webmaster@iseehistory.com
นำเสนอเรื่องราวการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวของนาซีมาก็หลายเรื่องหลายรูปแบบ ทั้งแนวที่ยิวถูกกระทำฝ่ายเดียวก็มี ที่ออกมาต่อสู้กันสุดฤทธิ์ก็มี แล้วถ้าจำเป็นต้องบอกเล่าเรื่องความเลวร้ายของนาซีในด้านนี้กับเด็กๆ และเยาวชน หรือกระทั่งกับผู้ใหญ่ในแบบที่จะไม่ให้มีความรุนแรงหรือความสยดสยองบ้างล่ะ จะถ่ายทอดอย่างไรดี ภาพยนตร์เรื่อง The Boy in the Striped Pyjamas หรือในชื่อไทยว่า "เด็กชายในชุดนอนลายทาง" ซึ่งออกฉายเมื่อปี 2008/พ.ศ.2551 เป็นความพยายามในลักษณะนี้ ที่จะประสบความสำเร็จแค่ไหน เดี๋ยวเราลองมาคุยกันครับ
ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากบทประพันธ์ของ John Boyne ซึ่งเป็นชาวไอร์แลนด์ เรื่องราวของหนูน้อย Bruno วัย 8 ขวบ ซึ่งชอบอ่านแต่หนังสือนิทานการผจญภัยเกินกว่าที่จะรับรู้เหตุการณ์บ้านเมืองในเวลานั้น และมีคุณพ่อ (Ralf) เป็นนายทหารเอสเอสระดับนายพัน ภาพยนตร์เปิดเรื่องที่กรุงเบอร์ลิน (ในเรื่องไม่ระบุวันเวลา คาดว่าจะเป็นช่วงก่อนที่อังกฤษจะเริ่มทิ้งระเบิดกรุงเบอร์ลินเป็นการตอบโต้หลังจากถูกทิ้งระเบิดที่ลอนดอน) ในเย็นวันหนึ่งบรูโนกำลังกลับบ้านพร้อมกับเพื่อนๆ โดยการวิ่งตามกันแบบเด็กๆ ระหว่างทางมีกำลังทหารเอสเอสกำลังกวาดต้อนชาวยิวจากชุมชนแห่งหนึ่ง ซึ่งบรูโนกับเพื่อนๆ ก็ไม่ได้รับรู้อะไรมาก จนเมื่อบรูโนแยกเข้าบ้านก็ต้องพบความประหลาดใจว่าที่บ้านกำลังเตรียมอะไรกันวุ่นวายไปหมด แม่ (Elsa) กับ Gretel พี่สาววัย 12 ปี จึงบอกว่าที่บ้านกำลังจะฉลองที่พ่อได้เลื่อนตำแหน่ง และพาไปพบพ่อที่บอกกับบรูโนด้วยตนเองว่า การเลื่อนตำแหน่งครั้งนี้ พ่อจะต้องย้ายไปประจำการในชนบทโดยทุกคนจะต้องย้ายตามไปยังบ้านใหม่ด้วย ซึ่งบรูโนจำต้องยอมรับ
ครอบครัวของบรูโน ประกอบด้วย พ่อ (Ralf) แม่ (Elsa) พี่สาววัย 12 ปี (Gretel) และ บรูโน วัย 8 ขวบ
ปู่กับย่ามาแสดงความยินดีกับพ่อในวันเลี้ยงส่ง
บ้านเก่าที่จำต้องจากไป
บ้านใหม่
การโยกย้ายของครอบครัวบรูโนนั้น หากพูดกันตรงๆ ประสาเราก็คือ คุณพ่อได้ย้ายมาประจำการในค่ายมรณะที่กักกันและสังหารชาวยิวนั่นเอง แต่ในเรื่องก็ไม่ได้บอกกันตรงๆ ว่าตำแหน่งอะไร คนที่พอรู้เรื่องเครื่องหมายยศทหารเยอรมันยุคนั้นถึงจะทราบว่า "พ่อ" มียศเป็นพันโท แต่ไม่มีสิ่งใดหรือตอนใดที่ระบุชัดว่า "พ่อ" เป็นผบ.