โดย webmaster@iseehistory.com
เมื่อตอนที่ผมหาข้อมูลเขียนเรื่อง Defiance เมื่อเดือนก่อน ได้พบความเห็นผู้ชม Youtube รายหนึ่งบ่นๆ ว่าในสงครามใครๆ เขาก็ลำบากกันทั้งนั้น ทำไมพูดกันแต่เรื่องความลำบากของพวกยิว ตอบกันง่ายๆ แม้้คนบางคนอาจไม่ยอมเข้าใจง่ายๆ ก็ต้องบอกว่า มันเป็นประเด็นใหญ่ที่พวกนาซีสร้างความโหดร้ายเอาไว้ ก่อนหน้านั้นมีคนที่เชื่อพิลึกหนักไปกว่านั้นอีก ในคราวที่ผมไปร่วมงานของหอภาพยนตร์องค์การมหาชน มีผู้ร่วมชมภาพยนตร์รายหนึ่งไปอ้างคำพูดของนักการเมืองอาหรับรายไหนก็ไม่ทราบ หาว่า Holocaust ไม่มีจริง ย้ำอยู่แต่ว่าคนไทยเราเชื่อข้อมูลอเมริกันมากเกินไป นี่แหละครับ ความไม่เชื่อมันก็เป็นความเชื่ออย่างหนึ่ง สมัยหนึ่งเราเคยอยู่ในยุคที่เรียกกันว่า "ตามก้นอเมริกัน" เขาให้ส่งทหารไปรบที่ไหนก็ไป มีหนังมีเพลงฮิตอะไรก็เห่อตามเขาไปด้วย ผ่านมาหลายปีบทจะแอนตี้อเมริกันก็ไม่เชื่อกระทั่งเรื่องที่เขายอมรับกันทั่วเอาดื้อๆ ถ้าไม่เชื่อข้อมูลอเมริกันจะเชื่อข้อมูลประเทศที่เคยถูกนาซีปกครองแล้วก็ใช้เป็นฐานในการฆ่ายิวขนานใหญ่อย่างโปแลนด์ไหมล่ะ ภาพยนตร์เรื่องที่จะคุยกันในวันนี้ไม่ได้สร้างโดยโปแลนด์แต่ก็อาศัยข้อมูลจากผู้ที่รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่นั่น ค่ายนรกที่ไม่ใหญ่และดังเท่า Auschwitz แต่หนังเรื่องนี้อาจทำให้คุณประทับใจชาวค่ายนี้มากกว่าก็ได้ นั่นคือภาพยนตร์อังกฤษเรื่อง Escape from Sobibor ออกฉายทางทีวีในปี 1987/2530 (น่าแปลกนะครับที่เมืองนอกมีหนังหลายเรื่องที่สร้างฉายทางทีวีด้วยความยาวเพียง 2-3 ชั่วโมง และมีคุณภาพแทบไม่ต่างจากหนังฉายตามโรงเลย) เรื่องราวของชาวยิวในค่ายมรณะโซบิบอร์ที่ได้รวมตัวกันต่อสู้กับบรรดาผู้คุมโหดนาซีจนสามารถหนีรอดไปได้จำนวนหนึ่ง และทำให้ค่ายดังกล่าวต้องปิดตัวลงไป
เจ้าหน้าที่ทหารเอสเอสที่บังคับบัญชาค่ายขณะรอต้อนรับ "เหยื่อ"
ยามซึ่งเป็นทหารยูเครน การแต่งตัวก็คล้ายเอาเครื่องแบบเยอรมันมาเปลี่ยนสีเท่านั้น
ผู้ชายทางซ้ายคือนายเบอร์ลินเนอร์ซึ่งเป็น "โอเบอร์คาโป" หัวหน้าของ "คาโป" หรือพวกยิวที่ทำงานให้นาซีในการควบคุมยิวด้วยกัน
ภาพนี้ขณะพานางเอก "ลูก้า" ออกจากโรงเย็บผ้าไปยังโรงเลี้ยงกระต่าย
ก่อนจะเข้าเนื้อเรื่องในภาพยนตร์ลองมาดูรายละเอียดบางประการของค่ายมรณะแห่งนี้กันก่อนครับ ค่ายโซบิบอร์นี้เป็นค่ายมรณะที่จัดตั้งขึ้นในเมือง Lublin ทางตะวันออกของโปแลนด์ โดยเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการไรน์ฮาร์ด (Operation Reinhard) มีชื่อเป็นทางการในภาษาเยอรมันว่า SS-Sonderkommando Sobibor เริ่มการก่อสร้างในเดือนมีนาคม 1942/พ.