุ่งเช้าโจชัวซึ่งยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อของตน เมื่อไม่เห็นใครแล้วก็ออกจากที่ซ่อน สักพักหนึ่งก็มีรถถังเชอร์แมนของทหารอเมริกันคันหนึ่งมาจอดตรงหน้า  โจชัวเข้าใจว่าตนเองชนะได้รางวัลที่ 1 ตามที่พ่อบอก  ผบ.รถถังคันนั้นได้นำตัวโจชัวขึ้นไปบนรถถังแล่นออกไปนอกค่าย  พบคนจากค่ายกักกันจำนวนมากที่หนีทหารเยอรมันมาได้  รวมถึงดอร่า เมื่อโจชัวเห็นแม่ จึงบอกให้รถถังหยุด แล้วลงไปบอกแม่ว่าเราชนะแล้ว  ลืมบอกไปว่า ในตอนต้นเรื่องและท้ายเรื่องมีเสียงคนบรรยายเป็นผู้ชาย ซึ่งก็คือโจชัวในวัยผู้ใหญ่นั่นเองครับ

ด้านความรู้ทางประวัติศาสตร์ในภาพยนตร์เรื่องนี้  คงต้องจัดไว้ในประเภทภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ที่แง่มุมทางประวัติศาสตร์อาจจะไม่ได้ลงลึกมากนัก  เรื่องที่ควรทราบได้กล่าวถึงไปบ้างแล้ว ได้แก่


ผู้แสดงเป็นกษัตริย์และราชินีอิตาลี

ระบบการปกครองของอิตาลี ขณะนั้นอิตาลียังมีกษัตริย์อยู่ในช่วงที่มุสโสลินีเรืองอำนาจและนำอิตาลีเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2  พระเจ้าวิคเตอร์เอมมานูเอลที่ 3 ทรงครองราชย์จนถึงปี ตั้งแต่ปี 1900/พ.ศ.2443 จนถึงปี 1946/พ.ศ.2489 แล้วทรงสละราชสมบัติให้กับพระเจ้าฮัมเบิร์ตที่ 2 ขึ้นครองราชย์แทน แต่ครองราชย์ได้เพียง 1 เดือนเท่านั้น ก็ได้มีการลงประชามติให้อิตาลีเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็น ระบบสาธารณรัฐในระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 1946 โดยมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญในปี ค.ศ. 1948/พ.ศ.2491 จนถึงปัจจุบัน

ปัญหาชาวยิวในอิตาลี  ประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 โดยส่วนใหญ่จะกล่าวถึงแต่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่กระทำโดยนาซีเยอรมัน  ในภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สะท้อนให้เห็นว่าในอิตาลีนั้นเองก็มีทั้งการรังเกียจทางเชื้อชาติโดยบุคคลไม่ทราบกลุ่มดังจะเห็นในตอนต้นเรื่องที่คุณลุงเอลิซิโอถูกทำร้ายถึงในบ้าน  ตอนที่ม้าของคุณลุงโดนพ่นสีเขียวและเขียนข้อความต่อต้านยิว  กับในส่วนที่ดำเนินโดยราชการคือการที่ผู้ตรวจการศึกษาจากโรมมาบรรยายเรื่องความเป็นเลิศของเผ่าพันธุ์   จนกระทั่งเมื่ออิตาลีถูกเยอรมันยึดครอง จึงได้เกิดโศกนาฏกรรมทำนองเดียวกับประเทศอื่นที่เยอรมันเข้ายึดครอง  คือการกวาดต้อนคนยิวเข้าค่ายกักกัน  แต่ในภาพยนตร์ก็ไม่ได้กล่าวชัดเจนว่า ค่ายกักกันที่ว่านี้มันเป็นค่ายอะไรอยู่ในอิตาลีหรือในเยอรมันหรือที่ไหน  แต่ดูจากระยะเวลากับความรู้เดิมๆ เกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวแล้ว พวกนาซีคงไม่มีเวลาจะมาสร้างค่ายพรรค์นี้ในอิตาลีแน่ๆ  น่าจะเป็นค่ายกักกันในประเทศเยอรมันเองมากกว่าครับ

