dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



ฮิต เล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสาม
วันที่ 13/04/2020   19:39:30

ฮิต เล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสาม






เอาเป็นว่า..ถ้าจะคุยเรื่อง สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (ในยามนั้น เรียกว่า The Great War)
อยาก ให้ทราบว่า ในแนวรบชายแดนเบลเยี่ยมนั้น สาหัสสากรรจ์นัก เพราะเป็นการรบแบบกินนอนในคูเพลาะ (ที่เรียกว่า Trench Warfare)
ชีวิตของทหารใน สนามรบต้องอยู่อย่างลำบากในคูแคบๆ
ยามหน้าฝน คูนั้น..มันกลายเป็นคลองที่เต็มไปด้วยโคลนแฉะๆ และพวกเขาต้องสู้รบยาวนานถึงกว่าสามปี..
สงครามในครั้งนั้น ได้สร้างวีรบุรุษให้กับเยอรมันหลายคน
เช่น..Paul von Hindenburg (ต่อมาเป็นประธานาธิบดี)
และ Erich Ludendorff (ต่อมาเป็นรัฐมนตรี)

ส่วน ฮิตเล่อร์นั้น..เขาได้เพื่อนรักจากแนวรบมาอีกหนึ่งราย..นั่นคือ สุนัขพันธ์เทอเรียกระเซอะกระเซิงหลงทางมา
ที่น่าจะเป็นของทหารอังกฤษ เพราะ มันไม่สามารถรับคำสั่งในภาษาเยอรมันได้.. เรียกว่าพูดกันไม่รู้เรื่องนั่นแหละ..
เขาตั้งชื่อมันว่า Fuchsl ที่แปลได้ว่าเจ้าหมาจิ้งจอกน้อย ที่เขาพามันติดตัวไปด้วยทุกหนทุกแห่ง และเจ้าฟุชเชิล นี่
ก็ฉลาดเหลือใจ

จนกระทั่ง..เมื่อถึงคราวที่เขา ได้พักรบชั่วขณะ หน่วยของเขาถูกส่งไปยังแคว้นอัลสาซเพื่อการพักผ่อน เขาต้องพบกับความสูญเสีย
ที่จัดว่าครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต คือ ก่อนที่รถไฟจะเคลื่อนขบวนในไม่กี่นาที เจ้าฟุชเชิล ดันหายไปอย่างไม่ร่องรอย
หมดหวังในการที่จะตามหา เพราะ รถไฟกำลังเคลื่อนตัวออก
เขารู้ทันที ว่า..โดนเข้าแล้ว..เพราะก่อนหน้านี้ นายสถานีคนหนึ่ง เกิดติดใจในตัวมันถึงขนาดเอ่ยปากขอซื้อเจ้าหมานี่
แต่เขาได้ตอบไปอย่าง ไม่ใยดีว่า เท่าไหร่ก็ไม่ขาย..
และ..บัดนี้..เขาได้สูญเสียมันไปอย่างไร้ ร่องรอย เพราะ เพื่อนร่วมชาติแท้ๆ..
ขณะที่เขายังไม่หายเศร้าโศกเสียใจ เรียกว่า น้ำตายังไม่ทันแห้ง เป้ใส่สัมภาระประจำตัวก็ถูก"สอย"หายไปด้วย
ใน นั้นมีสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา คือ ภาพวาดหลายๆภาพจากสมรภูมิ กับอุปกรณ์การวาดเขียน..
นี่ก็จาก..เพื่อนร่วมอาชีพทหารด้วยกัน...แท้ๆ




สามปีกว่าๆของสงครามหฤโหด ได้ผ่านไป..ส่งผลให้ประชาชนอดยากปากแห้งอย่างชนิดที่ต้องกินหมากินแมวกันแล้ว
เพราะ เรือรบอังกฤษทำการปิดอ่าวสนิทแน่นหนา..
สงครามที่เยอรมันทำท่าว่าจะ ชนะในทีแรกพลิกผันไปอย่างคว่ำไม่เป็นท่า
เพราะ สหรัฐอเมริกาที่แรกๆก็นั่งๆนอนๆอยู่เฉยๆ ดันกระโดดมาร่วมวงด้วย
เพราะ สาเหตุจาก ทอร์ปิโดที่เยอรมันยิง
ออกไปจากเรือดำน้ำ U-Boat โดนเรือเดินสมุทรโดยสาร Lusitania จมทะเลลงไปคนตายหลายร้อย และ 128 คน
ใน นั้นเป็นอเมริกัน
เท่านี้ก็สร้างความเดือดดาลให้กับชาวอเมริกันไปถ้วนหน้า...
มิหนำซ้ำต่อมา หน่วยข่าวกรองยังจับโทรเลขจากเยอรมันถึงเม๊กซิโกด้วย ถึงแผนการที่จะให้ความสนับสนุนกองทัพเม๊กซิโกบุกเข้าทำสงครามกับอเมริกา โดย
เยอรมันจะให้การหนุนหลังอย่างเต็มกำลัง ทั้งๆที่สภาพในเยอรมันเองก็กำลังประสพกับการการประท้วงหยุดงาน.. ก่อการจลาจลไปทั่วในเมืองและมณฑลต่างๆกันถ้วนหน้า...
อันส่งผลที่มา ของการวางอาวุธ แพ้สงคราม..



ซึ่งในตอนนั้น ฮิตเล่อร์เพิ่งได้รับเหรียญกล้าหาญสู้ศึกชั้นหนึ่งมาได้แค่สี่วันเอง..และ ขณะที่กำลังอยู่ในสนามรบที่ยิงกันระงมนั้น
ในวันที่ 14 ตุลาคม..1919 เขาโดนระเบิดแก๊ส(มัสตาร์ด) จนต้องไปนอนโรงพยาบาล เพราะเกือบเสียตาไปข้างหนึ่ง..
แต่ได้กลับมาเป็นปรกติ..หายทันที่จะเห็นความพ่ายแพ้ของเยอรมันในสงครามครั้งนี้ ในวันที่ 9 พฤศจิกายน..
โดย ไกเซอร์วิลเฮล์มที่สองได้ลงนามในสัญญาวางอาวุธ
เพื่อนๆในฝ่ายกองร้อยของเขา เล่าว่า.. ฝ่ายพวกเขากำลังอยู่ในที่รุกในแนวสมรภูมิที่ Ameins ผู้บัญชาการ Erich
Ludendorff ได้ส่งหน่วยข่าวไปห้ามทัพแบบจวนเจียน..บอกให้รู้ว่า.." ถอย..ถอย..เลิกรบได้แล้วว้อย..หยุดยิง..สงครามเลิกแล้ว.."



ฮิตเล่อร์กลับมาที่มิวนิค และสองวันต่อมาเข้ารายงานตัวในค่ายที่ Turken Strasse ทันที่ที่เขาเห็นเหล่าทหารเกณฑ์ใหม่ๆนั้น
เขารู้สึกขยะแขยงคนพวกนี้อย่าง เปรียบเป็นคำพูดไม่ได้ เพราะ คนพวกนี้ไม่เคยออกไปเห็นสนามรบ ไม่เคยถูกส่ง
ออกไปในแนวหน้า..แต่มีท่าทางยะโสโอหัง..ไม่มีวินัย
ไม่เคยผ่านการฝึกฝน แบบทหารใดๆ
แต่บังอาจมาสู่รู้..มาพูดจาเทียบเท่า ตีเสมอกับเหล่าทหารหน่วยกล้าตายเยี่ยงเขา..ซึ่งว่าไปแล้ว ฮิตเล่อร์มีสิทธิที่จะคิดเช่นนั้น
เพราะร่วมสี่ปีที่เขาไปกล้าตาย เสี่ยงตาย มันได้ย้อมให้เขามีจิตใจและความนึกคิดเยี่ยงทหารอย่างแท้จริง..

คนพวกนี้ส่วนใหญ่อาสาเข้ามาภายใต้นโยบายการจัดองค์กรทหารอาสา เพื่อที่จะได้รับการกินฟรี อยู่ฟรี นอนฟรี..
แต่ไม่มีจุดมุ่งหมายที่จะ เข้ามาช่วยงานบ้านเมืองเลยแม้แต่นิด
สนธิสัญญาของผู้แพ้ศึกอย่างเยอรมัน ยังไม่ได้มีการแถลงใดๆ เพราะ กำลังอยู่ในระหว่างการแบ่งเค้กของฝ่ายสัมพันธมิตร..
แต่ที่ต้องกระทำ ทันทีนั่นคือ การปลดปล่อยนักโทษสงครามประเทศอื่นๆบัดเดี๋ยวนั้น..
แต่นักโทษ สงครามของเยอรมัน ต้องรอไปก่อน รอไปจนกว่าจะเซ็นสัญญาให้เป็นที่เรียบร้อย


และ..อีกสิ่งหนึ่งที่คนอย่างฮิตเล่อร์ไม่มีวันลืม..นั่นก็คือ
ขณะนั้นกลุ่มคอมมิวนิสต์ของรัสเซีย..รวมถึงสมาพันธ์นิยมซ้ายต่างได้เข้ามาบทบาทประเภท"ตีกิน" กันมากมาย ในเยอรมัน..
ขณะที่ กองทัพเยอรมันได้เดินแถวกลับเข้ามานั้น ไม่มีดอกไม้ใดโปรยปรายให้กับทหารผู้หาญกล้าเหล่านั้น หากแต่
พวกเขาเดิน ภายใต้ปากประบอกปืนจ่อระวังตรงมาจาก หลังคา ระเบียงอาคาร จากทหารของสัมพันธมิตร

ทหารเยอรมันถูกถุยน้ำลายรด ถูกก้อนหินขว้างปา ถูกกระชากเครื่องหมายประจำหมู่เหล่าออกไปจากอกเสื้อ
ประชาชนก็ไม่สนใจในภาพที่แสนทุเรศกับทหารที่เป็นเพื่อนร่วมชาติเหล่านั้น..เพราะพวกเขาอดยากเสียจน..หันหลังให้กับการรักชาติ ไปนานแล้ว..

คอมมิวนิสต์เริ่มเข้ามาคุกคามในการเป็น อยู่ของประชาชนมากขึ้น..ใครก็ตามที่ใส่สวมสีขาวแดงดำ(อันเป็นสีประจำชาติใน ตอนนั้น) เป็นต้องโดนทำร้าย ทุบตี ไม่เว้นแม้กระทั่งเด็ก


ฮิตเล่อร์เองก็เช่นกัน เพียงอาทิตย์เดียวที่กลับสู่กรมทหาร เขาเต็มไปด้วยความขมขื่น..
เขาและ Schmidt เพื่อนรักจากแนวหน้าทนอยู่ดูต่อไปไม่ได้ ขออาสาออกไปทำงานในค่ายกักกันเชลยศึกรัสเซีย
ที่ชายแดนออสเตรีย คือ เมือง Traunstein
ที่นั่น..ฮิตเล่อร์มีเวลาอ่านข่าวสารบ้านเมืองย้อน หลังในช่วงปีที่เขาหายไปในแนวหน้า..
และ..เขาได้พบว่า..ยิว..ยิว ทั้งนั้นที่ก่อการวุ่นวายจนบ้านเมืองล่มสลาย..

ในมณฑล Bavaria ที่ฮิตเลอร์รักอย่างสุดใจ(จะเล่าให้ฟังทีหลังถึงความรักที่ว่านี่) ได้เกิดการจลาจล ล้มบัลลังก์
ของพระเจ้า Ludwig III โดยยิวหัวหอกฝ่ายซ้ายที่ชื่อว่า
Kurt Eisner และหลังจากที่มีการเลือกตั้ง ผลคือพรรคใฝ่ซ้ายของเขานั้น ได้เสียงเพียงแต่ 2.5% ในการโหวต แต่
นาย Kurt กลับทำเฉย..ไม่ยอมรับรู้ แถมยังไม่ยอมทำเรื่องเอานักโทษสงครามกลับคืนสู่เหย้าซะอีก..สร้าง
ความ แค้นเคืองให้กับผู้คนโดยถ้วนหน้า..
จนผู้คนถึงกับออกมาตะโกน พร้อมวางใบปลิวกันเกลื่อนว่า.."Bavaria for the Bavarians"
หนังสือพิมพ์ ทำเป็นการ์ตูนอ่อยเป็นภาพยิวหน้าตาคล้ายๆ นาย Kurt ถูกยิงล้มคว่ำ..
ซึ่ง..สัมฤทธิ์ ผล..วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1919 นาย Kurt ถูกยิงตายจริงๆ..โดยชาวออสเตรียนหัวใจบาวาเรียน(อย่างเดียวกับฮิตเล่อร์)
ชื่อ ว่า Count Anton von Arco-Valley ผู้ซึ่งเป็นทหารกล้าที่กลับมาจากแนวหน้า(ก็เหมือนฮิตเล่อร์ อีกนั่นแหละ)
แถม แม่ของ Anton นี้ เป็นยิวซะด้วย
ตอนนั้น.บรรดานักศึกษาและชาวบ้านใครต่อ ใครก็ยกย่อง..ท่านเคาน์คนนี้ เปรียบประหนึ่งวีรบุรุษ (ติดคุกแค่สี่ปีเอง)

 

Count Anton von Arco-Valley

 

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

จากนี้..กรุณาอ่านต่อในความคิดเห็นข้างล่างนะคะ...เพราะยังเป็นมือใหม่หัดโพสต์  อ่านข้างล่างจบแล้ว..