ศ.2485 ในราวกลางเดือนเมษายนก็เริ่มทดลองทดลองใช้ห้องอบแก๊ส ถัดมาในเดือนพฤษภาคม ค่ายมรณะอันเป็นเสมือนโรงงานผลิตความตายให้กับชาวยิวก็เริ่มดำเนินการโดยลำเลียงเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายมาทางรถไฟ พื้นที่ในค่ายจะแบ่งอกเป็น 4 ส่วนด้วยกัน คือ เขตที่พักของเจ้าหน้าที่ทหาร (Garrison Area) ซึ่งรวมถึงประตูทางเข้าและชานชลาที่รถไฟขนเหยื่อจะมาจอด อีก 3 ส่วนเรียกว่า Lage (Camp) 1-3 โดย แคมป์ 1 เป็นโรงเรือนของบรรดาคนงานยิวที่ถูกคัดเลือกออกมาจากกลุ่มเหยื่อเพื่อมาทำงานในค่าย เช่น การเก็บศพ การรวบรวมและคัดเลือกเสื้อผ้าทรัพย์สินต่างๆ ของพวกที่ถูกรมควัน และงานจิปาถะอื่นๆ แคมป์ 2 เป็นโรงเรือนต่างๆ ซึ่งเป็นที่ทำงานของบรรดาคนงานยิว และแคมป์ 3 คือโรงรมแก๊สสังหารเหยื่อนั่นเอง การปกครองในค่ายแห่งนี้ จะมีทหารเอสเอสเยอรมันเป็นผู้ควบคุมทั้งหมดเพียง 16 คน ผู้บัญชาการคือ ร้อยเอก ฟรานซ์ ไรช์ไรเนอร์ (Captain Franz Karl Reichleitner น่าสังเกตว่าในเรื่องแปลยศเป็นภาษาอังกฤษเลย ถ้าตามยศของเอสเอสจริงๆ จะเรียกว่า SS-Hauptsturmführer) ถัดมาเป็นรองผบ.คือร้อยโทนีมันน์ (Lieutenant Niemann หรือตามยศของเอสเอสน่าจะเป็น SS-Obersturmführer) ถัดมาก็จะเป็นทหารยศจ่าซึ่งในเรื่องก็เรียกเป็น Sergeant หรือ Sgt. กันหมด ตัวที่แสบที่สุดคือจ่าวากเนอร์ (Sgt. Gustav Wagner) นอกนั้นถ้าจำเป็นจะกล่าวถึงเป็นรายๆ ไป ถัดมาจะเป็นทหารชาวยูเครน หรือทหารยูเครเนียนยศไม่เกินสิบเอกจำนวน 125 คน จากนั้นก็จะเป็นคนยิวที่ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมคนยิวด้วยกันอีกที เรียกว่า คาโป (Kapo) ไม่ทราบว่ามีกี่คน มีหัวหน้าคาโป 1 คน เรียกว่าโอเบอร์คาโป (Oberkapo) บรรดาชาวยิวที่มาถึงที่นี่ส่วนใหญ่จะถูกส่งไปยัง "โรงอาบน้ำ" หรือที่จริงก็คือห้องอบแก๊สพิษนั่นเอง ก่อนการสังหารหมู่พวกนาซีจะคัดเลือกเฉพาะช่างฝีมือด้านต่างๆ ไว้เพื่อทำงานในค่าย
ภาพยนตร์เกริ่นนำเรื่องด้วยการเล่าแบ็คกราวน์ทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับปฏิบัติการไรน์ฮาร์ดของไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์ ผบ.สูงสุดของหน่วยเอสเอสในอันที่จะกำจัดยิวโดยการจัดตั้งค่ายมรณะอย่างลับๆ จำนวน 3 ค่ายในโปแลนด์ตะวันออก ประกอบด้วย Belzec, Treblinka และ Sobibor ซึ่งค่ายสุดท้ายนี้มีการลุกฮือของชาวยิวเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 1943/พ.ศ.2486 แล้วจึงมาเปิดฉากจริงๆ ที่ค่ายโซบิบอร์ในเช้าวันหนึ่ง ขณะที่บรรดาคนงานยิวในค่ายถูกเรียกไปรวมตัวเพื่อปฏิบัติงานต้อนรับพวกที่จะจากรถไฟตามปกติ มีคนงาน 3 คนมากระซิบกระซาบกับลีอองซึ่งจะว่าเป็นหัวหน้าหรือลูกพี่ของคนยิวในค่ายก็ไม่เชิง แต่ไม่ใช่คาโปนะครับ ทั้ง 3 บอกว่าพวกตนซึ่งได้รับหน้าที่ออกไปทำสวนนอกค่ายจะหนีในวันนี้ ลีอองพยายามห้ามก็ไม่ฟัง จึงต้องออกไปรับขบวนรถไฟตามหน้าที่ เมื่อรถไฟมาถึง พวกเอสเอสก็จะเปิดเพลงวอลซ์สร้างบรรยากาศ บรรดาชาวยยิวในขบวนรถไฟจะก้าวลงจากรถพร้อมสัมภาระโดยความช่วยเหลือของบรรดาคนงานชายในค่าย จากนั้นจะให้แยกผู้หญิงและเด็กออกจากผู้ชายอายุ 14 ขึ้นไป ผบ.ค่ายจะกล่าวกับบรรดาชาวยิวที่มาถึงว่าค่ายแห่งนี้เป็นค่ายแรงงาน ทุกคนที่ทำงานจะได้รับความเป็นอยู่ที่ดี แต่เนื่องจากไข้รากสาดกำลังระบาดจึงจะนำแต่ละกลุ่มไปอาบน้ำอุ่นแยกกัน จากนั้นพวกเอสเอสจะถามหาช่างประเภทต่างๆ แล้วคัดแยกออกมา ในจำนวนนี้จะมีพวกคนงานยิวที่อยู่มาก่อนแอบกระซิบคนที่ท่าทางจะเข้ากับตัวได้ให้อาสาอ้างตัวว่าเป็นช่างประเภทเดียวกัน เสร็จการคัดเลือกคนงานหรือช่างประเภทต่างๆ คนที่เหลือจะถูกพาไป "อาบน้ำ" พวกที่ได้รับการคัดเลือกก็เข้าประจำหน้าที่ของตนตามโรงเรือนต่างๆ
"เหยื่อ" กำลังลงจากรถไฟโดยมีคนงานยิว (ชุดสีน้ำเงิน) คอยช่วยเหลือ
ตะแลงแกงที่ใช้แขวนคอผู้กระทำผิด โดยมีควันจากปล่องไฟของโรงอบแก๊สเป็นแบ็คกราวน์
ในบรรดาสมาชิกใหม่ที่ได้รับการคัดเลือกไว้เป็นช่างหรือคนงานเหล่านี้ มีตัวละครสำคัญๆ เช่นช่างทำรองเท้าชื่ออิทซัค สองพี่น้องช่างทองชื่อชโลโมกับโมเสสซึ่งอายุยังค่อนข้างน้อย ลูก้าช่างเย็บเสื้อผ้าที่ต่อมาถูกย้ายไปทำงานเลี้ยงกระต่าย ฯลฯ ไม่นานคนงานยิวกลุ่มใหม่นี้ก็ได้รับทราบว่าครอบครัวของตนตายกันหมดและเห็นความโหดร้ายต่างๆ ในค่าย เช่น คนสวน 3 คนที่พยายามหนีเมื่อตอนต้นเรื่องถูกฆ่าแล้วนำศพมาให้พวกที่เหลือดู โมเสสที่ไปรับทองจากจ่าบาวเออร์ในเขต 3 ได้ไปเห็นภาพกลุ่มชาวยิวที่ถูกต้องเข้าห้องรมควัน หญิงคนหนึ่งที่แอบนำลูกมาเลี้ยงในโรงเย็บผ้าถูกจ่าวากเนอร์ยิงทิ้งทั้งแม่และลูก คนงาน 13 คนพยายามหลบหนีแต่ถูกจับได้และนำมาประหารต่อหน้าคนงานยิวทั้งหมดโดยก่อนประหารยังให้ทั้ง 13 เลือกคนงานมาตายพร้อมกับตน 1 คน รวมเป็น 26 คน เหตุการณ์หลังสุดที่ผมเอ่ยถึงนี้ทำให้ลีอองกับพรรคพวกที่คบคิดกันที่จะหนีต้องกลับมาทบทวนว่าหากหลบหนีกันไปตามลำพังไม่กี่คนแล้วจะทำให้คนที่เหลือต้องประสบความสูญเสียไปด้วย ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม จึงต้องหาทางให้ชาวยิวในค่ายสามารถหลบหนีไปได้ทั้งหมด แต่ยังไม่สามารถคิดหาวิธีการและจังหวะเวลาที่เหมาะสมได้
ผบ.ค่ายมาหาชโลโมที่โรงเรือนช่างทองเพื่อออกแบบเครื่องประดับ
ภายในโรงเรือนเย็บผ้าที่พวกผู้หญิงทำงาน
ภายในโรงเรือนที่ใช้คัดแยกเสื้อผ้าของ "เหยื่อ"
ชาวยิวที่กำลังถูกต้อนเข้าโรงอบแก๊ส พวกที่ถอดเสื้อผ้าแล้วก็มีนะ แต่ไปหาดูจากในหนังเอาเองนะครับ
ดูน่าสังเวชมากกว่าเซ็กซี่เป็นไหนๆ เลยไม่เอามาให้ดู
การประหารผู้ทำผิดคิดหนีและคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่างละ 13 คน แบบเชือดไก่ให้ลิงดู
หลังจากรอกันมากว่าครึ่งเรื่อง "พระเอก" ก็พึ่งโผล่มาครับ เมื่อผู้หมวดอเล็กซานเดอร์ เปเชอร์สกี้ หรือ "ซาช่า" (Alexander 'Sasha' Pechersky) กับเชลยศึกที่เป็นทหารรัสเซียเชื้อสายยิวเช่นเดียวกับตนถูกส่งมายังค่ายโซบิบอร์ ลีอองก็ไม่รีรอที่จะหาทางนัดหมายหมวดซาช่ามาปรึกษาหารือกันในเรื่องที่จะแหกค่ายหนีกันออกไปทั้งหมด แน่นอนว่าผู้หมวดของเราก็ต้องสนใจให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่เรื่องแบบนี้ไม่ใช่คุยกันหนสองหนก็จบ ลีอองจึงต้องอุปโลกน์ให้ผู้หมวดซาช่าเป็นแฟนกับลูก้าเพื่อให้ผู้หมวดแกมาคุยแผนการหลบหนีได้โดยทำทีเป็นว่ามาเยี่ยมแฟนสาว พอได้นักการทหารมาช่วยอะไรๆ ก็ชัดเจนขึ้นมาก ผู้หมวดเห็นว่าหากกำจัดพวกเอสเอส 16 คนลงได้ พวกทหารยูเครน 125 คนก็เหมือนไม่มี "สมอง" แผนการโดยคร่าวๆ คือ ในวันที่ลงมือจะเริ่มการลอบฆ่าพวกเอสเอสตั้งแต่เวลา 4 ถึง 5 โมงเย็นรวมถึงการตัดไฟฟ้าและสายโทรศัพท์ จนกระทั่งเวลาเรียกแถว 5 โมงเย็น ก็จะพากันเดินออกทางประตูหน้าซึ่งไม่มีกับระเบิดอยู่ ซึ่งจะทำได้ต่อเมื่อการลอบฆ่าเป็นผลสำเร็จ และมีคาโปอย่างน้อย 1 คนให้ความร่วมมือในการประสานงานจนถึงเวลาที่จะเดินออกทางประตูหน้า และแล้วหวยก็ไปออกที่โอเบอร์คาโปที่ชื่อเบอร์ลินเนอร์เป็นคนแรก เนื่องจากกลุ่มผู้ก่อการเห็นว่าจะเป็นอุปสรรคสำคัญ จึงได้ลอบฆ่าเบอร์ลินเนอร์โดยจัดฉากว่าป่วยตายเอง แล้วปอร์เช็คก็ก้าวขึ้นมาเป็นโอเบอร์คาโปแทน
ผู้หมวดซาช่า (กลาง) มาวางแผนกับลีออง (ซ้าย) โดยแสร้งทำเป็นว่ามาหาแฟนคือลูก้า (ขวา)
ซึ่งภายหลังเธอก็หลงรักผู้หมวดขึ้นมาจริงๆ เพราะฉนั้นคุณผู้ชายอย่าได้เห็นเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องเล่นๆ เชียว
ฉากสุดท้าย การแหกค่ายหนีที่ผิดแผน แต่ก็มีคนรอดไปได้ส่วนหนึ่ง และทำให้ค่ายต้องปิดตัวลง
แล้วจังหวะเวลาก็มาถึงเมื่อผู้กองไรช์ไลท์เนอร์ ผบ.ค่าย กับจ่าวากเนอร์ต้องเข้าไปธุระในเมือง Lublin เป็นเวลา 3 วัน บรรดาสมาชิกได้ตัดสินใจที่จะลงมือในวันรุ่งขึ้น บังเอิญก่อนการลงมือมีทหารเอสเอสกลุ่มหนึ่ง จำนวน 2 คันรถรวมแล้วประมาณ 30 นายแวะมาพักที่ค่ายโซบิบอร์ ทำเอาบรรดาสมาชิกต้องบอกเลื่อนกันอุตลุด ในวันถัดมาจึงได้ลงมือจริง บรรดาสมาชิกผู้ก่อการได้พยายามหลอกล่อทหารเอสเอสเข้ามาเป็นเหยื่อในโรงเรือนที่ตนทำงานทีละคน ซึ่งสำเร็จเป็นส่วนใหญ่ มีที่ต้องตามไปฆ่าถึงห้องทำงาน 1 ราย คือจ่าเบ็คมันน์ จนใกล้เวลาเรียกแถว ยังมีเหลือรอดอยู่ 2 จ่า คือ จ่าเฟรนเซล กับ จ่าบาวเออร์ ซึ่งรายแรกไปพบศพจ่าเบ็คมันน์ในห้องทำงาน รายหลังทราบเรื่องจากทหารยูเครนที่ไปพบศพจ่าคนหนึ่งเข้า ขณะนั้นคาโปปอร์เช็คได้เรียกแถวคนงานแล้ว เมื่อเห็นว่าความแตกซะก่อน ลีอองกับผู้หมวดซาช่าจึงบอกให้ทุกคนหนีเอาตัวรอดแบบตัวใครตัวมัน คนงานส่วนใหญ่วิ่งหนีกระจัดกระจายไปทุกด้าน โดยมีคนส่วนน้อยที่หมดอาลัยตายอยากไม่ยอมหนี คณะผู้ก่อการที่มีอาวุธได้ช่วยยิงต่อสู้กับทหารยูเครนที่เป็นยามแม้กระนั้นผู้หลบหนีก็ยังต้องบาดเจ็บล้มตายจากการยิงของทหารยามและกับระเบิดเป็นจำนวนมากรวมถึงตัวละครสำคัญบางคน เช่น ซามูเอล คาโปปอร์เช็ค ฯลฯ ที่เหลือมีบทบรรยายเล่าชะตากรรมภายหลังเหตุการณ์ เช่น ลีอองนั้น แม้จะรอดชีวิตไปจนสามารถสร้างกิจการบังหน้าและช่วยเหลือชาวยิวด้วยกันไปได้ระยะหนึ่ง ก็ยังถูกพวกต่อต้านยิวฆ่าตายในภายหลัง ผู้หมวดซาช่าได้กลับไปร่วมรบกับกองทัพรัสเซียและกลายมาเป็นพยานสำคัญในการดำเนินคดีกับทหารยูเครนในค่ายโซบิบอร์ ด้านนางเอกของเราคือลูก้านั้นหายไปในชนบทโปแลนด์โดยไม่มีใครทราบชะตากรรมอีกเลย คงมีแต่เสื้อนำโชคที่เธอมอบให้กับผู้หมวดซาช่าที่จัดแสดงอยู่ ณ พิพิธภัณฑ์รัสเซีย คนอื่นๆ นอกจากนั้นได้ไปตั้งรกรากในอเมริกา อิสราเอลและบราซิล บางคนยังได้กลับมาเป็นพยานในการดำเนินคดีกับพวกนาซีด้วย ทางฝ่ายผู้ร้ายนั้น รอ.ไรช์ไลต์เนอร์ผบ.ค่ายได้ไปเป็นผบ.ค่ายอื่นอยู่ไม่นานก็ถูกพวกพาร์ติซานฆ่าตาย จ่าวากเนอร์ถูกแทงตายในบราซิลภายหลังเหตุการณ์ เป็นต้น รายละเอียดหาชมได้จากตอนท้ายภาพยนตร์นะครับ ส่วนค่ายโซบิบอร์ถูกฮิมม์เลอร์สั่งปิดตายโดยได้มีการนำต้นไม้มาปลูกเป็นการกลบเกลื่อน แต่แล้วหลังสงครามก็ได้มีการสร้างอนุสรณ์ให้เป็นเกียรติแก่บรรดาผู้เคราะห์ร้ายและนักสู้ ณ บริเวณที่เคยเป็นค่ายโซบิบอร์
ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ควรทราบเพิ่มเติม
กับคำถามซ้ำๆ เดิมๆ ที่ว่าหนังเรื่องนี้เท็จจริงแค่ไหน ในภาพรวมผมตอบได้เลยว่าแม้จะเป็นภาพยนตร์บันเทิง แต่ก็อาศัยพื้นฐานจากข้อเท็จจริงเป็นหลัก (Non-Fiction) แต่ทั้งนี้ก็ยังมีข้อเท็จจริงบางประการที่สมควรกล่าวเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจที่สมบูรณ์อยู่บ้างเล็กน้อย
เรื่องของผู้หมวดซาช่า (Alexander 'Sasha' Pechersky) นั้น ตามประวัติบอกว่าเขาต้องตกเป็นเชลยศึกมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 1942/พ.ศ.2485 และถูกควบคุมตัวอยู่ตามค่ายเชลยศึกต่างๆ มาหลายแห่งอยู่ราวๆ 2 ปี จนมาอยู่ที่โซบิบอร์ในวันที่ 18 กันยายน 1943/พ.ศ.2486 ในฉากที่ผู้หมวดแกได้พบกับคนงานยิวอื่นๆ นั้น คงยากที่จะเล่าเรื่องสถานการณ์สงครามได้ราวกับพึ่งตกเป็นเชลย เว้นแต่จะทราบเรื่องจากคนที่ตกเป็นเชลยทีหลัง ซึ่งบทสนทนาในหนังจำต้องกระชับเกินกว่าจะบอกประเด็นเหล่านี้ได้ ส่วนที่นอกเหนือจากภาพยนตร์ สิ่งที่น่าน้อยใจแทนผู้หมวดแกก็คือ ก่อนจะตกเป็นเชลยเคยมีความดีความชอบจากการช่วยผู้บังคับบัญชาที่บาดเจ็บก็ไม่เคยได้รับรางวัลอะไรเพราะคุณพ่อของผู้หมวดเป็นอัยการในยุคพระเจ้าซาร์ แหกค่ายโซบิบอร์ออกมาก็ไม่เคยได้ความดีความชอบอะไรตลอดชีวิต ตอนหนีออกมาใหม่ๆ ได้เข้าร่วมกับกองโจรพาร์ติซานกลุ่มหนึ่งแล้วก็กลับไปอยู่ในกองทัพโซเวียตในกองพันที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า "Penal Battalion" อันมีความหมายประมาณว่าเป็นหน่วยที่จัดตั้งจากทหารเชลยและพาร์ติซานที่กองทัพไม่ค่อยจะไว้ใจ จึงส่งออกไปตายเป็นการลงโทษหรือส่งไปรบทำคุณไถ่โทษ ก็อุตส่าเอาชีวิตรอดมาได้ หลังสงครามก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปเป็นพยานในศาลอาชญากรสงครามเมืองนูเร็มเบิร์ก จนกระทั่งสตาลินตายจึงได้เป็นพยานในคดีพิจารณาความผิดของอดีตทหารยูเครนในโซบิบอร์ ทำให้ 10 ใน 11 ผู้ต้องหาถูกประหารชีวิต
ลูก้ามอบเสื้อนำโชคที่เธอทำเองให้ผู้หมวดซาช่าก่อนการแหกค่าย ของจริงยังมีจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์รัสเซีย
ด้านจำนวนผู้หลบหนีออกจากค่ายโซบิบอร์นั้น ในภาพยนตร์กล่าวเพียงว่ามีผู้หลบหนีออกไปได้ประมาณ 300 คนจากจำนวนคนในค่ายประมาณ 500-600 คน เท่าที่ผมได้ค้นคว้าเพิ่มเติม ได้พบข่าวร้ายว่าในจำนวนคนที่ออกไปได้นั้น ส่วนใหญ่ถูกจับตัวกลับมาสังหารที่ค่าย คงเหลือคนที่เหลือรอดจริงๆ ราว 50-70 คนเท่านั้น ไม่ทราบว่าเป็นเพราะความเก่งกาจของพวกเอสเอสและทหารยูเครน หรือเป็นเพราะชาวบ้านแถบนั้นไม่ได้ช่วยเหลือชาวยิวที่หลบหนีกันหรืออย่างไร
ด้านการสร้างภาพยนตร์
มีบางประเด็นที่แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่ได้ทำให้เสียอรรถรสอะไรมาก ก็ขอฝากไว้เป็นข้อสังเกตกันสักนิด ดังนี้ครับ
ภาษาที่ใช้ ต้องไม่ลืมนะครับว่าค่านนรกนาซีทำนองนี้ย่อมจะต้องขนชาวยิวจากประเทศต่างๆ ทั่วยุโรป ภาษาที่คนในค่ายใช้ย่อมแตกต่างกัน ตั้งแต่เยอรมัน โปล รัสเซีย ดัทช์ ฯลฯ ซึ่งจะต้องเป็นอุปสรรคต่อการสื่อสารระหว่างคนในค่ายกันไม่น้อย แต่ใน Escape from Sobibor นี้ เป็นเช่นภาพยนตร์หลายเรื่องที่จำต้องเอาความสะดวกเข้าว่าโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก
ผู้แสดง ค่อนข้างจะเห็นได้ชัดเลยครับว่า ในการแสดงเป็นนาซีโหดทั้งหลายนั้น เอาคนอังกฤษมาใส่เครื่องแบบเยอรมันทั้งนั้น ต่างจากภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดที่สังคมอเมริกันประกอบด้วยคนหลายเชื้อชาติ การจะหาคนที่เชื้อสายเยอรมันหรืออื่นๆ ที่คล้ายกันมารับบททหารเยอรมันนั้นจะง่ายกว่า ส่วน Rutger Hauer ผู้รับบทเป็นผู้หมวดซาช่านั้น ที่จริงเป็นชาวดัทช์ แต่รูปร่างหน้าตาก็พอกล้อมแกล้มให้เชื่อว่าเป็นทหารรัสเซียได้จริงครับ และเขาก็ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำจากเรื่องนี้ในฐานะผู้แสดงสนับสนุนยอดเยี่ยม (เหตุที่ไม่ได้ในฐานะผู้แสดงนำอาจเป็นเพราะพึ่งจะมีบทบาทในช่วงครึ่งหลังของเรื่อง)
ฉากการต่อสู้และความโหดร้ายรุนแรงต่างๆ สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้พยายามแสดงออกแบบไม่ให้โจ่งแจ้งเกินไป ประมาณว่ามีเลือดให้เห็นอยู่ไม่กี่ซีซี แต่ในช่วงที่พวกยิวล่อลวงพวกนาซีไปฆ่านี่แม้จะไม่ได้เห็นเลือดมากมายเช่นกัน พอฆ่าไปหลายๆ จ่าแล้วรู้สึกสยองยิ่งกว่าการยิงสู้กันซึ่งๆ หน้าซะอีก แม้ในเรื่องเราจะรู้ว่าพวกนาซีเหล่านี้ทำบาปกรรมไว้ไม่น้อยก็ตาม ถ้าจะจัดเรทอย่างน้อยคงต้อง น13+ ละมั๊ง?
เรื่อง Escape from Sobibor นี้เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่น่าจะช่วยยืนยันว่า Holocaust หรือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวโดยพวกนาซีนั้น ไม่ใช่แค่นิทานโกหกของอเมริกันอย่างที่ผู้นำอาหรับคนหนึ่งกล่าวอ้าง หากใครยังหลงนึกว่าการเข่นฆ่าชาวยิวเป็นเรื่องโกหกหรือเป็นความชอบธรรมของนาซีแล้ว คงต้องจับส่งไปทัวร์โปแลนด์สักรอบนึงมั๊ง แต่ออกค่าใช้จ่ายเองนะ ก่อนจบต้องขออีกนิดนึงว่า สิ่งที่อยากได้นักหนาคือความคิดเห็นของท่านสมาชิกและผู้อ่านทั่วไปในอันที่จะช่วยเติมเต็มความรู้และแง่คิดให้แก่กันและกัน ใครคิดว่ายังขาดอะไรก็ช่วยกันเติมๆ หน่อยเถอะครับ
อนุสรณ์ ณ บริเวณที่เคยเป็นค่ายโซบิบอร์
คำคมชวนคิด
"ถ้ามีแรงเ หลือเยอะนักไประบายกับผู้ที่กดขี่เรามิดีกว่าหรือ?" (If we have energy to spend, let's spend it against those who have reduced us to this.) ลีอองพูดเพื่อห้ามการทะเลาะกันระหว่างคาโปปอเช็คกับผู้หญิงที่มาแย่งอาหาร
"การรอดตายนี่แหละคือการแก้แค้น" (The best revenge is for you to survive.) เอด้าบอกกับอิทซัค ตอนท้ายเรื่อง ทั้งสองคนสามารถรอดชีวิตและได้แต่งงานกันในภายหลัง
"ถ้าผมไม่เคยกินลูกแอปเปิ้ลมาก่อน คงไม่อยากกินลูกสีเขียวหรอก" (If I'd never had eaten and apple before, I wouldn't want the green one.) ชโลโมพูดกับ Bajle หญิงสาวซึ่งอายุมากกว่า คุณผู้ชายที่ชอบ "พี่สาวครับ" จะจำไปใช้บ้างก็ได้ ส่วนตอนท้ายเรื่อง ชโลโมสามารถหลบหนีจนไปตั้งรกรากในบราซิล ส่วน Bajle เสียชีวิตขณะหลบหนี
"ใครที่รอดตาย ไปเป็นพยาน ให้โลกรู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่" (Those of you who survive, bear witness. Let the world know what has happend here.) ลีอองกล่าวกับบรรดานักโทษยิวก่อนแยกย้ายกันหลบหนี
เนื่องจากบทความนี้เป็นลิขสิทธิ์อันชอบธรรมของผู้เขียน และอาจะมีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลบ้างตามความเหมาะสม ในการนำบทความไปเผยแพร่ในเว็บไซต์อื่นๆ จึงขอความร่วมมือให้ใช้วิธีการคัดลอกเฉพาะ Link หรือ URL Address แทนการคัดลอกบทความทั้งหมด หากมีการคัดลอกไปในลักษณะแอบอ้างเป็นผู้เขียน หรือมีเจตนาอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อทางเว็บ iseehistory.com แล้ว จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดตามกฎหมาย
ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ : Escape from Sobibor
ชื่อภาษาไทย : แหกค่ายนรกนาซี
เรื่องเดิม : หนังสือของ Richard Rashke จากต้นฉบับลายมือ ( manuscript "From the Ashes of Sobibor" ) ของ Thomas 'Toivi' Blatt หนึ่งในผู้รอดชีวิตจากค่ายโซบิบอร์
ผู้กำกำกับ : Jack Gold
ผู้สร้าง : Dennis E. Doty
ผู้เขียนบท : Reginald Rose, Stanislaw 'Shlomo' Szmajzner
ผู้แสดง :
Alan Arkin ... Leon Feldhendler
Joanna Pacula ... Luka
Rutger Hauer ... Alexander 'Sasha' Pechersky
Hartmut Becker ... Sgt. Gustav Wagner
Jack Shepherd ... Itzhak Lichtman
Emil Wolk ... Samuel
Simon Gregor ... Stanislaw 'Shlomo' Szmajzner
Linal Haft ... Oberkapo Porchek
Jason Norman ... Thomas 'Toivi' Blatt
Robert Gwilym ... Chaim Engel
Eli Nathenson ... Moses Szmajzner
Kurt Raab ... Sgt. Frenzel
Eric P. Caspar ... Capt. Franz Reichleitner
Hugo Bower ... Sgt. Beckmann
Klaus Grünberg ... Sgt. Bauer (as Klaus Grunberg)
Wolfgang Bathke ... Sgt. Hurst
Henning Gissel ... Sgt. Fallaster
Henry Stolow ... Lt. Niemann
Ullrich Haupt ... Sgt. Wolf
Patti Love ... Eda
Judith Sharp ... Bajle
Ellis Van Maarseveen ... Selma Wijnberg
David Miller ... Mundek
Jack Chissick ... Hershel
Ned Vukovic ... Morris
Sara Sugarman ... Naomi
Peter Jonfield ... Kapo Sturm
Dijana Krzanic ... Esther Terner
Irfan Mensur ... Kalimali
Zoran Stojiljkovic ... Boris
Svetolik Nikacevic ... Old Man
Mihailo 'Misa' Janketic ... Kapo Berliner ( as Misa Janketic )
Dejan Cavic ... Kapo Spitz
Zlatan Fazlagic ... Weiss
Predrag Milinkovic ... Kapo Jacob
ควรอ่านเพิ่มเติม
กระทู้ที่เกี่ยวข้อง
เรียนเชิญสมาชิกร่วมแสดงความคิดเห็นที่ด้านล่างสุดของหน้าเว็บ (ต้องสมัครและ Login ก่อน) ผู้ชมทั่วไปหรือสมาชิกที่ต้องการโพสต์รูป เชิญร่วมแสดงความเห็นได้ที่เว็บบอร์ด "คุยกันหลังฉาก" ในกระทู้ที่มีอยู่แล้ว หรือ สร้างกระทู้ใหม่ (คลิกที่นี่) ครับ
ชมภาพยนตร์ออนไลน์ฟรี (Soundtrack) จาก www.youtube.com/movies