ค่ายหรือตำแหน่งอะไรแน่ ค่ายแห่งนี้ก็ไม่ได้ระบุชื่อออกมาตรง นักวิจารณ์ตีความว่าเป็นค่ายเอาช์วิทซ์ - Auschwitz เอาเป็นว่าในตอนแรกทั้งบรูโนและเกรเทลก็ไม่รู้ว่างานใหม่ของพ่อต่างจากทหารทั่วไปอย่างไร เห็นแต่ว่าในบ้านมีลูกน้องพ่อที่แต่ละคนมาดเฮี้ยบเดินเข้าๆ ออกๆ ความจริงค่อยๆ เผยออกมาทีละเล็กละน้อย เมื่อบรูโนมองออกไปนอกหน้าต่างก็จะเห็นอาคารที่เขาคิดว่าเป็นฟาร์มหรือโรงนา มีชาวนาท่าทางแปลกๆ ทั้งผู้ใหญ่และเด็กที่ใส่ชุดนอนลายทางทั้งที่กลางวันแสกๆ พอบรูโนเล่าให้แม่ฟังไม่ทันขาดคำก็ได้พบกับคนใส่ชุดนอนลายทางคนแรกชื่อว่า Pawel เข้ามาส่งผักในครัว ซึ่งหนูน้อยบรูโนค่อนข้างแปลกใจว่าตาคนใช้คนนี้ท่าทางก็ประหลาด คนรอบข้างก็มีท่าทีเหมือนรังเกียจหรือบางทีก็เรียกใช้แบบขู่ตะคอก บรูโนพยายามขออนุญาตพ่อแม่ไปเล่นกับเด็กที่ตนเองเห็นที่ "ฟาร์ม" แต่ก็ถูกห้ามปรามแม้กระทั่งจะไปเล่นทางหลังบ้านก็ไม่ได้ วันหนึ่ง ขณะที่บรูโนกำลังเล่นชิงช้าที่ทำจากห่วงยางเก่าๆ ก็มองไปเห็นควันไฟจากปล่องที่กำลังเผาศพคนยิว แต่หนูน้อยมองด้วยความสงสัยจนลืมตัวลุกขึ้นยืนจนตกจากชิงช้า ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย พาเวลจึงนำบรูโนเข้ามาทำแผลในบ้าน จากการพูดคุยจึงได้ทราบด้วยความประหลาดใจอีกว่าพาเวลนั้นเคยเป็นหมอมาก่อน
บรูโนกำลังวาดภาพ "ฟาร์ม" ของพวกใส่ชุดนอนลายทางตามที่เห็นจากหน้าต่าง
พาเวล กำลังทำแผลให้บรูโน
เมื่อพ่อเห็นว่าลูกๆ โดยเฉพาะบรูโนเบื่อบ้านใหม่เต็มที แล้วก็อยากให้ลูกได้เรียนหนังสือต่อเช่นเดียวกับเด็กทั่วไปในเวลานั้น จึงได้ไปจ้างให้ครูชื่อ Liszt มาสอนที่บ้านสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ซึ่งครูได้สั่งให้บรูโนอ่านหนังสือ Almanac (บันทึกประจำปี) เพื่อเรียนรู้เหตุการณ์บ้านเมือง ซึ่งกลับทำให้บรูโนยิ่งเบื่อหน่ายมากขึ้นไปอีก จึงได้ตัดสินใจตอนแม่ออกไปธุระนอกบ้านหนีออกไปหลังบ้านทางหน้าต่างโรงเก็บของที่เคยเห็นตอนพาเวลพาไปเอายางรถยนต์เก่าๆ มาทำชิงช้า บรูโนได้เดินเล่นสำรวจบริเวณหลังบ้านสมความตั้งใจจนกระทั่งมาถึงรั้วลวดหนามด้านหลัง "ฟาร์ม" และได้พบกับ "เด็กชายในชุดนอนลายทาง" คนหนึ่งชื่อว่า Shmuel ที่หลบมานั่งอยู่ตามลำพังบริเวณกองเศษวัสดุ ทั้งสองจึงได้เริ่มรู้จักทำความพูดคุยกันตั้งแต่นั้นทั้งๆ ที่มีรั้วลวดหนามกั้นกลาง คราวนี้บรูโนจึงได้รู้ว่าบรรดาผู้คนในชุดนอนลายทางอย่างชมูเอล พาเวล และคนอื่นๆ ในค่ายเป็นชาวยิวที่ถูกจับมากักขังใช้แรงงาน การเดินเรื่องของภาพยนตร์ในช่วงนี้จะสื่อให้เห็นถึงความรู้สึกขัดแย้งของบรูโนระหว่างความสัมพันธ์ฉันเพื่อนแบบเด็กๆ กับแนวคิดการต่อต้านยิวแบบนาซีที่ครูลิตซ์เฝ้าเสี้ยมสอน อีกตัวเปรียบเทียบที่ชัดเจนคือเกรเทลพี่สาวของบรูโนที่เรียนรู้ลัทธินาซีจนเอาตุ๊กตาที่สะสมไว้มากมายไปทิ้งในห้องเก็บของแล้วมาแต่งห้องด้วยโปสเตอร์ต่างๆ ของพรรคนาซี แต่งตัวทำผมแบบยุวชนนาซี และมีบุคลิกที่ก้าวร้าวมากขึ้น
ครูมาสอนอุดมการณ์แบบนาซี
ชมูเอล "เด็กชายในชุดนอนลายทาง"
ตุ๊กตาที่เกรเทลเลิกเล่นเอามากองรวมกันในห้องใต้ดิน กลวิธีที่ภาพยนตร์บอกใบ้ว่าเกิดอะไรขึ้นในค่ายมรณะ
มิตรภาพริมรั้ว
ทางฝ่ายแม่เองซึ่งน่าจะทราบอะไรๆ เกี่ยวกับ "บ้านใหม่" มาก่อนมากกว่าลูกๆ ครั้นพอเห็นสภาพของจริงที่มีผลทางลบกับลูกๆ มากขึ้นก็เริ่มจะไม่พอใจพ่อขึ้นมาบ้าง วันหนึ่งคุณปู่โทรมาบอกว่าจะมาเยี่ยมครอบครัวแต่คุณย่าจะไม่มาด้วยและไม่ยอมพูดสายกับพ่อโดยอ้างว่าป่วย แต่แม่เห็นว่าย่าคงไม่อยากมา (ในเรื่องไม่ได้บอกเหตุผลของย่าตรงๆ อาจเป็นเพราะย่าแอนตี้นาซีหรือไม่เห็นด้วยกับนโยบายกำจัดยิว ฯลฯ) วันถัดมาแม่กลับจากธุระข้างนอกบ้านได้กลิ่นเหม็นและเห็นควันไฟจากเตาเผาในค่าย หมวดค็อทเลอร์คนขับรถหลุดปากออกมาว่าเป็นการเผาศพยิว ทำให้แม่ไปต่อว่าพ่อจนเกิดเป็นปากเสียงกัน ซึ่งพ่อก็เดาได้ว่าใครเป็นต้นเหตุ พอดีคุณปู่เดินทางมาถึง ขณะรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน หมวดค็อทเลอร์หลุดปากออกมาว่าบิดาของตนได้เดินทางออกจากเยอรมันไปสวิสเซอร์แลนด์โดยไม่ระบุสาเหตุ พ่อซึ่งรอทีอยู่แล้วก็พูดเป็นนัยปรักปรำว่าผู้หมวดไม่ยอมรายงานพรรคนาซีว่าพ่อของตนทรยศต่อชาติ พอดีจังหวะที่พาเวลทำไวน์หกตรงหน้าผู้หมวด ๆ ก็เลยกลบเกลื่อนโดยการลากพาเวลออกไปซ้อมนอกห้องกินข้าว ทำให้เกรเทลกับบรูโนตกใจอย่างมาก หลังจากนั้นพาเวลก็ไม่ปรากฏตัวอีกเลย อีกวันหนึ่ง บรูโนพบชมูเอลที่ถูกนำตัวเข้ามาทำหน้าที่ล้างแก้ว จึงได้ให้ขนมกิน ผู้หมวดคอตเลอร์มาพบเข้าและกล่าวหาว่าชมูเอลขโมยขนม บรูโนเกิดตกใจกลัวไม่กล้าบอกว่าตนให้ขนมเอง ผู้หมวดจอมโหดจึงเอาตัวชมูเอลออกไปลงโทษ บรูโนเสียใจและพยายามกลับไปหาชมูเอล ณ ริมรั้วลาดหนามที่เดิมแต่กว่าจะพบตัวก็ต้องไปเก้ออยู่ราว 2-3 ครั้ง จึงได้เจอกันอีกและกลับมาคืนดีกัน ต่อมาผู้หมวดคอตเลอร์ถูกย้ายไปประจำแนวหน้าในรัสเซีย
Rupert Friend ในบท ผู้หมวด Kotler
ภาพยนตร์ที่นาซีสร้างบิดเบือนความเป็นอยู่ในค่ายมรณะ
ขบวนงานศพคุณย่า
คุณปู่เดินทางกลับได้ไม่นานก็โทรศัพท์มาแจ้งข่าวว่าย่าได้ถึงแก่กรรมจากการถูกทิ้งระเบิด ทำให้ครอบครัวของชมูเอลต้องเดินทางไปร่วมงานศพ แม่แสดงท่าทีไม่พอใจที่ฮิตเลอร์ส่งดอกไม้มาคารวะศพโดยอ้างว่าย่าคงไม่ต้องการแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่อกลับมาบ้านทั้งสองยังคงทะเลาะกันหนักขึ้น จนในที่สุดพ่อตัดสินใจให้แม่กับลูกๆ ไปอยู่กับญาติที่ Heidelberg วันก่อนเดินทางบรูโนมาลาชมูเอลๆ บอกว่าหาพ่อของตนไม่เจอ บรูโนอาสาจะช่วยตามหาพ่อของชมูเอลให้ วันรุ่งขึ้นหลังอาหารกลางวัน บรูโนบอกแม่ว่าจะไปเล่นชิงช้าแต่แอบหลบมาหาชมูเอลพร้อมทั้งพลั่วอันหนึ่ง จัดการขุดดินข้างใต้ลวดหนามจนสามารถลอดเข้าไปข้างในได้ แล้วสวม "ชุดนอนลายทาง" ที่ชมูเอลเตรียมมาให้จนเหมือนเป็นเด็กยิวคนหนึ่ง ทั้งคู่พยายามช่วยกันตามหาพ่อของชมูเอล แต่นอกจากจะไม่พบแล้ว ยังพลัดหลงเข้าไปในรวมกับชาวยิวกลุ่มที่กำลังถูกต้องเข้าห้องอบแก๊สพิษเข้าพอดี กว่าพ่อกับแม่จะทราบเรื่องและออกตามหาจนถึงในค่ายมรณะ อะไรๆ ก็สายเกินแก้แล้ว
ดังที่เขาขึ้นต้นภาพยนตร์ไว้ประมาณว่าเหตุผลอันดำมืดเป็้นสิ่งทำลายความบริสุทธิ์ในวัยเด็ก ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างขึ้นมาตามมุมมองความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาแบบเด็กๆ ซึ่งถ้าเราทำตัวเป็นเด็กคล้อยตามเนื้อเรื่องไปก็จะรู้สึกแบบหนึ่ง แต่มันอดไม่ได้หรอกครับที่จะกลับมาคิดแบบผู้ใหญ่ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ มีความทางประวัติศาสตร์และความสมด้านจริงอื่นๆ แค่ไหน ซึ่งภาพยนตร์ก็มีอะไรให้จับผิดได้บ้าง ดังนี้ครับ
มีเด็กยิวในค่ายมรณะหรือไม่ ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่ถูกวิจารณ์มาตั้งแต่นวนิยายแล้ว ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าพวกนาซีไม่ได้เก็บเด็กที่ยังเล็กเกินกว่าจะทำงานได้ ทางผู้เขียนเขายืนยันว่ามีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ที่ถูกส่งไปทำงานเป็นเวลาไม่กี่เดือนก่อนจะถูกส่งไปฆ่า บ้างก็ว่ามีเด็กยิวบางส่วนถูกใช้ทำหน้าที่ส่งข่าวอยู่บ้าง
เด็กมาเจอกันที่รั้วโดยไม่มีใครพบเลยเชียวเหรอ โดยเฉพาะถ้าเป็นค่ายใหญ่ Auschwitz แล้วจะล้อมด้วยรั้วไฟฟ้า ไม่ว่าจะมีไฟฟ้าหรือไม่ น่าจะมีทหารยามเดินผ่านมาตรวจตราบ้าง ตามหลักการทหารที่ผมเคยได้ยินมาว่า "สิ่งกีดขวางทุกชนิดต้องมีคนเฝ้า" ถ้าหละหลวมกันถึงขนาดเด็กยังมาขุดรูลอดใต้รั้วได้ จำนวนคนยิวที่ตายคงไม่มากมายอย่างที่เราทราบกัน อีกอย่างหนึ่ง ทางฝ่ายบรูโนนั้น มีการปูเรื่องมาอย่างดีว่าเขาต้องหนีความเบื่อหน่ายต่างๆ จนต้องตะลอนมาถึงรั้วค่ายนรก แต่ทางฝ่ายชมูเอลนี่ซิครับ ในเรื่องก็กล่าวว่ามีเด็กยิวอื่นๆ อยู่ในค่ายด้วย แต่ทำไมพ่อหนูถึงได้ปลีกตัวมาอยู่ริมรั้วตามลำพัง ไม่มีเด็กยิวอื่นหรือผู้ใหญ่ตามมาดูบ้างเลยหรือ ตั้งแต่เจอบรูโนครั้งแรกไม่กลับไปเล่าให้คนอื่นในค่ายฟังบ้างเลยหรือ
จำเพาะต้องช่วยเพื่อนตามหาพ่อตอนกำลังจะเดินทาง ตรงนี้ก็เหมือนผู้เขียนจะจงใจเพิ่มน้ำหนักโศกนาฏกรรมเกินไป ถึงบรูโนจะเด็กสักหน่อย แต่จะถึงกับไม่รู้เวล่ำเวลาขนาดจะมาช่วยเพื่อนตามหาพ่อในเวลาใกล้จะเดินทางกระชั้นชิดเชียวหรือ ไหนยังจะบังเอิญต้องมาเกิดเหตุตอนฝนตกฟ้าร้องอีกต่างหาก
บรูโนปลอมตัวเข้ามาช่วยชมูเอลตามหาพ่อ
จุดจบของ "เด็กชายในชุดนอนลายทาง" ทั้งตัวจริงและตัวปลอม
ที่ตั้งข้อสังเกตเหล่านี้ไม่ใช่ว่าไปเข้าข้างนาซีหรืออคติอะไรกับยิวนะครับ ที่จริงก็แอนตี้การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวมาตั้งแต่หัดอ่านประวัติฮิตเลอร์เล่มแรก และก็ชอบอะไรอีกหลายๆ อย่างในภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างมากๆ ต้องยอมรับว่าการสังหารหมู่ชาวยิวนั้น เป็นความจริงทางประวัติศาสตร์ที่ชาวโลกต้องรับรู้เป็นบทเรียน แต่จะถ่ายทอดให้ใครในรูปแบบใด การนำเสนอของภาพยนตร์เรื่องนี้อาจมีจุดอ่อนกับคนที่ชอบความสมจริงดังที่กล่าว แต่การนำเสนอเป็นดรามาหนักๆ อย่าง Schlller's List , The Pianist หรือ แนวบู๊อย่าง Defiance , Escape from Sobibor ก็อาจจะไม่เหมาะกับเด็กหรือคนบางกลุ่มในบางกาละเทศะเช่นกัน คุณค่าทางประวัติศาสตร์ของภาพยนตร์เรื่องนี้จึงอาจเป็นเพียงทางเลือกเสริมในการนำเสนอเรื่องราวของค่ายมรณะของนาซีที่ใช้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวในบางแง่มุม ส่วนคุณค่าที่แท้จริงของภาพยนตร์คงจะเป็นตัวอย่างของดรามาที่พอจะดูกันได้ทั้งครอบครัวครับ
เนื่องจากบทความนี้เป็นลิขสิทธิ์อัน ชอบธรรมของผู้เขียน และอาจะมีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลบ้างตามความเหมาะสม ในการนำบทความไปเผยแพร่ในเว็บไซต์อื่นๆ จึงขอความร่วมมือให้ใช้วิธีการคัดลอกเฉพาะ Link หรือ URL Address แทนการคัดลอกบทความทั้งหมด หากมีการคัดลอกไปในลักษณะแอบอ้างเป็นผู้เขียน หรือมีเจตนาอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อทางเว็บ iseehistory.com แล้ว จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดตามกฎหมาย
คำคมชวนคิด
"ฟังนะบรูโน ข้อหนึ่งของการเป็นทหาร ชีวิตเราไม่สามารถเลือกได้มากนัก มันเรื่องของหน้าที่ ชาติอยากให้เราไปที่ไหนเราก็ต้องไป แต่การย้ายไปที่อื่นมันคงง่ายขึ้นเยอะหากรู้ว่าครอบครัวของเรายินดีไปกับเราด้วย" (Look, the thing is, Bruno, the thing about being a soldier, is thai life is not so much about choice, it's more about duty, so if your country needs you to go somewhere, you go. Now, ofcourse, going somewhere else is much easier when you know that your family are so delighted to go with you.) พ่อ (Ralf) พูดกับ บรูโน เป็นคำพูดสะท้อนชีวิตทหารที่คงโดนใจมากกว่านี้ถ้าคนพูดไม่ใช่ทหารเอสเอสที่ควบคุมค่ายมรณะ
"แต่มันคงไม่เหมือนบ้านจนกว่าเราจะทำให้รู้สึก(อบอุ่น)เหมือนบ้าน จริงมั้ยคะ" (But it won't feel like home until we make it fell like home, will it?) มาเรีย พูดกับ บรูโน
"ฉันว่านะ บรูโน หากเธอเกิดเจอยิวดีๆ เธอคงเป็นนักสำรวจที่เก่งที่สุดในโลก" (I think, Bruno, if you ever found a nice Jew, you would be the best explorer in the world.) ครู Liszt พูดกับ บรูโน
ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ : The Boy in the Striped Pyjamas
ชื่อภาษาไทย : เด็กชายในชุดนอนลายทาง
เรื่องเดิม : นวนิยาย ของ John Boyne (Republic of Ireland)
ผู้กำกำกับ : Mark Herman
ผู้สร้าง : David Heyman
ผู้เขียนบท : Mark Herman
ผู้แสดง :
Asa Butterfield ... Bruno
Zac Mattoon O'Brien ... Leon (as Zac Mattoon-O'Brien)
Domonkos Németh ... Martin
Henry Kingsmill ... Karl
Vera Farmiga ... Elsa - Mother
Cara Horgan ... Maria
Zsuzsa Holl ... Berlin Cook
Amber Beattie ... Gretel
László Áron ... Lars
David Thewlis ... Father
Richard Johnson ... Grandpa
Sheila Hancock ... Grandma
Charlie Baker ... Palm Court Singer
Iván Verebély ... Meinberg
Béla Fesztbaum ... Schultz
Attila Egyed ... Heinz
Rupert Friend ... Lieutenant Kotler
David Hayman ... Pavel - Jewish servant
Jim Norton ... Herr Liszt
Jack Scanlon ... Shmuel
László Nádasi ... Isaak
László Quitt ... Kapo #1
Mihály Szabados ... Kapo #2
Zsolt Sáfár Kovács ... Kapo #3 Sonderkommando
Gábor Harsai ... Elderly Jewish Man (as Gábor Harsay)
ควรอ่านเพิ่มเติม
กระทู้ที่เกี่ยวข้อง
เรียนเชิญสมาชิกร่วมแสดงความคิดเห็นที่ด้านล่างสุดของหน้าเว็บ (ต้องสมัครและ Login ก่อน) ผู้ชมทั่วไปหรือสมาชิกที่ต้องการโพสต์รูป เชิญร่วมแสดงความเห็นได้ที่เว็บบอร์ด "คุยกันหลังฉาก" ในกระทู้ที่มีอยู่แล้ว หรือ สร้างกระทู้ใหม่ (คลิกที่นี่) ครับ
หากเป็นสมาชิก Facebook แสดงความเห็นได้ในฟอร์มข้างล่างนี้ครับ
ภาพยนตร์ตัวอย่าง (Trailer) จาก www.youtube.com
ทางเว็บไม่มีนโยบายนำภาพยนตร์ฉบับ เต็มมาให้ดูออนไลน์หรือให้ดาวน์โหลดเนื่องจากเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์และไม่ มีพื้นที่สำหรับเก็บไฟล์ภาพยนตร์