 

แล้วค่อยกลับมาอ่านต่อ...ตรงนี้

v

v

v

 

 

"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

 

 

 

 

 

Rudolf  Hess

วงจรในของพรรค ข่าวสารทางทหารนั้น จะถูกกรองมาโดย Rohm และ..ฮิตเล่อร์ได้เรียกเพื่อนเก่าๆที่เคยร่วมเป็น
ร่วมตายจากแนวหน้ามาเสริมกำลังด้วย
นั่นก็คือ สิบเอก Max Amann ที่ออกมาจากราชการเพราะแขนเสียไปหนึ่งข้างในการสู้รบ
เขาอ่อนกว่าฮิตเล่อร์สองปี และ เคยมีประสบการณ์ในการทำงานธนาคารมาบ้าง
ฮิตเล่อร์จึงให้ เขามาทำในตำแหน่ง การเงินของพรรค และส่วนตัวด้วย
(และ นายแมค คนนี้แหละ ที่ทำให้ฮิตเล่อร์เป็นมหาเศรษฐี จากการพิมพ์หนังสือชีวประวัติตัวเอง Mein Kampf ออกมาขาย)

ในยามนั้น สิ่งรื่นเริงบันเทิงใจของชาวพรรคนาซี นั่นก็คือการดูหนัง(เงียบ)ดูละคร
ฮิตเล่อร์ชอบหนังอเมริกัน..โดยเฉพาะ ดาราเด่นในยุคนั้น Charles Chaplin อีกทั้งสัญลักษณ์
หนวดจิ๋ม นั่นก็เหมือนกัน แถมยังเกิดใกล้ๆกันซะอีก ( April 16 1889) แก่กว่าฮิตเล่อร์ 4 วัน
เหล่าบรรดาผู้หวังดีก็แนะนำให้เขาเปลี่ยนทรงการ ไว้หนวดซะ เพราะ การที่ว่าที่ผู้นำพรรคจะไปเหมือนตัวตลก
อย่างชาลี นั้น..มันจะไม่สมควร
แต่ฮิตเล่อร์กลับเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ...เหลวไหล ไม่เข้าเรื่อง

หลังจากการดูหนังดูละคร เขาและพรรคพวกมักพากันนั่งต่อตามคาเฟ่บ้าง
หรือโรงเบียร์บ้าง เพื่อพบปะผู้คน โดยเฉพาะสาวๆมักชายตาให้
สาวๆโดยเฉพาะสาว ระดับลูกผู้ดีทั้งหลาย ที่ถูกสั่งสอนมาให้หาคู่ตามความเหมาะสมกับหน้าตาและฐานะ
และ..ใครเล่าจะ เหมาะสมไปกว่านักการเมืองหนุ่มโสด อนาคตใสอย่างฮิตเล่อร์
ซึ่ง..ตัวเขา เอง..มักอ่อนหวานเสมอกับผู้หญิงเหล่านั้น..หากแต่..เขาเคยพูดไว้ว่า
เขา ไม่ค่อยนิยมผู้หญิงที่คล่องสังคม รู้มาก ถ้าเขาจะเลือกคู่ควงออกไปดินเนอร์สักคน
เขาจะเลือก ผู้หญิงเสมียนธรรมดาๆ หรือไม่ก็ สาวขายของตามห้าง..
(อย่างเอวา บราวน์ที่เป็นแฟนลับๆของเขาตั้งแต่ ปี 1931 จนมาเป็นที่รู้จักก็จนปี 1937 นี่แหละ)
คำจำกัดความของผู้หญิงของเขา นั่นก็คือ “ Weich,Suss und Dumm” หมายถึง
อ่อนโยน, อ่อนหวาน แล้ว ต้องไม่ฉลาด...!!

เขาเองก็รู้ดีว่าจะไปหาสาวๆ เหล่านี้ที่ไหน เพราะ เขาชอบคบเพื่อนระดับล่างอย่าง
Ulrich Graf เสมียนเทศบาล
Christian Weber ที่มีอาชีพเป็นคนเฝ้าหน้าบาร์ หรือ
Emil Maurice อดีตทหารในกลุ่ม Free Corps ทำงานเป็นช่างซ่อมนาฬิกา
โดย เฉพาะ Emil นั้น..เขาและฮิตเล่อร์มักพากันท่องราตรี เจ๊าะแจ๊ะกับสาวๆเสมอๆ
(Emil เล่าว่า) ยามที่ฮิตเล่อร์ชอบใจใครนั้น..เขามักส่ง การ์ดหวานๆ ขนม หรือดอกไม้ ไปกำนัลเสมอๆ แต่ไม่ยอม
จริงจังกับใครทั้งสิ้น เขาว่า..
ส่วน เสียของการแต่งงานนั้น คือการถือสิทธิ...ฉะนั้น มีอีหนูจะดีกว่า ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ"ค่าของของกำนัล" เท่านั้น
และ เขามักต่อด้วยประโยคว่า
"ความรักอันยิ่งใหญ่นั้นคือการรักชาติ" (ซึ่งมันคือ ประโยคหนึ่งในเนื้อเพลง Rienzi ของ
ว๊าคเน่อร์)

ฮิตเล่อร์เริ่มออกไปฟังการปราศรัยของพรรคอื่นๆในบางโอกาสโดยการปลอมตัว ติดหนวดแพะบ้าง แว่นตาบ้าง..
และเขาเริ่มเห็นความสำคัญในการพูดแบบมี อารมณ์ร่วม จากการไปฟังการอภิปรายของ
พรรค Nationalist พรรคหนึ่ง ที่จัดในหอประชุมโอ่โถง ที่มีศาสตราจารย์นั่งบนแท่นอภิปรายเรียงกันอยู่สามคน
คนหนึ่งใส่แว่นข้าง ซ้าย คนหนึ่งใส่ข้างขวา อีกคนหนึ่งไม่ใส่
ทั้งสามแต่งตัวเหมือนๆกัน..
ตัว เขาเอง..รู้สึกอึดอัดในการที่จะต้องมานั่งฟัง เพราะมันช่างเหมือนกับการไปนั่งรอคำพิพากษาจากศาลสถิตยุติธรรม
และ ศาสตราจารย์สามคนนั่นก็ผลัดกันอ่าน และอ่าน และอ่าน..กระดาษที่อยู่ตรงหน้า
ทันที ที่จบ ก็มีการบรรเลงเพลงชาติที่ผู้คนแทบจะรอวิ่งออกมาแทบไม่ไหว..
มัน ช่างน่าเบื่ออะไรเช่นนั้น..

มาถึงตอนนี้เขาเริ่มดีใจที่เขาไม่ได้มี ความรู้อะไรมากมายพอที่จะสร้างสรรคำพูดจน
คนธรรมดาสามัญฟังยาก เข้าใจในเนื้อหาลำบาก และบัดนี้เขาได้ถ่องแท้ว่า
ผู้คนไม่ต้องการฟัง "เหตุผล" มากไปกว่า "ความจริง"
เขาเคยถามแม่บ้านคนหนึ่งว่า..
"คุณใช้ ยาสีฟันยี่ห้อนั้นเพราะอะไร?"
"เพราะ ชั้นชอบ" นี่คือคำตอบ..แต่เขาแย้งว่า
ไม่ใช่หรอก คุณใช้มัน เพราะว่าคุณเห็นชื่อของมันตามหนังสือพิมพ์ ตามโรงหนัง
ตามนิตยสาร จนชินตาชินใจยังไงล่ะ
และ..ในการเมืองก็เช่นกัน ที่ต้องตอกย้ำกันอยู่บ่อยๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนในที่สุด มันก็จะกลายมาเป็นความเชื่อถือ
และนี่คือที่มาของ คำว่า (ที่เราเรียกกัน) โปรปะกันดา   (Propaganda) !!!



แล้วโอกาสที่(เกือบ)จะเป็น ใหญ่เป็นโตของฮิตเล่อร์ก็มาถึง..ขณะที่เขากับ Eckart กำลังนั่งคุยกันในร้านกาแฟอยู่นั้น
ผู้กอง Rohm ก็ได้ส่งข่าวมาว่า..ให้ทั้งคู่เตรียมตัวไปเบอร์ลินด่วน..เนื่องจาก นายพล Walter von Luttwitz แห่งกองทัพปลดแอกเสรี Free Corps
เกิดโมโหโกรธาที่รัฐบาลของนาย Ebert ได้บังอาจสั่งปลดพวกกู้ชาติพวกนี้ออกจากการประจำการ... เข้าข่ายใช้เสร็จก็ถีบหัวส่งเชียว..
ฉะนั้น อย่าเป็นมันเลยรัฐบง รัฐบาล..ว่าแล้วก็ยกทัพเข้าลุยเบอร์ลินซะให้ราบ..
Rohm จึงรับจัดการส่งเครื่องบินเล็กไปรับฮิตเล่อร์และเอคการ์ท ให้มาโดยด่วน มาเตรียมรอได้เลย..เพราะอาจมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่
ฮิ เล่อร์ไม่เคยขึ้นเครื่องบินมาก่อน ครั้งนี้คือครั้งแรก..แถมนักบินก็คือเรืออากาศโทหนุ่มน้อย ฝีมือดีพอใช้ หากแต่อากาศไม่เป็นใจ
เลยโคลงเคลงมาตลอดทาง..ผลคือ ฮิตเล่อร์อ้วกแตกอ้วกแตน..
เขาสัญญากับตัวเองว่า จะไม่ขึ้นเครื่องบินอีก... ถ้าไม่จำเป็น
พอมาถึงสนามบินได้..ปรากฏ ว่าเกิดการสไตร์คไปทั่ว
เขาและเอคการ์ทต้องรีบปลอมตัวเป็นนักธุรกิจ เพื่อหลบสายตาหมู่คอมมิวนิสต์ที่มาผสมโรงราวกับการตามดูแห่

ผลการปฏิวัติครั้ง นั้น..ไม่ได้มีการยิงกันสักปุ..ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น นายพล Walter von Luttwitz แต่งตั้ง นาย Kapp เป็นรัฐมนตรี
เตรียมจัดตั้งรัฐบาลใหม่
แต่..รัฐบาล ของ Ebert ใช้วิธีการปลุกระดมคนงานให้ก่อการสไตร์คทั่วเมืองเพื่อเป็นการประท้วง รัฐบาลใหม่
ประชาชนแสนที่จะเอือมระอากับการปฏิวัติซ้ำๆซากๆที่ไม่ได้มี อะไรดีขึ้นมาเลยแม้แต่นิด ต่างสนับสนุนการสไตร์คไปทั่วเมือง
น้ำไม่ ไหล..ไฟก็ดับ..รถรางไม่วิ่ง.. ขยะไม่เก็บ..
แล้วรัฐบาลใหม่จะอยู่ได้ อย่างไร..ในเมื่อประชาชนไม่ยอมรับออกขนาดนี้ จึงต้องสลายตัวไปโดยปริยาย
พอทันเวลากับที่ ฮิตเล่อร์มาถึงและพร้อมที่จะไปร่วมกับรัฐบาลใหม่.. ก็พบว่า..นาย Wolfgang Kapp ได้หลบลี้
หนีหน้าล่องหนหายตัวออกไปเสียแล้ว

เขาและ Eckart ไม่มีทางเลือกใดๆ นอกจากต้องรีบพาตัวกันกลับมิวนิคพร้อมกับ"แห้ว"ชะลอมใหญ่ๆ
{แต่มันก็ไม่ ได้ไร้ผลเลยซะทีเดียว อย่างน้อยในทริปนี้ ฮิตเล่อร์ได้ถูกแนะนำให้รู้จักกับนายพลคนดัง วีรบุรุษ Ludendorff อันนับว่าเป็นยิ่งกว่าเส้นก๋วยจั๊บ}

 

Erich Ludendorff

 

 


เผอิญว่าไหนๆกองทัพ Free Corps ก็มาถึงที่แล้ว ตอนนี้ให้เผอิญว่า..เหตุการณ์ที่เมือง Ruhr(ถิ่นที่มีแร่อุดมสมบูรณ์) กำลังยุ่งเหยิง
สถานะการณ์เลวร้ายถึงขนาด กลุ่มกรรมกรคอมมิวนิสต์ก่อการจราจลเข้ายึดครองเมืองอย่างหน้าตาเฉย
แถม ประกาศว่าได้ยึดให้เป็นรัฐหนึ่งของโซเวียตเข้าไปซะอีก..
ประธานาธิบดี Ebert ก็เลยบอกว่า ไหนๆก็ไหนๆแล้ว..ยกทัพต่อไปปราบคอมมิวนิสต์ที่เมือง Ruhr ให้หน่อย
รางวี่รางวัลอะไรที่นายพล Luttwitz เค้าสัญญาว่าจะให้ละก้อ มาเบิกเอาที่นี่ได้เลย รับรองว่าไม่ให้กลับบ้านมือเปล่าแน่นอน
ว่าแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา กองทัพเสรีเยอรมันก็พากันยกทัพไปปราบซะเหี้ยน และยึดเมืองกลับมาได้สำเร็จ
 

Free Corps Army

 

 

 

Kurt Eisner

 

 

 

Friedrich Ebert

 

 

 


Karl Liebknecht  Rosa Luxemberg

 

 

 

Bela Kun

 

 

 Ludwig II

 

 


Richard Wagner

 

 




บทความจากสมาชิก




1

ความคิดเห็นที่ 1 (101489)
avatar
wiwanda

 
 ข้อความทั้งยวง..ระหว่างสองภาพ คือ ระหว่าง Count Anton von Arco-Valley กับ Rudolf Hess  หายไปค่ะ....

ฉะนั้น..จะเอามาเติมให้เป็นการขยายความตรงนี้..เพราะมันเป็นส่วนสำคัญเสียด้วย...

 

การตายของ นาย Kurt หาใช่ว่าทุกอย่างจะสงบลงไม่..เพราะ พรรคพวกยิวของเขายังครองเมือง นั่งสภากัน
หน้าสลอน
พวกเขาสั่งให้มี การปิดโรงเรียน ผู้คนถูกจับไปเป็นตัวประกัน สถานที่ต่างๆเช่น ธนาคาร ร้านค้า โรงแรม ถูกเข้ายึดครอง
โรงพิมพ์ของฝ่ายขวา.. ถูกพังทลายอย่างไม่มีชิ้นดี..

หลังจากที่ Kurt Eisner ตายไปก็ตายไปแต่ตัว แต่สถาบันยังคงอยู่ เพราะเพียงสามอาทิตย์ต่อมา..
การ บริหารก็ตกอยู่ในมือของชาวยิวโซเชียลลิสต์สองคน
(อันเป็นที่รูจักกันในชื่อว่า..Toller & Landauer regime)
คนหนึ่งชื่อว่า Ernst Toller อายุเพียง 26 ปี และ Gustav Landauer อาชีพเดิมคือนัก
วิจารณ์ละคร และเขาพยายามอย่างยิ่งที่เดินตามรอยโซเวียตในทุกย่างก้าว ถึงกับจะเปลี่ยนชื่อรัฐเป็น Bavaria
Soviet Republic
นโยบายคือ การทำความฝันของกรรมกรให้เป็นความจริง มหาวิทยาลัยและโรงเรียนปิดไปก่อน
จน กว่าจะได้รับหลักสูตรจากโซเวียต
และไม่มีการมอบประกาศนียบัตรหรือปริญญาใดๆ หนังสือประวัติศาสตร์ต่างๆต้องโละทิ้งเพราะคนเขียนคือพวกชนชั้น
วัดวา อารามต้องปิดตัวไป..
แถมดันแต่งตั้งรัฐมนตรีต่างประเทศที่เคยมีประวัติที่เคยเป็นคนเสียสติมาแล้ว..คราวนี้มาแรง..
ชื่อว่า..นาย Franz Lipp  ในอดีต..นายคนนี้เคยบ้าถึงกับประกาศสงคราม กับ สวิตเซอร์แลนด์ เพราะจดหมายไปขอยืมหัวรถจักรอย่างหน้าตาเฉย..และเขาไม่ให้


ส่วนในเบอร์ลิน..การเมืองได้ยุ่งเหยิง อย่างที่สุด ในรัฐบาลแบ่งออกเป็นหลายก๊ก หลายฝ่าย มีทั้ง..สังคมนิยมแบบขวาจัด
แบบกลางขวากลางซ้าย..ซ้ายแบบชมพูๆจนดีกรีไป ถึงแดงจัด..ผู้นำคือ Friendrich Ebert (ลูกชายของช่างเย็บเสื้อ อันเป็นธุรกิจของครอบครัว)
Ebert พยายามรักษาสภาพกลางๆไว้ให้อย่างมั่นคงที่สุด ในขณะที่ความร้อนระอุของฝ่ายแดงได้เริ่มแรงกล้าขึ้นอย่างทุกทีๆ..

ฝ่าย ซ้ายนำโดยยิวสองคนชายหญิง..ชายคือ Karl Liebknecht หญิงคือ Rosa Luxemberg หรือสมญาว่า แม่กุหลาบแดงเดือด (Red Rose หรือ Bloody Rose)
สองคนนี่ส้องสุมผู้คนนับแสนคนที่จะล้มล้างรัฐบาลเพื่อจะเปลี่ยนให้เป็น คอมมิวนิสต์ให้ได้ โดยมีการจลาจลชนิดถึงขั้นนองเลือด..และจวนเจียนที่จะสำเร็จผลเสียด้วย..

หากแต่พวกคณะที่รักชาติ อดีตทหารหาญที่เพิ่งกลับกันมาจากแนวหน้า ได้รวมตัวกันสำเร็จเป็นกองทัพย่อยๆ
เรียกว่า Free Corps เข้าปะทะกันอย่างดุเดือด เสียเลือดเนื้อล้มตายไปกันมากมาย..ในเดือนมกราคม 1919
การสู้รบได้ผลัดกันแพ้ชนะ ไปจนถึงวันที่ 13 มกรา..
Karl และ Rosa ถูกจับตัวได้..
ถูกซ้อมซะอ่วมไปสองวัน ก่อนที่จะถูกยิงกบาลแบบเผาขนไปทั้งสองคน..ศพแม่แดงเดือดถูกโยนทิ้งในลำคู..
ส่วน Karl นั้น..เอาไปทิ้งเป็นที่เป็นทางหน่อย.. คือ ในป่าช้า...
เป็นอันว่า..พวกสปาตา ลิสต์ ได้จบบทบาทลงในเบอร์ลิน..แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า..
พวกที่ฝักใฝ่ ในลัทธินี้จะหายไปจากพื้นดินเสียเมื่อไหร่..รัฐบาลไม่สามารถใช้กำลังตำรวจ เข้าควบคุมทั้งหมดได้
จึงต้องออกประกาศเรียกร้องผู้คนเข้าร่วมขบวนการ อาสาช่วยเป็นหูเป็นตา ในการกวาดล้างให้สิ้นซาก
เชิญไปสมัครได้ ที่ Buaer Cafe กับ..ที่โรงเบียร์ Potsdam Beer Garden (อ้าว..เรื่องจริงๆนะ)

กองทัพ Free Corps ได้ละจากเบอร์ลินหลังจากที่ทำการกู้เมืองสำเร็จ..เพียงสองอาทิตย์เอง..เอาอีก แล้ว ก่อการปฏิวัติอีกแล้ว
คราวนี้คือ..พวกยิวแดงโดยการหนับหนุนของรัส เซีย{Lenin และ Trotsky}..จัดการก่อการจราจลชิงเมืองอีกครั้ง..
เพราะคิดเอาเองว่า เคยทำสำเร็จที่ Petrograd กับ Moscow มาแล้ว..ที่เบอร์ลินจะง่ายดังปอกกล้วยเข้าปากเช่น
กัน ทั้งๆที่ประชาชนมีส่วนร่วมด้วยแค่ 5%
งานนี้ทำให้รากหญ้าของฝ่ายนิยม ซ้ายในเมืองต่างๆเกิดลุกฮือขึ้นมาอีก Saxony ถูกยึดครอง..ต่อมาก็ Dresden ตามด้วยเมืองต่างๆ

กองทัพ Free Corps สามหมื่นคน ถูกเรียกกลับมาใช้งานโดยด่วน..คราวนี้..มีการประกาศกฎอัยการศึกใครขัดขืน ยิงทันที
การนองเลือดครั้งนี้ ฝ่ายก่อการตายเป็นเบือ บาดเจ็บนับพัน
เบอร์ลิน ถูกกู้กลับคืนขึ้นมาได้ หากแต่อีกหลายเมืองยังอยู่ในความครอบคลุมของพวกคอมมิวนิสต์

ต่อมาทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง..
หลังจากที่ค่ายกักกันนักโทษรัสเซียได้ปิดตัวลง..ฮิตเล่อร์และชมิดท์ เพื่อนรัก ก็กลับคืนสู่มิวนิค..กลับเข้ามารับจ๊อบต่อไป
งานครั้งนี้คือ การเก็บรวบรวมยุทโธปกรณ์สงครามที่เรี่ยราดตามที่โน่นที่นี่ให้กลับคืนเข้า ที่..หนึ่งในงานนั้น คือ
การเก็บ ซ่อมแซม หน้ากากแก๊สพิษ แยกของดีของเสีย..ซึ่งเขานั่งพิจารณาหน้ากากเหล่านั้นด้วยจินตนาการของความแค้น
เขาจำได้ดีถึงพิษสงของความทรมานจากแก๊สพิษที่เคยได้รับ..และตั้งใจว่า.. สักวันหนึ่งเถอะ..ดาบนี้จะคืนสนอง
ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน ชมิดช์ ก็ลาออกจากกองทัพไปทำงานรับจ้างส่วนตัว..
ฮิตเล่อร์ก็นับวันรอวัน ที่จะรับการปลดประจำการ

ในไม่กี่วันต่อมา..เขาก็ได้รับข่าวว่า.. ฮังการี ได้ถูกยึดครองไปเรียบร้อยแล้วโดยพรรคคอมมิวนิสต์ที่ได้รับการ
สนับ สนุนจากรัสเซีย หัวหน้ากลุ่ม นั่นคือ
Bela Kun ซึ่งกอร์ปด้วยคณะตรวจการจากโซเวียต 32 คน
หากแต่ 25 คนในนั้น...เป็นยิวที่มีอำนาจ ในหลายๆ สาขาวิชาชีพ คณะนี้ได้เรียกร้อง ยุยงให้เหล่านานาประเทศในยุโรป..ลุกฮือร่วมกัน
การปฏิวัติเปลี่ยนปกครอง เสียใหม่..หนังสือลอนดอนไทม์ เรียกชนกลุ่มนี้ว่า.."Jewish Mafia"

ความ สำเร็จของ Bela Kun ในฮังการี นับว่าได้รับความชมชื่นจากกลุ่มแดงด้วยกันอย่างมากมาย และพวกเขา
หวังว่า คงทำได้สำเร็จในเยอรมันเช่นกัน..

ขอเล่าเพิ่มเติมในกรณี ของบุคคลที่เกี่ยวข้อง.. Karl และ Rosa นั้น ทั้งคู่เป็นผู้มีการศึกษาสูงระดับมหาวิทยาลัย(ในสมัยนั้น..นับว่าเป็นปัญญาชนเลยทีเดียว)

 

และเป็นซ้ายจัดตกขอบง...ซ้ำมีกลุ่มชาวยิวรัสเซียหนุนหลังอยู่..เพราะในข่าวแจ้งไว้ ว่า กองทัพย่อยๆของเขานั้น มีปืนกลไม่ต่ำกว่าสองพันกระบอก ไม่นับปืนใหญ่อื่นๆและผลที่ได้รับจากความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งของ Rosa แม้แต่หล่อนจะถูกสำเร็จโทษไปแล้ว..แต่ กระแสความกล้าหาญของเธอส่งผลให้ในปีเลือกตั้งต่อมาเป็นครั้งแรก ของประวัติศาสตร์ที่ผู้หญิงสามารถลงคะแนนโหวตเลือกตั้งได้ !!

 

พวกนักรบ Free Corps คือพวกทหารผ่านศึกที่รัฐบาลเรียกกลับมาจากแนวหน้า ที่เข้ามารวมตัวกันไม่ยอมให้บ้านเมืองตกในมือของคอมมิวนิสต์ ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนและรัฐบาลฝ่ายขวา{right wing}ดังเหตุการณ์ ครั้งที่ยิ่งใหญ่ในมิวนิค..คอมมิวนิสต์ในการนำของ Levine เข้ายึดครองอย่างเด็ดขาด..

 

นักรบ FC เก้าพันคน นัดรวมตัวกันที่ Nuremberg เพื่อเคลื่อนทัพเข้าสู่มิวนิค และ เพียงสิบไมล์ก่อนถึง..คือเมืองDachau (อ่านว่า ดักเฮา) เกิดการปะทะกันขึ้น..กองทัพคอมภายใต้การ นำของ Ernst Tollerชนะ..

 

นักรบ Free Corps ตายเรียบ..ไม่เหลือ

นี่คือเหตุการณ์ที่น่าสลดใจ..ซึ่งฮิตเล่อร์จำไว้อย่างละเอียดละออ..เขาจึงเลือก Nuremberg เป็นศูนย์กลางการประชุมต่างๆ..   

และ..เลือก..Dachau เป็น..สถานีนรกแก่ศัตรู(หมายถึง Concentration camp แบบจงใจ)

 



 

ผู้แสดงความคิดเห็น wiwanda (wwiwanda-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-04-11 23:36:18


ความคิดเห็นที่ 2 (101490)
avatar
wiwanda

ต่อค่ะ...

 

 

ส่วน Kurt Eisner นั้น..เขามาสวมรอยได้เพราะว่า Right thing at the right time

เพราะ ตอนนั้น..ราชวงศ์ฮัฟบวร์กถึงแก่กาลเสื่อม เนื่องมาจาก King Ludwig II ที่ได้รับฉายาว่า " The Mad King" และ คนนี้แหละ มีอิทธิพลกับฮิตเล่อร์มากที่สุด.."

นาย Kurt Eisner เป็นยิวระดับปัญญาชน เคยเป็นบรรณาธิการ เขียนบทความการเมืองจนต้องพาตัวเข้าไปเขียนในคุกมาแล้ว..พอออกมาก็พอดี กับบ้านเมืองกำลังยุ่งเหยิง จึงรวบรวมสมัครพรรคพวกคอเดียวกัน ก่อการปฏิวัติจนสามารถทำให้พระเจ้า Ludwig III และพระราชวงศ์ต้องหนีไปลี้ภัยอยู่ที่มิวนิค ในปี 1918 และหลังจากที่ได้ลงพระนามสละราชสมบัติแล้วก็เสด็จไปลี้ภัยใน ฮังการีจนสวรรคต ปี 1921

ทีนี้มาดูถึงสาเหตุที่นาย Kurt ได้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้อย่างง่ายดาย เพราะ

หนึ่งคือสาเหตุที่ ประชาชนเบื่อความอดยาก และสอง คือ เซ็งกับการใช่จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือยของ พระเจ้า Ludwig ที่สอง..เคยพูดเกริ่นๆแล้วถึงเรื่อง"อิทธิพล"ของ กษัตริย์ในราชวงศ์ฮัฟบวร์กองค์นี้ที่มีต่อฮิตเล่อร์อย่างมากมายมหาศาลที่ไม่มีใครเคยเอามาตีแผ่

 

คงถึงเวลาซะทีละมัง..

 

พระเจ้า Ludwig ประสูติเมื่อ 25 สิงหาคม 1845 เป็นพระโอรสองค์โตของพระเจ้า แมกซิมิเลียน ที่สองกับพระราชินี แมรี่  ในยามเด็ก พระองค์ได้รับการเลี้ยงดูแบบที่มีวินัยเคร่งครัดทั้งที่โรงเรียนและที่ พระราชวัง..

ยามเดียวที่จะได้มีเวลาเพลิดเพลิน นั่นก็คือ การแปรพระราชฐานไปยังปราสาทอื่นๆที่เหมาะแก่ฤดูกาล..และที่พระองค์ทรงโปรดที่สุดนั่นก็คือ ปราสาท Hohenschwangau ที่ตั้งอยู่ที่ชายแดนเขตของ Tyrolean Alps และอยู่ติดกับทะเลสาบอันงดงาม สมดังชื่อที่ความหมาย ว่า ปราสาทแห่งพญาหงส์

ครั้นเมื่อพระองค์ทรงมีพระชนมายุได้ 13 ก็ทรงได้รับคำบอกเล่าว่าจะมีการแสดงโอเปร่าครั้งยิ่งใหญ่ โดย Richard Wagner ผู้สร้างและนักประพันธ์เพลงในเทพนิยายพื้นบ้านเรื่อง Lohengrin (อัศวินหงส์) ซึ่งเพียงพระองค์ได้ดูแผ่นโน๊ตเพลงทั้งหมดในละครพระองค์ก็เกิดความหลงไหล ขึ้นมาอย่างประหลาด

ถึงกับทรงท่องจำได้ในทุกวรรค ทุกบรรทัด ของโน๊ตเพลงแห่งละครโอเปร่าชุดนี้..

( อาจเป็นอิทธิพลของการ ตกแต่งในปราสาทแห่งนี้ก็เป็นได้ ที่ภาพวาดเน้นแต่เรื่องหงส์ล้วนๆ)

พระองค์ทรงหลงไหลได้ปลื้มกับ เพลงของ Wagner ไปหมดในทุกเพลง และในบทละครทุกเรื่อง..เพิ่งจะได้มี โอกาสได้สัมผัสกับ Wagner ตัวเป็นๆก็เมื่อปี 1861 เดือน กุมภาพันธ์ เป็นครั้งแรก

ซึ่งแน่นอน ต้องเข้าข่าย กรี๊ดสลบ..

 

และ..ทรงรับ ตำแหน่ง"พระบิดายก"ให้กับวงออเคสตราของ Wagner อย่างเต็มพระทัย เพราะ ในปี 1863

ทันทีที่นายวาคเนอร์ เขียนข้อความทีเล่นทีจริงว่า ในละครเรื่องใหม่ของเขาที่ตั้งใจจะทำนั้น

คือ..Ring Circle ต้องใช้ทุนมหาศาล...ไม่มีสามัญชนคนไหนมีความสามารถผลักดันให้สำเร็จได้..นอกจากเจ้าชายเท่านั้นแหละถึงจะทำได้..

 

ทายซิ..ว่าเจ้าชายที่ไหนเอ่ย..มาลงทุนให้ จนสำเร็จ?

ผู้แสดงความคิดเห็น wiwanda (wwiwanda-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-04-11 23:40:05


ความคิดเห็นที่ 3 (101491)
avatar
wiwanda

ต่อค่ะ..

 

 

เมื่อมีพระชนมายุได้ 18 (1864) ก็ได้ครองราชต่อเพราะการสวรรคตของพระเจ้าแม๊กซิมิเลียน คราวนี้แหละ..พระองค์ ถึงกับส่งคนไปตามตัว ว๊าคเนอร์ที่กำลังหนีหนี้อย่างหัวซุกหัวซุนอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ เอามาอุปการะให้ได้ดี

เลี้ยงดูชนิดที่ว่า..สิบพ่อค้า ไม่เท่า หนึ่งราชาเลี้ยง..

ไม่ว่าจะเป็นบ้านที่ใหญ่โตราวปราสาทราชวัง..เงินทอง และ โรงละครชั้นเลิศ..พระองค์จัดหาให้หมด..เล่นเอาเหล่าบรรดาข้าราช บริพารถึงกับหนาวๆร้อนๆ เพราะ เกรงว่าวาคเนอร์จะเข้ามาแทรกแซงเรื่องการ เมืองการปกครอง เพราะ ยามนั้น ไม่ว่านายคนนี้จะเพ็ดทูลอะไร ก็ทรงเชื่อไปหมด..วาคเนอร์อายุก็ตกไป 52 แล้วตอนนั้นน่ะ ไม่ใช่เด็กๆอายุ 18 อย่างพระเจ้าแผ่นดิน

และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ คือ หลายต่อหลายคนไม่ชอบหน้านายวาคเนอร์คนนี้จะด้วยความอิจฉาหรือด้วยท่าทาง ยะโสโอหังถือตัวว่าเป็นคนสำคัญก็อาจเป็นได้  ต่อมาหลังจากที่ครองราชย์ ได้ไม่นาน ก็เกิดเหตุของสงครามเจ็ดอาทิตย์ ระหว่าง ปรัสเซีย(ที่มีแคว้นต่างๆรวมตัวกัน) กับ ออสเตรีย

เนื่องจาก บาวาเรีย นั้นอยู่ใกล้และสนิทชิดเชื้อกับออสเตรียมากกว่าจึงต้องร่วมทำสงครามกับ ปรัสเซียด้วย..

คราวนี้ วาคเนอร์ต้องระเห็จออกไปจากบาวาเรีย เพราะถ้าอยู่ต่อไปอาจมีอันตรายได้ ..โดยไปอย่างเศรษฐีไปเสวยสุขที่ ลูเซิน สวิตเซอร์แลนด์

เจ็ดอาทิตย์ของสงครามที่ ออสเตรียพ่ายแพ้ต่อปรัสเซีย นั่นหมายถึง บาวาเรีย ต้องสูญเสียความเป็นเอกราชส่วนหนึ่งให้กับปรัสเซียไปด้วย

ต่อมาในปี 1867 ถึงคราวที่เจ้าชายต้องเลือกคู่ให้เป็นเรื่องเป็นราวซะทีไม่มีใครเหมาะสมไปว่า เจ้าหญิงโซฟี พระญาติใกล้ชิด  พระเจ้าลุดวิค ไม่ได้มีพระทัยสนิทเสน่หาด้วยเลยแม้แต่นิด เลื่อนการหมั้นออกไปเรื่อยๆ สิ่งเดียวที่ทั้งสองพูดกันรู้เรื่องนั่นก็คือความฝักใฝ่ หลงในละครของวาคเนอร์เหมือนกัน ถึงกับเรียกกันและกันว่า  Elsa และ Heinrich (ชื่อของตัวนางเอก พระเอกในเรื่อง Lohengrin)

พระองค์ทรงเลื่อนการหมั้นบ่อยจนจนเจ้าหญิงทนความอับอายไม่ไหวประกาศถอนหมั้นซะเอง..ซึ่งสร้างความ โล่งอกให้กับพระเจ้าลุดวิคอย่างมากมาย  ถึงกับทรงจ.ม.ไปหา วาคเนอร์ ว่า

"Oh,if only I could be carried on a magic carpet to you....at dear peaceful Tribschen even for an hour or two. What I would give to be able to do that !"

 

ขออภัยค่ะ...ประโยคเด็ดๆอย่างนี้ แปลเป็นไทย

 

แล้ว มันไม่แซ่บ..

 

ผู้แสดงความคิดเห็น wiwanda (wwiwanda-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-04-11 23:46:28


ความคิดเห็นที่ 4 (101492)
avatar
wiwanda

ต่อค่ะ..

 

เผื่อมีคนข้องใจ..

 

เห็น เรียกๆว่า ปรัสเซียมั่ง เยอรมันมั่งนั้นเพราะ ก่อนบิสมาร์คจะเข้ามาบริหารบ้านเมืองในฐานะนายกรัฐมนตรี(ประมาณนั้น) เยอรมันถูกเรียกว่า ปรัสเซียค่ะ ตามเชื้อชาติ เดิมๆของชาวปรัสเซียคือพวก ที่กระจายกันอยู่ เป็นพวกโปล์มั่ง สลาวิคมั่ง..ลิทเธอเนียมั่ง..(ก็ชายแดนของรัสเซียนั่นแหละ)

จนศตวรรษ ที่ 11 ได้ถูกกลุ่มนักรบบ้านป่าหรือเป็นที่ขึ้นชื่อว่า Teutonic Knights ได้รวบรวมคนเหล่านี้เข้าด้วยกันจนเป็นกลุ่มเป็นก้อน ให้มานับถือศาสนาเดียวกัน คือ คริสเตียนได้สำเร็จ..เรียกว่า ปรัสเซีย (คงมาจาก โปแลนด์ + รัสเซีย เพราะนี่คือที่มาของเชื้อชาติ)  หลังจากนั้น ก็มีสงครามศาสนาเข้ามาเกี่ยว เปลี่ยนไปมา จนกลายมาเป็นโปแตสแทนต์ ถึงกับต้องแบ่งปรัสเซียออกเป็นตะวันตก ตะวันออก..

จนมาถึง บิสมาร์ค ที่สามารถจับรวมเข้าด้วยกัน ให้มาเป็นเยอรมัน หลังจากที่ชนะสงคราม Franco-Prussian (สงครามกับฝรั่งเศส) ในปี 1871

พระจ้าลุดวิคที่สองช่างมีกรรม เสียจริงๆ เพราะ หลังจากที่ต้องแพ้สงครามเจ็ดอาทิตย์มาหมาดๆก็เกิด สงคราม Franco-Prussia ขึ้นมาอีก คราวนี้คือ ปรัสเซียกับฝรั่งเศส ซึ่งกองทัพบาวาเรียต้องถูกเกณฑ์ไปร่วมกับปรัสเซีย (เพราะอำนาจทางการทหาร ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ชนะในสงครามคราวที่แล้ว)

ในระหว่างนั้น แทนที่พระองค์จะสนใจในเรื่องการบริหารบ้านเมืองกลับหลบลี้หนีไปอยู่ตาม เขตชายแดนเทือกเขาและ..ถลุงเงินในท้องพระคลังอย่างสะใจ โดยสร้างปราสาทขึ้นมาอีกสามหลังพร้อมๆกัน ตามความฝันที่มี..หมดเงิน ไปกว่า 31 ล้านมาร์คเอง..

หนึ่งในนั้นคือ Neuschwanstein ที่มีชื่อเสียงลือลั่นเป็นปราสาทที่ นาย วอลส์ ดิสนีย์ ขอลอกเลียนไปเป็นปราสาทเจ้าหญิงนิทรา ในดิสนีย์แลนด์ไงคะ

วาคเนอร์ก็มาตายจากไปในปี 1883 ซึ่งนำมาซึ่งความโศกเศร้ากับพระองค์อย่างที่สุด

แต่เนื่องจาก พระองค์ทรงคลั่งไคล้อยู่สามสิ่ง..นั่นคือ การสร้างปราสาท, ดนตรีของริชาร์ด วาคเนอร์, การละคร..จนเหมือนกับเป็นคนที่มีจิตไม่ปรกติ  จนรัฐบาลต้องยื่นมือเข้ามาจัดการ โดยส่งแพทย์ทางจิตมาควบคุมพระองค์ และ..ในวันที่ 13 มิถุนายน 1886 มีผู้พบพระศพของพระเจ้าลุดวิค กับแพทย์ผู้ควบคุมจมน้ำตายในทะเลสาบ Starnberg

โดยยังเป็นปริศนาดำมืดอยู่ว่า เป็นการปลงชีวิตตัวเองหรือ เป็นการลอบสังหารกันแน่..

 

เดี๋ยวจะงงว่ามาเล่าเรื่องเจ้าๆ ทำไม..เพราะว่า..ถ้าจะดูให้ลึกๆจริงๆแล้ว ฮิตเล่อร์ ได้รับอิทธิพลจาก    พระเจ้าลุดวิคที่สองนี่มากมาย..

ฮิตเล่อร์เกิดเมื่อ ปี 1889 (สามปีหลังจากการสิ้นพระชนม์) ที่ Braunau(ใกล้ๆกับ Linz) ตอนเหนือของออสเตรีย ที่ใกล้กับชายแดนเขตของบาวาเรีย..และอิทธิพลของ ความเป็นบาวาเรียนนั้น แผ่คลุมซึมลึกลงไปในสายเลือด โดยเฉพาะฮิตเล่อร์ นั้นเป็นอะไรที่พิเศษกว่าคนอื่น..นั่นคือเขามักเป็น"สุดโต่ง" ของสิ่งใดทั้งหมด เหมือนกับพระเจ้าลุดวิคราวกับเป็นพระองค์กลับชาติมา เกิด เช่น..

1.หลงไหลในเสียงเพลงและผลงานริชาร์ด วาคเนอร์ (ในต่อมา ฮิตเลอร์ก็ติดต่อกับคนในตระกูลนี้)

2.ชอบการสร้างในเชิงสถาปัตยกรรม.. ในฐานะที่ฮิตเลอร์ไม่มีเงินทองมาสร้างพระราชวัง แต่เขาสร้างเอาเองในจินตนาการ (ดูจากการวาดภาพ)

3.รักการใช้ชีวิตบนภูเขา (ดูจากการสร้างเบอร์เตสการ์เดน หรือที่เรียกว่า Eagle's nest)

4. ผู้หญิงไม่ใช่ปัจจัยสำคัญของชีวิต (เพราะอะไร..ค่อยมาว่ากันทีหลัง)

5. จุดจบ...คือการเลือกที่จะจบชีวิตด้วยตัวเอง

และขอให้คิดดูว่า ฮิตเลอร์ต้องมาพบกับความล่มสลายของอาณาจักรบาวาเรียที่เขารัก ด้วยฝีมือของของยิวเพียงไม่กี่คน

ตามข่าวเล่าว่า..พระเจ้าลุดวิคที่ สามถูกสั่งให้ขนข้าวของออกจากวัง..ขึ้นรถภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง..และ..ขณะที่รถ แล่นออกจากวังไปอย่างช้าๆ พวกคณะยิวปฏิวัติยิงปืนไล่จนรถพระที่นั่งต้องเร่งความเร็วขับหนี เป๋ปัดปุเลงๆลงไปในไร่มันฝรั่งแบบทุลักทุเล ฝุ่นตลบ..ท่ามกลางเสียงหัวเราะครื้นเครงของเหล่าทหารแดง

 

ผู้แสดงความคิดเห็น wiwanda (wwiwanda-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-04-11 23:55:01


ความคิดเห็นที่ 5 (101493)
avatar
wiwanda

ต่อค่ะ..

จากการพ่ายแพ้แก่กองทัพคอมมิวนิสต์ครั้งนั้นแล้ว..เท่ากับเป็นการเดือดร้อนทุกหย่อม หญ้า
พรรคคอมมิวนิสต์ได้แผ่กระจายเข้ายึดครองควบคุมไปเกือบทั่ว..สร้าง ความวิตกให้กับคณะรัฐบาลกรุงเบอร์ลินอย่างที่สุด
จึงต้องส่งข่าวไปขอความ ช่วยเหลือจากหน่วยเหนือโดยด่วน..ก่อนที่จะเกิดการล่มสลาย
ซึ่ง..เหล่า บรรดากองทัพ Free Corps ได้เข้ารวมตัวกัน เรียกระดมพรรคพวกที่ Thuringia at Ohrdruf ที่ห่างไปจาก มิวนิคถึง 400 ไมล์
จนได้ครบถึงสองหมื่นคน จึงได้เคลื่อนตัวเข้าสู่เป้าหมาย..
ตลอดทางมาก็มีผู้เข้ามาร่วมด้วยอีก มากมาย รวมทั้ง กลุ่ม FC จาก บาวาเรียที่เข้ามาสมทบด้วย
(หนึ่งในนั้น มี Friez Braun ซึ่งเป็นพ่อของ เอวา บราวน์  ผู้เป็นภรรยาของฮิตเล่อร์ในภายหลัง)

ข่าวการมาของกองทัพเสรีเยอรมัน Free Corps ชุดใหญ่นั้น ได้ทำให้คณะคอมมิวนิสต์ในเมืองมิวนิคตื่นตระหนก
เพราะเริ่มมีการสั่งงาน วางแผนรับมือที่แสนไม่เข้าท่าของ Levine ความเห็นเริ่มแตกกระจาย..
Ernst Toller ลาออกจากการเป็นหนึ่งในผู้นำพรรคเพราะทนความบ้าๆบอๆของ Levine ไม่ได้ ในการที่เขาสั่งจับผู้คนในเมือง
เข้ามาเป็นตัวประกัน..และก่อตั้ง หน่วยแดงเฉพาะกิจขึ้นมาเพื่อปฏิบัติการขั้นรุนแรง

กองทัพ FC สามารถยึดเมือง Dachau คืนได้อย่างง่ายดาย และในขณะเดียวกัน ก็ได้ข่าวว่า ในกรุงมิวนิค ฝ่ายคอมได้จัดการยิงตัวประกันไปแล้ว กว่าสี่สิบศพอย่างเลือดเย็น..
นั้น แหละ..หน่วย FC ต่างเป็นเดือดเป็นแค้น
จนแผ่นดินแทบลุกเป็นไฟ..จัดการ สำเร็จโทษทหารฝ่ายคอมมิวนิสต์อย่างสาสมชนิดที่ว่า คนไหนถูกยิงตายไปก็นับว่าโชคดีสุดๆที่ไม่ต้องถูกทรมาน
และทั้งหมดได้เข้า มาล้อมมิวนิค เพื่อเตรียมจัดการกับเจ้าตัวการ..
ฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่ครอง เมืองอยู่ เคยประกาศเหยง เหยงว่า..นี่คือ a battle to the death นั้น ....เสียงเริ่มแผ่วลง แผ่วลง

ทางเลือกสุดท้ายของ Levine นั่นก็คือสั่งยิงเป้าตัวประกันทั้งหมด
ตัวประกันนับสิบๆคนที่ถูกจับอยู่ที่ โรงเรียน Luitpold (โรงเรียนนี้ มีศิษย์เก่าคนหนึ่ง ชื่อว่า Albert Einstein)นั้นมี
นาย ทหาร FC สามคน..และ นักข่าวสาวฝ่ายขวาหนึ่งคน ที่ถูกนำตัวไปสังหารเป็นชุดแรก
แต่ชุดต่อไปนั้น สายตรงส่งข่าวมาว่า.. Toller มีคำสั่งให้หยุดยิง..ซึ่งเกิดการขัดแย้งชะงักงันว่าจะฟังคำสั่งใครดี

และทันทีที่กองทัพเยอรมันเสรีที่ล้อมมืองอยู่ได้ยินข่าวการสังหาร ตัวประกันนี้เข้า..แผ่นดินลุกเป็นไฟอีกแล้ว..
ทั้งหมดบุกเข้าเมืองทันที..เกิดการสู้รบกันครั้งยิ่งใหญ่..ฟ้าเมืองมิวนิคเป็นสีแดงเพลิง จากการเผา เผา และ เผา..
และในที่สุด ก็..เข้ายึดครองกลับคืนมาได้สำเร็จ..
Levine ถูกจับได้ ..โดนซ้อมเสียเละเทะก่อนที่จะโดนจ่อยิงที่กระโหลก
ส่วน คนอื่นๆก็เช่นกัน
แต่ Toller นั้น ในฐานะที่ห้ามการสังหารตัวประกันส่วนที่เหลือไว้ได้ โดนแค่ติดคุกห้าปี
(หลัง จากออกจากคุก เขาได้ลี้ภัยไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา และ ฆ่าตัวตายในปี 1939 สาเหตุ unknown)

เยอรมันสามารถกู้สถานะการณ์ กลับคืนมาได้ด้วยชัยชนะในการปราบจราจล และขณะที่กำลังเดินมาร์ชไปตามถนนหนทางอยู่นั้น
ผ่านมาทาง..หน่วยกองร้อย ที่ฮิตเล่อร์ประจำการอยู่พอดี..
ไม่รู้ว่าใครกันที่มือบอน..บังอาจยิงปืน ขึ้นฟ้าต้อนรับ..!!
หน่วย FC ถึงกับกรูเกรียวขึ้นไปลากตัวลงมาทั้งหมด นำตัวเข้ากักขังเพื่อ ขึ้นศาลทหารทันที..
ฮิตเล่อร์ที่เพิ่งกลับเข้ามาในเมือง โดนใส่กุญแจมือกะเขาไปด้วย เข้าข่ายปลาเน่าตัวเดียว
และ..ในช่วงนี้คือ ช่วงการ"เอาคืน"ของฝ่ายเยอรมัน..
กล่าวคือ เกิดการสอบสวนเอาผิดพวกที่ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ทั้งหลาย
ในศาลทหาร..เผอิญ ว่า เหล่านายทหารหลายนายได้รู้จักฮิตเลอร์กันมาบ้างเพราะความเก๋าของความเป็นนัก รบแนวหน้า
อีกทั้งเหรียญกล้าหาญนานาชนิดก็รับประกันคุณภาพ..
เขาจึง ถูกปล่อยตัวออกมา..แถมได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในคณะลูกขุนเข้าร่วม ทำการตัดสินพิจารณาคดีนาน
เกือบเดือน..รวมไปถึงการเป็นพยานชี้ตัวคน ผิด
(ซึ่งโทษมีอยู่สองชนิดคือ ติดคุก กับ ยิงเป้า)

ผู้แสดงความคิดเห็น wiwanda (wwiwanda-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-04-11 23:57:04


ความคิดเห็นที่ 6 (101494)
avatar
wiwanda

ต่อค่ะ..

 

ซึ่งตรงนี้..ทำให้เขาได้ รู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่ เช่น ผู้พิพากษา อัยการ(ในภายหลังคือ ฐานอำนาจของเขา)ของขบวน
การยุติธรรมมากมาย..
และจากการจุดนี้..ชื่อเสียงเขาเป็นที่รู้จักบ้าง
ถึงแม้ว่า ยามเดินเหินในถนน..เขาต้องระวังตัวเหลียวหน้าเหลียวหลังพอประมาณ
เพราะ การที่ทำหน้าที่กล่าวโทษผู้ผิดให้ผิดหนักเข้าไปอีกนี่..อยู่ค่อนข้างยาก
เขา ถูกคัดเลือกจากเหล่าเพื่อนในกลุ่มในศาล..ส่งตัวไปเรียนปฏิบัติการจิตวิทยาในด้านประชา สัมพันธ์มวลชน ใน
มหาวิทยาลัยมิวนิคเพื่อมาทำประโยชน์ให้กับบ้าน เมือง เพราะ ในยามนั้น ลัทธิคอมมิวนิสต์ยังพอมีอำนาจตกค้างอยู่ไม่น้อย


สิ่งที่เขาต้องเรียนนั่นก็คือ ตำราที่กองอยู่สูงท่วมหัว อันกอร์ปไปด้วย..

German History After the Reformation.
Germany from 1870-1900.
Bavaria and the Unity of the Reich.
The Political History of the War.
The Significance of the Army.
German Economic Conditions and the Peace Terms.
State Control of Production.
Price Policies in the Economic System.
Russian and Communist Rule.
Socialism in Theory and Practice.
Foreign Policy.
Correlations Between Domestic and Foreign Policy.*

และที่สำคัญคือ เขาต้องฝึกหนักกับการที่ต้องรู้จักการใช้คำพูดให้คนระดับด้อยการศึกษา(อันเป็นส่วนใหญ่)ให้
เข้าใจในเนื้อหา.และมองเห็นภาพคล้อยตาม

ดาวของเขาเริ่มฉายแสง..ในชั้น เรียนของ ศาสตราจารย์ Alexander von Muller ที่ได้กล่าวยกย่องถึงพื้นเพของ
ชาว เยอรมันที่มีศักยภาพเหนือชนชาติอื่นๆ (master race) ซึ่งมีนักศึกษาคนหนึ่งยืนขึ้น"โต้เถียง"ความยึดถืออันนี้
ฮิตเลอร์ยกมือ ขึ้นขออนุญาต..เขาขอเสนอตัวขึ้นโต้วาทีกับเจ้าหมอนั่นอย่างเผ็ดร้อนทันที
ทุกคนนิ่งฟังถ้อยคำที่พรั่งพรู พร้อมด้วยอากัปกิริยาที่เอาจริงเอาจังของฮิตเลอร์อย่างตะลึงงัน
ใครจะไป รู้ว่า..เจ้าหน้าจืด ที่วันๆไม่เห็นพูดจากับใครจะ"ซ่อนคม" ได้อย่างลึกซึ้งถึงขนาดนี้
และ..นี่เป็นครั้งแรก..ที่ทุกคนได้ยินการต่อต้านและเกลียดยิว ชนิดเข้ากระดูกดำ
แม้กระทั่งตัวอาจารย์..เริ่มคล้อยตาม ในทุกคำพูดที่ได้ยินได้ฟัง เพราะ มันเป็นความจริงที่หยั่งรากฝังลึกในใจของเยอรมันทุกผู้ทุกคน

ฮิตเลอร์เป็นเพียงผู้มีฝีปากกล้า..ที่กล้าขุด..กล้าเพาะ ให้มันออกมาเจริญเติบโต จนคนเริ่มมองเห็นว่า..ผลและดอกของ
มันนั้นน่าเกลียดเพียงใด !!
และการที่เขาสามารถทำได้เช่นนั้น เพราะ ในแคว้นบาวาเรียที่ทุกคนเห็นอยู่ว่ามันได้เปลี่ยนไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือเช่นไร
ตั้งแต่อยู่ในความครอบครองของพรรคคอมมิวนิสต์ อันเต็มไปด้วยนักการเมืองยิวกว่าสามในสี่
และไม่ใช่แค่ในบาวาเรียเท่า นั้น แม้แต่พรรคบอลเชวิคที่รัสเซียเอง..ก็เต็มไปด้วยยิว
จนหนังสือ ไทม์ (มีนาคม 1919) ได้เสนอว่า กลไกในการการขับเคลื่อนของบอลเชวิคนั้น มาจากยิวกว่า 75 %
และยังเสนอในข้อความที่ว่า ยิวอาจครองโลกในสักวันหนึ่ง..ซึ่ง ฮิตเลอร์และชาวเยอรมันอื่นๆก็ได้เชื่อเช่นนั้น..

เขาถึงกับจบการสรุป ในการโต้วาทีอย่างไม่เกรงใจใครว่า
"ประเทศชาติจะรอดได้ ก็ต้อง ขับโซเวียตและยิวออกไปให้หมดในเร็ววัน"
เสียงตบมือขานรับดังกึกก้อง..!!!

 

ผู้แสดงความคิดเห็น wiwanda (wwiwanda-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-04-11 23:58:53


ความคิดเห็นที่ 7 (101495)
avatar
wiwanda

ต่อค่ะ..

 

 วันหนึ่ง..ร้อยเอก Karl Mayr หัวหน้าโครงการฝึกอบรมได้เข้ามาแวะเยี่ยมเยียน ดูผลของการก้าวหน้าศาสตราจารย์ von Muller ถึงกับรีบเข้าไปกระซิบกระซาบบอกความว่า..รู้ป่าว..ว่าใน กลุ่มที่มานี่มีนักพูดฝีปากเอกคนหนึ่ง  คาร์ลจึงถามว่าใครกัน..คำตอบ ที่ได้รับนั่นก็คือ "ฮิตเล่อร์..สิบโทจากกองร้อยไงล่ะ" และยังเรียกให้เข้ามาทำความรู้จัก

(คาร์ล..เล่าว่า) ชายคนนั้น ที่มีนามว่า ฮิตเล่อร์ มีท่าทางขี้อายนิดๆ สุภาพเรียบร้อย สำเนียงเหน่อเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่ได้คุยอะไรกันมาก..นอกจากรับรู้ว่า.. นี่คือ "ดาว"ของทีม

สิ่งที่ตราแน่นในดวงจิตของฮิตเล่อร์(และชาวเยอรมันทุกคน)..คือ ความโหดร้ายในการสังหารตัวประกันเมืองมิวนิคที่ผ่านมา หมาดๆื  ความเกลียดชัง โกรธแค้นยิวนั้นมีสะสมมากในใจของหมู่ชนชั้นกลาง เพียงแต่รอวันที่มันจะปะทุออกมาเท่านั้น..

แต่..เคราะห์ร้ายของเยอรมันไม่ได้หยุดลงแค่นั้น..ไม่มีใครนึกถึงได้ว่าสนธิสัญญากรุงแวร์ซายย์ สำหรับผู้แพ้ศึกนั้นมันจะหนักหนาสาหัสถึงเพียงนี้..

เพราะการ แพ้ศึกของเยอรมันนั้น..เป็นการวางอาวุธแต่โดยดี เพราะเกิดจากปัญหาภายในประเทศ ทั้งๆที่ทหารในแนวหน้ายังคงรบพุ่งอย่างสามารถ

ใครๆก็คิดถึงแค่เพียง..ญัตติ 14 ข้อเรียกร้องของ ประธานาธิบดี วิลสันแห่งสหรัฐอเมริกา ก็น่าจะเพียงพอ แต่ที่ไหนได้...!!!!

ภายใต้สนธิสัญญาครั้งนี้ เยอรมันต้องรับผิดชอบต่อการเป็นอาชญาสงครามครั้งนี้แต่ผู้เดียว..นั่น หมายถึง..การริดรอนยุทโธปกรณ์ทุกชนิด ทางด้านกำลังทหารให้เหลือแค่ 100,000 นาย

ทางน่านน้ำ..จะต้องถูกร่วมใช้

ทางดินแดนแนวชายแดน ถูกเฉือนไปนับแสนตารางกิโลเมตรให้กับ เบลเยี่ยม ฝรั่งเศส ปรัสเซียต้องถูกแบ่งออกเป็นสองฟากฝั่งเพื่อที่โปแลนด์จะได้มีทางออกสู่ทะเล บอลติก (เกิดเป็นฉนวนโปแลนด์ในต่อมา)

การเฉือนดินแดนนี้ทำให้..ชาวเยอรมันสามล้านคน..หลุดไปในแคว้นโบ ฮีเมีย(เชคโกสโลวาเกีย),

อีกหกล้านคน หลุดเข้าไปใน โปแลนด์, เดนมาร์ค, เบลเยี่ยม, ฝรั่งเศส ไม่นับ เจ็ดล้านคนในออสเตรีย

ทั้งหมดคือเลือด เนื้อเยอรมัน สิบหกล้านคน..ที่ต้องพลัดพรากแยกย้ายไปอยู่ในคนละประเทศ.เพราะรอยแนวเฉือน แถมพอหลุดเข้าไปก็ยังกลายเป็นชนส่วนน้อย หรือที่เรียกว่าประชาชนชั้นสองของประเทศเจ้าบ้านเข้าไปซะอีก เสียงร่ำไห้ โหยหาดังระงม..

นี่คือกรรม..เฉกเช่นเดียวกับที่เซอร์เบีย(ตอนที่ ออสเตรียเขาไปแบ่งบอสเนีย)ได้รับ..จนเป็นที่มาของการลอบปลง..ของ Franz Ferdinand ดังที่เล่ามาแล้ว

วันเซ็นสัญญา..หลังจากที่ได้อ่านจนครบ ถ้วนกระบวนความแล้ว..รมต.ต่างประเทศของเยอรมัน ไม่ยอมเซ็นเพราะรับไม่ได้และพยายามต่อรองอย่างสุดฤทธิ์ แต่ก็ไม่ได้ผลใดๆ

รัฐมนตรีชุดใหม่ ชุดนั้นในคณะของประธานาธิบดี Ebert ลาออก..(เพราะคงไม่อยากให้ลูกหลานด่าเอามัง?)

แม้แต่..ประธานาธิบดีวิลสันแห่งอเมริกา ยังพูดกับ Herbert Hoover ว่าที่ประธานาธิบดีคนต่อไป ว่า "เป็น ผม ผมก็ไม่เซ็น"

พอสัญญาไม่ยอมเซ็น กลุ่มพันธมิตรโดยเฉพาะ ฝรั่งเศสก็ประกาศกร้าวมาทันทีว่า..จะบุกกรุงเบอร์ลิน และเข้ายึดครองซะ ให้สิ้นเรื่อง

ฝ่ายนายทหารเยอรมันระดับสูง..ก็ฮึดฮัด เอาวะ..เป็นไงเป็นกัน จะรบกันต่อก็ยังได้..

แต่..ในที่สุด Hindenburg และเหล่าขุนพลใหญ่ ก็..ตัดปัญหาไปโดยส่งคณะตัวแทนคนอื่นไปเซ็นๆซะให้เป็นที่เรียบร้อยท่าม กลางความอาดูรของประชาชนทั้งประเทศ..

ที่พอสรุปได้ว่า..เยอรมัน.. ต้องเป็นหนี้กว่า40 % ของมูลค่าของทั้งประเทศ,สูญเสีย3/4 ของทรัพยากรแร่,1/3 ของถ่านหิน,1/8 ของอุตสาหกรรม,1/8 ของดินแดน,1/10 คือประชาชน,

อีกทั้ง..ทรัพย์สินทั้งอสังหาและสังหา ของชาวเยอรมันที่อยู่นอกประเทศจะต้องถูกริบหมด

 

ผู้แสดงความคิดเห็น wiwanda (wwiwanda-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-04-12 00:05:12


ความคิดเห็นที่ 8 (101496)
avatar
wiwanda

ในกลุ่มนักพูดปลุกระดมที่ผ่านคอร์สการเทรนทั้งสิ้นมีด้วยกัน 23 คนรวมฮิตเล่อร์ ภายใต้การนำของหัวหน้าทีม คือ Capt. Karl Mayr เป็นหัวหน้าคณะ พร้อมออกปฏิบัติการการ ซ้อมฝีปากในระยะแรกๆนั้น..คือการไปพูดตามค่ายทหารต่างๆ (ที่มักถูกต้อนมาฟัง) ญัตติในการบรรยายมักเป็นหัวข้อประมาณว่า "สงครามครั้งนี้ เป็นความผิดของใคร" อะไรเทือกนี้

และทุกครั้งที่มีการ ปราศัยเยี่ยงนี้ ฮิตเล่อร์สามารถเรียกผู้คนให้เข้ามาฟังได้มาก สมดังกับที่เป็นดาว..

เขาเริ่มตีหนัก..ในข้อคับแค้นของประเทศที่เขา เรียกว่า Beggar Nation อันสืบเนื่องมาจากผลของจากสนธิสัญญาแวร์ซายย์ และ การพูดทุกครั้งนั้น เขาไม่เคยละเว้นในการจิกตีพวกยิว..และยกย่องสายเลือดเยอรมันจนบาง ครั้งออกจะผิดหูของคนบางคน ถึงกับต้องสะกิด

Karl Mayr และกระซิบบอกใครต่อใครว่า

"จับตาดูๆมันหน่อยนะ ไอ้หมอนี่มันพูดอะไรแปลกๆว่ะ"

 

ในที่สุด ผู้กอง Karl จึงให้ฮิตเล่อร์เขียนรายงานเรื่องชาตินิยมมาให้ดูกันหน่อย..และเขาต้อง ประหลาดใจเป็นอย่างมาก ที่ข้อรายงานนั้นเต็มไปด้วยความเคียดแค้นที่มี ต่อยิว..อย่างมากมาย

(หมายเหตุ..เพราะหลังจากสงคราม ยิวระดับปริญญาทั้งหลายได้เข้ามาเป็นใหญ่เป็นโตมากมาย ถึงกับร่างกฎหมายออกมาใหม่ คือ ยกเลิกกฎข้อห้ามจำกัดสิทธิต่างๆที่ชาวยิวเคยได้รับ..ทั้งในด้านการค้าและการ เมือง มีศักดิ์และสิทธิเทียบเท่ากับพลเมืองเยอรมันในทุกประการ)

 

เพราะว่าในสามเดือนหลังจากที่ สัญญาทาสแวร์ซายส์ได้ถูกลงนามแล้วนั้น เยอรมันมีเวลาสามเดือนที่ต้องลดขนาดของกำลังพลให้มาอยู่ที่สองแสน (ในขั้นแรก)

แต่สถานะการณ์บ้านเมืองเรื่องของการจราจลและความขัดแย้งยัง มีอยู่มากมาย รัฐบาลจึงต้องเลี้ยงพวก"ทหารไร้ยศ"เอาไว้เป็นฐานกำลัง

ฮิตเล่อร์จึงต้องไปพูดปลุกขวัญกำลังใจพวกทหารเหล่านี้ ซึ่งเขาเขียนไว้ใน Mein Kampf ว่า..

"ได้พูดทุกอย่างออกมาจากใจ และด้วยความรักชาติอย่างแท้จริง" สิ่งที่เขาไประบายออกไปสู่เพื่อนร่วมชตากรรม นั้น คือความที่ถูกเอารัดเอาเปรียบในสัญญาทาส และที่สำคัญคือ.ความหวังในการกอบกู้ประเทศชาติให้กลับมาเป็นใหญ่อีกครั้ง..

จนในวันที่ 12 พฤศจิกายน เขาได้มีโอกาสไปร่วมฟังการอภิปรายในพรรคเล็กๆพรรคหนึ่ง ชื่อว่า..German Workers's Party ซึ่งหลังจากสงครามกลางเมืองมานั้น..รัฐบาลให้โอกาสกับ ประชาชนที่จะจัดตั้งพรรคเล็กพรรคน้อยเพื่อการพบปะหารือกันตามชอบใจ รวมไปถึงอดีตทหารอย่างฮิตเล่อร์ด้วย ที่การพบปะหารือส่วนใหญ่นี้ มักจัดกันตามร้านกาแฟบ้าง ร้านเบียร์ บ้าง..

 

คราวนี้ฮิตเล่อร์แต่ง ตัวซะหล่อในสูทสีน้ำเงิน(ตัวเก่ง) และได้ไปปรากฎตังที่..Sternecker Brewery

(ตอนนั้นการพบปะแบบนี้กำลังเป็นที่นิยม เรียกว่า Biertischpolitik = Beer-table politics]

วันนั้น..ผู้นำการอภิปรายคือ Deitrich Eckart นักเขียน(ขวาจัด)ที่ค่อนข้างมีชื่อ และคนที่เขารู้จักอีกคนหนึ่งคือ Gottfried Feder(Anti-Capitalist) น้องเมียของ ศาสตราจารย์ von Muller  ผู้ฟังที่ มาร่วมนั้นมีแค่ ไม่ถึงยี่สิบคน ต่างสาขาวิชาชีพกันมา

Eckart พูดอยู่คนเดียวร่วมสองชั่วโมง..ซึ่งฮิตเล่อร์เห็นว่า น่าเบื่อ น้ำท่วมทุ่ง..แต่ก็ต้องทนฟังจนจบ เพราะ ต้องกลับไปทำรายงานส่งหน่วย..

 

แต่ ก่อนกลับก็ต้องเอาซะหน่อย..เขาลุกขึ้นยืนแนะนำตัวเอง..แล้ว กล่าวถึงนโยบายในการเป็นไปได้ที่จะรวบรวเยอรมันเข้าเป็นปึกแผ่นดังเดิม  ด้วย เหตุผลที่น่าเชื่อถือ น้ำเสียงเร้าใจ..ท่าทีเอาจริงเอาจัง..สะกดให้ทุก คนเงียบงัน..ระคนทึ่ง

จนรองหัวหน้าพรรค คือ Anton Drexler หัวหน้าหน่วยเทศบาลมิวนิค ถึงกับเข้ามาแสดงความยินดี และ..ขอร้องให้เข้ามาร่วมพรรค ซึ่งเขาขอเวลาศึกษานโยบายดูก่อน ก่อนที่จะลาจากพร้อมกับเอกสารของพรรคปึกใหญ่ในมือ

และหลังจากที่เขามาอ่านดูในนโยบายนั้น..มันใช่ เลย..ใช่ทุกอย่างในความคิดของเขาที่มี  นั่นคือ การรวบรวมประชาชนชั้นกรรมกร ทหารผู้น้อย ชนชั้นล่าง ให้เข้ามาหากันดึงพวกเขาให้ออกมาจากการเชื่อถือในมาร์คซิสต์  ให้มาเป็นสังคมนิยมอย่างเยอรมันแบบเต็มฉบับ อันเป็นปฏิรูปใหม่ ที่ ผู้ค้า..ผู้ปลูกและผู้ผลิต ต้องดำเนินการร่วมกัน

เขาจึงตกลงใจในการเข้า ร่วมพรรคกับ Drexler

 

แต่เหตุผลจริงๆแล้ว..ความสามารถในการพูดปลุกระดม ของเขานั้น น่าจะไปร่วมพรรคใหญ่ๆได้ หากแต่..เขาเองที่รู้ดีว่า ในสภาพของ"การด้อยศึกษา"ของเขานั้น จะไปไหนไม่ได้ไกล

จากประสบการณ์ที่ ได้รับมา คือ เขาเคยไปพูดในพรรคที่มีชื่อเสียง หากแต่..พบว่า ระหว่างที่เขากำลังพูดนั้น พวกบรรดา ปัญญาชน หรือพวกที่เรียกตัวเองว่า อิน เทเลคฌ่วล ต่างพากับเดินออกไป หรือถ้านั่งอยู่ ก็ไม่ได้สนใจฟังแต่อย่างใด..

ซึ่งในจุดนี้..เขามักถามแกมท้าทายตัวเองว่า..ระหว่าง การศึกษากับคุณภาพและพรสวรรค์ของคน นั้นอย่างไหนจะไปได้ไกลกว่ากัน

พวกปัญญาชน มักยึดถือ ยึดมั่น กับความรู้ที่เรียกว่า necessary knowledge ที่ทางสถาบันยัดเยียดใส่มาให้ในสมองซึ่งเขาเหล่านั้น ชอบตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นของตัวเองในด้านประกาศนียบัตรแห่งวิชาที่ได้รับ..โดยการที่ดูถูกคนอื่นที่ด้อยกว่า

หากแต่ เขาเชื่อว่า คนเหล่านั้นจะไม่มีวันถามตัวเองเป็นเด็ดขาด ว่า..แล้วเอาวิชาที่มีมาทำอะไรให้งอกเงยได้บ้างล่ะ..?  เพราะ..น้อยคนนัก ที่จะหาคำตอบให้กับตัวเองได้

 

(สาบานว่าไม่ได้เขียนเองนะ..ใน Mein Kampf เขาใช้คำว่า stupidity and pride จริงๆ)

 

ผู้แสดงความคิดเห็น wiwanda (wwiwanda-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-04-12 04:38:10


ความคิดเห็นที่ 9 (101497)
avatar
wiwanda

ต่อค่ะ

เพียงไม่นานของการร่วมทีม.. ฮิตเล่อร์ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อความเจริญเติบโตของพรรค จากเพียงจำนวนสิบ มาเป็นจำนวนร้อยๆ  และจากการอภิปรายเดือนละสองครั้ง มาเป็น รายอาทิตย์

จากนั้นก็มีการเดินสายไปยังนานาทิศที่เมือง Dachau นั้น มีคนเข้ามาร่วมฟังนับจำนวนร้อยๆ  ต่อมา..ตำแหน่งในพรรคของฮิตเล่อร์ก็เขยิบขึ้นไปเรื่อยๆจนขึ้นมาเป็น รองหัวหน้าพรรค คงความสำคัญต่อจากหัวหน้า คือ Drexler แต่ผู้เดียว

และ ต่อมาในต้นปี 1920 พรรค แรงงานของเขาได้มีสมาชิกพรรคถึง 190 คน (หมายถึงสมาชิกที่ส่งเงินสนับสนุนรายเดือนในอัตราคนละครึ่งมาร์ค)  แต่ คราวนี้มันมีปัญหา นั่นก็คือ สถานภาพของสมาชิกที่ ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลางและทหาร  กรรมกรจริงๆมีเพียงไม่กี่คน นับว่าเป็นส่วนน้อยมาก ..

สาเหตุที่มีทหารเข้ามาร่วมมากเพราะ ตอนนี้ เขามีเพื่อนร่วมอุดมการณ์คนหนึ่งที่มีความคิดที่เหมือนกันราวกับแกะ แต่คนนี้ติดจะบ้าระห่ำไปเสียหน่อย เขาคือ Captain Ernst Rohm ผู้ผ่านศึกสงครามมาอย่างโชกโชน บนในหน้าของเขานั้นสังเกตง่ายๆ ว่าใช่สำเนาจริง นั่นคือ จมูกด้านบนหายไป แก้มมีรอยกระสุนผ่านและ...เขาไม่เคยปิดบังว่าเขาเป็นเกย์

Ernst พาฮิตเลอร์เข้าไปให้รู้จักกับผู้ใหญ่ในสายกองทัพอีกมากหน้าหลายตา ซึ่งฮิตเลอร์ได้ใช้ประโยชน์ตรงนี้ต่อการปราศัยที่ค่อนข้างดุเดือดของ เขาที่ Hofbrauhaus ในเดือนกุมภาพันธ์ 1920 ที่นั่นมีคนมาชุมนุมกว่าสี่ร้อยคน..  ครึ่งในนั้น คือกลุ่มที่นิยมคอมมิวนิสต์

และวันนั้นเป็นวันที่ฮิตเล่อร์ต้อง เปิดปราศรัยถึงนโยบาย 25 ข้อที่เขาได้เตรียมไว้

นั่นคือ รวบรวมชาว เยอรมันที่กระจัดกระจายให้มารวมอยู่ด้วยกัน, ยกเลิกสัญญาทาสแวร์ซายย์, จัดตั้งกองทัพประชาชน, ไม่ปราณีต่อศัตรู, เพิ่มค่าแรงกรรมกร, จัดการกับพวกเซ็งลี้ของสงคราม, จัดสรรพื้นที่ทำมาหากินให้ทั่วถึง,อุตสาหกรรม โรงงานต้องมีการปันกำไรต่อคนงาน, ปรับอัตราเช่าแก่ร้านค้าขนาดเล็กใหญ่ให้มีราคาย่อมเยา, คนแก่ได้รับ สวัสดิการเต็มที่, และ ที่สำคัญ คือ ยึดสิทธิต่างๆคืนมาจากพวกยิวให้หมด โดยถือเป็นชาวต่างชาติ ไม่มีสิทธิในการทำกินใดๆในประเทศ,เนรเทศยิวในเขต ที่มีประชากรหนาแน่น, และยิวที่เข้าเมืองหลังจากวันที่ 2  สิงหาคม 1914 มีโทษเนรเทศสถานเดียว..

(ถ้าไปได้ยินอะไรเทือกนี้จากรัฐบาลไหนๆ ก็ขอให้รู้ว่าไม่ใช่ของใหม่ที่คิดกันได้เองนะคะ)

สิ้นเสียงประกาศนโยบาย  เหยือกเบียร์ลอยละลิ่ว..เก้าอี้ปลิวตามมา..จากนั้นก็มีการทุบตีกันพอสมควร

 

หากแต่ ทหารในหน่วยคอมมานโดที่ Ernst จัดมาให้ดูแลนั้นเข้าคุมสถานการณ์ได้อย่างเรียบร้อย

 

ผู้แสดงความคิดเห็น wiwanda (wwiwanda-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-04-12 04:29:33


ความคิดเห็นที่ 10 (101498)
avatar
wiwanda

ต่อค่ะ

 

ฉะนั้น..เขาควรเข้าไปเจาะในกลุ่มของชนชั้นกลางที่เข้าข่ายปัญญาชน..และ เขาได้เคยจำกัดความไว้ว่า...
พวก อินเทลเลคฌ่วลเหล่านี้ คือปัญหาสำคัญ เพราะชนพวกนี้ มีแต่ " โง่แล้วอวดฉลาด"
ที่ไม่เคยพาชีวิตให้พบกับความแปลกใหม่ในเชิงสร้างสรร ถนัดอยู่แต่การย่ำอยู่กับที่ และ วันวันรอรับมรดก ส่วนอะไรที่เคยทำอยู่สามสิบ สี่สิบปีก่อน ก็ยังคงทำอยู่เช่นนั้น
แถม..นับวันมีแต่จะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของมาร์คซิสต์เพิ่มเข้าไปเรื่อยๆอีกต่างหาก..
อีกทั้งกองทัพต้องเดินด้วยท้องฉันใด..พรรคการเมืองก็ต้องมีทุนอุดหนุนฉันนั้น
ฝ่ายเสนาธิการ ในด้านปรับปรุงตัวใหม่เพื่อเข้าสู่วงจรของผู้มีอันจะกินของฮิตเล่อร์ คือ Dietrich Eckart นักเขียนผู้กว้างขวางนั่นเอง..

ทั้งสองมีอุดมการณ์ ที่คล้ายคลึงกัน หากแต่ ในวุฒิปัญญา และ วุฒิภาวะ นั้น Eckart มีเพียบพร้อม เพราะเขาแก่กว่าฮิตเล่อร์ร่วม ยี่สิบปี
ในยามนั้นเขาอายุได้ 51 ฮิตเล่อร์เพียง สามสิบกว่าๆ
และ Eckart คนนี้นีแหละ ที่เคยจำกัดความคุณสมบัติของตัวผู้นำพรรคไว้ว่า..ต้องเป็นคนธรรมดาสามัญที่กล้าหาญ ไม่กลัวเสียงปืน..
ไม่ตื่นตูมต่อสถานะกาณ์คับขัน..ฝีปากกล้า..มุ่งมั่นต่ออุดมการ และ ที่สำคัญสุด คือ
ต้องเป็นโสด..และเขา หยอดท้ายไว้ว่า..แล้วพวกผู้หญิงก็จะตามมาเอง..!!

ขั้นแรกเขาได้ปรับ ปรุงการแต่งกายของฮิตเล่อร์เสียใหม่ ให้รู้จักใส่เสื้อโค๊ตตัวยาว ปรับภาษาที่ใช้ให้ถูกต้อง พาไปนั่งทานอาหารในที่หรูๆเพื่อพบปะกับบุคคลต่างๆ
พร้อมทั้งแนะนำฮิตเล่อร์ให้คนเหล่านั้นว่า...นี่แหละ คือผู้นำของชาติในอนาคต
ในบางปาร์ตีไฮโซที่เขาได้ย่างเท้าเข้าไป..เรียกว่าถึงขนาดต้อง"ตาลุก" กลับเอามาเขียนบันทึกไว้ว่า
"พนักงานใส่เครื่องแบบที่แสนโก้เก๋ จนชุดสูทสีน้ำเงิน(ตัวเก่ง)ของเขานั้นหมองไปถนัดใจ..ไม่นับห้องน้ำที่ปรับน้ำร้อน น้ำเย็นได้ด้วย"

ฮิตเล่อร์เริ่มรู้จักใช้ถ้อยคำให้เหมาะควรแก่บรรดาหูของไฮ โซ เช่นว่า ไม่มีการเรียกชนชั้นล่างว่า กรรมกรหรือคนจน
โดยเด็ดขาด
หาก แต่จะเป็นผู้ที่ด้อยโอกาส และสำหรับฝ่ายที่ตรงกันข้าม เขาจะใช้ว่า..ผู้ที่มีการศึกษาหรือคุณภาพบุคคลแทน
พวกผู้ชายต่างก็ศรัทธา ในความเป็นนักพูดของเขา..
พวกผู้หญิงต่างก็เห็นขันและเอ็นดูในตัวเขา เรียกเขาว่า..
ตาเปิ่นที่น่ารัก {Charmingly clumsy}

ผู้แสดงความคิดเห็น wiwanda (wwiwanda-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-04-12 00:10:30


ความคิดเห็นที่ 11 (101499)
avatar
wiwanda

ต่อค่ะ

 

และ ในเดือน กุมภาพันธ์ เขาและ Drexler เห็นพ้องต้องกันว่า เดินมาถูกทางแล้ว..จึงจัดการเปลี่ยนชื่อพรรคเสียใหม่ว่า..Germam NAtionalsoZialist Party {NAZI}

 

จากนั้นเดือนหนึ่งต่อมาคือวันที่ 31 มีนาคม 1920 คือวันที่เขาพ้นจากการเป็นทหาร และได้รับเบี้ยบำนาญเดือนละ 50 มาร์คเพื่อประทังชีพของการเป็นพลเรือนในต่อไป..!!

เขาย้ายไปเช่าห้องอยู่ที่ตึก ในย่านชนชั้นกลาง..บนถนนที่ชื่อว่า..Thiersch Strasse เป็นตึกห้าชั้น โดยที่เขาเลือกห้องเล็กๆทางด้านหลังของชั้นสอง สภาพ ในห้องนั้นกว้างยาวแค่ แปดฟุตคูณสิบห้า..พื้นปูด้วยกระเบื้องยางเก่าๆ มีพรมชิ้นวางให้เป็นเฉพาะจุด

เตียงตั้งอยู่มุมห้อง โต๊ะเขียนหนังสือ หิ้งชั้นวางของ

เท่านี้ก็แทบเต็มห้อง..สิ่งทีมีค่าสิ่งเดียวที่เขาแขวน ไว้บนฝาผนัง นั่นก็คือ รูปของ Klara แม่ที่สุดรักสุดบูชา อันเป็นฝีมือวาดของเขาเอง

ภายในตึก..เจ้าของจะจัดห้องโถงข้างล่างเพื่อให้ผู้เช่า ได้ใช้เป็นที่พบปะสังสรร นั่งคุยกันตามประสาคนบ้านเดียวกัน(เป็นเรื่อง ปรกติในเยอรมัน) และมุมห้องมีเปียนโนวางไว้ให้ตามแต่พอใจ ฮิตเล่อร์มักใช้เวลาว่างตรงนี้ กับการบรรเลงเพลงของวาคเนอร์หรือไม่ก็ เวอร์ดิ

 

จากปากคำของเจ้าของตึกที่ว่า..เขาก็เป็นคนปรกติ นิสัยดี ทักทายกันเสมอๆ จ่ายค่าเช่าตรงเวลาทุกครั้งต่างหาก !!

เขาใช้ชีวิตอยู่ ที่นี่ถึง สิบปี..และสิ่งเดียวที่ได้มีเปลี่ยนแปลงหรือขยับขยาย นั่นก็คือ การเช่าห้องที่ติดกันต่อเติมเพิ่มขึ้นมาอีกห้องหนึ่งในภายหลัง

โชคเป็นของพรรคนาซี(ใหม่ๆหมาดๆ)เพราะ ในการเลือกตั้งครั้งต่อมา รัฐบาล weimar (สาย Nationalist and People’s Party)ได้คะแนนเสียงถล่มทลาย อยู่ต่อไปอีกสิบสองปี

ฮิตเล่อร์ยังคงออกปราศรัยอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการหยั่งเสียงและการที่จะมีโอกาสกวาดต้อนสมาชิกเข้าพรรคและโชคก็ช่วยส่งเสริมอีกนั่นแหละ เพราะหนังสือพิมพ์ดังๆหลายฉบับในยุโรปได้แฉเอกสารลับที่ยิวระดับผู้นำในประเทศต่างๆ ที่มาประชุมกันพบปะหารือกันในสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อปี 1897 ในชื่อว่า The Protocols of the Wise Men of Zion ซึ่งเนื้อหาคือแผนการครองโลกในวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแทรกแซงทาง การเมือง หรือ ทางยุทธวิธี  ศาสนาอื่นๆจะต้องถูกลบล้าง,รัฐบาลจะต้องถูก ถอดถอน,

ในเดือน พฤษภาคมของปี 1920  ลอนดอน ไทม์ได้ลงข่าวนี้อย่างเอาจริงเอาจัง แถมกระจายข่าวไปยัง อีก 16 ประเทศ ภาษาใครภาษามัน

แม้แต่ในอเมริกา Henry Ford ได้นำลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ของเขา The Dearborn Independent และยังขยายข้อความให้ชัดเจนยิ่งขึ้นในหนังสือของเขา คือ The International Jew: The World Foremost Problem หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ขายกว่าสามล้านเล่ม เนื้อหาก็ไม่พ้นไปจากของฮิตเล่อร์สักเท่าไหร่นัก

 

ซึ่งเข้าทางนาซีเขาเลย เชียว....ฮิตเล่อร์ใช้ข้อความดังว่าสนับสนุนนโยบายของเขาทันที

 

ผู้แสดงความคิดเห็น wiwanda (wwiwanda-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-04-12 04:42:42


ความคิดเห็นที่ 12 (101500)
avatar
wiwanda

ต่อค่ะ

ทีนี้ฮิตเล่อร์เริ่มอ่อนเสียง ในการตีลัทธิมาร์คซิสต์ กล่าวคือ พักศึกด้านนี้ไว้ก่อน แต่หันมาเล่นงานพวกยิวล้วนๆ เพราะตอนนี้เสียงประชาชนส่วนใหญ่เริ่มหันมา ให้ความสนใจ

และต่างก็เริ่มมองเห็นมหันตภัยมืดที่กำลังก้าวเข้ามา ตามที่หนังสือพิมพ์ได้ว่าไว้

แต่ขณะนั้น พรรคนาซี ก็ยังคงกรอบเป็นข้าวเกรียบ เพราะไหนจะค่าเช่าสำนักงานพรรค ค่าน้ำค่าไฟ ค่าเช่าหอประชุมในยามอภิปราย..ซึ่งแต่ละครั้งต้องใช้เงินมากกว่า 700 มาร์ค  รายได้ก็มาจากสมาชิกที่แทบชักหน้าไม่ถึงหลัง ส่วนรายได้เสริม นั่นก็คือการเก็บค่าเข้าฟังคนละหนึ่งมาร์ค

เจ้ามือใหญ่ หรือนายทุน ก็หนีไม่พ้น Eckart (ผู้ซึ่ง ฮิตเล่อร์ระลึกถึงบุญคุณเสมอ) และตัว Eckart เองก็ได้รับการสนับสนุนมาจากกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจในมิวนิคที่เกลียดคอมมิวนิสต์ หลายต่อหลายกลุ่มทั้งระดับยักษ์และระดับย่อย

ในช่วงฤดู ร้อน..ฮิตเล่อร์เลือกใช้เครื่องหมายสวัสดิกะเป็นสัญลักษณ์ของพรรคโดยออกแบบ เครื่องหมายด้วยตัวเอง..ด้วยเหตุผลเดียว นั่นก็คือ ต้องการจะข่มเครื่องหมายฆ้อนของพรรคคอมมิวนิสต์

ขนาดที่เขาทุ่มเท สารพัดให้กับพรรค แต่ชาวมิวนิคส่วนใหญ่ก็ยังแทบไม่รู้จักเขาเลย เพราะ ประชาชนคนฟังมักมองเห็นเขาเป็นไก่รองบ่อนอยู่ร่ำไป เพราะ บุคลิกของเขา มันช่างไม่ต่างอะไรกับ บริกรคนเสริฟในร้านอาหาร หรือไม่ก็ เสมียนตามห้าง

ในเดือน สิงหาคม เขาและ Drexler ได้เดินทางไปปราศรัยระดับผู้นำที่เมือง Salzburg, Austria  ฮิตเล่อร์ถูกทรีตราวกับเป็นเด็กทดลองงาน ในการถ่ายรูปผู้นำกลุ่มทั้ง 21 คนนั้น ไม่มีรูปเขาแต่อย่างใด แต่ตัวของ Drexler นั้นนั่งกลางอยู่แถวหน้าเฉยเลย

ระยะทางขากลับในรถไฟ..มิตรภาพ ระหว่างเขาทั้งสองก็ ค่อยๆจางหายไป..!

กลับมาถึงมิวนิค ฮิตเล่อร์เริ่มเปิดเผยตัวมากขึ้น..โดยเฉพาะสมาชิกระดับบิ๊กๆ นอกเหนือไปจากที่จะเกาะติดอยู่กับ Eckart เพียงคนเดียวอย่างแต่ก่อน เพื่อนใหม่ของเขา ก็คือ ชายวัย 26 ปี ชื่อว่า Rudolf Hess ซึ่งเป็นปัญญาชนอย่างแท้จริง..

Hess เป็นลูกของผู้มีอันจะกิน ทำธุรกิจระดับอินเตอร์ เป็นนักเรียนนอก คือ เรียนมัธยมที่อียิปต์ และสวิส เคยเป็นทหารในสงคราม(โลกครั้งที่ 1) จนได้ยศถึงร้อยโท หากแต่ ได้รับบาดเจ็บจึงรักษาจนสงครามเลิก แล้วเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยมิวนิค ในขณะเดียวกันก็ต้องทำงานเป็นเซลส์แมนขายเครื่องเฟอร์นิเจอร์ไปด้วยเพราะ สมบัติในต่างประเทศถูกยึดหมด ตามสนธิสัญญาแวร์ซายย์

เขามีอุดมการณ์เดียว กันกับฮิตเล่อร์เปี๊ยบ เพราะทันทีที่ได้ฟังปราศรัย เขาเข้าแนะนำตัวเอง ขอร่วมในพรรคด้วยอย่างเต็มใจ

และเขาทั้งสองได้สนิทสนมกันอย่างรวด เร็ว..ฮิตเล่อร์เรียกเขาด้วยชื่อเล่นว่า Rudi !!

 

ผู้แสดงความคิดเห็น wiwanda (wwiwanda-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-04-12 16:37:22


ความคิดเห็นที่ 13 (101501)
avatar
wiwanda

แล้วก็มาถึงภาพของ Rudolf Hess  ในข้างบนละค่ะ...เดี๋ยวค่ำๆจะกลับมาเรียงแถวบรรทัดให้ใหม่...มันแยกกระจายแถวไปหน่อย

ผู้แสดงความคิดเห็น wiwanda (wwiwanda-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-04-12 00:15:16


ความคิดเห็นที่ 14 (101502)
avatar
โรจน์ (Webmaster)

ไชโย! ได้อ่านต่อแล้ว

ที่จริงบทความที่บันทึกไว้สามารถนำกลับมาแก้ไขเพิ่มเติม (Edit) ได้โดย คลิกที่ "จัดการบทความ"่ ตรงใต้ภาพตัวเราเอง เลือก "บทความจากสมาชิก" ก็จะเห็นรายชื่อบทความที่สร้างไว้  แล้วคลิกตรง Edit  สีแดงทางขวามือบรรทัดเดียวกับบทความที่เราต้องการแก้ไข  ก็จะกลับมาที่หน้าจอเหมือนตอนใส่บทความแล้วจะเพิ่มลบข้อความและรูปภาพได้ตามต้องการ ครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น โรจน์ (Webmaster) (webmaster-at-iseehistory-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-04-12 09:26:08


ความคิดเห็นที่ 15 (101504)
avatar
wiwanda

สวัสดีปีใหม่สงกรานต์ค่ะ คุณโรจน์ และเพื่อนๆทุกคน

 

ขอบคุณค่ะที่ช่วยแนะนำ..คงต้องขอความกรุณาช่วยแนะนำด้วย  กว่าจะลงครบหมดทุกตอนก็คงเก่งพอดี..

และยังมีอีกหลายเรื่องที่จะนำมาเสนอ เพราะเขียนไว้แบบครบวงจรเลยค่ะ..

ผู้แสดงความคิดเห็น wiwanda (wwiwanda-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-04-12 13:15:39


ความคิดเห็นที่ 16 (101666)
avatar
รอมเมล

สุดยอด ผมเคยเห็นในหนังสารคดี ที่ผมแปลไม่ได้ ว่าทำไมมีกองทหารเยอรมันต่อสุ้กับใครก็ไม่รู้ อ่านหนนังสือก้แปลไม่ได้สำนวนที่เข้าใจง่ายๆเลย  แปลส่ะงงว่ากองหทารเยอรมันกองนี้ไปคุ้มกันเมืองปลอดทหาร ผมอ่านแล้วงงๆเมืองอะไรปลอดทหาร เดาเอาไปว่าสันธิสัญญาแวร์ซายบังคับให้เมืองนี้ไม่ให้มีทหารเยอรมันประจำการ ที่แท้เกิดจราจลของพวกคอมมิวนีสนี่เอง แถมชาวยิวเป็นหัวโจกท์เสียอีก แบบนี้ที่ไม่แปลกใจเลยชาวยิวเป็นแพะของนโยบายของพรรคนาซี

ผู้แสดงความคิดเห็น รอมเมล (goh_17-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-07-02 08:35:26


ความคิดเห็นที่ 17 (101796)
avatar
TUANG

ลงชื่ออ่านค่ะ

เพิ่งได้อ่าน King Kaizer Tsar จบ  มาอ่านที่พี่วิเขียนยิ่งเข้าใจที่มาที่ไปของ ww1 ได้มากขึ้น

ผู้แสดงความคิดเห็น TUANG (sunny_dayzi-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-26 13:02:42


ความคิดเห็นที่ 18 (102165)
avatar
Simonov

เเต่ก่อนนาซีก็มีsaนะครับ เป็นหน่วยอารักขาของฮิตเลอร์ เเต่ถูกหักหลังเเละถูกฆ่าโดยหน่วยss หน่วยssซึ่งเป็นอะไรที่เลวกว่าหน่วยsaมากเป็นหน่วยที่น่ากลัวที่สุดในกองทัพนาซีเลยก็ว่าได้

ผู้แสดงความคิดเห็น Simonov วันที่ตอบ 2014-09-18 09:56:18



1


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker