ในกลุ่มนักพูดปลุกระดมที่ผ่านคอร์สการเทรนทั้งสิ้นมีด้วยกัน 23 คนรวมฮิตเล่อร์ ภายใต้การนำของหัวหน้าทีม คือ Capt. Karl Mayr เป็นหัวหน้าคณะ พร้อมออกปฏิบัติการการ ซ้อมฝีปากในระยะแรกๆนั้น..คือการไปพูดตามค่ายทหารต่างๆ (ที่มักถูกต้อนมาฟัง) ญัตติในการบรรยายมักเป็นหัวข้อประมาณว่า "สงครามครั้งนี้ เป็นความผิดของใคร" อะไรเทือกนี้
และทุกครั้งที่มีการ ปราศัยเยี่ยงนี้ ฮิตเล่อร์สามารถเรียกผู้คนให้เข้ามาฟังได้มาก สมดังกับที่เป็นดาว..
เขาเริ่มตีหนัก..ในข้อคับแค้นของประเทศที่เขา เรียกว่า Beggar Nation อันสืบเนื่องมาจากผลของจากสนธิสัญญาแวร์ซายย์ และ การพูดทุกครั้งนั้น เขาไม่เคยละเว้นในการจิกตีพวกยิว..และยกย่องสายเลือดเยอรมันจนบาง ครั้งออกจะผิดหูของคนบางคน ถึงกับต้องสะกิด
Karl Mayr และกระซิบบอกใครต่อใครว่า
"จับตาดูๆมันหน่อยนะ ไอ้หมอนี่มันพูดอะไรแปลกๆว่ะ"
ในที่สุด ผู้กอง Karl จึงให้ฮิตเล่อร์เขียนรายงานเรื่องชาตินิยมมาให้ดูกันหน่อย..และเขาต้อง ประหลาดใจเป็นอย่างมาก ที่ข้อรายงานนั้นเต็มไปด้วยความเคียดแค้นที่มี ต่อยิว..อย่างมากมาย
(หมายเหตุ..เพราะหลังจากสงคราม ยิวระดับปริญญาทั้งหลายได้เข้ามาเป็นใหญ่เป็นโตมากมาย ถึงกับร่างกฎหมายออกมาใหม่ คือ ยกเลิกกฎข้อห้ามจำกัดสิทธิต่างๆที่ชาวยิวเคยได้รับ..ทั้งในด้านการค้าและการ เมือง มีศักดิ์และสิทธิเทียบเท่ากับพลเมืองเยอรมันในทุกประการ)
เพราะว่าในสามเดือนหลังจากที่ สัญญาทาสแวร์ซายส์ได้ถูกลงนามแล้วนั้น เยอรมันมีเวลาสามเดือนที่ต้องลดขนาดของกำลังพลให้มาอยู่ที่สองแสน (ในขั้นแรก)
แต่สถานะการณ์บ้านเมืองเรื่องของการจราจลและความขัดแย้งยัง มีอยู่มากมาย รัฐบาลจึงต้องเลี้ยงพวก"ทหารไร้ยศ"เอาไว้เป็นฐานกำลัง
ฮิตเล่อร์จึงต้องไปพูดปลุกขวัญกำลังใจพวกทหารเหล่านี้ ซึ่งเขาเขียนไว้ใน Mein Kampf ว่า..
"ได้พูดทุกอย่างออกมาจากใจ และด้วยความรักชาติอย่างแท้จริง" สิ่งที่เขาไประบายออกไปสู่เพื่อนร่วมชตากรรม นั้น คือความที่ถูกเอารัดเอาเปรียบในสัญญาทาส และที่สำคัญคือ.ความหวังในการกอบกู้ประเทศชาติให้กลับมาเป็นใหญ่อีกครั้ง..
จนในวันที่ 12 พฤศจิกายน เขาได้มีโอกาสไปร่วมฟังการอภิปรายในพรรคเล็กๆพรรคหนึ่ง ชื่อว่า..German Workers's Party ซึ่งหลังจากสงครามกลางเมืองมานั้น..รัฐบาลให้โอกาสกับ ประชาชนที่จะจัดตั้งพรรคเล็กพรรคน้อยเพื่อการพบปะหารือกันตามชอบใจ รวมไปถึงอดีตทหารอย่างฮิตเล่อร์ด้วย ที่การพบปะหารือส่วนใหญ่นี้ มักจัดกันตามร้านกาแฟบ้าง ร้านเบียร์ บ้าง..
คราวนี้ฮิตเล่อร์แต่ง ตัวซะหล่อในสูทสีน้ำเงิน(ตัวเก่ง) และได้ไปปรากฎตังที่..Sternecker Brewery
(ตอนนั้นการพบปะแบบนี้กำลังเป็นที่นิยม เรียกว่า Biertischpolitik = Beer-table politics]
วันนั้น..ผู้นำการอภิปรายคือ Deitrich Eckart นักเขียน(ขวาจัด)ที่ค่อนข้างมีชื่อ และคนที่เขารู้จักอีกคนหนึ่งคือ Gottfried Feder(Anti-Capitalist) น้องเมียของ ศาสตราจารย์ von Muller ผู้ฟังที่ มาร่วมนั้นมีแค่ ไม่ถึงยี่สิบคน ต่างสาขาวิชาชีพกันมา
Eckart พูดอยู่คนเดียวร่วมสองชั่วโมง..ซึ่งฮิตเล่อร์เห็นว่า น่าเบื่อ น้ำท่วมทุ่ง..แต่ก็ต้องทนฟังจนจบ เพราะ ต้องกลับไปทำรายงานส่งหน่วย..
แต่ ก่อนกลับก็ต้องเอาซะหน่อย..เขาลุกขึ้นยืนแนะนำตัวเอง..แล้ว กล่าวถึงนโยบายในการเป็นไปได้ที่จะรวบรวเยอรมันเข้าเป็นปึกแผ่นดังเดิม ด้วย เหตุผลที่น่าเชื่อถือ น้ำเสียงเร้าใจ..ท่าทีเอาจริงเอาจัง..สะกดให้ทุก คนเงียบงัน..ระคนทึ่ง
จนรองหัวหน้าพรรค คือ Anton Drexler หัวหน้าหน่วยเทศบาลมิวนิค ถึงกับเข้ามาแสดงความยินดี และ..ขอร้องให้เข้ามาร่วมพรรค ซึ่งเขาขอเวลาศึกษานโยบายดูก่อน ก่อนที่จะลาจากพร้อมกับเอกสารของพรรคปึกใหญ่ในมือ
และหลังจากที่เขามาอ่านดูในนโยบายนั้น..มันใช่ เลย..ใช่ทุกอย่างในความคิดของเขาที่มี นั่นคือ การรวบรวมประชาชนชั้นกรรมกร ทหารผู้น้อย ชนชั้นล่าง ให้เข้ามาหากันดึงพวกเขาให้ออกมาจากการเชื่อถือในมาร์คซิสต์ ให้มาเป็นสังคมนิยมอย่างเยอรมันแบบเต็มฉบับ อันเป็นปฏิรูปใหม่ ที่ ผู้ค้า..ผู้ปลูกและผู้ผลิต ต้องดำเนินการร่วมกัน
เขาจึงตกลงใจในการเข้า ร่วมพรรคกับ Drexler
แต่เหตุผลจริงๆแล้ว..ความสามารถในการพูดปลุกระดม ของเขานั้น น่าจะไปร่วมพรรคใหญ่ๆได้ หากแต่..เขาเองที่รู้ดีว่า ในสภาพของ"การด้อยศึกษา"ของเขานั้น จะไปไหนไม่ได้ไกล
จากประสบการณ์ที่ ได้รับมา คือ เขาเคยไปพูดในพรรคที่มีชื่อเสียง หากแต่..พบว่า ระหว่างที่เขากำลังพูดนั้น พวกบรรดา ปัญญาชน หรือพวกที่เรียกตัวเองว่า อิน เทเลคฌ่วล ต่างพากับเดินออกไป หรือถ้านั่งอยู่ ก็ไม่ได้สนใจฟังแต่อย่างใด..
ซึ่งในจุดนี้..เขามักถามแกมท้าทายตัวเองว่า..ระหว่าง การศึกษากับคุณภาพและพรสวรรค์ของคน นั้นอย่างไหนจะไปได้ไกลกว่ากัน
พวกปัญญาชน มักยึดถือ ยึดมั่น กับความรู้ที่เรียกว่า necessary knowledge ที่ทางสถาบันยัดเยียดใส่มาให้ในสมองซึ่งเขาเหล่านั้น ชอบตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นของตัวเองในด้านประกาศนียบัตรแห่งวิชาที่ได้รับ..โดยการที่ดูถูกคนอื่นที่ด้อยกว่า
หากแต่ เขาเชื่อว่า คนเหล่านั้นจะไม่มีวันถามตัวเองเป็นเด็ดขาด ว่า..แล้วเอาวิชาที่มีมาทำอะไรให้งอกเงยได้บ้างล่ะ..? เพราะ..น้อยคนนัก ที่จะหาคำตอบให้กับตัวเองได้
(สาบานว่าไม่ได้เขียนเองนะ..ใน Mein Kampf เขาใช้คำว่า stupidity and pride จริงๆ)
|