และที่น่าเสียดายคือผลจากการเดินเรื่องที่ก้าวกระโดดจาปี 1939 มาเป็นช่วงท้ายสงครามที่เดาๆ ว่าเป็น 1944-1945 นั้น  ทำให้เรื่องราวเกี่ยวกับอิตาลีในสงครามโลกครั้งที่ 2 ต้องถูกเว้นวรรคยาว  ทั้งที่ทหารอิตาลีต้องไปพลีชีพในหลายสมรภูมิอยู่เหมือนกัน  รวมถึงการที่สัมพันธมิตรบุกขึ้นมาจนถึงแผ่นดินแม่นี่  พยายามจะทำความเข้าใจว่าถ้านำมากล่าวในภาพยนตร์ก็จะทำให้เรื่องเยิ่นเย้อ  แต่พอถูกเว้นวรรคไปเฉยๆ ก็รู้สึกขัดๆ และน่าเสียดายชอบกลอยู่ครับ


รางวัลที่ 1 สำหรับผู้ชนะ 1,000 คะแนน???

ด้านความสมจริงของภาพยนตร์ สำหรับครึ่งแรกของภาพยนตร์คงไม่ต้องคิดอะไรมาก คือแทบจะเหมือนกับเป็นภาพยนตร์คอมเมดี้เต็มๆ  แต่มาในช่วงตั้งแต่เข้าค่ายกักกันนี่ ความพยายามของกุยโดที่จะหลอกให้ลูกเข้าใจว่าเป็นเพียงการเล่นเกมนั้น  ค่อนข้างจะเหลือเชื่อเอามากๆ  ในความเป็นจริงผู้ร่วมชะตากรรมในค่ายอาจจะหมั่นไส้หรือหงุดหงิดแล้วตำหนิกุยโดจนความแตกได้ทุกเมื่อ  และสภาพในค่ายกักกันแบบนั้นย่อมจะอดๆ อยากๆ กันจนหนังติดกระดูก  แม้ในภาพยนตร์จะถ่ายทอดไม่ได้ถึงขนาดนั้น  ลองเด็กอย่างโจชัวกินไม่อิ่มหลายๆ มื้อเข้าจะเป็นอย่างไรบ้าง  คงมีแต่จุดจบของกุยโดเท่านั้นละมังครับที่ผู้สร้างยอมรับความเป็นจริงว่าการมองโลกในแง่ดีแบบเว่อๆ มันแก้ไม่ได้ทุกปัญหา

ถึงตรงแล้ว คำถามที่ว่า ชีวิตนั้นสวยสดงดงามดังชื่อเรื่อง Life Is Beautiful จริงๆ หรือเปล่า  ในความเห็นของผม ความสวยงามของชีวิตในภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้เกิดจากการที่กุยโดมองโลกในแง่ดีแบบตลกๆ เว่อๆ แต่เกิดจากน้ำจิตน้ำใจของเขาที่ได้เสียสละเพื่อลูกและภรรยาต่างหาก

เนื่องจากบทความนี้เป็นลิขสิทธิ์อันชอบธรรมของผู้เขียน และอาจะมีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลบ้างตามความเหมาะสม ในการนำบทความไปเผยแพร่ในเว็บไซต์อื่นๆ จึงขอความร่วมมือให้ใช้วิธีการคัดลอกเฉพาะ Link หรือ URL Address แทนการคัดลอกบทความทั้งหมด  หากมีการคัดลอกไปในลักษณะแอบอ้างเป็นผู้เขียน หรือมีเจตนาอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อทางเว็บ iseehistory.com แล้ว จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดตามกฎหมาย

ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ : Life Is Beautiful

ชื่อภาษาอิตาเลียน : La vita è bella

ชื่อภาษาไทย :  ยิ้มไว้โลกนี้ไม่มีสิ้นหวัง

ผู้กำกำกับ : Roberto Benigni

ผู้เขียนบท :  Roberto Benigni, Vincenzo Cerami

ผู้แสดง :

  •  Roberto Benigni ...  Guido Orefice
  •  Nicoletta Braschi ...  Dora
  •  Giorgio Cantarini ...  Giosué Orefice
  •  Giustino Durano ...  Eliseo Orefice
  •  Sergio Bini Bustric ...  Ferruccio Papini (as Sergio Bustric)
  •  Marisa Paredes ...  Madre di Dora
  •  Horst Buchholz ...  Doctor Lessing (as Horst Bucholz)
  •  Lidia Alfonsi ...  Guicciardini
  •  Giuliana Lojodice ...  School Principal
  •  Amerigo Fontani ...  Rodolfo
  •  Pietro De Silva ...  Bartolomeo
  •  Francesco Guzzo ...  Vittorino
  •  Raffaella Lebboroni ...  Elena
  •  Claudio Alfonsi ...  Amico Rodolfo
  •  Gil Baroni ...  Prefect

ควรอ่านเพิ่มเติม

กระทู้ที่เกี่ยวข้อง

  • (ยังไม่มี) 

 
เรียนเชิญสมาชิกร่วมแสดงความคิดเห็นที่ด้านล่างสุดของหน้าเว็บ (ต้องสมัครและ Login ก่อน) ผู้ชมทั่วไปหรือสมาชิกที่ต้องการโพสต์รูป เชิญร่วมแสดงความเห็นได้ที่เว็บบอร์ด "คุยกันหลังฉาก" ในกระทู้ที่มีอยู่แล้ว หรือ สร้างกระทู้ใหม่ (คลิกที่นี่) ครับ

หากเป็นสมาชิก Facebook แสดงความเห็นได้ในฟอร์มข้างล่างนี้ครับ

Bookmark and Share

ภาพยนตร์ตัวอย่าง (Trailer) จาก www.youtube.com

ทางเว็บไม่มีนโยบายนำภาพยนตร์ฉบับ เต็มมาให้ดูออนไลน์หรือให้ดาวน์โหลดเนื่องจากเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์และไม่ มีพื้นที่สำหรับเก็บไฟล์ภาพยนตร์

 



สงครามโลกครั้งที่ 2 - ยุโรป

Inglourious Basterds ยุทธการเดือดเชือดนาซี วันที่ 27/05/2013   23:02:43 article
The World at War สารคดีที่ช่วยให้เห็นภาพรวมสงครามโลกครั้งที่ 2 วันที่ 19/05/2013   11:26:48
The Boy in the Striped Pyjamas เด็กชายในชุดนอนลายทาง วันที่ 19/05/2013   11:30:27
สารคดีชุด The History Channel World War II จาก BBC วันที่ 19/05/2013   11:32:15
Escape from Sobibor แหกค่ายนรกนาซี วันที่ 19/05/2013   14:49:41
Defiance วีรบุรุษชาติพยัคฆ์ (กลุ่มนักสู้ยิวในเบลารุส) วันที่ 19/05/2013   14:50:16
Brother's War ยุทธการสกัดแผนการหลังม่านเหล็ก วันที่ 19/05/2013   14:51:09
Stauffenberg ในเวอร์ชันของเยอรมันเอง วันที่ 19/05/2013   14:54:02
Valkyrie : ยุทธการดับจอมอหังการ์อินทรีเหล็ก วันที่ 19/05/2013   14:55:25
Kelly's Heroes การเสียดสีความเป็นวีรบุรุษของอเมริกัน วันที่ 19/05/2013   14:57:02
Enigma รหัสลับพลิกโลก วันที่ 19/05/2013   14:58:01
The Fallen หลายฝ่ายหลายชีวิตกับความไร้สาระของสงคราม วันที่ 19/05/2013   14:59:09
ป้อมปืนนาวาโรน หนามแหลมมีพิษที่ยอกอกอังกฤษ วันที่ 19/05/2013   15:02:34
La Grande Vadrouille: หนังสงครามแนวตลกชั้นครู วันที่ 19/05/2013   15:04:14
Saints and Soldiers รบกันแต่อย่าเกลียดกัน??? วันที่ 19/05/2013   15:05:31
The Devil's Brigade กองพลน้อยปีศาจลูกผสมอเมริกัน-แคนาดา วันที่ 19/05/2013   15:06:55
The Battle of the River Plate วันที่ 19/05/2013   15:08:04
Das Boot U – 96 เรือล่มเมื่อจอด วันที่ 19/05/2013   15:11:04
Mosquito Squadron นิยายรักนักบิน วันที่ 19/05/2013   15:12:40
Where Eagles Dare วันที่ 19/05/2013   15:14:27
THE EAGLE HAS LANDED (แผนสิบหกอินทรีเหล็ก) วันที่ 19/05/2013   15:15:36
The Pianist ความวิปโยคจากอคติทางเชื้อชาติ วันที่ 19/05/2013   15:17:06
The Last Armored Train ว่าด้วยรถไฟหุ้มเกราะในสงครามโลก วันที่ 19/05/2013   15:18:21
Days of Glory เมื่อพี่(ฝรั่ง)เศสยังติดหนี้คนอาหรับ วันที่ 19/05/2013   15:19:32
To Hell And Back สงคราม...สร้างวีรบุรุษ วันที่ 19/05/2013   15:21:01
The Great Escape แหกค่ายมฤตยู วันที่ 19/05/2013   15:22:20
Combat! คัมแบ็คในรูปแบบ VCD วันที่ 19/05/2013   15:23:45
D-Day the Sixth of June นิยายรักวันดีเดย์ วันที่ 19/05/2013   15:24:52
D-Day 6.6.44 สารคดี จาก BBC วันที่ 19/05/2013   15:25:59
The Atlantic Wall ปราการชายฝั่งยุโรป ของ ฮิตเลอร์ วันที่ 19/05/2013   15:27:09
Saving Private Ryan วันที่ 19/05/2013   15:28:34
Von Ryan's Express ด่วนนรกเชลยศึก วันที่ 19/05/2013   15:29:52
Memphis Belle ป้อมบินเย้ยฟ้า วันที่ 19/05/2013   15:30:55
Land and Freedom ความล้มเหลวของฝ่ายซ้ายใน สงครามกลางเมืองสเปน วันที่ 19/05/2013   15:34:12
633 ฝูงบินมัจจุราช วันที่ 19/05/2013   15:35:21
Cross of Iron อิสริยาภรณ์ แห่ง ความกล้า กับ ความบ้าเกียรติ วันที่ 19/05/2013   15:36:41
Kill Rommel การต่อต้านสงครามด้วยมนุษยธรรม วันที่ 19/05/2013   15:37:39
The Bridge at Remagen อีกยุทธการยึดสะพานที่คำสั่งเป็นพิษ วันที่ 19/05/2013   15:38:46
Donwfall (Der Untergang) ปิดตำนานบุรุษล้างโลก (ฮิตเลอร์) วันที่ 19/05/2013   15:52:54
Band of Brothers บทเรียนเรื่อง "ภาวะผู้นำ" วันที่ 19/05/2013   15:53:55
Nuremberg: ศาลยุติธรรม ระดับโลก หรือ ปาหี่ของผู้ชนะ? วันที่ 19/05/2013   15:55:43
Sophie Scholl กับ ขบวนการต่อต้านนาซี ใน เยอรมัน วันที่ 19/05/2013   15:56:49
โอมาร์ มุกตา ผู้หาญสู้ เผด็จการ ฟาสซิสต์ อิตาลี วันที่ 19/05/2013   15:58:04
แพตตัน การรบกับข้าศึก VS การแข่งขันกับพันธมิตร วันที่ 19/05/2013   15:59:18
Hitler the Rise of Evil ชีวิตของจอมเผด็จการที่เสมือนนิยายอมตะ วันที่ 19/05/2013   16:00:23
A Bridge Too Far ศึกสะพานนรก เพราะการวางแผนผิดพลาด วันที่ 19/05/2013   16:01:54
D-Day: Men and Machines สารคดี เบื้องหลัง การยกพลขึ้นบก ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ วันที่ 19/05/2013   16:03:14
ทัวร์ สงครามโลกครั้งที่สอง กับ กองพลที่ 1 สหรัฐฯ (The Big Red One) วันที่ 19/05/2013   16:04:20
Battle of the Bulge ยุทธภูมิรถถังที่อาศัยการตีความข้อมูลข่าวกรอง วันที่ 19/05/2013   16:05:30
Battle of Britain สงครามอินทรีเหล็ก วันที่ 19/05/2013   16:08:59
The Longest Day การยกพลขึ้นบก ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ วันที่ 19/05/2013   16:10:08
ยุทธภูมิเลือด Stalingrad วันที่ 19/05/2013   16:11:23
Enemy at the Gates : วีรบุรุษสามัญชนจากอูราลในสมรภูมิ สตาลินกราด วันที่ 19/05/2013   16:12:27
Dark Blue World (ยังไม่มีบทวิจารณ์) วันที่ 19/05/2013   16:14:45 article
Hart's War (ยังไม่มีบทวิจารณ์) วันที่ 19/05/2013   16:15:49 article



1

ความคิดเห็นที่ 1 (91168)
avatar
คนเล่าเรื่อง

หนังเรื่องนี้สร้างความประทับใจแบบง่าย ๆ โดยใช้การเดินเรื่องผสมกับบทบาทของดารามากกว่าการใช้ความอลังการหรือฉากเศร้าเคล้าน้ำตาครับ

ในแง่ประวัติศาสตร์ คงไม่ต้องการสะท้อนถึงความโหดร้ายของสงครามและการล้างเผ่าพันธุ์ เพราะจะกลายเป็นหนังแนวสะเทือนใจหรือสยองขวัญ  แต่ไปเน้นที่กลวิธีการหาทางรอดของลูกน้อยและภรรยาของกุยโด้ให้ได้ โดยที่ยังคงถนอมสุขภาพจิตของเด็กเอาไว้อย่างดีที่สุด

การกำกับฉากและภาพในหนัง มักจะออกไปในแนวของละครเวทีแบบ sit com เป็นหลัก  รวมทั้งการจัดแสงที่เรียบง่ายในแบบที่หนังฮอลลีวู้ดชอบใช้ในยุคทศวรรษ 60 ซึ่งเป็นการสื่อถึงความไม่เครียดของหนังครับ

ฉากที่ผมอยากรู้มาจนถึงทุกวันนี้ คือ ตอนที่กุยโด้อาสาออกไปแปลกฎที่ทหารเยอรมันบอกเล่าเพื่อหลอกอำลูกชายให้เชื่อว่านี่เป็นเกมส์นั้น  ผมเองยังอยากรู้จนถึงทุกวันนี้ว่าทหารเยอรมันคนนั้นพูดอะไร  ไม่ทราบว่าในเวอร์ชั่นนี้ มีการแปลไว้หรือไม่ครับ  แต่ฉากนี้ได้บ่งบอกเป็นนัยว่า แม้แต่ในสถานการณ์ที่สุดคับขัน ก็ยังเกิดเรื่องฮา ๆ ขึ้นมาได้ครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น คนเล่าเรื่อง (danai-at-buu-dot-ac-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2009-11-03 13:08:54


ความคิดเห็นที่ 2 (91178)
avatar
โรจน์ (Webmaster)

เรื่องทหารที่อธิบายกฎพูดว่าอะไรนั้น พอดีความรู้ภาษาเยอรมันของผมเหลืออยู่น้อยนิดไม่แข็งแรงพอจะฟังให้ออกในครั้งแรกๆ และในหนังก็ไม่ได้ทำซับไตเติ้ลให้เราเลยครับ ใครที่ภาษาเยอรมันแข็งแรงพอจะช่วยแปลให้จะเป็นพระคุณ ไม่งั้นผมคงต้องเอาหนังมาลองฟังทวนตอนนี้ดูอีกทีครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น โรจน์ (Webmaster) (webmaster-at-iseehistory-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2009-11-03 23:31:00


ความคิดเห็นที่ 3 (101576)
avatar
รอมเมล

ก็แปลตามที่กุยโด แปลนั่นแหละครับ สำหรับชาวยิวแล้วกฏที่เยอรมันออกให้คงไม่น่าโสภาเลย  แต่ดีนะที่ผู้คุมไม่สงสัย ถ้าสงสัย โดนจัดหนักแน่

ผู้แสดงความคิดเห็น รอมเมล (goh_17-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-25 02:28:13



1


Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker