dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนเก้า และตอนสิบ

ตอนนี้เริ่มจะเข้าสู่ยุคของสงครามโลกครั้งที่สองของเยอรมัน เพราะ นั่นคือสิ่งที่ฮิตเล่อร์ต้องการ..
รัสเซียเองก็เริ่มไหวตัว ถึงกับรีบติดต่อเจรจากับอังกฤษและฝรั่งเศสเพื่อร่วมเป็นพันธมิตรต่อต้านเยอรมันในเดือน เมษายน 1939
เพราะหลังจากเยอรมันได้ดินแดนส่วนหนึ่งตามการจัดสรรแล้วก็ยังไม่พอใจ
เพียงไม่กี่เดือนต่อมาก็ยังฮุบส่วนที่เหลือของเชคโกไปอย่างหน้าตาเฉย
และที่แน่ๆ..นั่นคือ เป้าหมายต่อไปคือโปแลนด์อย่างแน่นอน นั่นก็หมายถึงว่า มาจ่อคอหอยรัสเซียดีๆนี่เอง

แต่เนื่องจากการติดต่อสื่อสารนั้นไม่ได้ใจความหรือไม่เอาอ่าวเสียเลย

ในรัฐบาลของอังกฤษยุคของท่านนายก Neville Chamberlain (ที่ดูท่าทีเหมือนกับว่ากลัวสงครามจนหัวหด
หรือกลัวการที่จะต้องติดต่อกับคอมมิวนิสต์รัสเซียก็ไม่รู้) เลยไม่มีการตกลงอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งลงไป

ส่วนฮิตเล่อร์นั้น..ไม่ได้หายใจทิ้งรอให้เวลาผ่านไปเฉยๆ
แผนการขยายดินแดนของเขานั้น ได้กระทำอย่างรวดเร็วจนใครต่อใครตั้งตัวแทบไม่ทัน..

มาเล่าถึงเรื่องการเขมือบประเทศเชคโกฯที่เหลือก่อน..

เดือนมกราคมของปีรุ่งขึ้น คือ 1939 ฮิตเล่อร์ได้สร้างเสริมกำลังกองทัพเรืออย่างเต็มที่ มากกว่าหน่วยอื่นใดในกองทัพ
ซึ่งเป็นความเห็นชอบของเกอริงเช่นกัน และ เขาได้จัดการ "สัมมนาสงคราม" ในหมู่ทหารในกองทัพอย่างต่อเนื่อง
ครั้งแรกของการสัมมนา..คือ ระหว่างเขากับนายทหารยศนายร้อยกว่า 3000 นาย
ครั้งที่สอง คือ ระหว่างเขาและเหล่าขุนพลระดับนายพลกว่าสองร้อยนาย
แน่นอน..การพูดทุกครั้งย่อมต้องมีการย้ำเตือนถึงความสำเร็จใน Rhineland และ Czechoslovakia
และทุกคนต้องเตรียมตัวสำหรับเป้าหมายต่อไป นั่นคือ Poland ซึ่งจะใช้โค๊ดว่า "ปฏิบัติการสีขาว" (Operation White}

แต่..เชคโกฯ นั้น ยังไม่ได้เป็นสมบัติของเยอรมันทั้งหมด นี่คือปัญหา?
แล้วจะปล่อยให้คาใจอยู่กระไร ??
เขาจึงคิดแผนการที่จะฮุบทั้งหมดโดยด่วน โดยการที่ให้นายริบเบนทรอป รมต.ต่างประเทศจัดการส่งสาสน์ไปว่า
รัฐบาลเยอรมันมีความจำเป็นต้องส่งกำลังทหารเข้าไปควบคุมในส่วนที่เหลือ เพื่อเสถียรภาพ และยังเป็นผลดีอีกซะด้วย ที่ประเทศเชคโกไม่ต้องเลี้ยงดูกองทัพให้สิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินต่อไป..
เพราะ จากนี้ไป ทหารเยอรมันจะช่วยดูแลให้
(นี่คือข้อความที่อ่านตามสาสน์นำเสนอ แต่เนื้อความนั่นก็คือ ยอมให้ยึดซะดีๆ)
พร้อมทั้งเชิญประธานาธิบดี Emil Hacha และคณะให้เดินทางโดยรถไฟจากกรุงปรากเข้ามาพบปะหารือเจรจาที่กรุงเบอร์ลินในวันที่ 14 มีนาคม ซึ่งกว่าคณะจะเดินทางถึงก็ตกไปเที่ยงคืนโน่นน...
 

Hitler and Emil Hacha

 

ฮิตเล่อร์ให้เหล่า SS ต้อนรับเป็นอย่างดี แต่ตัวเขาปล่อยให้พวกนี้ได้แต่นั่งคอยแล้วคอยเล่าในห้องรับรองจนถึงตีหนึ่งกว่าๆ

นายริบเบนทรอป จึงมาตามว่า..ท่านผู้นำอนุญาตให้เข้าพบได้
ในขณะนั้น ฮิตเล่อร์กำลังนั่งดูภาพยนตร์เรื่อง Ein Hoffnungsloser ซึ่งแปลได้ว่า ความสิ้นหวัง
ซึ่งช่างเหมาะสมกับสถานะการณ์ในตอนนั้นของชาวเชคฯซะนี่กระไร
ฮิตเล่อร์ได้บอกกับประธานาธิบดี ฮาชา ว่า เขาตั้งใจรวบรวมประเทศเชคที่เหลือทั้งหมดให้เข้ากับเยอรมัน ภายในวันที่ 15 มีนาคม เวลา หกโมงเช้า
ท่านประธานาธิบดีพยายามที่จะจะยกหูโทรศัพท์ไปสั่งการแจ้งให้รัฐบาลเชคฯได้รับรู้ในตอนตีสี่
แต่กลับได้รับรายงานกลับมาว่า.. ทหารเยอรมันก็เข้าไปควบคุมทุกหน่วยในเชคโกเรียบร้อยหมดแล้วภายใต้การ
นำของนายพล Keitel
ซึ่งสิ่งเดียวที่ผู้นำของเชคโกสามารถทำได้อย่างเดียวในตอนนั้นคือพาคณะทั้งหมดเข้าพบแสดงความสวามิภักดิ์ต่อฮิตเล่อร์ ในฐานะประเทศราชรายล่าสุด ในวันที่ 16 มีนาคม เวลาเที่ยงตรง !!

ฮิตเล่อร์ขีดกากะบาทลงไปในอีกประเทศหนึ่งในรัศมีอำนาจการครอบคลุมยุโรปของนาซี เขาได้จัดขบวนตู้รถไฟพิเศษเดินทางจากเบอร์ลิน
ไปยังกรุงปรากเพื่อรับการสาบานตนจากบรรดาข้าราชการและนักการเมืองชาวเชคฯ ณ.ที่ปราสาท Hradcany
อันเป็นที่พักรับรองส่วนตัวของประธานาธิบดี
ทุกอย่างที่กล่าวมานี้ เสร็จสิ้นในเวลาสองวันเอง..

จากกรุงปราก..ฮิตเล่อร์นั่งรถไฟไปยังเวียนนา ไปพักที่โรงแรม Imperial และที่นั่นเองเขาได้เขียนแผนที่ใหม่ให้กับ
ชาวโลก นั่นคือการแยกรัฐ Slovakia ออกมา แต่สองอาทิตย์ให้หลังเขาก็เขียนแปลนใหม่ นั่นคือ เรียกดินแดนชายท่า Memel ที่อยู่ในความดูแล ของ Lithuania (ตามสนธิสัญญาแวร์ซายย์ได้ให้ไว้) กลับคืนมาเป็นสมบัติของ
เยอรมันดังเดิม
หลังจากที่การส่งดินแดนคืนตามคำบัญชาอย่างฉับไวนั้น ฮิตเล่อร์ถึงกับจัดเรือเดินสมุทร Deutschland ออกทัวร์ดูการ "กลับมา" ของพื้นที่ที่เคยคิดว่าตกน้ำป๋อมแป๋มหายไปจากอ้อมอกเยอรมันแล้วนั้นด้วยความยินดี
ปรีดิ์เปรม เพราะเมืองท่าเหล่านี้..เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญยิ่งของทัพเรือ และทัพอากาศ ในสงครามที่จะเปิดขึ้นใน
เร็ววัน
และเป้าหมายแอบแฝงนั้นก็คือ เป็นการยั่วโทสะของรัฐบาลโปแลนด์อย่างได้ผลที่สุด เพราะ ถ้าเยอรมัน
เข้าไปครอบครองพื้นที่ Memel ได้แล้วละก้อ
นั่นหมายถึง Danzig ทางออกสู่ทะเลของโปแลนด์อาจถูกปิดกั้นได้เช่นกัน
รัฐบาลโปล์จึงขู่ฟ่อ ฟ่อ ว่า..ถ้าหากคิดจะก้าวเท้าเข้ามายุ่งกับ Danzig ละก้อ รับรองได้เกิดศึกแน่ !!
ซึ่งข้อความนี้..เล่นเอาฮิตเล่อร์หัวเราะงอหายไปเลยทีเดียวเจียว !!


ที่ฮิตเล่อร์ต้องขำกลิ้งแบบนั้น เพราะ จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ทำให้ทุกคนได้รู้ว่า ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส ที่ใครต่อใครทั่วโลกเรียกว่ามหาอำนาจนั้น
แท้จริงแล้ว..ไร้น้ำยาสิ้นดี
อย่างกรณีของเชคโกฯที่เคยพูดว่าจะให้การดูแลคุ้มครองอย่างงั้นอย่างงี้ พอเอาเข้าจริงๆ วิ่งเข้ามาขอออมชอม ขอแบ่งโน่นแบ่งนี้
ครั้นถึงเวลาฮุบส่วนของที่เหลือ ก็ยังทำเฉย ไม่โวยวายอะไรสักนิด ไม่กล้าหือสักแอะ
แล้วประเทศโปแลนด์เล็กเนี่ยๆ จะไปมีปัญญาอะไรมาต่อสู้...โอย..ขำง่ะ!!

ถึงแม้ว่าเสียงจากลอนดอน จะมีแว่วมาเข้าหูบ้างว่า ถ้าแตะโปแลนด์เมื่อไหร่ เกิดเรื่องแน่ แต่ ฮิตเล่อร์ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
แถมยังส่งสาสน์ไปยังรัฐบาลโปแลนด์อย่างฉันท์มิตรในเดือนมีนาคมอีกด้วยว่า
เอางี้..ยกดินแดนส่วนของ Danzig มาให้ดีๆก้อแล้วกัน เยอรมันจะได้รวมพื้นที่ตรงนั้นไปกับ East Prussia ไปเลย
พวกโปล์ก็อยู่กันไปแบบเดิมๆ เหมือนเมื่อก่อน ทะลงทะเลอะไรก็ไม่ต้องมี ไม่ต้องใช้ จะเป็นอะไรไปล่ะ!!
แต่รัฐบาลโปแลนด์ รู้ดีว่า ในที่สุด ฮิตเล่อร์ก็เข้ามายึดครองหมดจนได้ เหมือนกับที่เคยทำกับประเทศเชคโก ,กับ เมเมล จึงตอบกลับไปว่า go to hell เหอะ.. ฮิตเล่อร์เอ๋ย !!


มาถึงตรงนี้ บรรดาเหล่าทหารชั้นนายพลทั้งหลายคิดว่า อย่างน้อยๆฮิตเล่อร์น่าจะชะลอดูสถานการณ์อื่นๆก่อนที่จะชักธงรบ
เพราะนายพล Keitel แสนที่จะอึดอัดใจ เนื่องจากอาวุธที่เร่งผลิตทั้งหลายนั้น มีมากมายก็จริงอยู่ แต่เหล่าขุนพลที่เชี่ยวชาญกลศึกในสงครามขนาดใหญ่นั้น ต่างลาออกบ้าง
ถูกปลดบ้างนั้นมีจำนวนมากมาย
เขาจึงเตือนท่านผู้นำว่า
กองทัพที่เข้มแข็งต้องขึ้นอยู่กับหน่วยเสนาธิการที่มีประสบการณ์ และยิ่งกำลังจะเปิดศึกสองด้านแบบนี้ กำลังพลต้องพร้อมเต็มที่
ฮิตเล่อร์สะบัดหน้าพรืด..ตอบสวนไปว่า..ไม่เชื่อหรอก เรื่องนี้มันเป็นนิยายหลอกเด็ก ฝึกทหารให้ไปรบมันเรื่องหมูๆ เอาหน่วย SS ไปสอนให้ก็ได้

นี่คือคำตอบที่มาจากปากของฮิตเล่อร์อย่างแท้จริง..เพราะ เขาเคยผ่านสมรภูมิแบบเสี่ยงตายมาก่อนในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
แต่.....เขาก็เป็นแค่สิบโทที่คอยมีหน้าที่วิ่งส่งสาสน์ในคูเพลาะ.. ไม่ใช่นายพล ที่จะมาเข้าใจลึกซึ้งในเรื่องตำราพิชัยสงคราม
จริงอยู่..ในสงครามระยะเบื้องต้น ทหารเยอรมันได้ทำหน้าที่อย่างดี เข้มแข็งห้าวหาญอย่างไม่ที่ติ
แต่ในระยะหลังๆของกำลังพลที่เข้ามาเสริมตัวตายตัวแทนนั้น..ฝีมืออ่อนอย่างเห็นได้ชัด เพราะการขาดการอบรม
ปลูกฝังให้"รู้แบบหยั่งลึก"ในกลศึก
ทุกคนสู้..เพียงเอาชีวิตตัวเองให้รอดเพียงเท่านั้น หาใช่เพื่อประเทศชาติ หรือ เพื่อผู้นำแต่อย่างใด !!

ข่าวจากลอนดอนส่งมาอีกครั้งในวันที่ 31 มีนาคม เรื่องการรับรองเสถียรภาพของโปแลนด์ ซึ่งทำให้ฮิตเล่อร์โกรธจนหนวดกระดิก
เผอิญวันนั้นเป็นวันที่ต้องไปทำการปล่อยเรือรบ Tripitz ลงน้ำพอดี สุนทรพจน์ที่ร่างไว้ต้องฉีกทิ้ง เปลี่ยนใหม่หมด

คราวนี้ เขาพูดคนเดียวยาวถึงสองชั่วโมง
ใจความว่า อย่าว่าแต่โปแลนด์ที่อยู่ทางตะวันออกเล๊ยย..สงครามทางฝั่งตะวันตกก็จะเกิดขึ้นเช่นกัน ไม่นานเกินรอ
พร้อมทั้งส่งสัญญาณไปยังเหล่าขุนพลของตัวเองว่า วันที่ 1 กันยายนนี้แหละ เตรียมตัวให้พร้อม..บุกโปแลนด์
ฝ่ายอเมริกา..ประธานาธิบดี รูสเวลต์ ก็ทนนั่งนิ่งๆต่อไปไม่ได้ ส่งจดหมายด่วนมาถึงฮิตเล่อร์ ทำนองว่า ขอให้อย่ามีการทำสงครามเลย  เจรจาด้วยสันติเถิด !!

ฮิตเล่อร์ ได้ถากถางท่านผู้นำสหรัฐกลับไปอย่างสะใจ ว่า..ทำไม.ตัวเองมายุ่งอะไรกะเค้าด้วย.อังกฤษหรือโปแลนด์ไปฟ้องหรือยังไง ถึงกับต้องติดต่อข้ามทวีปมาเนี่ย ??
แถมยังโชว์ออฟอำนาจอวดอเมริกา ด้วยการจับมือเป็นพันธมิตรอย่างเป็นเรื่องเป็นราวกับมุสโสลินีซะอีก ในวันที่ 22 พฤษภาคม ด้วยสัญญาที่เรียกว่า สองแรงเหล็กกล้า {Pact of Steel}
และในวันรุ่งขึ้น คือ 23 พฤษภาคม เขาเรียกประชุมเหล่าขุนพลทั้งหมดโดยพร้อมเพรียงกัน ประกาศให้ทราบว่า
เตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ดีๆ สงครามกับ โปแลนด์ อังกฤษ ฝรั่งเศส กำลังจะเกิด
และขอย้ำให้ทุกคนจดจำไว้ว่า......
เป้าหมายหลักของสงครามครั้งนี้คือ การสยบอังกฤษให้มาอยู่ที่แทบเท้าของเยอรมันให้จงได้ !!

จากวันนั้นเป็นต้นมา โรงงานทั่วเยอรมันต่างผลิตอาวุธกันแบบเร่งวันเร่งคืน
เมื่อสงครามโลกครั้งที่แล้ว เยอรมันจัดว่าเป็นประเทศที่ผลิตอาวุธได้มากเป็นอันดับหนึ่งของโลก คราวนี้ มากกว่าครั้งที่แล้วกว่าเท่าตัว

และอีกอย่างหนึ่งที่ฮิตเล่อร์สามารถทำให้คนช๊อคได้ทั้งโลก นั่นก็คือ การจับมือเป็นมิตรกันกับศัตรูตัวเอ้..สตาลินแห่งรัสเซีย ในเดือนสิงหาคม
การจับมือกันครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาสุภาพบุรุษที่จะไม่ยุ่งเรื่องของกันและกัน เยอรมันจะบุกโปแลนด์ แล้วอังกฤษ
ฝรั่งเศส จะมาแจมด้วย
รัสเซียก็อย่ามาแทรกแซง อยู่เป็นคนดูเฉยๆ แล้วเวลาชนะจะมีรางวัลให้ นั่นคือ ดินแดนส่วนหนึ่งแนวชายแดนที่ติดกันกับแม่น้ำ Narew, Vistula, และ San
ทุกอย่างก็โอเค ตามนั้น..
ถามว่าทำไมรัสเซียจึงพูดได้ง่ายๆแบบนั้น เพราะเหตุว่าในช่วงปี 1939 รัสเซียยังอยู่ในสภาพที่กำลังจะฟื้นตัว ยังไม่พร้อมต่อสงครามใดๆ เพียงแต่ฮิตเล่อร์ไม่รู้เรื่องราวภายในหลังม่านเหล็กอย่างลึกซึ้งเพียงพอ
และคนอย่างสตาลินนั้นฉลาดลึกซึ้งนัก หลังจากการเซ็นสัญญาเขาได้บอกกับหมู่แม่ทัพว่า..นี่คือการซื้อเวลายืดไปอีกอย่างน้อย
สองปี มาถึงตอนนั้น เราก็คงพร้อมได้ทำศึกกับเยอรมันแน่นอน เพราะ ฮิตเล่อร์มันไม่ปล่อยเราไว้ดูเล่นร๊อกกก...

ตลอดฤดูร้อนนั้น ฮิตเล่อร์หมกมุ่นอยู่แต่กับการที่จะเข้ายึดครองโปแลนด์แบบรวดเร็วให้ประหนึ่งสายฟ้าแลบ มีการประชุมขุนพลเรียงติดกันอย่างถี่ยิบ
แต่บรรดาทหารหาญที่เข้าร่วมประชุมทั้งหมด..ไม่ประทับใจในการวางแผนของท่านผู้นำแต่อย่างใด ทุกคนเงียบกริบไม่มีใครออกความเห็นใดๆ
เพราะ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคำว่า "ถ้า"
ถ้า...เผื่อว่า มัวแต่ไปตีโปแลนด์ อังกฤษ กับฝรั่งเศสยกทัพมาอัดหลังบ้านล่ะ จะทำอย่างไร มิต้องย้ายกองทัพกลับมารบทางตะวันตกอีกหรืออย่างไร?
ฮิตเล่อร์ก็ว่า..โอย..ไม่ต้องห่วง ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง อิตาลีเกลอเรา ก็ต้องยกทัพมาตีปะทะให้เองแหละ ก็แหม..เซ็นสัญญากันไว้แล้วไง จำไม่ได้เหรอ เดี๋ยวจะส่งจดหมายไปย้ำเตือนท่านมุสโสลินีให้ !!
"แน่นะ?" นายพลทั้งหลายย้ำ
"อ๋อ..แน่ซิ"

แต่ก่อนวันยกทัพไปเพียงไม่กี่วัน..นายพล Keitel ก็ถูกเรียกตัวให้ไปพบกับฮิตเล่อร์เป็นการด่วน เพราะมีจดหมายตอบกลับมาจากอิตาลี ท่าน IL Duce ว่า
"พระเจ้าอยู่หัว(หมายถึง king Victor Emmanuel III แห่งอิตาลี) ท่านไม่มีพระประสงค์ที่จะให้มีการเคลื่อนทัพไปไหนทั้งสิ้น เลยทำอะไรไม่ได้เลยง่ะ โทษทีละกัน"
นี่คือกลข้อแก้ตัวอย่างง่ายๆของมุสโสลินีจอมเจ้าเล่ห์ แต่มีการแทงข้างหลังแบบเล็กๆติดตามมาว่า
"ถ้าจะให้ลองพยายามก็พอมีทางนะ..จะทูลถึงความจำเป็นให้ แต่ทางเราก็มีความจำเป็นมากเช่นกัน เนื่องจากกองทัพของเราขาดวัตถุดิบมากมาย เช่น ยางพารา ตะกั่ว ทองแดง ดีบุก เหล็กด้วย
เยอรมันพอมีแบ่งให้มั่งหรือเปล่าล่ะ?"
ฮิตเล่อร์ถึงกับเข่าอ่อน..เพราะ คราวนี้ใครจะมาช่วยยันทัพด้านหลังให้ แม้จะฉุนอิตาลีขาดขนาดไหนในยามนั้น เขาทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่าสั่งการให้นายพล Keitel ว่า
"ช่วยๆไปดูซิว่า ข้าวของที่ขอมา..พอมีแบ่งให้เค้าป่าวว??
เพราะขืนข่าวรั่วออกไปว่า อิตาลีจะไม่มาร่วมยกทัพจับศึกในครั้งนี้ อังกฤษเป็นได้ตลบหลังแน่ๆ !!

และขอให้รู้ไว้ก่อนว่า นี่คือ ฮิตเล่อร์ที่ยังอยู่ในระหว่างลักไก่เช่นกัน ลึกๆแล้ว ทุกอย่างคือการขู่เท่านั้น (กับประเทศเล็กๆ) เพราะเขาไม่ต้องการสงครามที่จะต้องมาสิ้นเปลืองกำลัง ทรัพยากร
กำลังทหารกับสิ่งที่ไม่จำเป็น
แถมประชาชนชาวเยอรมันทั้งประเทศก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำไป..ว่า จะมีสงครามเกิดขึ้น
ทุกคนคิดแต่เพียงว่า ท่านผู้นำฮิตเล่อร์ช่างแสนดี แสนรักชาติ รักประชาชน ถึงขนาดยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้
ประเทศกลับมารวมตัวดังเดิมไม่ได้คิดที่จะไปรุกรานใครเขาซะที่ไหน

และโปแลนด์ก็คือการ "ลองของ" เพราะ ถ้าอังกฤษไม่น่าจะมาแคร์อะไรกับประเทศที่มียิวตั้งกว่าสามล้านคน มันไม่มีประโยชน์เลยสักนิดกับประเทศอย่างสหราชอาณาจักร
แต่..มันมีประโยชน์มากสำหรับตัวเขา และเศรษฐกิจของเยอรมัน ที่จะเข้าไปยึดทรัพย์พวกยิวทั้งหมด รวมไปถึงทรัพยากรอื่นๆด้วยเช่นกัน
จากนั้นไป..กองทัพเยอรมันก็จะเข้มแข็ง พร้อมที่จะทำศึกสงครามเพื่อที่จะครองโลกตามความฝัน
เขาเชื่อว่า พอใกล้ๆวันจะบุก..เดี๋ยวอังกฤษก็ต้องวิ่งมากราบกรานกันให้วุ่นวายไปอีกแน่ๆ
แต่เขาก็รอแล้ว รอเล่า คราวนี้อังกฤษไม่ได้ส่งทูตสันติมาดังเคย แผนที่จะเข้าบุกโปแลนด์ก็เลื่อนแล้วเลื่อนอีกเช่นกัน
ส่วนนายพล Keitel ก็วิ่งหา "ของ" ให้อิตาลีจนฝ่าเท้าแทบพลิก ก็ไม่มีทางหาให้ได้ครบตามจำนวนที่ขอมา
เพราะมันช่างมากมายมหาศาล
แม้กระทั่ง ทูตอิตาลีประจำเบอร์ลิน ยังสงสัยว่า ประเทศของตัวจะเอาไปทำอะไรกันมากมายขนาดนี้
ฮิตเล่อร์ เอง..ก็รู้ซึ้งแก่ใจดีว่า ..มันเป็นเพียงแผนการที่จะหลีกเลี่ยง บ่ายเบี่ยงสัญญาของมุสโสลินีเท่านั้น !!

     
ฮิตเล่อร์ชะเง้อคอยทูตจากอังกฤษ หรือไม่ก็จากโปแลนด์ก็ยังดี วันแล้ววันเล่า ก็ไม่เห็นมีใครมา..จนทนไม่ไหว
ยิ่งคอยไปยิ่งเสียหน้า อายพวกทหารแย่เลย..
วันที่ 1 กันยายน ตอนรุ่งสาง กองทัพอากาศนาซีเข้าโจมตีทิ้งระเบิดเส้นทางรถไฟของโปแลนด์ เป็นการเปิดฉาก
อเมริกา..เรียกร้องให้ฮิตเล่อร์หยุดการกระทำบ้าๆเสีย..
ฮิตเล่อร์ตอบไปว่า..ขอดีๆไม่ให้ ก็ต้องเล่นกันอย่างเงี้ยะ!!
อังกฤษ..ส่งสาสน์มาให้เยอรมันเคลื่อนย้ายทัพออกไป โดยให้เวลาถึง 11.00 ในวันที่ 3... มิฉะนั้น...
ฝรั่งเศส..ก็เช่นกัน ให้เวลาถึง 5.00 วันเดียวกัน..มิฉะนั้น...
ฮิตเล่อร์..ไม่ได้สนใจอะไรทั้งสิ้น เดินหน้าบอมบ์ต่อไป..เพราะ ไหนๆก็มาถึงป่านนี้แล้ว อีกทั้ง อังกฤษกับฝรั่งเศสนั้นเป็นที่รู้ๆกันว่า ไม่มีน้ำยา
แต่พอเลยชั่วโมงเส้นตายไปแล้ว..ฮิตเล่อร์ก็ต้องพบกับความประหลาดใจ (หรือดีใจก็ไม่รุ)
ว่า..อังกฤษ และ ฝรั่งเศส ได้(กล้า)ประกาศสงครามกับเยอรมัน ในวันที่ 3 กันยายน 1939 นั่นเอง !!

(เล่าแถมนิดว่า..รัสเซียในยุคการตั้งตัวของสตาลินนั้น นองเลือดยิ่งกว่าของฮิตเล่อร์ซะอีก ในปี 1934-1939 นั้น
นาย Sergei Kirov ที่สตาลินรักอย่างกับลูกชายคนหนึ่ง..แต่ดันเกิดมามีอุดมการณ์ที่ไม่ตรงกันในทีหลัง..เลยถูกลอบสังหารซะจากนั้นมาที่ต้องมีการสังหารผู้คนวงใน cabinet มากมาย..
เพราะ สตาลินไม่ต้องการให้แนวความคิด ความอ่านแตกแถวออกไปจนนอกลู่นอกทาง..
เอาไว้จะมาเล่าอีกทีในรายละเอียดนะคะ..อาจต้องตั้งเป็นกระทู้ใหม่
ในเรื่องของ Lenin ต่อด้วย Stalin ทีเดียวเจียว
รวมไปถึง..เรื่องของสายลับในช่วงของสงครามโลกครั้งที่สองนั่น โอ้โห..เยอะมาก และ รับรองว่านิยายของเจมส์ บอนด์ ที่ว่าสุดยอดแล้วนั้นเทียบไม่ได้เลย..เอาตั้งแต่โรงงานผลิตอาวุธใต้ภูเขา ใต้ดิน อะไรเนี่ย
เยอรมัน อังกฤษทำมาก่อนนานแล้ว....แล้วจะเอามาแทรกเล่าให้ฟัง.....วิวันดา)

     Stalin - Kirov


การประกาศสงครามครั้งนี้ นับว่าเป็นสิ่งที่น่าอัปยศที่สุดของมหาอำนาจอย่าง
อังกฤษและฝรั่งเศส เพราะ กลายมาเป็นเรื่องโจ๊กล้อเลียนกันไปทั่วโลก ว่า สงครามขี้จุ๊ หรือ The Phony War
เนื่องจาก..หลังจากที่ฝ่าย สพม.ประกาศสงครามเสร็จ ฮิตเล่อร์พกความมั่นใจเกินร้อย ขึ้นรถไฟไปตั้งกองบัญชา
การรบที่ชายแดนโปแลนด์ทันที
การสู้รบครั้งนี้ ต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นการรบที่น่าอเน็จอนาถอย่างยิ่ง ทหารม้าชาวโปล์นับพันนับหมื่น ต้องออกมาสู้กับหน่วยรถถังปันเซ่อร์ที่ทรงอานุภาพของเยอรมัน..
ตายกันเกลื่อนทั้งม้าทั้งคน..

มันเป็นสงครามที่..แทบไม่เคยมีใครได้คาดคิดว่าจะได้พบได้เห็นมาก่อน..
นั่นคือ กองทัพของทหารร่วมล้านคน ที่มี
วิทยุสื่อสาร โทรศัพท์พกพาติดตัว.. โทรเลข..รถถัง ปืนกล อย่างพร้อมมูล ทุกอย่างคือการ ปฏิบัติการแบบสายฟ้าแลบ (Lightning War หรือ Blitzkrieg )
เพียงอาทิตย์เดียวเท่านั้น..ฮิตเล่อร์ก็ได้เข้าครอบครองโปแลนด์สมใจ
สิ่งที่นายพลทั้งหลายกลัวเกรงนักหนาว่า..ฝ่ายสพม.จะยกทัพอัดมาทางด้านตะวันตก ก็ไม่ได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด

เอาเพียงแค่ฝรั่งเศสที่ตอนนั้นถือว่า มีกองทัพที่มีแสนยานุภาพมากเป็นอันดับต้นๆของโลกนั้น ถ้ายกทัพเข้ามายึดครองอาณาเขตอุตสาหกรรม Ruhr ที่อยู่ชายแดนที่ไม่ได้มีการป้องกันอย่างใดนั้น
เยอรมันก็จบเห่..
แต่นี่ กลับทำเฉย..ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนๆทั้งที่ชาวยิวและชาวโปล์ถูกสังหารโหดนับหมื่นนับแสน
ทหารฝรั่งเศสได้แต่นั่งๆนอนๆอยู่ในเขตแนวปราการ มาจีโนต์ รอลุ้นระทึกว่าเมื่อไหร่ ฮิตเล่อร์จะเลิกรบเสียทีเท่านั้น..

ส่วนฮิตเล่อร์ ..เพิ่งรู้ตัวว่าดำเนินการผิดพลาดอย่างร้ายแรง..ที่ดันไปจับมือเป็นภาคีกับสตาลิน เพราะตอนนี้เท่ากับว่ารัสเซียได้เข้ามายึดครองครึ่งหนึ่งของโปแลนด์ตามสัญญาสุภาพบุรุษ
ทั้งๆที่ไม่ได้ยิงปืนสักกะนัด..
แถมมิหนำซ้ำ..ยังได้ดินแดนส่วนสำคัญที่เต็มไปด้วยทรัพยากรและน้ำมันไปซะอีก..นั่นคือ Estonia, Lithuania, Latvia
ซึ่งใน Latvia นั้น มีชาวเยอรมันดั้งเดิมอาศัยอยู่นับแสน
แต่ส่วนที่ฮิตเล่อร์ได้มานั้น มีแต่ชาวโปล์(ยิว)ซะส่วนใหญ่
ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้ว..
นี่คือการผิดพลาดแบบ"สองเด้ง"ของการอ่านเกมส์สงครามไม่ออกของฮิตเล่อร์
เพราะ

หนึ่ง..ฮิตเล่อร์ไม่รู้เลยว่า ถึงแม้จะไม่เซ็นสัญญาจับมือกับสตาลิน ยังงั๊ย ยังงัย รัสเซียก็ไม่เข้ามาวุ่นวายแน่นอน
เพราะลำพังตัวเองก็จะเอาตัวไม่รอด เพียงแค่ฮิตเล่อร์กลัว สพม.ตีขนาบท้ายจนไม่คิดตรองให้ถี่ถ้วน

สอง..เพราะพลาดในข้อแรก..ทำให้ ฮิตเล่อร์ต้องมาหักหลังสตาลินทีหลัง ในการเข้าบุกรุกดินแดนดังกล่าว ทำให้
รัสเซียหันมาจับมือกับฝ่ายสัมพันธมิตร..ได้รับการสนับสนุนในทุกรูปแบบโจมตีกลับแบบดุเดือดทางซีกตะวันออกของเยอรมัน อันเป็นที่มาของความวายวอดแบบหมดรูปของสงครามโลกในครั้งนั้นของเยอรมัน



ฮิตเล่อร์และเหล่าขุนพล..เริ่มจับทางได้ว่า ฝรั่งเศสและอังกฤษ ไร้ซึ่งคนดีไปเสียแล้ว..ดังนั้น ควรพักทางตะวันออกไว้ก่อน
มาตีทางด้านมหาอำนาจตะวันตกดีกว่า..ว่าแล้ว ฮิตเล่อร์ก็เปลี่ยนแผนการกะทันหัน สั่งเคลื่อนย้ายทัพออกจากโปแลนด์โดยด่วน และประกาศต่อขุนทหารว่า เตรียมตัวให้พร้อม..
เราจะเข้าต่อตีกับฝรั่งเศสและอังกฤษในไม่ช้า   ฝ่ายนายทหารทั้งหลาย ต่างนั่งตะลึงอ้าปากค้าง..อารายกันวะเนี่ยยย..

ฮิตเล่อร์เลยถือเป็นโอกาสบรรยายว่า..นี่คือวินาทีที่ดีที่สุด เพราะ จากการเข้ายึดครองประเทศแล้วประเทศเล่า
ไม่มีการต่อต้านใดๆจากพวกตาขาวพวกนั้นเลย..แถมยังมาเสนอหน้าประกาศสงครามกับเรา..เชอะ
อย่ากระนั้นเลย..ไปเหยียบมันซะให้ราบคาบไปเลยดีกว่า สงครามครั้งนี้ จะเป็นการแก้แค้นให้กับความปราชัยของเยอรมันเมื่อครั้ง 1918 จะได้รู้ซะทีว่าเล่นกะใครไม่เล่น..ดันบังอาจมาเล่นกะเรา ..หนอยยย !!

อังกฤษเริ่มรู้ตัวนิดๆแล้วถึงควันสงคราม..เพราะเรือเดินสมุทรพานิชย์ถูกเรือดำน้ำของเยอรมันจมไปหนึ่งลำในเดือนกันยายน
อุณหภูมิแห่งโทสะเพิ่งจะเริ่มขึ้น จึงส่งทหารข้ามช่องแคบมาประจำที่ฝรั่งเศส 160,000 คน และให้การเสนอว่า
ฝ่ายกองทัพอากาศอังกฤษ (ต่อไปจะเรียกว่า RAF ที่ย่อมาจาก Royal Air force) สมควรไปบอมบ์เป้าสำคัญๆของเยอรมันซะให้ราบ..
(ซึ่งถ้าทำอย่างนี้เสียตั้งแต่ตอนที่เยอรมันบุกโปแลนด์ใหม่ๆ ผลของสงครามอาจหยุดอยู่แค่นั้น เพราะนี่คือสิ่งที่เกอริงกลัวที่สุด)
ฝรั่งเศส..รีบร้องห้ามเสียงหลง..ไม่ด๊าย ไม่ด้ายยย...ยูจะบ้าไปป่าววว..ถ้ายูทำอย่างงั้น แล้วเยอรมันมันบินมาบอมบ์กลับล่ะ บ้านเมืองไอก็เสียหายแย่ดิ..มันไม่ได้ไปบอมบ์ลอนดอนของยูนี่หว่า..ยูก็พูดได้ซิ !!

นี่คือความเห็นแตกแยกของสองมหาอำนาจ(?)
ฝรั่งเศสมีเหตุผลในการที่จะกลัวระเบิดทำลายมากที่สุด..เหตุผลคืออย่างใดนั้นเคยเขียนไว้แล้วในเรื่อง สงครามและ ไวน์ .. ถ้าอยากอ่านก็บอกมา จะได้เอามาโพสต์ให้อ่านค่ะ...วิวันดา

แต่ในยุคนั้น..สงครามของฮิตเล่อร์เป็นสงครามชนิดใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ครั้งไหน นั่นคือ เป็นการทำสงครามทางประสาทเสียส่วนใหญ่ โดยใช้วิทยุออกอากาศก่อกวนรายวัน
ที่ล้วนแล้วแต่เชื่อถือไม่ได้  หากแต่ในยามนั้น..ใครจะมารู้
ในขณะที่ยึดครองกรุงวอร์ซอ นั้น เกิบเบิลส์ ได้ออกอากาศว่า ท่านผู้นำฮิตเล่อร์ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าสันติ
ซึ่งเชื่อว่า..อังกฤษและฝรั่งเศสเข้าใจในข้อนี้ดี จึงมิได้ขัดขวาง หรือ นั่นอาจเป็นความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า..ที่ทำให้เยอรมันประสบความสำเร็จ
แต่ที่แน่ๆ..ฮิตเล่อร์รู้ดีว่า..ไม่ใช่พระเจ้า พระแจ้วอะไรที่ไหนหรอก..ผู้นำของประเทศต่างหากที่ไม่เอาไหน
ถ้าเมื่อไหร่ วินสตัน เชอร์ชิลล์ ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อไหร่..นั่นหมายถึงการระเบิดของสงครามชนิดแตกหักแน่นอน !!

ฮิตเล่อร์เรียกประชุมสงครามด้านตะวันตกในวันที่ 10 ตุลาคม และแถลงนโยบายว่า
ถ้าอังกฤษภายใต้ผู้นำคนใหม่ (บางที) และฝรั่งเศส เกิดทำการต่อต้านสู้รบในครั้งนี้ นั่นหมายถึงว่า นี่คือสงคราม
ครั้งยิ่งใหญ่ที่เราต้องเผชิญ ดังนั้น..สิ่งที่เราต้องเตรียมตัวคือ
1. จัดการเข้ายึดครอง Luxembourg, Belgium, Holland ให้ได้ในเร็ววันที่สุด
2. เข้าจัดการกับพื้นที่ในการควบคุมของทหารฝรั่งเศสให้หมด เพื่อที่จะเป็นทางสะดวกในการที่จะทำสงครามทั้ง
ทางเรือและทางอากาศกับอังกฤษ

ฮิตเล่อร์กลัวระยะการยืดของสงครามมากกว่าสิ่งใด เพราะ เวลาเท่านั้น ที่เยอรมันต้องการทำให้กระชับที่สุด
เพราะถ้ายิ่งทิ้งเนิ่นนานออกไป ฝ่ายที่ทำตัวเป็นกลาง เช่น อเมริกา รัสเซีย อาจเปลี่ยนใจมาเข้ากับพวก สพม.จะยิ่งยุ่งหนักหนา
เยอรมันมีทรัพยากรที่จำกัด ยิ่งถ้าเขต Ruhr เกิดถูกโจมตีแบบพินาศไป..นั่นเท่ากับเป็นการทุบหม้อข้าวของการเดินทัพเลยทีเดียว ยิ่งถ้าเป็นเชอร์ชิลล์บัญชาการทัพอังกฤษแล้วละก้อ..
แทงบัญชีไปได้เลยว่า..งานนี้ไม่มีหมู..!!

ทุกครั้งที่ฮิตเล่อร์เริ่มการประชุมของการโจมตีฝั่งตะวันตก เหล่านายพลเริ่มทำหน้าเมื่อย (ที่ต้องมาฟังอดีตสิบโทสอนวิชาการรบ)
แต่ผลก็ออกมาว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพิชิต Luxembourg, Belgium, Holland ให้อยู่หมัดก่อน เพื่อเยอรมันจะได้เข้าควบคุมสถานะการณ์ของ North Sea
สำหรับกองทัพอากาศ Luftwaffe จะได้ใช้จุดนี้สำหรับการเข้าโจมตีอังกฤษเสียให้สิ้นซาก

และเมื่อได้เข้าครอบครองฝรั่งเศส..นั่นก็หมายถึง การใช้ U-Boat คุมช่องแคบอังกฤษ และฝั่งแอทแลนติคได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
อังกฤษ..ก็คงเหลือแต่ชื่อ และประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ในหนังสือเท่านั้น !!

แต่เกียรติศักดิ์ของ U-Boat เยอรมันในประวัตินั้น มันช่างไร้ซึ่งศักดิ์ศรีเสียจนน่าอับอายที่จะกล่าวถึง เพราะ เคยล่มเรือโดยสารอังกฤษชื่อ Athenia ในวันที่ 3 กันยายน 1939 เพราะ
กัปตันเรือดำน้ำไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือ ซึ่งผู้โดยสารทั้งหมดดิ่งลงทะเลไม่มีใครรอด รวมทั้งชาวอเมริกันหลายสิบคนด้วย
ต่อมา..ในวันที่ 14 ตุลาคม ก็กลับมาตีสกอร์คืนได้  เพราะสามารถทำให้อังกฤษก็ต้องเสียหน้าอย่างยับเยินที่เรือรบ Royal Oak ถูกจมลงไปเช่นกัน
เล่นเอาฮิตเล่อร์ลุกขึ้นตีปีก..มองเห็นแววชนะอย่างใสแจ๋ว เพราะประสิทธิภาพของเรือดำน้ำเยอรมันเริ่มพัฒนาขึ้น

เขาสั่งการลงไปยังแม่ทัพเรือ นายพล Donitz ให้เพิ่มการผลิตเรือดำน้ำอย่างเร่งรีบ..
แต่เป็นเพราะ ฮิตเล่อร์ไม่มีความรู้ในเรื่องกองทัพเรือ อีกทั้งเรื่องของเรือดำน้ำในขนาดที่ต้องใช้งานให้เหมาะกับน่านน้ำต่างๆ
ความผิดพลาดจึงเกิดขึ้นอย่างมากมายสำหรับสงครามครั้งนี้
เช่น แม่ทัพ Donitz ต้องการเริ่มสงครามด้วยกำลังของเรือดำน้ำอย่างน้อยๆ 300 ลำขนาดใหญ่ แต่เท่าที่มีอยู่นั้นแค่ 50 ลำ
และแต่ละลำก็คือขนาดเล็ก 250 ตันที่เรียกว่า "canoes" ซึ่งการใช้งานนั้นเหมาะกับการลาดตระเวนระยะสั้น และในน่านน้ำระดับ North Sea เท่านั้น..ไม่ใช่สำหรับมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาลอย่าง แอทแลนติค
แต่ก็คงพอใช้งานได้ถูไถ สำหรับการนำทุ่นระเบิดไปดักวางกระจาย..เพราะจะว่าไปแล้วในระยะแรกของสงคราม
เรือที่จมส่วนใหญ่ ก็เพราะ โดนทุ่นระเบิดมากกว่าโดนทอร์ปิโดจากเรือดำน้ำ..

ถามว่า แล้วที่ฮิตเล่อร์สั่งๆน่ะ..นายพล Donitz ได้หรือเปล่า เรือดำน้ำ 300 ลำที่ว่าน่ะ..(นายพลท่านว่า ถ้าได้ รับรองว่าแค่หกเดือนอังกฤษก็แหลกเละเป็นผุยผง)
ไม่ได้ฮ่ะ..ตั้งแต่เริ่มสงครามจนจะปิดฉาก..ก็ไม่ได้ตามที่ขอ

สงครามที่จะเปิดฉากในฝั่งตะวันตกนั้น..เป็นที่น่ากังวลของฮิตเล่อร์และเกอริงเป็นอย่างมาก เพราะเท่ากับว่าเป็นการท้าทายยักษ์ใหญ่ให้มารบ
การเดินทัพของเยอรมันอย่างมากมายแผ่กระจายเป็นวงกว้างนั้น ทำให้เกิดการข้าวยากหมากแพงไปทั่ว
ฮิตเล่อร์ต้องการเปิดฉากโจมตีในเดือนพฤศจิกายน แต่เหล่าขุนพลพยายามคัดค้านอย่างหัวชนฝา
ซึ่ง..ฮิตเล่อร์ก็พยายามกำหนดวันอีกคือสองสามอาทิตย์ต่อมา โดยชี้ว่า
"ถ้าเราไม่รุกก่อน อังกฤษมันก็จะนั่งเฉยๆอยู่อย่างงั้นแหละ"

ความจริงที่อังกฤษอยู่เฉยๆนั้น เป็นเพราะว่า อังกฤษพยายามอาศัย "ไส้ศึก" สายวงในของขุนพลนาซีที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามของฮิตเล่อร์ทำงานให้ต่างหาก
หนึ่งในนั้นคือ นายพล von Hammerstein ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เตรียมบัญชาการรบอยู่ในแนวหน้าฝั่งตะวันตก..
นายพล ฟอน แฮมเมอร์สไตน์ พยายามที่จะเชิญฮิตเล่อร์มาดูแนวรบและในขณะเดียวกันก็วางแผนที่จะลักพาตัวท่านผู้นำส่งให้กับอังกฤษ
(ตอนนี้รู้ยัง..ว่าทำไมอังกฤษถึงชอบทำหนังสายลับ หนังจารกรรมอะไรพวกเนี้ยเป็นชีวิตจิตใจ)
แต่ดูเหมือนว่า..ฮิตเล่อร์จะรู้ทัน ไม่ยอมไปตามแผน

 

Kurt von Hammerstein


ฮิตเล่อร์ก็พยายามกำหนดวันนั้นวันนี้สำหรับการเข้าโจมตีแต่ด้วยการไม่พร้อมของสภาพกองทัพจึงต้องเลื่อนแล้ว เลื่อนอีก
จนเขาเริ่มรู้ตัวแล้วว่า เหล่าขุนพลไม่มีความเชื่อมั่นในหน่วยทหารชั้นล่างๆลงไป
มาถึงตอนนี้ เบลเยี่ยมและฮอลแลนด์ เริ่มไหวตัวแล้วว่า ตัวเองคือเป้าหมายสำคัญต่อไป
ในวันที่ 10 มกราคม 1940 ฮิตเล่อร์ได้เรียกประชุมเป็นที่เด็ดขาดว่า จะโจมตีในวันที่ 17 มกราแน่นอน เวลา สิบห้านาทีก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
แต่แล้ว..พอถึงเวลาเข้าจริงๆ..แผนก็ต้องเลื่อนออกไปอีกด้วยเหตุผลที่ว่า ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน เครื่องบินของเยอรมันหลงเข้าไปในน่านฟ้าของเบลเยี่ยม เพราะทัศนวิสัยอันเลวร้าย..จึงต้องนำเครื่องลง
ทหารเบลเยี่ยมเข้าจับกุมตัวนักบิน..และหลังจากค้นตัวได้พบกับเอกสารและรายละเอียดในสั่งการโจมตีเขตตะวันตกโดยละเอียด
ที่ว่า ถ้าเยอรมันไม่เข้ายึดครองเดนมาร์คและนอร์เวย์ด้วยละก้อ..อังกฤษก็ต้องเข้ามาปักหลักสู้อยู่ที่นั่นแน่ๆ..
และนั่นคือ..การเสียเปรียบของเยอรมันอย่างเห็นๆ..
นักบินพยายามส่งข่าวกลับเบอร์ลินโดยปดว่า เขาได้เผาเครื่องบินทิ้ง แต่เยอรมันก็ยังไม่เชื่อในข้อมูลนัก
จึงต้องเปลี่ยนแผนใหม่ทั้งหมด และเลื่อนการโจมตีไปอีกจนถึงฤดูหนาวโน่น..


ในช่วงฤดูฝนนั้น ฝ่ายอังกฤษก็ได้พยายามเตรียมตัวให้พร้อมเช่นกัน ในความเห็นของ เชอร์ชิลล์ ที่ไม่ได้มีการต่อต้านในทางฝ่ายตะวันตก(ฝรั่งเศส)
เพราะ เท่าที่ประเมินการณ์กันว่า เยอรมันน่าจะมีกำลังพลนับล้านโขอยู่
แต่ฝรั่งเศสนั้น มีกำลังเพียงแค่ จำนวนแสน ซึ่งเป็นอัตราที่ไม่น่าเสี่ยง อีกทั้งฝรั่งเศสยังต้องแบ่งกำลังไปป้องกันแนวชายแดนอิตาลีอีกด้วย
และสำหรับอาวุธระเบิด สพม. เชื่อว่าเยอรมันมีอยู่ไม่น้อยกว่า 2000 ในขณะที่ ฝรั่ง
เศสกับอังกฤษรวมกันนับได้มีเพียง 950
ฉะนั้น..ทางที่ดีที่สุดในตอนนั้น คือ ปักหลักรอรับศึกหลังแนวชายแดน Maginot Line

Maginot Line คือแนวปราการที่ฝรั่งเศสได้ทุ่มงบประมาณนับพันๆล้านฟรังค์เพื่อที่จะสร้างให้ทันสมัยและยิ่งใหญ่สำหรับไว้รับมือกับเยอรมัน เริ่มสร้างหลังจากที่ได้รับบาดแผลไปจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดย รัฐมนตรีกลาโหม Andre Maginot  เริ่มสร้าง 1928 เสร็จสิ้น 1930  แนวปราการนี้มีทั้งชั้นใต้ดินและสำหรับเป็นที่พำนักของทหารนับแสนนาย...แต่..ในสงครามครั้งนี้..ป้อมมาจีโนต์เปรียบได้ว่า เป็นการสูญเปล่าเพราะไม่ได้ยิงออกไปสักนัด เนื่องจาก..ฮิตเล่อร์ได้ใช้มันสมองอันชาญฉลาดโดยการเลือกใช้รถถังปันเซอร์ขนาดเล็กทะลวงทัพเข้ามาทางด้านป่าทึบชายแดน เบลเยี่ยม และบุกตลุยไปถึงใจกลางกรุงปารีสได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่มีใครได้คาดคิด......วิวันดา

 

 

ส่วนการรับมือทางกองทัพเรือของอังกฤษ เชอร์ชิลล์อดีตแม่ทัพใหญ่ครั้งสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ได้กลับเข้ามา
บัญชาการอีกครั้งในสงครามครั้งนี้ ดังเป็นที่รู้กันในการส่งข่าวไปทั่วเกาะว่า "Winnie's back"
แน่นอนว่า อังกฤษมุ่งสนใจในพื้นที่ภูมิศาสตร์ของกลุ่มสแกนดิเนเวีย (สวีเดน, นอร์เวย์, เดนมาร์ค) ที่เป็นอ่าวแหลมเว้าเข้ามา ประกอบด้วยเกาะแก่งเล็กๆน้อยๆมากมาย

ในอดีต เยอรมันก็ใช้พื้นที่ตรงบริเวณนั้น ตั้งมั่นสำหรับทัพเรือ ในการปิดอ่าวของกองทัพเรืออังกฤษ
และที่สำคัญ..นั่นก็คือ สินแร่ต่างๆจากเขต Narvik ที่อยู่ฝั่งตะวันตกของนอร์เวย์นั้นมีมากมาย
เพราะฉะนั้น เชอร์ชิลล์จึงเสนอต่อสภาถึงการเข้ายึดครองนอร์เวย์เสียก่อนที่เยอรมันจะก้าวเท้าเข้าไป
หากแต่..สภาอังกฤษ ไม่เห็นด้วย..ญัตตินี้จึงถูกคว่ำบาตรไปในวันที่ 22 ธันวาคม

แต่พอต่อมาในเดือนมกราคม ข่าวเรื่องที่เครื่องบินเยอรมันที่หลงไปในเบลเยี่ยม และ นักบินถูกจับได้พร้อมกับแผนการโจมตีตะวันตก ดังกระหึ่มไปทั่วในทุกประเทศที่เกี่ยวข้อง
รัฐบาลเบลเยี่ยมได้ทำสำเนาแจกจ่ายไปคนละชุด..ให้ไปอ่านให้หนำใจ
สภาอังกฤษ..ต่างก็วิ่งกันวุ่น สติแตกกันเป็นแถวๆ
แต่ที่น่าประหลาด นั่นก็คือ ประเทศ เบลเยี่ยม ที่ถูกกาหัวหราว่าจะถูกเข้ายึดครองแน่นอน กลับทำทองไม่รู้ร้อน
ปฏิเสธการที่จะเข้าร่วมการเป็นสัมพันธมิตรกับอังกฤษและฝรั่งเศสอย่างหน้าตาเฉย..
บอกว่า "ขออยู่เป็นกลาง ณูช่วล ละกัน ขี้เกียจยุ่งด้วย !!"
ฉะนั้น อังกฤษประเมินสถานการณ์ด้อย่างฟันธงเลยว่า เยอรมันบุกฝรั่งเศสแน่นอน แต่ก็ไม่สามารถจะทำช่วยเหลืออะไรได้
เพราะขนาดกำลังของกองทัพไม่พอที่จะแบ่งมาช่วยศึกสองด้าน ทั้งๆที่อังกฤษเคยเป็นประเทศที่สร้างอาวุธชนิดขึ้นชื่อ เช่น
รถถัง และปืนกลสารพัดชนิด
หากแต่ในยามนั้น เท่าที่มีอยู่นับว่าเก่าจนน่าสงสารเต็มที มันเป็นรุ่น "หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง" จริงๆ

เท่าที่มีอยู่ในฝรั่งเศสก็ คือ รถถังขนาดยักษ์ใหญ่นับร้อย และขนาดเล็กมีอยู่ 17 คัน อาวุธของแต่ละคันก็คือปืนกลขนาดธรรมดา
จะไปสู้กับปันเซ่อร์ ที่มีปืนกลขนาดใหญ่ถึง 80-88 มิลลิมิเตอร์ของเยอรมันได้อย่างไร
ปัญหาต่อมาของฝรั่งเศสนั่นก็คือ การแตกความสามัคคีของหมู่นักการเมือง ที่เต็มไปด้วยการคอร์รัปชั่น
ทหารส่วนใหญ่ก็อยู่สุขสบายเสียจน..ไม่มีกะจิตกะใจที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับใคร

ในขณะเดียวกัน ฮิตเล่อร์ได้เรียกแม่ทัพ Keitel ให้เข้ามารับแผน N นั่นหมายถึง
บุกนอร์เวย์ ในวันที่ 20 มกราคม 1940
โดยสั่งให้เอาไปศึกษาให้ดี และเตรียมตัวให้พร้อม
วันที่ 20 กุมภาพันธ์ ฮิตเล่อร์ให้นายพล von Falkenhorst ให้เข้ามาพบโดยด่วน เพราะ นายพล ฟอน ฟอลเกนฮอสต์ คนนี้ ในอดีตเคยเป็นผบ.คุมเหล่าทัพประจำเขตพื้นที่
แถวๆสแกนดิเนเวียในสงครามโลกครั้งที่แล้ว..มาปรึกษาหารือ
นายพล ฟอน ฟอลเกนฮอสต์ ได้เขียนบันทึกไว้ว่า..
"ท่านผู้นำฮิตเล่อร์ได้ให้เรานั่ง และถามเรื่องของสงครามครั้งที่แล้ว ที่เราไปรบในฟินแลนด์ ว่าเป็นอย่างไร ครั้งพอเราจะเล่า..
ท่านก็บอกว่า เอาเหอะ พอแล้ว..มาดูแผนที่กันดีกว่า..ว่าแล้ว ก็นำแผนที่ออกมากางตรงหน้า บอกว่า ผมต้องการเข้ายึดครองนอร์เวย์เป็นการด่วน เพราะถ้าไม่รีบจัดการ อังกฤษเข้ามาเอาก่อนแน่ๆ..
จากนั้น ท่านผู้นำก็เดินกลับไปมา ในที่สุดก็กล่าวว่า...
จะปล่อยให้อังกฤษเข้ามาในบริเวณนี้ไม่ได้ เพราะ ขืนมัวแต่ไปรบฝั่งซ้ายฝั่งขวา พวกมันเจาะมาจากตรงนั้นก็ถึงกรุงเบอร์ลินกันพอดี..และ..จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการยึดครองน่านน้ำในอ่าว Wilhemshaven เพื่อความสะดวก
ของการขนส่งสินแร่จาก สวีเดนด้วย.."
ว่าแล้ว..ฮิตเล่อร์ก็หันมาสั่งเอาดื้อๆเราว่า..
"ตกลงแผนนี้..ผมมอบให้คุณเป็นผู้บัญชาการรบทั้งหมด !!" แถมสั่งต่อด้วยว่า
"อ้อ..อย่าลืมกลับมาเจอกันตอนห้าโมงนะ เตรียมวางแผนงานมาด้วย"


นายพล ฟอน ฟอลเกนฮอสต์ ..ไม่เคยมีความรู้อะไรกับเรื่องของประเทศนอร์เวย์เลยแม้แต่นิด..เขาออกมาจากที่นั่นได้ก็รีบไปแวะร้านหนังสือ ซื้อแผนที่นอร์เวย์มาแผ่นนึง เอามากางดูเมืองท่าที่สำคัญ..แล้วก็เอาปากกาวงๆ
ไปที่..Oslo, Stavanger, Bergen, Trondheim, และ Narvik เป็นอันว่า จบ ..!!



ฮิตเล่อร์และเชอร์ชิลล์ ถือว่า "ทันกัน" อย่างชนิดหายใจรดต้นคอ
เพราะไม่ว่าฮิตเล่อร์จะคิดอ่านทำอะไร เชอร์ชิลล์สามารถอ่านเกมส์ออกได้ปรุโปร่ง
หากแต่ ..เชอร์ชิลล์ไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ เพราะทุกอย่างต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน ผิดกับฮิตเล่อร์สามารถสั่งงานและมีการดำเนินการได้อย่างทันที
เช่นในบ่ายวันหนึ่ง..ฮิตเล่อร์เรียกสามนายพลเข้าประชุม
หนึ่งคือ Keitel สองคือ นายพล Jodl และสาม นายพล von Falkenhorst ในเรื่องการบุกนอร์เวย์
ตัวนายพล ฟอลเกนฮอสต์ น่ะรู้เรื่องดีอยู่แล้ว หากแต่อีกสองนายพลงงเป็นไก่ตาแตก
นายพล ไกเทล ถึงกับถามว่า "ตกลงจะเอายังไงกันเนี่ย..จะตีฝรั่งเศสก่อนไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมกลายมาเป็นนอร์เวย์ไปได้(ฟะ)?

ฮิตเล่อร์ทำหน้าตูมๆ ไม่ตอบว่ากระไร ได้แต่เดินกลับไปมา ในสมองของเขารู้ดีว่า โอกาสนี้จะปล่อยช้าไปไม่ได้
เพราะเชอร์ชิลล์เป็นได้ยกพลขึ้นพกที่นอร์เวย์ก่อนแน่ๆ
เขาจึงหันมาบอกว่า.."งั้นเปลี่ยนชื่อแผนบุกนอร์เวย์ไปเป็น แผนปฏิบัติการเวเซอร์ละกัน เอาตรงนี้ก่อน ฝรั่งเศสค่อยว่ากันทีหลัง"
( Exercise Weser ตั้งชื่อใหม่ ก่อนเคยเรียกว่า Case N ทีต้องเปลี่ยนเพราะ ชาวบ้านชาวช่องเขารู้แผนหมดแล้ว)
สรุปใจความได้ว่า..ปฏิบัติการภาคพื้นดินและขบวนการใต้ดิน อยู่ในความดูแลของ ท่านแม่ทัพเรือ Raeder
(อ้าว..อย่าเพิ่งสงสัยว่าทำไมถึงเป็นแม่ทัพเรือไปได้.. งานเด็ดๆประเภทนี้ ต้องเป็นฝีมือหน่วยนาวิกโยธินเขาละ.. ไม่เชื่อไปถาม หน่วย SEAL กองทัพเรือของเมืองไทยดูก็ได้)
เพราะว่า ท่านคนนี้ได้ให้ทูตทหารเรือของเยอรมันที่ประจำอยู่ที่กรุงออสโล ทำการส่งข่าวถึงการเคลื่อนไหวของอังกฤษที่ติดต่อกับรัฐบาลนอร์เวย์อย่างทุกฝีก้าว
ซึงตอนนั้น เหล่าข้าราชการทั้งหลายมิได้มีความระแวงระไวอะไร นึกจะพูดจะคุยกันก็ทำอย่างตามสบาย ไม่ได้สนใจสักนิดว่า ปากมีหู ประตูมีช่อง

และ..ไส้ศึกตัวสำคัญ..นั่นก็คือนักการเมืองนอร์เวย์คนหนึ่ง ชื่อว่า Vidkun Quisling ได้ทำงานใต้ดินให้กับฝ่ายเยอรมัน จะเรียกว่า ขายชาติ ก็ไม่ผิดนัก
นายคนนี้ บอกหมดถึงแผนของอังกฤษทั้งวันและเวลาที่จะเข้าประเทศนอร์เวย์ ในทุกๆท่าสำคัญ
ข้อแลกเปลี่ยน ที่นาย วิดคุน ต้องการนั่นคือ หลังจากที่เยอรมันเข้ายึดครองแล้ว..เขาขอเป็นหัวหน้ารัฐบาลนอร์เวย์ (แม้จะอยู่ภายใต้ปกครองของนาซี ก็เอาเถอะ)
ฮิตเล่อร์ได้ฟังแล้วก็ชอบใจ..สั่งการให้ทำงานควบคู่ไปกับนายพล ไกเทล ไปเลย ส่วนข้อเสนอที่ขอมานั้น โอเช !!

Hitler and Vidkun Quisling


ส่วนทางอังกฤษที่แสนเชื่องช้า จนเยอรมันจะบุกเข้ายึดนอร์เวย์อยู่รอมร่อ ที่สภายังประชุมถกเถียงกันวุ่นวาย..ตกลงกันไม่ได้ว่าจะเอาอย่างไร
ในที่สุด..เชอร์ชิลล์ได้แค่การอนุมัติ ให้มีการวางทุ่นระเบิดดักในน่านน้ำของเขตนอร์เวย์ กับส่งเรือพิฆาต..ออกไปปิดอ่าวที่ Narvik
โดยเริ่มต้นการปฏิบัติการ ในวันที่ 4 เมษายน

แต่ฮิตเล่อร์ได้เตรียมเคลื่อนทัพพร้อมกัน..ทั้งสามทัพ บก เรือ อากาศ (แบบเป็นความลับสุดยอด)
ส่วนนาย วิดคุน ได้กลายเป็นผู้ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ในฐานะฝ่ายเสนาธิการข่าว อีกทั้งเป็นตัวกลางที่นำเงินออกไปจ่ายใต้โต๊ะให้กับ
เหล่าบรรดากรรมกร คนงานโรงไฟฟ้า คนงานรถไฟ เพื่อเป็นการซื้อความสะดวกตั้งสามเดือนก่อนหน้านู้นน
(งบตรงนี้ 200,000 มาร์คทอง ที่นาซีจ่ายออกไปอย่างไม่อั้น)

แผนการครั้งนี้ได้ตกลงกันอย่างเป็นความลับสุดยอด..ใครที่ยังไม่เกี่ยวข้องก็ไม่บอก..ว่า
จะเข้าบุกนอร์เวย์ทางทัพเรือนำ..ในทิศของ North Sea
ซึ่งเป็นการวางแผนงานที่ประหลาดมาก..ไม่มีการทำสงครามครั้งไหนในโลกที่แสนจะงุบงิบได้ถึงขนาดนี้

จนมาถึงเดือน มีนาคม..แผนเริ่มเก็บกันไม่อยู่เพราะมันเอิกเกริกขนาดที่นาย วิดคุนส่งทหารนอร์เวย์มาฝึกการสู้รบกับหน่วย SS ที่กรุงเบอร์ลินตั้งเป็นโขยง
และฮิตเล่อร์ได้เรียกกำลังพลจากทุกหน่วยทัพ..
เกอริง..ได้ยินเข้ามีน้ำโหจนพุงสั่น..เพราะเขาคือนายเหนือหัวคนที่สองรองไปจากฮิตเล่อร์ แล้วใย?
นายพลไกเทล..ถูกเล่นซะเละ ถึงกับต้องเรียกท่านผู้นำมาชี้แจงกันวุ่นวาย
ซึ่งกว่าจะสงบได้..ก็คงเล่นเอาหมดน้ำลายไปเป็นปี๊บ โดยการอธิบายว่า..
กองทัพของกลุ่มสแกนดิเนเวียนั้นกำลังก็มิใช่ย่อยอยู่..
เพราะฉะนั้น หากเอิกเกริกไป เดี๋ยวแผนแตก รู้ถึงหูพวกนั้นขึ้นมา..เกิดรวมตัวกันลุกมาสู้ก็จะยุ่งกันใหญ่ อังกฤษก็เริ่มไหวตัวแล้ว เพราะฉะนั้น ต้องให้เงียบที่สุด
และการที่เข้าไปครั้งนี้ก็ไม่ได้ว่าจะไปทำลายล้างอะไร
เราเข้าไปแบบสันติ เพียงแต่เป็นการทำให้กองทัพของกลุ่มสแกนฯเป็นอัมพาต ไม่ต้องไปรวมกับกับอังกฤษแล้ว
หันมาเล่นงานเราไงล่ะ..ไหนจะเรื่องการที่จะได้สินแร่ที่เราต้องการใช้อีกล่ะ..ของฟรีๆทั้งน้านนน...เข้าจัยยยป่าววว?



มีคนถามว่า..ในตอนนั้นได้ข่าวว่า ฮิตเล่อร์จะแจกรถโฟล์คกับประชาชนทุกคน

ตอบค่ะ...

เรื่องแจก Volkswagen นั้น เชื่อว่าเป็นเรื่องลือเรื่องเล่าอ้างน่ะค่ะ นี่ฮิตเล่อร์นะคะ ไม่ใช่น้าแม้ว..
แต่เรื่องนี้พอมองให้เห็นว่า ฮิตเล่อร์เป็นคนอย่างไร?
คือ ฮิตเล่อร์ผู้ให้อเดีย..ต้องการให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีความสะดวก สบายในอัตตภาพ จึงได้ติดต่อ นายเฟอดินาน พอร์เช่ เจ้าพ่อแห่งวงการผลิตรถยนตร์มาปรึกษาด้วย
ไอเดียของรถใช้งานแบบประหยัดราคาไม่เกินหนึ่งพันมาร์ค เพื่อประชาชนทุกคนมีสิทธิมีรถใช้
(ในยามนั้น รถยนต์คือ เบ๊นซ์ค่ะ เมอร์ซิเดส เบ๊นซ์ล้วนๆ) ก็เลยได้ รถโฟล์คนี้มา ฮิตเล่อร์ให้ชื่อว่า..
Volkswagen อันแปลว่า People's car หรือ ใจความว่า รถยนต์ สำหรับประชาชน
แต่จะว่ากันจริงๆแล้ว..ถ้าชนะสงครามจริงๆ
อย่าว่าแต่รถโฟล์คเลยค่ะ แจกเบ๊นซ์ไปคนละคันก็ยังไหว !!

 ในตอนนั้น..เป็นยุคของกระแสข่าวลือ ลือกันไปโลดด..ว่าอังกฤษจะยกพลขึ้นบกวันโน้นวันนี้ ที่เมืองท่า Stavanger มั่ง ท่าอื่นๆมั่ง
ขนาดทูตทหารของนอร์เวย์ส่งโทรเลขไปเตือน..ว่า เยอรมันบุกแน่ๆ รัฐบาลยังหัวเราะเยาะเย้ย ถากถางกลับมาซะอีก
จนในวันที่ 5 เมษายน ก็ยังไม่มีใครเชื่อในข่าว..
วันที่ 7 เมษายน..เรือรบเยอรมันปรากฏตัวให้เห็นได้ชัดในแนวชายทะเลนอร์เวย์ ก็ยังไม่มีใครลุกขึ้นมาทำอะไร!!
( เพราะ กลศึกของฮิตเล่อร์ได้ท้าทายอังกฤษแบบสุดๆ โดยการเอาธงยูเนี่ยน แจ๊ค ติดบนเรือรบในช่วงระหว่างเดินเรือในทะเลสู่จุดหมาย ครั้นพอถึง ในวันที่ 9 เมษายน
ธงอังกฤษถูกลดลงจากยอดเสากระโดง เอาธงเยอรมัน
ขึ้นแทนที่ ตอนก่อนรุ่งสาง ใครต่อใครจึงคิดว่าเป็นเรือของอังกฤษมาช่วย)

ความอ่อนปวกเปียก ไม่อยากสู้รบนั้น มันเป็นไปเหมือนกันหมดทุกประเทศในยุโรปยุคนั้น นี่คืออันดับแรกของสาเหตุแห่งความล่มจม
และดูเหมือนกับว่า ต่างยินดีที่จะเข้าสู่เงื้อมมือของเยอรมันกันเป็นแถวๆ

วันที่ 8 เมษายน..ในสภาอังกฤษเริ่มไหวตัวว่าความหายนะกำลังมาสู่..ตอนนี้ต่างคนต่างโทษกันยกใหญ่ ทุ่มเถียงกันวุ่นวาย ซึ่งไม่ได้ประโยชน์อันใด
แถมนายกรัฐมนตรีนายแชมเบอร์เลน ยังพยายามที่จะพูดว่า..เยอรมันไม่น่าที่จะทำงานใหญ่อย่างนั้นได้..
ซึ่ง..พระเจ้า George Vl (พระบิดาของสมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบ็ธที่สอง ในปัจจุบัน) ทนฟังไอ้บ้านี่พล่ามต่อไปไม่ได้ จึงตรัสเรียกเชอร์ชิลล์เข้าไปพบ..และมอบตำแหน่งผู้บัญชาการรบ ต่อต้านเยอรมัน ในการบุกนอร์เวย์ โดยให้อำนาจอย่างเด็ดขาด
ในวันที่ 8 เมษานั่นเอง !!

(King George VI  ผู้ซึ่งทรงตัดสินพระทัยเด็ดขาดที่จะเปิดสงครามกับฮิตเล่อร์...เรื่องนี้ถ้าเข้าใจในเนื้อหาก็จะดูภาพยนตร์เรื่อง The King's Speech ได้อย่างสนุกและตื่นเต้นมาก ดิฉันได้เขียนเรื่องพระราชวงค์วินด์เซอร์ในช่วงนี้ไว้แล้ว..วันหลังจะนำมาลงให้อ่าน...วิวันดา...)


แต่นับว่าช้าไปแล้ว.. !!
ฮิตเล่อร์บัญชาการอยู่ที่ศูนย์ในกรุงเบอร์ลินแบบหามรุ่งหามค่ำไม่ได้หลับได้นอน
เขาให้นายพลทั้งสามอยู่คอยรับฟังการบัญชาการรบอยู่ที่หน้าห้องแบบไม่ต้องไปไหน
เขา..เป็นผู้สั่งการแต่ผู้เดียว ตั้งแต่เรื่องใหญ่สุด จนถึงเรื่องเล็ก และ เล็กกระจิ๋ว..
และ..ในเวลา ตีห้าสิบห้า..นั่นคือ เยอรมันได้ยกพลขึ้นบกพร้อมกันทุกเมืองท่าสำคัญทั้งห้า..
มิหนำซ้ำ กองทัพของนาซี ได้นำพาเหรดทะลุข้ามแดนไปยังเดนมาร์คในคราวเดียวกันเลย เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเที่ยว (ก้อ..เขาอยู่ใกล้กันนิดเดียวจริง)
และรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศทั้งใน กรุงออสโล (นอร์เวย์) และกรุงโคเปนเฮเกน (เดนมาร์ค) ได้ถูกปลุกให้ตื่น
ขึ้นมารับทราบข่าวดี ว่า..
ต่อไปนี้..เยอรมันจะเข้ามาควบคุมดูแลป้องกันให้ ขอให้อยู่ในความสงบ เราได้ยึดพื้นที่สำคัญๆไว้หมดแล้ว

ลงชื่อ รมต.ต่างประเทศ ฟอน ริบเบนทรอป

มีบันทึกที่เป็นหลักฐานไว้ว่า..

เยอรมันมิได้เข้ามาย่ำยีบีฑานอร์เวย์อย่างศัตรู เพียงแต่ต้องการยึดพื้นที่เพื่อมิให้อังกฤษเข้ามาเท่านั้น..
และที่น่าขำที่สุด นั่นคือ การเข้าไปยึดครองโคเปนเฮเกน ที่เป็นไปอย่าง่ายดายจนไม่น่าเชื่อ
คือ..นายพล Kurt Himer ได้ปลอม
ตัวเป็นพลเรือนเข้าไปก่อนสองวันล่วงหน้า และไปขอเช่าท่าเรือเพื่อจะนำเรือเข้ามา เรือนั้นชื่อว่า Hansestadt Danzig โดยแจ้งว่า เรือได้บรรทุกรถบรรทุก, เครื่องใช้ไม้สอย,วิทยุสื่อสาร ประมาณนั้น
เรือ ฮันเซสตัดท์ ดังซิค ได้เข้าท่าตามที่กำหนดคือ รุ่งสางของวันที่ 9 เมษายน
พอเทียบท่าเสร็จ ทหารเพียงหยิบมือก็ขับรถบรรทุกออกมาจากเรือ ไปบุกยึดป้อมปราการ และเลยไปยึดวังหลวง
โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง
และวิทยุสื่อสารที่ว่านั้น..ก็ได้ใช้งานได้อย่างคุ่มค่าสมที่เตรียมมา นั่นคือ ส่งไปกระจายเสียงให้โลกรู้ว่า
"บัดนี้ เดนมาร์คได้ตกเป็นของเยอรมันเรียบร้อยแล้วคร๊าบบบ.."

Kurt Himer

 

แต่ที่นอร์เวย์ ไม่หมูนัก...

ที่เมืองท่า Narvik นั่นง่ายหน่อย เพราะผู้บัญชาการกองพลทัพบก นายพล Konrad Sundlo เป็นเสี่ยวกับใส้ศึก
นาย วิดคุน รู้ๆความนัยกันอยู่ เลยยกมือยอมแพ้เอาซะดื้อ ไม่ได้ยิงเสียกระสุนสักนัด
แต่ทัพเรือ นั้นสู้ยิบตา ทหารเรือ 300 กว่านาย เสียชีวิตหมด น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ..ภายในเวลาแปดโมงเช้าเอง
เมืองท่า นาร์วิค ก็ตกเป็นของเยอรมัน
เลียบลงมาคือ เมือง Trondheim และ Bergenก็ง่ายดายเช่นกัน
แต่ที่ Bergen อังกฤษได้ส่งเครื่องบินมาหย่อนระเบิดหนึ่งหรือสองเม็ดเป็นการรับขวัญ
โดนเอากลางลำเรือลาดตะเวณ Konigsberg ของเยอรมันเข้า ล่มไปต่อหน้าตาต่อตา !!

อย่างไรก็ตาม..การเดินทัพของเยอรมันนั้น รวดเร็วประหนึ่งสายฟ้าแลบ ภายในเที่ยงวัน เมืองสำคัญๆทั้งห้าของ
นอร์เวย์ได้ตกอยู่ในความควบคุมอย่างเรียบร้อย..
แต่ที่ กรุง ออสโล..นั่น..ไม่ง่ายอย่างที่คิด !!


มาเล่าต่อตอนที่รมต.ต่างประเทศของ นอร์เวย์ ที่ออสโล..ที่ถูกปลุกขึ้นมาให้รับคำสั่งว่าประเทศของตัวเองได้ถูก
ยึดครองจากเยอรมันแล้วนั้น
หลังจากที่ตกตะลึงไปชั่วครู่ใหญ่..อีกตกใจอีกต่างหาก ที่รู้ว่า เดนมาร์คก็เรียบร้อยไปแล้ว
พอได้รวมรวมสติก็บอกไปด้วยเสียงที่แหบแห้งว่า..
"เยอรมันไม่มีสิทธิ ที่จะเข้าไปบุกรุกใครก็ได้ตามใจชอบ..เรา..ชาวนอร์วีเจียน ไม่มีวันยอม"
ดังนั้น..เรือสองลำของเยอรมันที่กำลังจะเข้าสู่ปากน้ำกรุงออสโล..คือ เรือ Lutzow (pocket ship), เรือลาดตระเวณ 10,000 ตัน Blucher, เรือขนาดเล็ก Emeden เจออุปสรรค ถูกทุ่นระเบิดที่วางโดยเรือ Olav Tryvesson คือ
เรือ Blucher และ Emeden เสียหายยับเยิน
เยอรมันสามารถพาที่เหลือหลบไปทางแอ่งลึก (อ่าวฝอยๆที่เป็นรูปแหลม ที่เรียกว่า Fjord) ทางใต้ประมาณว่า สิบห้าไมล์
อ้ะ..เข้าทาง..หน่วยรบทางบกค่าย Oskarsborg ยกมาตั้งรอตรงนั้นพอดี เลยช่วยถล่มด้วยปืนใหญ่ และ ทอร์ปิโดบก
เล่นเอา..เรือ Blucher ล่มจมหายไปดิ่งลงทะเล..คนในเรือ 1600 คน ซึ่งเป็นทหาร และหน่วยเกสตาโป(เตรียมที่จะไปรับจ๊อบ) หายไปในทะเลจ้อย..
เหลือเรือ Lutzow ที่ต้องเดินเครื่องกระโผลกกระเผลกหนีออกไปได้..

นายวิดคุน ใส้ศึก..อุตส่าห์ไปยืนตากลมหนาวคอยตั้งแต่มืดที่ท่าเรือ เมืองออสโล หมายใจว่าจะรอเปิดประตูเมืองรอรับวีรบุรุษผู้ว่าจ้างซะหน่อย
โดยไม่รู้สักนิดว่า ไอ้พวกนั้น..กำลังเป็นเหยื่อฉลามอยู่อย่างเอร็ดอร่อย
แต่..ทางเรือไม่มาไม่เป็นไร....เพราะอย่างไรเสีย เกอริงได้ส่งหน่วยลุฟท์วัฟฟ์ มาทำหน้าที่แทน..โปรยระเบิดสั่งสอนแบบเมามันส์
ในที่สุด นอร์เวย์ก็สิ้นเสียงไปในตอนค่ำวันนั้นเอง..

คณะรัฐบาลนอร์เวย์ได้หลบหนีไปทางด้านใต้ 80 ไมล์ของกรุงออสโล คือเมือง Hamar ทหารนาซีก็ติดตามไปอย่างไม่ลดละ..
แต่ต้องชะงัก เพราะเจอกับแรงปะทะจากชาวบ้านที่รวมตัวกันได้..
พวกผู้นำนอร์วีเจียน ก็หนีหลุดเข้าไปใน สวีเดน รอดเงื้อมมือศัตรูกันทั้งหมด !!

คืนนั้นเช่นกัน ที่นายวิดคุนได้ประกาศรัฐบาลใหม่ และตั้งตัวเป็นหัวหน้ารัฐบาล เขาออกประกาศว่า..
ขอให้ประชาชนหยุดการต่อต้าน มิฉะนั้นจะถือว่าเป็นกบฏ ที่จะต้องจัดการขั้นเด็ดขาด
แต่..พระเจ้า Haakon ไม่ทรงยอม อย่างชนิด "พระเศียรเด็ด พระบาทขาด"
ประชาชนขานรับในพระดำริ ถึงกับมีการต่อต้านในทุกรูปแบบ..
พระองค์และกองทัพที่ภักดี ได้ไปตั้งมั่นอยู่ที่เทือกเขา Andalsnes
และนี่เป็นบทเรียนครั้งแรกของฮิตเล่อร์ ที่ชนะเมือง แต่ไม่ชนะใจของประชาชน..และ..ไม่มีวันที่จะชนะ ตราบนานเท่านาน !!
(ปัจจุบัน..ดูตัวอย่างของประเทศอิรัค)

King Haakon

 

10 เมษายน ฝูงเรือรบของอังกฤษเพิ่งมาถึงที่น่านน้ำของเมือง Narvik และจัดการจมเรือพิฆาตของเยอรมันไปสองลำ (จากห้าลำ)
ที่เหลือก็ยับเยินไปพอสมควร
ขากลับออกไป..ก็ปะทะกับเรือพิฆาตเยอรมันอีกห้าลำ..มีการยิงใส่กันแบบไม่เลี้ยง..
ผลการต่อสู้ คือ เรือพิฆาตอังกฤษจมไปหนึ่งลำ เสียหายสอง..หนีไปได้ สาม

สามวันต่อมา..ฝูงเรือพิฆาตของอังกฤษก็กลับมาอีก คราวนี้ เล่นงานฝูงเรือเยอรมันชุดนี้หมดไปแบบราบเรียบเป็นหน้ากลอง
ฮิตเล่อร์..ได้ข่าวนี้ ถึงกับมีอาการของขึ้นแบบใครก็เข้าหน้าไม่ติด
ความจริงแล้ว..อังกฤษไม่ได้ชนะเลยสักนิด เพราะว่า ไปถึงท่าที่เมือง Narvik แล้วก็น่าที่จะขึ้นฝั่งไปเลย
แต่ดันเอาเรือไปตั้งมั่นอยู่ที่ด้านเหนือ แล้วกว่าจะมะงุมมะงาหราหาทางเข้าเมือง ก็โดนทั้ง ลุฟท์วัฟฟ์ และ ปันเซ่อร์ ระดมยิงใส่ เลยต้องหนีกระเจิดกระเจิง ปล่อยให้เยอรมันยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ภาคสนามไปได้หมด

ในกรุงออสโล..หกวันหลังจากที่วิดคุนได้พยายามเคี่ยวเข็ญรัฐบาลใหม่ออกมา ซึ่งไม่เป็นผลสำเร็จ ไม่มีใครยอมรับ
เยอรมันจึงไสหัวออกไปให้พ้นๆ..แล้วหันมาเอาใจประชาชนด้วยการจัดตั้งรัฐบาลโดยนักการเมืองท้องถิ่นที่
ประชาชนรักและไว้วางใจให้ใหม่
หนึ่งในนั้น คือ Paal Berg รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม โดยที่ เยอรมันไม่รู้เลยว่า เบื้องหลัง เบื้องลึก..ท่านรมต.คนนี้แหละ คือ
หัวหน้าขบวนการเสรีนอร์วีเจียน ตัวจริง เสียงจริง..

 

  Paal Berg


และฮิตเล่อร์..อย่างที่บอกไปแล้วว่า ชนะเมือง ไม่ชนะใจ เลยอยากที่จะเข้ามาจัดการด้วยตัวเอง เพราะมันช่างท้าทายนัก
อยู่ที่เยอรมัน ชนะใจคนนับสิบๆล้าน แต่ที่นี่..ไม่มีใครเห็นหัวเลยแม้แต่นิด..เลยอยาก "ลองของ" ด้วยวิธีที่ผิดๆ
(นับว่าผิดพลาดอย่างหนึ่งในสงครามครั้งนี้)
นั่นคือ จัดตั้งส่วนล่างของนอร์เวย์เป็น สาขาหนึ่งของศูนย์บัญชาการนาซี..(แยกออกจากรัฐบาลเยอรมัน) หรือ
เรียกง่ายๆว่า ให้เป็นเมืองของนาซีเพียวๆ
โดยตั้งเมือง Terboven ให้เป็น Reich Commissioner of the Nazi
เหล่าทหารในกองทัพ..เริ่มมีปฏิกิริยา..ว่า..เอ๊..จะเอายังไงกันฟะ?
(ขอให้เข้าใจนิดนึงว่า..ทหารแท้ๆของเยอรมันที่จบมาจากโรงเรียนนายร้อยจริงๆ นั้น รักษาวินัยและขั้นตอนอย่างจริงจัง
ฉะนั้น พวกเขาจึงไม่สะดวกใจในการเปลี่ยนแผนไปมาของท่านผู้นำ อีกทั้ง มันไม่ใช่การทำงานแบบมาตรฐานของกองทัพ)
ก็มีการงัดง้างกันขึ้นมา..

ฮิตเล่อร์ก็สวมวิญญาณหญิงชราที่ชอบเอาแต่ใจ และอยากเอาชนะ..ถึงกับสั่งให้เกอริงนำฝูงบินมารับทหารทั้งกองพันของนายพล Eduard Dietl กลับไปยังเยอรมันโดยด่วน..
เกอริง..บอกว่า จะบ้าไปรึไง..จะไปหาเครื่องบินที่ไหนมารับกันหวัดกันไหว..เพ้อเจ้อน่า !!

ฮิตเล่อร์ยิ่งยั๊วะจัด..เพราะหน่วยต่อต้านก็ยังไม่ยอมหยุดการก่อวินาศกรรม วางระเบิดโน่นระเบิดนี่

เขาจึงวางไม้ตาย..โดยการเรียกหน่วยเกสตาโปให้ไปจับคณะรัฐบาลที่ประชาชนรักนักรักหนามายี่สิบคน..
และให้นายพล ฟอน ฟอลเกนฮอสต์ ออกหมายประกาศว่า ถ้าประชาชนไม่หยุดต่อต้าน..ยี่สิบคนจะถูกยิงเป้าให้หมด..เอาป่ะ??
ได้ผลแฮะ..ทุกอย่างกลับไปเงียบสงบดังเดิม...ไม่มีใครกล้าหือสักแอะ
แต่นั่นหมายความว่า..ประชาชนก็ไม่ได้ความสนับสนุนเช่นกัน เยอรมันอยากจะได้อะไร จะทำอะไร ก็ใช้พวกนาซีไปทำกันเอง..
จนวันที่ 19 เมษายน อังกฤษได้ส่งเรือมารับ พระเจ้า Haakon และคณะ และนำไปตั้งมั่นอยู่ที่เมือง Tromso ที่อยู่ทางด้านเหนือของฝั่งทะเลอาร์คติคชั่วคราว
และต่อมาได้นำให้ไปประทับที่ประเทศอังกฤษ เพราะอังกฤษต้องรีบกลับหลังหันจากนอร์เวย์แทบในทันที เพราะเยอรมันเตรียมเปิดฉากรุกฝั่งตะวันตก จึงต้องรีบกลับไปรักษาหม้อข้าวของตัวเอง..
พระเจ้า Haakon ขึ้นเรือไป ก็บ่นกระปอดกระแปดไปด้วยความเสียพระทัย เพราะ พระองค์หวังไว้เสมอว่า ถ้ามี
อะไรเกิดขึ้นอังกฤษต้องเข้ามาช่วยเหลือ..แต่นี่..หนอยยย !!
แต่พระองค์ไม่รู้หรอกว่า การเสียนอร์เวย์ไป นี่ก็เกือบเท่ากับอังกฤษถูกตัดแขนขาเลยทีเดียว
แร่ธาตุดีๆ..ที่จะต้องใช้ในการสร้างเครื่องบิน เรือรบ ระเบิด ตอนนี้อยู่ในมือของศัตรูเกือบทั้งหมด
สวีเดน..ที่ยังคงเหลืออยู่ก็ไม่ได้ให้ความร่วมมือใดๆ ไม่ขายอาวุธให้ ไม่ขายน้ำมันให้.. เพราะ ตัวเองก็ยังไม่รู้อนาคตว่าจะโดนเข้าเมื่อไหร่?
ซึ่งต่อมา..ก็โดนจริงๆ..แต่เป็นไปในรูปของ
ฮิตเล่อร์ได้บังคับให้สวีเดนทำตัวเป็นกลาง ทางด้านการปกครอง แต่ทางด้านการค้า ต้องซื้อขายกับเยอรมันเท่านั้น ตลอดระยะเวลาของสงคราม

ถึงแม้ว่าทางด้านทัพบก..เยอรมันดูเหมือนจะแข็งขันในช่วงรุกรานใครต่อใคร..แต่ทางด้านทัพเรือ ต้องถือว่า..หน้าแตกแบบหมอไม่รับเย็บ
เพราะ ในสงครามนอร์เวย์ เดนมาร์ค ครั้งนี้ เรือพิฆาต เรือลาดตระเวณ เรือประจันบานหลายลำ ได้เสียหายยับเยิน ถูกจมลงไปก็ไม่ใช่น้อย
เพราะความจริงบางอย่างที่ไม่มีใครรู้ นั่นคือ...
เรือดำน้ำหลายลำแทบจะทั้งฝูงที่แอบซุ่มปฏิบัติงานในน่านน้ำ แอตแลนติค และ ทะเลเหนือ รวมไปถึงท่าต่างๆนั้น
ต่างส่งรายงานไปยัง แม่ทัพเรือ Donitz ว่า..ทอร์ปิโด ที่ยิงออกไปไม่ทำงาน..เพราะ ส่งไปยิงเรือของอังกฤษตั้งหกลูก แถมโดนเข้าเต็มๆ
แต่ไม่ระเบิด..กลับเป็นไม้จิ้มฟันไปซะเฉย..
แม่ทัพ..ก็ด่าสวนกลับมา..ว่า ไอ้พวกนี้ใช้ของไม่เป็น จะเสียได้ยังไงฟะ ของดีๆทั้งนั้น..
ว่าแล้วก็ด่าทหารของตัวเองโขมงโฉงเฉง..

ตอนหลัง..รายงานแบบเดียวกันนี้ก็ส่งเข้ามาทุกวัน จนต้องทำการตรวจหาสาเหตุ จึงได้ใจความว่า..
กลไกการสับระเบิดให้กับทอร์ปิโด..นั้นไม่ทำงาน (ในเรือดำน้ำทุกลำ)
(เรื่องนี้..อเมริกามีก๊อบปี้ของเครื่องยิงทอร์ปิโดเรือลำน้ำรุ่นนี้ และ ได้ยืนยันว่า ไม่มีประสิทธิภาพในการทำงานจริงๆ)
เรือดำน้ำทุกลำถูกเรียกกลับหน่วย เอากลับไปยังอู่ รื้อค้นซ่อมแซมหาสาเหตุกันใหม่
ซึ่งใช้เวลานานหลายอาทิตย์ และเป็นขณะเดียวกันกับที่สงครามฝ่ายตะวันตกกำลังจะเปิดฉาก !!

และ..ที่ว่าเป็นการทำสงครามที่ผิดพลาดของฮิตเล่อร์ นั่นก็คือ การเข้ายึดครองนอร์เวย์ของเยอรมัน ทำให้เกิดการสับสนวุ่นวายในสภาอังกฤษ
ผู้ที่ถูกตำหนิ มากที่สุดคือ รัฐบาล
เสียงในสภาระส่ำระสาย ต้องมีการโหวตกันใหม่ ผลคือ รัฐบาลและนายแชมเบอร์เลนคว่ำไม่เป็นท่า ถึงกับต้องลาออก..
วินส์ตัน เชอร์ชิลล์ คู่ปรับของฮิตเล่อร์(คนที่ใครต่อใครกลัวใจหนักหนา) ขึ้นมาแทนที่..และได้รับอำนาจในการดำเนินงานทัพสู้ศึกโดยพระเจ้าแผ่นดิน อย่างเด็ดขาด..
สำหรับ..ฮิตเล่อร์แล้ว นั่นคือสิ่งที่เขาเกรงอย่างที่สุด แบบเหมือนกับ..ดังนรกชัง หรือสวรรค์แกล้ง ทีเดียวเจียว..
เพราะ ถ้าไม่ใช่เชอร์ชิลล์คนนี้ โลกเราทุกวันนี้ไม่รู้ว่าจะอยู่ในทิศทางใดเลย..!!



V
V
V
V

ผนวกตอนสิบที่นี่ค่ะ...



ในขณะที่อังกฤษกำลังวุ่นวายกับการเปลี่ยนผู้นำใหม่นั้น (8 พฤษภาคม) เมืองท่า Hague ในประเทศ
เนเธอร์แลนด์ คือ จุดยุทธศาสตร์สำคัญต่อไป เพราะอยู่ใกล้กับเกาะอังกฤษอย่างที่สุด
ฉะนั้น..จะเก็บเอาไว้ใย?
วันที่ 9 พฤษภาคม..ทางกองทัพเยอรมันภายใต้การนำของนายพล ไกเทล ได้เตรียมแต่งทัพกันเป็นการใหญ่ สำหรับการเคลื่อนพลในวันรุ่งขึ้น คือวันที่ 10 และ..ได้เตรียมส่งสาสน์นำไปก่อน ถึง
สมเด็จพระราชินี Wilhelmina ว่า..
กองทัพเยอรมัน มีความต้องการที่จะเดินทัพผ่านเส้นทางในประเทศของพระองค์..
จึงกราบบังคมทูลขอความร่วมมือแต่โดยดี และขอให้ทหารจงอยู่ในความสงบเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะด้วยกำลัง
และกระหม่อมขอรับรองเสถียรภาพความปลอดภัยของพระองค์และพระราชวงศ์ ด้วยเกียรติยศ

ลงชื่อ ฮิตเล่อร์

และจดหมายฉบับนี้ได้เตรียมจัดส่งแบบจู่โจม โดยมีการจัดส่งคนนำไปถวาย แต่ก่อนไปก็ต้องไปขอวีซ่าเข้าประเทศจากสถานทูตเนเธอร์แลนด์ในกรุงเบอร์ลิน..แต่ก็ไม่ได้รอดพ้นสายตา
ของท่าน ผบ. Wilhelm Canaris หัวหน้าหน่วยสืบราชการลับของเยอรมันไปได้..
นายพลคานาริส คนนี้.. ไม่ชอบนาซีอย่างแรง..แต่ต้องแกล้งฝืนเพราะตัวเองคือสายลับสองหน้าอย่างแท้จริง..และคือตัวการสำคัญที่คอยจ้อง
ล้มบัลลังค์ฮิตเล่อร์อยู่ในแทบทุกขณะจิต
อีกทั้งรับจ๊อบเป็นสายสืบให้กับอังกฤษอีกต่างหาก
เขาจึงส่งข่าวไปกองทัพดัทช์ ให้จับและกักตัวคนส่งสาสน์ ในตอนประทับตราเข้าประเทศ
และ..ผลคือ จากการค้นตัว..ได้พบจดหมายสำคัญในใจความดังกล่าว
ชาวดัทช์แตกฮือ..ภายใน 24 ชั่วโมง..ทุกถนนถูกสั่งปิดกั้น.. ทหารเตรียมตัวพร้อมรับศึก..
และ...พวกเขาเตรียมไม้ตาย..นั่นคือ เตรียมพร้อมที่จะเปิดเขื่อนกั้นน้ำ ปล่อยลงมาให้ท่วมถนนทั้งหมด..
ดูเด๊ะ..ว่า มันจะเดินทัพไปได้ไกลแค่ไหนฟะ?

ทันทีที่รู้ข่าวว่าพวกดัทช์เตรียมรับมือ..ฮิตเล่อร์ ถึงกับงงเต๊ก..ว่ามันผิดแผนไปได้อย่างไร เพราะตามแผนนั้นกะว่าทางพวกดัทช์รับจดหมายเสร็จ ทัพเยอรมันก็จ่อที่ปากประตูเมืองแล้ว..
แต่นี่ ทำไมข่าวจึงรั่วเร็วจังหว่า ??
เกอริง..แนะนำให้ยืดเวลาไปอีกสองสามวัน เพื่อจะได้มีเวลาเปลี่ยนแผนใหม่..
ฮิตเล่อร์บอกว่า..ไม่ได้ ต้องเป็นวันที่ 10 เท่านั้น..เข้าใจป่าว ???
ดังนั้น..แผนใหม่จึงต้องจัดด่วน เป็นอันว่า..
ด่านแรกคือ เข้ายึดเมืองท่า Hague ให้เสร็จเรียบร้อย และรวดเร็ว..
ต่อมาคือเข้าเมืองหลวง และ เข้าควบคุมองค์สมเด็จพระราชินี จากนั้นทุกอย่างก็จะเรียบร้อย

ว่าแล้ว..เยอรมันก็ทำตามขั้นตอนเป๊ะ..แต่ทว่า ทหารและประชาชนชาวดัทช์ พร้อมใจกันสู้อย่างขาดใจ
ในวันที่ 10 ดังว่า..
การสู้รบอย่างยิบตานั้นนานถึงสองวัน เล่นเอาเยอรมันต้องกลับไปตั้งตัวใหม่ และกลับมาพร้อมกับกองทัพปันเซ่อร์ทั้งฝูง
แต่..ชาวดัทช์ทั้งประเทศต่างพากันลุกฮือ..สู้แบบตายเป็นตาย ถึงไหนถึงกัน..
กองทัพปันเซ่อร์ที่ว่าแน่ๆ..ก็ต้องถอยกลับไปตั้งตัวใหม่อีกครั้ง..
ล่วงไปสี่วัน..คราวนี้..เยอรมันต้องใช้แผนเด็ด..นั่นคือ ส่งฝูงบินมาบอมบ์ด้วยระเบิดซะให้เข็ด ในแผนการรบแบบใหม่เอี่ยม
เริ่มที่เมือง Rotterdam..... ผลคือ คนตาย 800 บาดเจ็บนับหมื่น บ้านพัง 78,000 หลัง
และนี่คือ..ครั้งแรกที่ชาวยุโรปได้ประจักษ์ต่อพิษสงของสงครามในรูปแบบใหม่ที่ร้ายแรงจนไม่มีใครได้เห็นและคาดคิดมาก่อน
วันต่อมา..เนเธอร์แลนด์ ก็ต้องยกธงขาวให้กับเยอรมัน..ยอมแพ้อย่างราบคาบ..

แต่..ไม่ใช่สมเด็จพระราชินี เพราะพระองค์ได้หนีไปสู่ประเทศอังกฤษได้อย่างปลอดภัย แบบเฉียดฉิวในเสี้ยววินาที
เยอรมัน..ก็ได้เตรียมกางแผนที่สำหรับเป้าหมายต่อไป คือ ฝรั่งเศส อันเป็นสำคัญ !!

เอาแผนที่มาลงให้ดู ประกอบกับความเข้าใจ
ตรงข้างบนที่มีขีดแดงเส้นสั้นๆ นั่นคือ เขื่อนที่พูดถึง

เคยพูดถึงแผนปฏิบัติการสายฟ้าแลบของเยอรมันมาแล้ว..ขอขยายตรงนี้เลยนะคะว่า มันคือ Blitzkreig หรือ อ่านว่า บริทซ์ครีค
ความจริงแผนพิฆาตนี้ได้เริ่มใช้มาตั้งแต่ปลายสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แต่ในยุคนั้นมีแต่ทฤษฏี..ขาดภาคปฏิบัติ เพราะตัวกลไกขับเคลื่อนเร็ว แถมการสื่อสารก็ยังไม่พัฒนา

พอตกมาถึงในยุคปลาย 1920 จนถึง 1930 ต้นๆ กลุ่มนายพลระดับเสนาธิการยังค์เติร์ก อย่าง.. Charles De Gaulle, Hans von Seekt, Heinz Guderian ได้สนใจศึกษาถึงเรื่องนี้กันมาก โดยเฉพาะผู้พัน(ยศในตอนนั้น)ชาร์ลส เดอ โกลล์ ได้เขียนเป็นตำราพิชัยยุทธรวมเล่มเอาไว้ (เคยเล่าแล้ว ในเรื่องไวน์ ไวน์) เสนอให้รัฐบาลฝรั่งเศสปรับปรุงเอาไปใช้ในกองทัพของประเทศ แต่ทุกคนหัวเราะเยาะ ขำกลิ้ง หาว่า เพ้อเจ้ออีกต่างหาก

ส่วนผู้พัน Hans von Seekt, และผู้พัน Heinz Guderian ของเยอรมัน ได้ทำอย่างเดียวกันและ ได้รับการขานรับจากต้นสังกัดเป็นอย่างดี
ฉะนั้น..ในปี 1933 จนถึง 1939 เยอรมันจึงมีรถถังติดตั้งปืนใหญ่ที่ทันสมัยขนาดเล็กแบบเคลื่อนที่เร็ว อีกทั้งฝูงบินโจมตีอย่างมากมายเตรียมพร้อมทำสงคราม
 

 

 

แผนนี้ได้ทำการทดลองใช้ครั้งแรกในตอนที่เกิดสงครามกลางเมืองสเปน 1936-38 อย่างเห็นผล ที่ทัพอากาศเข้าโจมตี
และทัพบกเข้าเคลียร์พื้นที่อย่างรวดเร็วทันใจ
ต่อมา..ตอนที่บุกโปแลนด์ กันยายน 1939 นั้น ก็ใช้แผนนี้เช่นกัน แต่องค์ประกอบสำคัญของการปฏิบัติการเช่นนี้ "หัวใจ"คือการสื่อสารอย่างฉับไวด้วยวิทยุส่งไปมาระหว่างศูนย์บัญชาการกลางและหน่วยโจมตี
นี่คือที่มาและเป็นที่รู้จักในนามของ บริทซ์ครีค (เป็นครั้งแรกที่ใช้ชื่อนี้)
แต่มาในการรุกรานประเทศอื่นๆตอนล่างและฝรั่งเศสที่กำลังจะพูดถึงนี่ มีการแถมกองทัพพลร่ม(Fallschirmjaeger) เข้าไปเสริมอีกต่างหาก
แผนนี้ใช้ได้ผลกับหลายๆประเทศที่กล่าวมาในช่วงของ 1939-1942

สาเหตุมาเริ่มเป๋ปัดเอา...ก็อีตอนที่ฮิตเล่อร์กำแหงเปิดศึกสองด้านกับรัสเซีย ในปี 1941 เพราะขาดการส่งกำลังบำรุงแบบต่อเนื่อง
ทำให้สงครามทางอาฟริกาเหนือ ของยอดบุรุษ Erwin Rommel พลอยพังยับตามไปด้วย
อย่างไรเสีย..ภาษิตโบราณนั้นใช้ได้เสมอ ว่า กองทัพเดินด้วยท้อง ถ้าทหารทั้งหิวทั้งหนาว
(และทั้งร้อนยังกะนรก) จะไปสู้รบอะไรกะใครเขาได้..

 



จะว่าไปแล้ว..บริทซ์ครีค ก็คือบรรพบุรุษของการสู้รบในปัจจุบันนะ..
ไล่มาจาก นายพลอเมริกัน George Patton นำมาเป็นดาบนั้นคืนสนองให้แก่เยอรมัน
ในช่วงใกล้แพ้สงครามเต็มที่ 1944
เรื่องของนายพลแพตตัน นี่มี"ฮา"เยอะ ไว้จะเล่าเมื่อถึงตอน (ทวงด้วยละกัน)

ต่อมาหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองไปแล้ว..อิสราเอลก็นำไปใช้กับอริประเทศในกลุ่มอาหรับ

อเมริกา ก็เอาไปใช้ใน สงครามทะเลทราย (Desert Storm)คราวที่แล้วนั่น..


อ้อ..ทฤษฏีของ Blitzkrieg ก็คือ

1. เริ่มจากทัพอากาศโจมตีแนวด่านของข้าศึก ไล่ไปถึงการทำลายถนนสายสำคัญ เส้นทางคมนาคมอื่นๆ, ทำลายศูนย์สื่อสารให้เรียบ
ในขณะเดียวกันกับที่ทัพบกส่งหน่วยรถถังใหญ่โจมตีตามเก็บให้สิ้นซาก ผู้ที่ถูกโจมตีในตอนนั้นจะสับสนไม่รู้จะเตรียมตัวรับทางไหน บก หรือ อากาศ
2. จากนั้นหน่วยรถถังเล็กเร็ว จะขับเคลื่อนเลื่อนลึกเข้าไปในใจกลางของเมือง เข้าควบคุมทุกจุดเพื่อไม่ให้มีการรวมตัวต่อต้านต่อไป
3. ทหารกองหน้าหน่วยเคลื่อนเร็ว เข้าทำการปฏิบัติหน้าที่แบบตัดตอนโดย เข้าค้นและควบคุมหน่วยกำลังสำคัญของข้าศึกทั้งหมด
4. ทัพบกเข้าทำการกระจายกำลังเข้าควบคุมพื้นที่เป็นวงกลม เท่ากับเป็นการล้อมปิดกั้นทั้งทางออกและทางเข้า
5. การสื่อสารติดต่อของการปฏิบัติการนั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทุกหน่วยสามารถส่งได้ถึงกันหมด

จากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่ทำการสู้รบแบบกินนอนในคูเพลาะ นานๆค่อยโผล่หัวออกไปยิงกันทีนั่น มาถึงแผนบริทซ์ครีคที่ว่ามานี้
มันช่างต่างกันราวกับฟ้ากับเหว..
คิดดู๊..เมื่อก่อน ฮิตเล่อร์ยังวิ่งส่งสาสน์หน้าตั้ง
กระโดดหลบลูกปืนแผล๋วๆ
มาถึงตอนนี้..เขาสั่งยิงกันทางโทรศัพท์ แสนสะดวกสบาย ไม่ชนะตอนนี้แล้วจะไปชนะกันตอนไหน ?



แผนบริทซ์ครีคนี้ โจมตีเร็วชนิดที่ เนเธอร์แลนด์มีเขื่อนยักษ์ขนาดใหญ่ พร้อมที่จะปล่อยน้ำมาให้ท่วมเมือง
แถมยังรู้ล่วงหน้าอีก ยังสั่งการทำอะไรไม่ทัน ทหาร ตำรวจ ตั้งตัวไม่ติด
ในช่วงต้นพฤษภา(ทมิฬ) แห่งการรุกรานของเยอรมันนั้น กองทัพได้แผ่ออกไปในหลายเขตพรมแดนของชาวบ้านชาวช่องเขา รวมไปถึงเบลเยี่ยมที่ประกาศปาวๆว่า..เป็น ณูช่วล เฟ้ย ซะด้วย..
เรื่องของเบลเยี่ยมนั้น..ทางรัฐบาลเชื่อมั่นว่า ต่อให้ข้าศึกมายังไงก็ไม่สามารถตีป้อมปราการชายแดน Eben Emael ได้แน่ๆ เพราะ เป็นการก่อสร้างที่ทันสมัยยิ่งนัก
กล่าวคือ สามารถจุทหารประจำการในนั้นได้ถึง 1200 กองร้อย และ ทำด้วยคอนกรีตหนาแน่น พร้อมสู้รบกันทั้งปีอย่างต่อเนื่อง
แถมยังมีแนวแม่น้ำ Dyle และ แม่น้ำ Meuse (อ่านว่า มียูส หรือ มาซ อันเป็นสำเนียงพื้นเมือง) กั้นไว้ซะอีก
เท่านั้นไม่พอ..ทหารของสพม. อังกฤษ ฝรั่งเศส ได้มาช่วยเข้าเสริมกำลังควบคุมพื้นที่ในแนวแม่น้ำนี้อย่างแข็งแรง..
เยอรมัน บอกว่า ได้เลย..จะลองของให้ดู ว่าแล้ว..ก็ส่ง หน่วยรบกล้าตาย 78 หน่วยที่มาพร้อมเครื่องร่อนข้ามแม่น้ำมาหน้าตาเฉย..
ทันที่ที่สะบัดเครื่องร่อนให้หลุดออกจากตัว..หน่วยทหารนั้นก็ สาธิตวิธีสู้รบแบบใหม่จากเยอรมันให้ดูเป็นขวัญตา
โดยใช้ระเบิดแก๊สที่ออกแบบมาสำหรับใช้ในหลุม หย่อนลงไปในป้อม..ตามด้วยปืนพ่นไฟ..ทำให้เกิดเป็นทะเลเพลิงในป้อม แบบวินาศสันตะโร..
เข้าทำการยึดและระเบิดทำลายฐานของป้อมปืนที่หมุนได้รอบทิศ อันเป็นอาวุธสำคัญของป้อม
เพียงชั่วโมงเดียวเอง..ทุกอย่างก็เรียบร้อยโรงเรียนเยอรมัน

ทหารเบลเยี่ยมที่เหลือรอดตายในป้อม ต่างเดินเรียงแถว ชูมือยกธงขาวออกมาหรา..
ภายในวันที่ 11 พฤษภาคม ป้อม Eben Emael ที่ลือลั่นว่า ไม่มีใครสามารถทำให้แตกหักได้ ก็เหลือเป็นเพียงแค่เรื่องขบขันในประวัติศาสตร์

ทำไม..เยอรมันจึงได้เก่งกล้าสามารถนัก
คำตอบคือ..ฮิตเล่อร์ได้เอาตัวอย่างของป้อมนี้ไปสร้างก๊อปปี้ให้เหมือนที่เยอรมัน และ จัดให้ทหารทำการฝึกการทำลายล้างจนค้นพบวิธีที่ได้ผลน่ะซิ !

ภายในวันที่ 13 พฤษภาคม เยอรมันก็สามารถยึดสะพานหลักๆสี่สะพานที่สามารถข้ามจากเบลเยี่ยมไปฝรั่งเศสได้
และไม่ใช่แค่นั้น..พวกเขาได้เตรียมกองทัพอย่างพร้อมเพรียง โดยการจัดฝูงปันเซ่อร์ยักษ์ๆ ตั้งเป็น 3 ตอน
ซึ่งมีมากมายเสียจนหางแถวยาวไปเกือบทะลุไปถึงเยอรมันโน่นน..
พร้อมที่จะเดินทัพเข้าสู่ฝรั่งเศส

ในวันที่ 14 เยอรมันสามารถตีด่านหน้าของฝรั่งเศสแตกอย่างง่ายดาย และได้เคลื่อนตัวมุ่งหน้าไปยังจุดหมายนั่นคือ ดินแดนที่ช่องแคบอังกฤษ
ตอนที่จะข้ามสะพานมาน่ะ..RAF ได้ส่งฝูงบินมากะว่าจะบอมบ์สะพานซะให้สิ้นซาก แต่ เยอรมันภายใตัการนำของนายพล
Guderian ผบ.ฝูงปันเซอร์ที่ 19 ได้ตั้งมั่นจัดกองกำลังหน่วยต่อสู้อากาศยานรอรับอย่างเรียบร้อย

ผลปรากฏว่า..เครื่องบิน 71 ลำที่อังกฤษส่งมา หล่นผล็อยราวใบไม้ร่วง..รถถังที่ฝรั่งเศสส่งมาปะทะ ก็กลายเป็นเศษเหล็กไปในพริบตา
เพราะ ความล้าสมัยในด้านอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างเทียบกันไม่ได้
และครั้งนี้นี่เอง..ที่เยอรมันกำลังจะให้บทเรียนถึงสงครามในรูปแบบใหม่ให้ฝ่ายสพม.ได้รู้จักและสำนึกเอาไว้..

กำลังทหารของสพม.แทบทั้งหมดนั้นได้เตรียมพร้อมตั้งมั่นรับมือกับหน่วยปันเซอร์ฝูงที่ 16 ของนายพล von Reichenau
ที่มุ่งหน้าไปทางเหนือ ซึ่งตรงนั้นได้มีการสู้รบแบบสมน้ำสมเนื้อหน่อย เพราะ สามารถยันปะทะไว้ได้
นายพล Gamelin แห่งฝรั่งเศส ถึงกับออกข่าวสภาพการสู้รบแบบ"โว" ไปทั่ว
ส่วนนายพล Halder ของเยอรมัน ยิ้มนิดๆ ในใจคงคิดว่า.. " เออ..ฝันไปเหอะ เมิ๊งงงง เดี๋ยวก็จะรู่ซึ๊กก"
เพราะ ทหารของสพม..ได้หลั่งไหลไปสมทบอยู่ตรงนั้น..จนไม่เหลือกองหนุนไว้คอยป้องกันด้านหลังเลย
นอกจากตรงส่วนที่ประจำรักษาอยู่ที่บริเวณช่องแคบอังกฤษ

ดังนั้น..หน่วยปันเซอร์ที่ตีอ้อมทะลุจากป่าทึบทางใต้ สามารถเดินทัพเอ้อระเหยมาจนเกือบถึงกรุงปารีสในวันที่ 16
นั้น เล่นเอา นายพล กาเมแลง และท่านนายก พอล เรโนลด์ ถึงกับอ้าปากค้าง..นั่งตะลึงจนแทบทำอะไรไม่ถูก
วันนั้น..เอง คือวันที่เชอร์ชิลล์ ได้อยู่ในกรุงปารีส เพราะมาสังเกตการณ์ในเรื่องสงครามครั้งนี้ ทราบข่าวว่า
เยอรมันได้บุกเมืองได้แล้วนั้น..ถึงกับตะโกนใส่หน้า ถามนายพล กาเมแลงว่า
" Ou'est la masse de manoeuvre?" แปลว่า..." กองทัพกองหนุนอยู่ที่ไหนกันฟะ?"
"Aucune," เสียงแหบๆดังออกจากปากนายพล แปลว่า.."ม่ะมีง่ะ"

(สาเหตุที่เขียนเป็นภาษาฝรั่งเศส เพราะเอาตามสิ่งที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ช่วงนั้นจริงๆ..มันสะจัยยยดี)




แต่หรือเทพยดาแห่งเมืองอังกฤษจะมีจริง..มีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นมากมาย..จะไล่เล่าไปทีละอย่างนะ..
เชอร์ชิลล์ ต้องรีบกลับไปยังอังกฤษทันทีเพราะรู้ตัวแล้วว่า..สถานะการณ์ย่อมต้องเลวร้ายไปกว่านี้แน่ๆ ด้วยเครื่องบินเล็ก..
และนับว่าเป็นการเสี่ยงอย่างมากต่อการถูกยิงตกโดยลุฟท์วัฟฟ์ หากแต่ไม่มีทางเลือกอย่างใดมากไปกว่านั้น
ชีวิต ขึ้นอยู่กับ นักบินเพียงคนเดียว..
ขณะที่กำลังอยู่บนท้องฟ้านั้น..จู่ๆ..นักบินดึงเครื่องบินขึ้นสูงจนผิดสังเกต จนเขาถามว่า มีอะไรเหรอ?
นักบินบุ้ยใบ้ลงไปข้างล่าง..ว่า..มีเครื่องบินเยอรมันลำหนึ่งกำลังแล่นเอื่อยๆ สังเกตการณ์ภาคพื้นดินอยู่
ซึ่งเล่นเอาใจหายใจคว่ำ กว่าจะรอดชีวิตกลับไปยังอังกฤษได้ และการรอดของท่านเชอร์ชิลล์ครั้งนี้
ส่งผลกลับมาช่วยชีวิตทหารนับแสนๆคน ที่ Dunkirk !!

และเรื่องที่กองทัพฝรั่งเศสไม่มีกองหนุนนี้ ไปบอกใครไม่มีใครเชื่อ แม้แต่ ฮิตเล่อร์เอง..
สงครามที่เกือบจะได้ชัยชนะแบบชนิดที่ไม่ต้องลงแรงครั้งนี้ของหน่วยปันเซ่อร์ของทัพบกนั้น ทำให้ เกอริงอดรนทนไม่ได้ เพราะ ประวัติศาสตร์ในช่วงนี้ ย่อมต้องไม่ชื่อของเขาบันทึกอยู่
เขาจึงเข้าพบกับท่านผู้นำด้วยใจความว่า..
"น่าจะเป็นกลศึกของสพม.เป็นแน่แท้ ที่จะล่อให้ฝูงปันเซ่อร์ทั้งหมดไปที่นั่น..แล้วจัดการถล่มซะให้ราบเรียบไปในคราวเดียวกัน
เพราะหน่วยข่าวกรองของลุฟท์วัฟฟ์ส่งมาบอกว่า..ฝรั่งเศสกำลังเคลื่อนทัพด้วยทหารกองหนุนครั้งใหญ่ยิ่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์เชียวนะ"
ฮิตเล่อร์..เชื่อสนิท เพราะ เผอิญมาตรงกันกับข่าวของนายพล von Rundstedt ผบ.หน่วยทัพบกที่คุมอยู่ชายแดนเบลเยี่ยมพอดี
ฮิตเล่อร์มานั่งทบทวนดูว่า..จะทำอย่างไรดี ถ้าเกิดเป็นว่าถูกโจมตีเข้าจริงๆ เยอรมันเสียเปรียบแน่นอนเพราะการส่งกำลังบำรุงนั้น
ห่างไกลนักถ้าการรบต้องล่าช้าออกไปแบบเยิ่นเย้อ
และที่สำคัญ คือ ถ้ายับเยินมา..จะได้อับอายเขาไปทั่ว..ทางที่ดี รอดูสถานะการณ์ก่อนดีกว่า !!
เกอริง..รีบเสริมว่า..ไม่เป็นไร..หน่วยลุฟท์วัฟฟ์ควบคุมเกมส์ได้อยู่แล้ว..ไม่มีปัญหา ตอนนี้ให้พวกฝูงปันเซอร์หยุดพักรบไปก่อน
ฮิตเล่อร์เห็นดีด้วย..เลยสั่งการไปทาง นายพล von Brauchitsch และ นายพล Halder ให้หยุดอยู่แค่ครงนั้น..
รอการสั่งการจากเขาคนเดียว !!

นายพลเยอรมันสองคน คือ ฟอน เบราชิทสช์ และ นายพล ฮัลเดอร์ ทันทีที่ได้รับคำสั่งให้หยุดแค่ตรงนั้น ถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก รายยว๊าาา ??
เพราะชัยชนะอยู่ข้างหน้าเห็นๆ ทหารอังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม ต่างรอคอยมัจจุราชที่ที่ริมหาดนั้น นับแสนๆคน
แต่ด้วยวินัย..นายสั่งอย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้น..
และนี่คือการคำนวนสถานะการณ์ที่ผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ของฮิตเล่อร์ เพราะแทนที่จะเป็นกองทัพกองหนุนโผล่มาสู้รบ กลับกลายเป็นเรือรบ และเรือทุกชนิดที่ลอยน้ำได้..ทุกชนิด ทุกขนาด กว่า 850 ลำของอังกฤษต่างแห่กันมารับทหารกว่าสามแสนของตัวกลับไปจนหมดในวันที่
26 พฤษภาคม นั่นเอง ด้วยฝีมือของ เชอร์ชิลล์ ในแผนที่ชื่อว่าปฏิบัติการไดนาโม (Dynamo Operation)
ส่วนทหารฝรั่งเศสที่เหลือ ก็ชูมือยอมแพ้เดินเรียงแถวเข้าค่ายนักโทษสงครามไปตามระเบียบ ตามไปอ่านได้ในเรื่องไวน์

ตอนนั้น ฮิตเล่อร์รู้ได้ทันทีว่าพลาดไปอย่างถนัดใจ..ก็ได้สั่งการให้มีการเดินหน้าโจมตี
แต่..ฝูงปันเซอร์ทั้งหลายนั่น เสียศูนย์ไปแล้ว คิออ่านทำการอะไรก็ไม่ทัน..
ส่วนลุฟท์วัฟฟ์ของเกอริง..ที่ว่าจะเข้ามาดูแลเองนั้น ก็อัมพาตรับประทานไปอย่างสนิทเนื่องจาก ทัศนวิสัยที่เลวร้าย ไม่สามารถส่งเครื่องบินขึ้นไปได้เลย
ภายใน วันที่ 1 มิถุนายน ทหารอังกฤษกว่าสามแสนคนก็ได้ขึ้นเรือกลับบ้านกันอย่างปลอดภัย..

และ..ภายในวันที่ 17 มิถุนายน..ฝรั่งเศสในรัฐบาลใหม่ นำโดย นายพลผู้เฒ่า อดีตวีรบุรุษแห่งสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง..Marshal Henri Phillipe
Petain (อ่านว่า มาเชล อองรี ฟิลลีป เปอะแต็ง แต่เป็นที่รู้กันในการพูดคุยส่วนใหญ่ว่า เปเตน ตามสำเนียงมะกัน จะเขียนตามนี้นะ เพราะ ง่ายดี)
ท่านผู้นำเปเตน ได้ขอเซ็นสัญญาสงบศึกกับเยอรมันอย่างง่ายดาย
ฮิตเล่อร์ ถึงกับขำกลิ้ง..สงบศึกน่ะเหรอ 555555 กร๊ากกกก..!!! และพูดต่อว่า..
"ไม่รุนะ ต้องขอคุยกับพรรคพวกดูก่อน ท่านเบนิโต มุสโสลินีง่ะ"
เนื่องจาก ในระยะที่เบลเยี่ยมแตกลง อิตาลีขอเข้ามาร่วมเป็นภาคีกับฮิตเล่อร์ เพราะ มองเห็นแล้วว่ามีแต่ได้กับได้..!

และ..ด้วยความแสบของฮิตเล่อร์จอมวางแผน นั่นก็คือ ให้ทหารไปลากตู้โบกี้รถไฟ(คันเก่าที่เยอรมันเคยมาเซ็นสัญญาสงบศึก เพราะแพ้สงครามในคราวที่แล้ว 1918)
ไปตั้งที่ตรงหน้า"อนุสาวรีย์"ชนะศึกของฝรั่งเศสในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง.. ที่ชายป่าของเมืองชายแดน Compiegne
ก่อนที่ ฮิตเล่อร์จะก้าวขึ้นไปบนตู้โบกี้ นั้น..เขาแวะไปที่อนุสาวรีย์แห่งชัยชนะนั้น..พร้อมทั้งปรายตาอ่านข้อความที่จารึกไว้ ด้วยความสะใจในการแก้แค้นครั้งนี้
ข้อความนั้น เขียนไว้ว่า..

HERE ON THE ELEVENTH OF NOVEMBER 1918
SUCCUMBED THE CRIMINAL PRIDE OF THE GERMAN EMPIRE---- VANQUISHED BY THE FREE
PEOPLE WHICH IT TRIED TO ENSLAVE

 

และจากนั้น เขาก็ก้าวเข้าไปในตู้โบกี้ที่ใช้เตรียมไว้เป็นที่ลงนามสัญญายอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆของฝรั่งเศส
หลังจากนั้น...เขาก็ได้ให้ทหารนำตู้รถไฟโบกี้นั้นกลับไปยังเยอรมัน เพื่อไปตั้งเป็นอนุสรณ์สงคราม

 

 

 

เช้าวันรุ่งขึ้นต่อมา..เพราะอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นเลยมัง..เขาทั้งหลาย ต่างก็พากันเดินเที่ยวในย่านกรุงปารีสอย่างสบายใจ ไม่ว่า จะเป็นหอไอเฟล ,ฌ็องส์ เอลิเซ่
และ..ฮิตเล่อร์ได้ไปเยี่ยมที่ฝังศพของนโปเลียนมหาราชซะด้วย แต่จะแสดงความคารวะหรือเปล่านั้น ไม่มีใครทราบ
นอกจากในภาพที่เห็น นั่นคือ เขาบังอาจเอื้อมเอามือไปแตะต้องในส่วนที่ต้องห้าม ที่สงวนไว้ให้แต่องค์สังฆราชเท่านั้น
และ เขาได้บอกให้ทุกคนได้รับรู้ว่า..นี่คือ ช่วงเวลาแห่งความสุขที่สุดในชีวิตอย่างไม่มีสิ่งใดปานเปรียบ
เพราะมาถึงตรงนี้..ยุโรปเกือบทั้งหมดได้ตกเป็นของเยอรมันอย่างเรียบร้อย
จะเหลือก็แต่..เกาะเล็กๆตรงข้ามช่องแคบไปนั่น เท่านั้นเอง..
เกาะนั้นคือ ประเทศอังกฤษ ที่มีคนที่ฮิตเล่อร์ "กลัวใจ" หนักหนา ที่เป็นชายร่างอ้วนกลมเป็นผู้นำ นามว่า..
Winston Spencer Churchill นั่นเอง..


 

ที่พิพิทธภัณฑ์ลุฟว์  ในกรุงปารีส ก็รู้งานซะไม่เมียะ...เก็บภาพศิลปก้องโลกไปซ่อนเรียบ...เพราะกลัวว่าเยอรมันจะมาขนไป..

 

ที่อังกฤษ...กรุงลอนดอน

วันที่ 6 มิถุนายน เชอร์ชิลล์ได้ทำงานอยู่ในบังเกอร์ใต้ดินถนน Browning อันเป็นที่ที่เขาใช้เฉพาะสำหรับการบัญชาการรบในสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น
และเขากำลังนั่งอ่านรายงานปฏิบัติการไดมาโมที่เพิ่งผ่านมา ตัวเลขที่ปรากฏมีดังนี้
คือ ทหาร 337,131 คนด้วย เรือ 850 ลำ นั่นคือ สิ่งที่น่าพอใจ
แต่สิ่งที่น่าตกใจ..นั่นก็คือ ที่มากับเรือ คือ รถถังและอาวุธเพียงหยิบมือ
สิ่งที่ทิ้งอยู่เบื้องหลัง..นั่นก็คือ รถ 120,000 คัน ปืนใหญ่ 2,300 กระบอกพร้อมกระสุน ปืนกล 8,000 กระบอก ปืนยาว 90,000 กระบอก
วัตถุระเบิด 7,000 ตัน.....นับว่าเสียหายยับเยินที่สุดในประวัติศาสตร์
และ จากนี้ไป หมายถึงว่า อังกฤษจะต้องสู้ด้วยตัวเอง...อย่างโดดเดี่ยวจริงๆ

เชอร์ชิลล์..บอกกับคนใกล้ชิดว่า...อย่างไรก็ต้องสู้สุดชีวิต..ต่อให้ไม่มีปืนสักกระบอก เอาขวดเหล้าตีกระบาลมันก็ยังไหวว้อย !!

แต่..ก่อนอื่น เขาต้องตัดสินใจทำงานใหญ่ขึ้นมาอย่างหนึ่ง..นั่นคือ การเดิมพันครั้งยิ่งใหญ่ของเกาะอังกฤษ
เขาเรียกประชุมคณะทำงานใกล้ชิด และ ขยายความให้ฟังว่า
"การทำงานครั้งนี้ จะใช้ชื่อว่า Operation Fish อันหมายถึงการที่เขาจะเคลื่อนย้ายทรัพย์สินของประเทศที่มีมูลค่ากว่า 7 พันล้าน(เทียบดอลล่าร์)
รวมไปถึงทรัพย์สินอันมีค่าอื่นๆของพระราชวงศ์ ไปยังประเทศแคนาดา เพื่อเป็นการรักษาเก็บไว้ให้ปลอดภัยจากเงื้อมมือของผู้ที่จะเข้ามาบุกรุก"
ทุกคนตะลึง..อ้าปากค้าง แต่ต่างก็เข้าใจดีถึงสถานะการณ์อันจำเป็นครั้งนี้

ภายในสองสามวันจากนั้น คณะทำงานต่างทำการบรรจุ"ข้าวของ"ที่ว่า กล่องแล้ว กล่องเล่า ด้วยปากที่เย็บสนิท และจัดการนำส่งไปยังท่าเรือทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของสก๊อตแลนด์ Firth of Clyde ขนขึ้นเรือเดินทะเล ชื่อว่า Emerald
กล่อง"ข้าวของ"ที่เต็มไปด้วยทองคำแท่ง 2230 กล่อง และ กล่องที่ใส่สมบัติมีค่าอื่นๆอีกว่า 400 กล่อง ถูกลำเลียงไปวางไว้ภายใต้ท้องเรือ
ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่า ของเหล่านี้จะถึงแคนาดาอย่างปลอดภัย รอดพ้นสายตาของเรือดำน้ำเยอรมันไปได้..
ในช่วงนั้น เดือนนั้น เรือของสพม. จำนวน 57 ลำ ได้ถูกจมในทะเลแอตแลนติคแบบไม่เว้นแต่ละวัน
และ..ในวันที่ 24 มิถุนายน 1940 เรือ Emerald ได้ล่องออกไปสู่ทะเลแอตแลนติค พร้อมทั้งหน่วยขบวนเรือพิฆาตคุ้มกันอีกฝูงหนึ่ง..
และนี่คือการเดินทางแบบคอนวอยเป็นครั้งแรกของอังกฤษ ซึ่ง ขบวนต่อๆไปกำลังจะเกิดตามขึ้นอีกในไม่ช้า..
กัปตันของเรือ คือ Captain Francis C. Flynn ได้รับรายงานมาว่า เรือดำน้ำเยอรมันสองลำได้ผ่านไปในบริเวณรัศมีไม่ไกลนัก ในเวลาไม่นานมานี้
ซึ่ง..เล่นเอาใจหายใจคว่ำสำหรับกัปตัน เพราะ ใครจะมั่นใจได้บ้างว่า ข่าวของการเคลื่อนย้ายทรัพย์สินครั้งนี้ จะไม่ถึงหูของฮิตเล่อร์

แต่..48 ชั่วโมงผ่านไป ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากลูกเรืออ้วกแตก อ้วกแตน เพราะ การเร่งสปีดอย่างสุดชีวิตของเหล่าเรือทั้งฝูง
จนในวันที่สามของการเดินทาง..อากาศเริ่มใสสว่าง..การเดินเรือเต็มไปด้วยความราบรื่น
จนกระทั่ง..วันที่ 1 กรกฏาคม เรือ Emerald ก็เดินทางถึงจุดหมาย Halifax, Nova Scotia

สิบสองชั่วโมงที่ถึงท่าเรือ ทุกอย่างถูกเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็ว ส่งขึ้นรถไฟไปยังเมือง Montreal อันเป็นจุดนัดพบแรกกับรัฐมนตรีคลังแคนาดา นาย Sydney J. Perkins และนาย David Mansur ประธานของ Bank of Canada จากนั้น ทุกอย่างก็ลำเลียงเข้าสู่
เมือง Ottawa อันเป็นศูนย์ทำการของรัฐบาล โดยมีตราประทับว่า
" The United Kingdom Security Deposit"

จากนั้นมามีการขน"ข้าวของ"ที่ว่าในขบวนคอนวอยอย่างนี้อีกหลายครั้ง..จนภารกิจได้เสร็จสิ้น
สมบัติอันมีมูลค่ามหาศาลของอังกฤษ(รวมทั้งบัลลังค์ของพระมหากษัตริย์ในพระวิหารเซนต์ ปอล) ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปไว้ในที่ที่ปลอดภัย อย่างไม่มีอุปสรรคใดๆ
ภารกิจครั้งสำคัญครั้งนี้ มีผู้ร่วมปฏิบัติงานนับร้อยซึ่งล้วนแล้วแต่ผ่านการสาบานตน และ..ทุกคนได้รักษาในสัจจะอย่างเคร่งครัด
จนไม่มีข่าวใดๆเล็ดลอดไปถึงหูของสายลับเยอรมันได้เลยแม้แต่นิด
อย่างนี้..ถือว่า ปาฏิหาริย์มั๊ยเนี่ยยย??


มารู้จักเชอร์ชิลล์กันหน่อยก่อนดีกว่า..ว่า..เขาคือใครกัน ?

Winston Leonard Spencer Churchill เป็นลูกชายของ ท่านลอร์ด Randolph Churchill มารดาเป็นชาวอเมริกัน
การศึกษาขั้นต้นที่ Harrow จากนั้นก็เข้าสู่โรงเรียนนายร้อย Sandhurst จากนั้นก็อยู่รับราชการทหารเรื่อยมา จน
ในปี 1900 เขาได้ก้าวขึ้นมาสู่ชีวิตของนักการเมืองในพรรคจารีตนิยม {Conservative}
และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพเรือของอังกฤษ ในปี 1911
แต่จากการพ่ายทัพของอังกฤษในปี 1915 ที่แพ้ให้กับอัตตาเติร์ค  ตรงการพ่ายแพ้ตรงนี้ของอังกฤษเรียกได้ว่าเป็นจุดดำมืดของประวัติศาสตร์ของประเทศในเครือจักรภพอังกฤษเลยทีเดียวเพราะนั่นคือการพ่ายแพ้
ของกองทัพร่วมของผ่ายสัมพันธมิตรในสงครามที่กัลลิโปลี (สงคราม Gallipoli หรือ ยุทธภูมิ Dardanelles) ซึ่งตลอดการรบเกือบ ๑ ปีนั้น สุดท้ายกองทัพร่วมของอังกฤษ, นิวซีแลนด์ และ
ออสเตรเลียกลับบ้านมือเปล่า แถมยังต้องสูญเสียทหารไปกว่าสองแสนนายด้วยฝีมือของนายพลอัตตาเตอร์ก (Mustafa Kamel)ของตุรกี

การพ่ายแพ้ของประเทศในเครือจักรภพอังกฤษ ไม่ใช่แค่ทำให้เก้าอี้ตำแหน่งทางทหารหลุดจากก้นของเชอร์ชิลเท่านั้น
แต่มันยังมีส่วนทำให้นายกรัฐมนตรีอังกฤษในตอนนั้น คือนาย เฮอร์เบิร์ต แอสควิธ ต้องหลุดจากตำแหน่งในปี 1916 ด้วย
ตรงนี้แหละที่นาย ลอยด์ จอร์จ ได้มานั่งเก้าอี้แทน
จากนั้น..เชอร์ชิลล์จึงลาออกจากตำแหน่งทหารมาเป็นนักการเมืองอิสระ
จนในปี 1940 ของสงครามโลกครั้งที่สองครั้งนี้เขาได้ถูกเรียกให้กลับมารับตำแหน่งเดิมพร้อมทั้งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในคราวเดียวกัน..เพราะ พระเจ้า George Vl ทรงเห็นแล้วว่าไม่มีใครที่สามารถจะพาชาติให้พ้นภัยครั้งนี้ไปได้ นอกจากเชอร์ชิลล์คนนี้

ขอให้เข้าใจว่าในยุคก่อนหน้านั้นไม่นานอังกฤษเองก็แสนจะวุ่นวายในการผลัดแผ่นดิน จะเล่าแถมไปเพราะนี่คือชิ้นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์
ที่ไม่ค่อยมีใครเอ่ยถึงนักในสมัยนี้
และที่สำคัญควรแก่การสนใจ นั่นก็คือ ชิ้นส่วนนี้ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเยอรมันซะด้วยซิ  (เปิดกระทู้ ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์ ให้เป็นกระทู้คู่ขนานไปให้แล้วนะคะ)

คือเมื่อเดือนธันวาคม 1936 ประชาชนอังกฤษต้องถึงกับตะลึงงัน ที่ได้ทราบข่าวว่าพระเจ้า เอ็ดเวิร์ด ที่ 8 ที่เพิ่งครองบัลลังก์เพียงไม่กี่เดือน ได้ประกาศสละราชสมบัติเพื่อที่จะไปแต่งงานกับหญิงสามัญชนชาวอเมริกันสุดที่รัก
แถมมิหนำซ้ำ หล่อนยังเป็นหญิงม่ายสองซ้ำสองซ้อน นามว่า Wallis Simpson
และนี่เป็นสาเหตุให้พระอนุชาองค์ถัดไปที่อยู่ในตำแหน่ง Duke of York ในเวลานั้น ต้องก้าวขึ้นมานั่งบัลลังค์แทนในนามของพระเจ้า George VI
ซึ่งทำให้เจ้าหญิงพระธิดาองค์โต คือ อลิซาเบ็ธ ได้มาอยู่ในตำแหน่งรัชทายาทลำดับต่อไป(สมเด็จพระราชินีอลิซาเบ็ธที่สองในปัจจุบัน)

หลังจากที่สละราชสมบัติแล้ว..พระองค์ยังคงต้องคอยเนื่องจาก แม่ม่ายวิลสันยังหย่าสามีไม่เสร็จ ต้องรอไปจนถึงเดือน มิถุนายน 1937
จึงได้ฤกษ์แต่งงาน..ระหว่างชายผู้สูงศักดื์และ แม่ม่ายโนเนมชาวอเมริกัน..
พระองค์ได้รับพระยศเป็น Duke of Windsor ที่ประทานแต่งตั้งให้โดยพระอนุชาที่เป็นกษัตริย์องค์ใหม่ และส่วนแม่ม่ายวอลลิสนั่น ได้เป็น
Duchess of Windsor เทียบเท่า หม่อม โดยไม่สามารถที่จะเคลมฐานันดรศักดิ์อะไรให้ได้มากไปกว่านั้น..และ..ไม่อนุญาตในการใช้
HRH หรือ Her Royal Highness นำหน้าชื่อ ฉะนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ราชาศัพท์..
ซึ่งเหตุนี้เอง..สร้างความเดือดดาลให้กับเจ้าชายพระสวามียื่งนัก..พระองค์พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ดัชเชสได้รับการยกย่องที่เท่าเทียม !!
แต่ก็ยังปราศจากผลอันใด มิหนำซ้ำพระมารดา สมเด็จพระราชินี แมรี่..ถึงกับประกาศว่า ให้พระองค์พาหม่อมออกไปจากประเทศเสียให้ไกลๆ
(ทั้งคู่ไปอยู่ที่ฝรั่งเศส) และถ้าหากกลับมาอังกฤษโดยไม่ได้รับอนุญาตละก้อจะงดจ่ายเงินเบี้ยเลี้ยงรายปีให้หมด ดูซิว่าจะมีหน้าอยู่กันได้อย่างไร?
เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดนั้น ทรงโปร-เยอรมัน อยู่ไม่น้อย เพราะ ตามสายเลือดแต่บรรพบุรุษแล้ว พระองค์ก็ถือว่าเป็นเยอรมันเข้าไปครึ่งพระองค์
แถมยังสามารถตรัสภาษาเยอรมันได้เท่าๆกับภาษาอังกฤษ
ฉะนั้น..พระองค์และหม่อมจึงตกลงรับคำเชิญในการไปร่วมรับประทานอาหารค่ำกับฮิตเล่อร์และพรรคพวกที่รังพญานกอินทรีย์
ในยามที่เสด็จประพาสเยอรมันในปี 1937

การพบพาในครั้งนั้นได้สร้างความสดชื่นรื่นเริงแก่พระองค์ยิ่งนัก เพราะ สถานที่นั้น.กับ..คนกลุ่มนั้น
ได้ยกย่องหม่อมวอลลิส ด้วยถ้อยคำอันเป็นการยกย่องเทียบเท่าพระราชวงศ์ อีกทั้ง..ในทุกคำขาน ได้มีคำว่า
"Your Royal Highness" ประดับให้ชื่นหูอยู่ทุกประโยค..
แต่..การพบพาครั้งนี้เช่นกัน ที่ทำให้เป็นที่โกรธเกรี้ยวของสถาบันราชวงศ์อังกฤษอย่างแทบจะให้อภัยไม่ได้..
เพราะกฏหมายจำกัดสิทธิของยิวแห่งนูเรมเบอร์ค เพิ่งออกมาสดๆร้อนๆ ทั่วโลกก็ต่างพากันสาปแช่ง...
แต่แล้วใยอดีตกษัตริย์ของอังกฤษประเทศที่พระอาทิตย์ไม่มีวันตก..ดังสมญาอันเป็นที่ยกย่องจากประเทศราชน้อยใหญ่
จึงไปร่วมวงสนทนากับหมู่มาร..ราวเพื่อนสนิท..!!
(แขกรับเชิญในวันนั้น คือ คู่ของเกอริง, คู่ของเฮสส์, คู่ของริบเบนทรอป, และ ฮิตเล่อร์)

ในหนังสือบางเล่ม กล่าวว่า เจ้าชายทรงใช้วิธีนี้เพื่อเป็นการแก้แค้นเอาคืนกับพระราชวงศ์ เพราะฮิตเล่อร์ถือว่าพระองค์คือเพื่อนคนหนึ่ง (มีบันทึกไว้)
และจะมอบแผ่นดินอังกฤษให้ปกครอง หากว่า เมื่อไหร่เยอรมันเข้าครอบครองได้และเมื่อนั้น หม่อมก็จะได้เป็นพระราชินี..

แต่จะเป็นด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตามที..หรือพระองค์อาจไม่รู้มาก่อนว่า..หม่อมวอลลิส นั้น ได้ถูก FBI สาวเรื่องเบื้องหลังมาได้ว่า
ในปี 1936 เคยมีสัมพันธสวาทกับนาย ฟอน ริบเบนทรอปเมื่อครั้งไปรับตำแหน่งทูตที่อังกฤษ และ ได้ส่งดอกคาร์เนชั่นให้เธอทุกวัน วันละ 17 ดอก
อันเป็นเครื่องเตือนใจถึงจำนวนที่ได้"หลับนอน"
และในยามนั้น..ทั้งคู่ได้ตกเป็นจำเลยของสังคม โดยข้อหาว่า เจ้าชายและหม่อมเป็นผู้ที่นำความลับของประเทศไปขายให้แก่ศัตรู
ถึงกับมีการสืบสวนกันอย่างคร่ำเคร่งทั้งใต้ดินและบนดิน..จนเชอร์ชิลล์ต้องจัดการให้พระองค์ไปประทับอยู่ให้ห่างไกลผู้ไกลคนที่ Bahamas
อันเป็นเกาะหนึ่งในทะเลคาริบเบียน
ผลของการสืบสาว..เลยได้ใจความว่า..หลายปีของการแต่งงานบันลือโลกตามที่เล่ามา..หม่อมวอลลิสได้มีชายอื่นแอบซ่อนอยู่ ซึ่ง..พระสวามีก็ทรงทราบ
จนบั้นปลายของชีวิต ทั้งคู่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันอย่างสงบที่พระตำหนักตอนใต้ของฝรั่งเศส
ซึ่ง..พระตำหนักนี้ ได้ถูกขายทิ้งไปโดยพระราชินีอลิซาเบ็ธที่สอง(องค์ปัจจุบัน)

และผู้ที่ซื้อไป..ทำท่าว่าจะเอาไปเป็นของขวัญให้ลูกชายตอนแต่งงาน...นั่นคือนาย โมหะหมัด ฟาเยตต์ พ่อของโดดี้ สหายชายของเจ้าหญิงไดอะน่า (ที่เสียชีวิตทันทีในอุบัติเหตุครั้งนั้น)

     
อยากจะเพิ่มเติมให้ด้วยว่าสายตระกูลของเชอร์ชิลล์นี่ไม่ธรรมดา เพราะต้นตระกูลของเชอร์ชิลล์คือ ดยุคแห่งมาร์ลโบโร่ หรือจอห์น เชอร์ชิล
ซึ่งนับได้ว่าเป็นขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ของยุโรปในยุค 1600's เลยทีเดียว

Marlborough Estate


ความจริง..เชอร์ชิลล์เกือบได้พบกับฮิตเล่อร์ ในปี 1932 มาครั้งหนึ่งแล้ว..โดยการจัดการให้พบกันโดย นาย Ernst (Putzi) Hanfstangl ในตอนที่เชอร์ชิลล์และครอบครัวได้เที่ยว
(ความจริงแล้วเพื่อไปดูสมรภูมิที่บรรพบุรุษขุนศึกแห่งตระกูล  Gallipoli ได้เคยสู้รบมาเพื่อที่จะนำมาเขียนหนังสือประวัติของตัวเองให้สมบูรณ์)
หากแต่..ฮิตเล่อร์ไม่ยอมไปพบ
โดยอ้างถึงสาเหตุของสงครามที่อังกฤษพ่ายมาจากกัลลิโปลิ ว่า ทำไมต้องไปพบ..เชอร์ชิลล์มีความสำคัญอะไร เป็นแค่ตาแก่ขี้เมาคนหนึ่ง..ก็เท่านั้นเอง
และเท่านั้นไม่พอ..ฮิตเล่อร์ยังคงไปปรากฏตัวที่โรงแรมที่พักของเชอร์ชิลล์ด้วย หากแต่ไปนั่งเต๊ะจุ้ยอยู่ในอีกห้องหนึ่ง..ทำให้รู้เลยว่า..ไม่สน
ตอนนั้น ฮิตเล่อร์เพิ่งปฏิเสธตำแหน่งรองนายกมาหมาดๆ (ใหญ่โตมากกกก..)
แต่ส่วนนาย Putzi ได้ให้การต้อนรับรับรองเป็นอย่างดี
ทั้งๆที่หน้าแตกยับเยิน เพราะได้ให้ข้อแก้ตัวแทนฮิตเล่อร์..ว่า..ไม่ได้อยู่ในเมือง
อย่างไรก็ตาม เชอร์ชิลล์ได้ฝากข้อความไปบอกกับฮิตเล่อร์ว่า..
"ความคิดที่จะต่อต้านยิว..นั้น นับว่าเป็นการริเริ่มที่ดี แต่ถ้าเอามายึดถือปฏิบัติเมื่อไหร่..จะกลายเป็นตราบาปแห่งเวรแห่งกรรม"

เพราะการมีชัยเหนือฝรั่งเศสอย่างง่ายดายนั้น..ฮิตเล่อร์ถึงกับคอยนับวันที่อังกฤษจะมางอนง้อขอสัญญาสงบศึก ซึ่งเขาเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้
ซึ่งระหว่างรอคอยเขาได้วางแผนสำหรับสงครามทางฝั่งตะวันออกเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
เพราะ เขาเชื่ออย่างหมดใจว่า..ฝั่งตะวันตกนั้น..ยังไงเสียก็ไม่มีทางจะมาสู้ ไม่ใช่เฉพาะฮิตเล่อร์ที่เชื่ออย่างนั้น
คนทั่วโลก..ก็มองเห็นไปในรูปการณ์เช่นนั้นเช่นกัน

หากแต่..คนที่คิดเช่นนี้..รู้จักชาวอังกฤษ"น้อยไป" เพราะ จนในวันที่ 13 มิถุนายน เสียงของชาวอังกฤษทั้งเกาะต่างก็ลงความเห็นเป็นเอกฉันท์..ว่า..ไม่มียอมแพ้..
ไม่มีวันยอมขอการสงบศึกใดๆ
ตายเป็นตาย(ซิวะ)
หากแต่ฮิตเล่อร์ที่อยู่อีกทางฝั่งหนึ่ง ยังเพ้อเจ้อวาดวิมานในอากาศอยู่..ว่าจะแบ่งอาณานิคมของอังกฤษอย่างไร และ จะตั้งใครไปครอง
โดยไม่ฟังเสียง จอมพยัคฆ์เชอร์ชิลล์คำรามมาให้เข้าหูว่า..พวกเราจะสู้จนวินาทีสุดท้าย..
เล่นเอาพระสงฆ์องค์เจ้าวิ่งกันวุ่น..พระสังฆราช ได้ยื่นพระหัตถ์ข้ามาไกล่เกลี่ย ขอร้องให้มีการออมชอม
พระเจ้าแผ่นดินของสวีเดน ก็ทรงพยายามเช่นกัน..
ทูตเยอรมันในสหรัฐได้จัดการให้มีการสัมภาษณ์ฮิตเล่อร์ โดยนาย Karl von Weigand (จากหนังสือพิมพ์กลุ่ม Hearst อันโด่งดัง)
ซึ่ง ฮิตเล่อร์ ได้ออกปากว่า พร้อมเสมอที่จะมีการทำสัญญาสงบศึกกับอังกฤษ
แต่..ใครเล่าจะเชื่อว่า เชอร์ชิลล์ ตอกหงายกลับมาว่า..
"สงบศึกเหรอ ด๊ายย..ย่อมได้ แต่หมายความว่าเยอรมันจะต้องถอนทัพออกจาก เชคโก โปแลนด์ นอร์เวย์ เดนมาร์ค ฮอลแลนด์ เบลเยี่ยม และ ฝรั่งเศส ให้เรียบร้อยเสียก่อนแล้วค่อยมาพูดกัน"
ฮิตเล่อร์..ได้ฟังถึงกับเซ่อไปเลย..!!

จนวันที่ 1 กรกฎาคม ก็ยังไม่มีวี่แววที่ อังกฤษจะยอมสยบ..
ฮิตเล่อร์จัดการเรียกนายพลทั้งหลายเข้าประชุมทันที..หัวข้อญัตติที่ว่า จะข้ามช่องแคบไปบุกอังกฤษกันยังไงดี..?

วันที่ 11 กรกฎาคม..นายพลทัพเรือ Raeder เข้าพบเป็นส่วนตัว..เพื่อรายงานให้ทราบจากจุดอ่อนของการสู้รบในเบลเยี่ยมที่ผ่านมา
ว่า ควรอย่างยิ่งที่จะต้องใช้เรือดำน้ำอันเป็นปัจจัยหลัก ในการที่จะเข้าตัดตอนการส่งเรือสินค้าเข้าออกของอังกฤษ
ซึ่ง..ฮิตเล่อร์ ยังไม่ค่อยแน่ใจ หากแต่รับไว้พิจารณา
ต่อมาในวันที่ 13 เขาได้เรียกประชุมอีกครั้ง..คราวนี้ เป็นการมาระดมสมองช่วยกันวิเคราะห์หน่อยซิว่า..
อังกฤษมันมีดีอะไร ถึงกล้าปฏิเสธไม่ยอมทำสัญญาสงบศึก..เอ๊..หรือว่า..จะไปผูกมิตรกับรัสเซีย.มาดัดหลังเรา ?
แค่ความคิดนี้..ฮิตเล่อร์ก็เดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาเชียว..เขาสรุปผลทันทีว่า
แผนการโจมตีครั้งนี้ จะให้เชื่อว่า ยุทธการสิงโตทะเล (Operation Sea Lion) และจะเริ่มในกลางเดือนสิงหาคม

ดังนั้น..ในตอนเย็นของวันที่ 19 ฮิตเล่อร ได้ออกกระจายเสียงในวิทยุว่า..
" เรา..ในฐานะผู้ชนะ ได้พยายามให้โอกาสเพื่อสันติสุข(แก่อังกฤษ)มาโดยตลอด ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องทำ
แต่เราจะไม่ขอร้อง เพียงแต่ อยากให้มองเห็นถึงเหตุและผล ว่า..จะมาสู้กับสงครามครั้งนี้เพื่ออะไร?"

หลังจากที่ข้อความนี้ได้ออกอากาศไป..ไม่ต้องรอให้ถึงเชอร์ชิลล์ที่จะมาแถลงตอบ ชาวอังกฤษทั้งเกาะต่างเป็นเดือดเป็นแค้น
รัฐมนตรีต่างประเทศ Lord Halifax ตอบสวนในสามวันต่อมา ยืนยันว่า ไม่ต้องการเงื่อนไขอะไรทั้งสิ้น(ว้อย) !!
ฮิตเล่อร์ถึงกับอึ้ง..เขาแปลกใจอย่างที่สุด ว่า..ชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ที่เขาได้รับจากประเทศอื่นๆที่เดี๋ยวนี้ต่างติดธงสวัสดิกะของนาซีไปทั่วยุโรปแล้วเนี่ยนะ..
อังกฤษมันไม่เห็นหรืออย่างไร..สงสัยอยากจะเจ็บตัวม๊างงง ??
แต่ลึกๆแล้ว..ฮิตเล่อร์และเหล่าขุนพลทั้งหลายก็รู้ดีเช่นกัน ว่า..การที่จะโจมตีเกาะนี้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะ

หนึ่ง...ประชาชนมีความสามัคคี มีเลือดแห่งความเป็นนักรบมาโดยแท้แต่โบราณ มีความปลูกฝังถึงความกล้าหาญที่ถือว่า ยอมตาย แต่จะไม่ยอมแพ้

สอง...มีน้ำทะเลกั้นขวางเป็นอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ เพราะถึงจะโจมตีด้วยบอมบ์จากทัพอากาศนั่นก็ได้แต่ชายแดนริมเกาะฝั่งตรงข้ามช่องแคบเท่านั้น
อัตราเสี่ยงของการสิ้นเปลืองและสูญเสียกำลังทางอากาศก็มีสูงเช่นกัน

สาม...ทางทัพเรือ (ที่เยอรมันไม่มีความชำนาญ) อังกฤษก็เป็นต่อ เพราะ ความสามารถและประสบการณ์การคำนวนสภาพลมและดินฟ้าอากาศในแอตแลนติคนั้น ต้องถือว่า ทัพเรือของอังกฤษเป็นเต้ย

สี่...อันเป็นเรื่องสำคัญ..นั่นคือ โจมตีแล้วงัย....จะยกพลขึ้นบกยังไงที่จะไม่โดนตื๊บซะก่อน เพราะเรือสำหรับบรรทุกยานยนตร์นำทหารขึ้นฝั่งก็ไม่มี ถึงมี..ก็ไม่สามารถนำทหารไปได้มากมายขนาดนั้น..เพราะกว่าจะถึงฝั่ง..ก็คงโดนถล่มมาซะก่อน
(ตัวอย่างจากวันดี-เดย์ที่ สพม.ยังต้องเลือกวันบุกขึ้นฝั่งในวันที่"ฟ้าปิด"ที่ใครต่อใครคาดไม่ถึง..เพราะความชำนาญของการเดินเรืออันเป็นสำคัญ)
ฮิตเล่อร์ เริ่มเครียด..จนถึงขนาดเครียดจัด จนในที่สุด เขาก็สรุปผลมาได้ว่า
"ไหนๆอังกฤษก็ไม่ได้คิดจะต่อสู้เพื่อชัยชนะอยู่แล้ว..กะอีแค่เพื่อ"รักษาหน้า"ของความเป็นมหาอำนาจที่จำเป็นต้องมีการป้องกันเอกราชของประเทศที่จะมายอมแพ้ง่ายๆได้กระไร..ใช่ป่ะ?" แล้วพูดต่อไปว่า
"งั้นพวกเราก็เอาแผนปฏิบัติการสิงโตทะเลไปกระทุ้งหน่อยละกัน เอาเป็นว่า ทางอากาศ ก็ถล่มให้เรียบ..ทางเรือก็ตัดกำลังปล่อยให้อดตายทั้งเกาะ
อีกหน่อยไม่ได้รับวัตถุดิบมาสร้างอาวุธ แล้วจะมาต่อสู้ยังไง..มันก็ต้องยอมแพ้ไปอยู่แหง๋ๆ"

เกอริง..ก็รับคำอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า..โอ๊ย..ของตาย..ขอให้เชื่อในศักยภาพของลุฟท์วัฟฟ์เหอะ..อังกฤษแค่นี้เรื่องขี้ผง รับรองว่าจะต้องสยบให้พวกเราภายในสามวัน..เจ็ดวัน"
ฮิตเล่อร์ได้ยินในน้ำคำของเกอริง..ขุนพลคู่ใจ ถึงกับ เชื่อสนิท !!

ทัพเรือ (การปิดอ่าว)..นี่คือสิ่งที่เชอร์ชิลล์มีความกริ่งเกรงหนักใจอย่างที่สุดเพราะความต้องการในการนำเข้าวัตถุดิบของการผลิตยุทธปัจจัยที่จะต้องมีการส่งมาจาก อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย..รวมไปถึงสินค้าค้าขายส่งออกอื่นๆอีกสารพัดที่จะได้มาซึ่งเงินตรา นี่คือ ลมหายใจของประเทศ
แต่ด้วยความเตรียมพร้อม อังกฤษและฝ่าย สพม. ได้เริ่มทำสร้างและส่งเรือรบ อีกทั้งดัดแปลงเรือสินค้าเดินสมุทรทั้งหมดให้กลายเป็นเรือรบกันอย่างพร้อมเพรียง
และจัดการการเดินเรือในรูปของคอนวอยที่มีเรือคุ้มกันหนาแน่น..
ซึ่งทางเยอรมันก็กะใช้แผนนี้นี่แหละที่จะสยบอังกฤษให้อยู่แทบเท้าได้ ด้วยอานุภาพของเรือดำน้ำ นายพลเรือ Donitz ได้ย้ำกับฮิตเล่อร์อีกทีว่า..
เขายังต้องการ ยูโบ๊ท อีกมากมายในการปฎิบัติงานให้สำเร็จตามเป้า
แต่ฮิตเล่อร์ ..บอกว่า รอไปก่อนเหอะ
เพราะ ท่านเกอริงเค้าสัญญาไว้แล้วไง ว่า ลุฟท์วัฟฟ์ของเขา"เอาอยู่"แน่นอน !!

 



จะว่าไปแล้ว อังกฤษไม่ได้นิ่งนอนใจงอมืองอเท้าแต่ประการใด มีความระแวงระไวเสมอว่าประเทศของตัวอยู่ในเป้าหมายใหญ่
ในขณะเดียวกับที่ฮิตเล่อร์ขยันออกอากาศนัก..ว่า..ไม่ต้องการสงคราม..อยากอยู่อย่างสันติ เจงเจง !!

1939 ปีแห่งความคุกรุ่นของสงครามนั้น
พระเจ้าจอร์จ ที่หก และพระราชินี ได้เสด็จประพาสแคนาดา-อเมริกาเป็นครั้งแรก ในเดือน มิถุนายนถึงหกอาทิตย์..
หลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจที่ แคนาดา สองพระองค์ก็เสด็จสู่ วอชิงตัน,อเมริกา โดยเป็นแขกรับเชิญส่วนตัวของประธานาธิบดีรูสเวลต์ และ ภรรยา
การพบปะในครั้งนี้ ..ถ้าตามข่าว ก็จะว่า เป็นการไปเที่ยวงาน World's Fair แต่จริงๆแล้วประมุขของทั้งสองประเทศได้ปรึกษาหารือกันถึงในเรื่องสงครามที่กำลังคุกคามโลกอยู่ในขณะนั้น อย่างคร่ำเครียด ที่คฤหาสน์บ้านพักของท่านประธานาธิบดีที่ Hyde Park, New York.
สองพระองค์ได้เสด็จกลับสู่อังกฤษในเดือน มิถุนายน และเดือนต่อมา..รัฐบาลได้รับเงิน(กู้จากอเมริกา)ถึง ห้าร้อยล้านปอนด์ เพื่อนำมาสร้างเสริมกำลังของกองทัพ

นับว่านี่คือการคาดเดาแบบไม่ผิดไปจากความจริงเท่าใดนัก เพราะเพียงเดือนเดียวต่อมา คือ สิงหาคม เยอรมันได้ลงนามเป็นภาคีกับรัสเซียในสนธิสัญญา
"ต่างคนต่างอยู่" อีกทั้ง..เยอรมันได้นำเครื่องบินแบบใหม่ออกมาให้โลกได้ดูเป็นขวัญตา..นั่นคือเครื่องบินไอพ่น หรือที่เรียกว่า "Jet"
และ ในช่วงนี้ที่เคยเขียนไว้ว่าเป็น สงครามขี้จุ๊ หรือ Phony War นั้น ด้วยเหตุว่า หลังจากที่เยอรมันบุกโปแลนด์
อังกฤษได้ประกาศสงครามกับเยอรมัน..แต่ไม่มีการสู้รบใดๆ
ก็คือช่วงนี้แหละ ที่อังกฤษได้เตรียมจัดการเรื่องในประเทศให้เรียบร้อย
ติดตั้งเรดาร์ สัญญาณบอกภัยทางอากาศไปทั่วเกาะ..ฝึกนักบินให้มีประสิทธิภาพ ติดตั้งปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานในจุดที่สำคัญๆ
จัดสถานีรถไฟใต้ดินให้เป็นที่หลบภัยแก่ประชาชน และ จัดโครงการส่งเด็กเล็กออกนอกเมืองไปอยู่ในชนบท และ รัฐบาลได้แจก
หน้ากากป้องกันแก๊สพิษแก่เด็กๆทุกคนด้วย

ในวันที่ 3 กันยายน 1939 คือวันแรกที่ได้มีการทดลองผลงานของเรดาร์ที่นำมาติดตั้ง..ผลที่ได้รับเป็นที่พอใจ..คือ เสียงหวอได้ดังสนั่นไปทั้งเกาะ !!
พระเจ้าจอร์จ ทรงมีพระกระแสรับสั่งออกอากาศแก่ประชาชนว่า..
"เราได้ทำในสิ่งที่เห็นสมควรแล้วทุกอย่าง....ที่เหลือ..ขอให้ขึ้นอยู่กับความคุ้มครองของพระเจ้า"

และเรื่อง speech เนี่ยะนะ ท่านเชอร์ชิลล์พูดได้กินใจมาก ยากที่จะหานักการเมืองที่ไหนในโลกเทียบได้ สั้นๆและกินใจไปถึงไหนๆ..
ยกตัวอย่าง..ตอนที่กำลังเขียนถึงเนี่ย(victory at all cost วลีเด็ด ที่ถ้าจะแปลก็คงแบบว่า ฉิบหายเท่าไหร่ไม่ว่า ขอให้ชนะก็แล้วกัน)..
ท่านยังได้บอกกับชาวอังกฤษว่า
"You always can take one with you"
พูดง่ายๆ แต่ความหมายนั้น"สะใจ" มากกกก..
หมายถึง ถ้าจะตาย..มันต้องตายไปกับเราด้วย หรือ ชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต

และ..คำพูดของท่านครั้งนั้นที่ออกอากาศในอเมริกา 1941 ว่า
" We will not waver,we will not tire, we will not falter, and we will not fail"
อันเป็นที่จับใจนัก..
แต่หนอยยยย..อีตอนที่อเมริกาถูกถล่มตึก 9/11
อีตาบุช..ออกอากาศลอกเลียนแบบคำพูดหน้าตาเฉย
ใครฟังแล้ว คิดอย่างไร ฉันไม่รู้ แต่สำหรับตัวเองแล้วต้องขำกึ่งสมเพช ที่ประธานาธิบดีสหรัฐจะหาใครมาร่างสุนทรพจน์ให้เป็นแบบของตัวเองไม่ได้เจียวหรือ..
เขาว่ายังงี้..
" We shall not fail or falter; we shall not weaken or tire"

ขอเล่าเสริมนะคะ เกี่ยวกับเรื่องเชอร์ชิลล์เนี่ยะ เขามีบิดาที่เก่งมาก..และเคี่ยวเข็ญลูกชายอย่างสุดชีวิต.. ความจริงก็น่าจะเข้าใจผู้ใหญ่เพราะเชอร์ชิลล์ตอนเด็กๆก็แก่นกะโหลกกะลาเล่นอะไรแผลงๆ
จนเกือบตายหลายครั้ง เช่นกระโดดจากสะพานตกแอ้กลงมาสลบไปหลายวัน..ยังไม่นับอีกสารพัดเรื่อง..ที่ต่างล้วนแล้วแต่ผิดวิสัยลูกผู้ดี
ซึ่งเขามาเขียนในทีหลังว่า..
เป็นเพราะ เทพยดาฟ้าดินเบื้องบนที่กางปีกคุ้มครอง
เพื่อให้เขาอยู่เพื่อปฏิบัติภารกิจอันสำคัญ
(เพราะในช่วงสงคราม..หลังจากที่เขาเดินออกจากออฟฟิสไปไม่กี่นาทีที่นั่นก็โดนระเบิดเต็มๆ)
บอกแค่ประวัติของเขาเฉยๆน่ะไม่สนุกหรือซาบซึ้งหรอก เพราะมีชีวิตอยู่ราวกับเจ้าชายน้อยๆ เทียบกับสตาลิน หรือ ฮิตเล่อร์ แล้ว
ต่างกันราวกับฟ้ากะเหวต้องอ่านต่อเนื่องไปตั้งแต่ Duke of Marlborough ที่เก้า ซึ่งเป็นญาติ(ลุง) มาก่อนที่ต้องแต่งงานกับลูกผู้ดีอังกฤษ(ที่ไปตั้งรกรากในอเมริกา) แสนร่ำรวยเพื่อที่จะได้สินสมรสจากพ่อตาถึงสองล้านเหรียญ (ก็คงประมาณว่าพันล้านในสมัยนี้กระมัง) เพื่อนำไปซ่อมแซม
วัง Blenheim เอาไว้รักษาหน้าและพยุงสังคม (เชอร์ชิลล์ก็เกิดและเติบโตมาในวังนี้)
สาวคนนั้นคือ..Consuelo Vanderbilt
ต่อมาได้มาหย่ากันในทีหลัง..เธอมาเขียนหนังสือเล่าอย่างค่อนข้างละเอียด หนังสือออกมาในปี 1952 ชื่อว่า
The Glitter and The Gold
(ป.ล.ท่านเชอร์ชิลล์ ได้รับรางวัลโนเบล 1953 ในสาขาอักษรศาสตร์..........วิวันดา)

อ้ะ..เล่าต่อ..

ภายในเดือนกรกฏาคม-สิงหาคม อังกฤษได้ติดตั้งเครื่องกีดขวางไปทั่วบริเวณเสี่ยงภัย เตรียมพร้อมสำหรับสงครามที่อาจยืดเยื้อ
เรือรบ Iron Duke และ เรือรบ HMS Hood ได้รับการตบแต่งติดตั้งอาวุธใหม่รอรับมือ
ประธานาธิบดีรูสเวลต์ เพื่อนรักของเชอร์ชิลล์ได้จัดการส่งรถถังจำนวน 250 คันมาให้ อีกทั้ง..ระดมการต่อเรือรบจำนวนมากสำหรับสงครามบริเตนครั้งนี้..
(เพราะเชื่อว่า เรือจำนวนไม่น้อยที่จะต้องถูกจมลงด้วยฝีมือของเรือดำน้ำ...... แล้วก็จริงๆซะด้วยซิ)
หน่วยรบก็ได้เพิ่มกำลังพลที่ส่งมาจาก ออสเตรเลีย,อาฟริกาใต้,แคนาดา
ส่วนประชาชนนับล้านๅคน ได้เข้าร่วมโครงการต้านภัยทั้งหญิงและชาย มีการฝึกอาวุธปืนทั้งสั้นและยาว แม้กระทั่งกระบอง แต่ทุกคนฝึกอย่างเอาจริงเอาจัง
พร้อมที่จะสละทุกอย่างเพื่อชาติ

ท่าน รมต.ริบเบนทรอป ทราบข่าวของการตระเตรียมของชาวอังกฤษมาบ้าง ถึงกับหัวเราะแบบเหยียดหยาม เปรยกับ เคานท์ จีอาโน แห่งอิตาลี ว่า
"ทู่เรศ..หนอย..แค่เราส่งทหารไปเพียงกองพลเดียว อังกฤษก็จะไม่เหลือซาก"
เชอร์ชิลล์ได้เขียนบันทึกไว้ว่า
"เราสงสัยจริงๆว่า..ถ้าทหารเยอรมันบุกขึ้นฝั่งมาสักสองแสนคน อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าไม่ใช่การนองเลือดแบบท่วมหาดจากการต่อต้านของพวกเราที่พร้อมสู้ในทุกรูปแบบ"

ในตอนนั้น ฮิตเล่อร์ได้เลื่อนตำแหน่งบรรดานายพลอย่างปรูดปราด แถม ในช่วงฤดูร้อนนั้น เขาได้ย้ายศูนย์บัญชาการไปไว้ที่ รังพญานกอินทรีย์โดยหนีบเอานายพล Jodl และ Keitel ไปเขียนแผนงานด้วยเลย
แต่..หลังจากนั้น เขาก็อนุญาตให้สองนายพลนั่นลาพักร้อนกลับบ้าน
ไกเทล..ถึงกับได้บอกกับตัวเองทันทีที่ถึงยังบ้านเกิดในชนบทว่า
"ดีใจเหลือเกิน ที่จะได้มาเป็นชาวไร่อีกที แม้ว่า ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตก็ตาม..."
ส่วนเกอริงก็เช่นกัน..เขาเตรียมพร้อมฝึกนักบินวัยกะเตาะนับร้อยๆนาย..เพื่อส่งไปพลีชีพเพื่อชาติ(?)

ผู้ฝูง Werner Kreipe แห่งกองบินเสืออากาศเกอริง เอ๊ยย..ไม่ใช่ เยอรมันน่ะ ได้เข้าพบและรายงานต่อ นายพล Keitel ว่า..
หลังจากที่ฝรั่งเศสพ่ายทัพนั้น..ทหารอังกฤษและสพม.ก็ได้ถูกตีถอยร่นไปจนรวมตัวกันอยู่ที่ชายหาดดังเคิร์คนับแสนๆคนนั้น..
เขาและฝูงบินได้นำเครื่องบินขึ้น กะไปบอมบ์ให้ราบเรียบ เพราะเห็นอย่างชัดเจนว่า เป้าหมายนั้นไม่มีทางหนีรอด
แต่ยังไม่ทันถึงไหน หรือ อย่างไร
ฝูงบินโดเนียร์(เครื่องบินรุ่น Donier)ของเขาต้องถูกกระสุนระดมยิงมาจากทางด้านหลัง..ที่มี ฝูงบินหน่วยสปิตไฟร์
(Spitfire) ของอังกฤษที่ไล่ล่า ยิงกันเพื่อไม่ให้พวกเขาได้ทำอันตรายกับพวกทหารพวกนั้น

Spitfire 

 

Donier 

ในที่สุด พวกเขาก็ต้องกลับไปตั้งหลักกันใหม่ เพราะ ไม่ได้มีการเตรียมตัวมาก่อนว่าจะต้องเจอกับหน่วยป้องกันที่หนาแน่น
และทันที่ที่กลับถึงหน่วย ผู้ฝูงได้รีบลงไปสำรวจสภาพเครื่องบิน และได้พบว่า ที่เครื่องมีรอยกระสุน 86 รู และพบว่า..
เครื่องร่วงไปหนึ่ง พังไปสอง
พวกเขาจึงพากันแห่ไปใหม่ คราวนี้ เปลี่ยนทิศไปทางชายหาดด้าน Nieuport
คราวนี้ พวกเขาก็ได้พบกับฝูงสปิตไฟร์ที่รอต้อนรับอยู่เช่นเดิม..ทั้งๆที่ ฝูงโดเนียร์ของเยอรมันได้มีการส่งเครื่องบินคุ้มกันมาก็ตาม
แต่..การระดมยิงของอังกฤษนั้น เล่นเอาโดเนียร์เสียศูนย์ ทิ้งระเบิดกันแบบสุ่มสี่สุ่มห้า พลาดเป้าไปหมด
กลับไปยังศูนย์บัญชาการ เขาได้พบว่า..เครื่องร่วงไปสาม ยับเยินไปห้า
รวมเบ็ดเสร็จ..ในวันนั้นเพียงวันเดียว ฝูงบินโดเนียร์ของเยอรมันเสียหายไปสิบเอ็ดลำ จากจำนวนยี่สิบเจ็ดลำ

ผู้ฝูง..ได้รายงานเรื่องนี้โดยละเอียดแก่นายพลไกเทล พร้อมทั้งให้ความเห็นว่า
"นับตั้งแต่ได้ยึดประเทศไหนๆมา..ไม่มีครั้งใดเลยที่ฝูงบินของเราเป็นฝ่ายถูกล่า..คู่ต่อสู้ของเราครั้งนี้ไม่หมูนะครับท่าน..
กระผมของเตือน"
นายพลไกเทล ก็ได้แต่รับฟัง เพราะ เขาและใครต่อใครก็ยังเชื่อว่า อีกไม่นานอังกฤษก็ต้องขอยอมยกธงขาวแต่โดยดี
แต่หลายๆวันผ่านไป..อังกฤษก็ยังเงียบ..จนทุกคนเริ่มข้องใจ

หากแต่นายพลเกอริงยังระรื่น..ยังคงฟาดยาพาราโคดีนวันละสามสิบเม็ดเช่นเดิม แถมน้ำหนักเริ่มเหยียบสามร้อยปอนด์
จนต้องออกแบบเครื่องแบบตัวเองใหม่..
ในขณะที่ฮิตเล่อร์ได้ย้ำขอความมั่นใจจากเขาว่า
"แน่ใจนะ..ลุฟท์วัฟฟ์น่ะ..เราจะได้เริ่มลงมือทำงาน เพราะ ท่านคือกำลังอันสำคัญ"
เกอริงต้องไปนำตัว ผู้พัน Josef Schmid จากหน่วยข่าวกรองมายืนยันว่า..
อังกฤษมีกำลังผลิตเครื่องบินต่อสู้ขนาดใหญ่ แค่ 300 ลำ เครื่องบินสำหรับวางระเบิด 150 ลำ นั่นคืออัตราต่อเดือน
ทั้งเกอริงและฮิตเล่อร์ต่างได้ยินก็ยิ้มหวานกันไปตามๆกัน..
โดยที่ไม่รู้เลยสักนิดว่า ข้อมูลนั้นผิดพลาดไปอย่างมากมาย
จำนวนจริงๆแล้ว..อังกฤษได้ผลิตได้ถึงเดือนละ 500 ลำ (เพราะประชาชนทั้งชายและหญิงต่างทำงานกันอย่างหามรุ่งหามค่ำ
เชอร์ชิลล์ได้เตรียมการรับมือทางภาคอากาศไว้อย่างทั่วเกาะ)
อีกทั้ง ผู้พันชมิดท์ ได้เสริมข้อมูลอีกว่า..ในเดือนสิงหา จากวันที่ 12-19 นั้น เครื่องบินอังกฤษได้ร่วงไป 103 ลำ
ที่เหลือก็คงเป็นเพียงจำนวนน้อยนิด

 

 

 
แต่เกอริง..ได้แต่มองตัวเลขของคนอื่น ไม่ได้ดูของตัวเองว่า..ในเดือน กรกฏาคม เยอรมันได้มีกำลังผลิตเครื่องบินแค่ 227 ลำ
พอมาในเดือน กันยายน ได้ลดจำนวนมาเหลือแค่ 177 เพราะ ฮิตเล่อร์ไม่ได้อนุมัติวัตถุดิบเพิ่มมาให้
และเกอริงเองก็ไม่ได้เคร่งครัดในการขอ..เท่าไหร่นัก
เท่ากับว่า..อังกฤษได้ผลิตเครื่องบินมากกว่าถึง 43% เหนือเยอรมัน
อีกทั้ง..อังกฤษได้เพิ่มกำลังพล และมีการฝึกนักบินอย่างหนักทั้งวันทั้งคืนเป็นจำนวนมากมาย
ขณะที่..เยอรมัน..ที่คอยแต่นั่งกระดิก..ไม่ต้องเร่งรีบอะไร..เพราะวางใจเต็มที่ว่า ชนะแหง๋ๆ !!


ในกรณีที่หลายคนชอบเทียบ นโปเลียนกับฮิตเล่อร์ (ความจริงแล้ว ฮิตเล่อร์เองก็ชอบเทียบตัวเองเช่นนั้นเช่นกัน)
ไม่เหมือนก็ตรงที่ว่า นโปเลียนนำทัพออกไปสู้รบเอง
ไม่ได้สั่งงานทางวิทยุหรือโทรศัพท์อย่างฮิตเล่อร์ที่เปลี่ยนคำสั่งไปมาจนทหารหัวหมุนไปหมด
และ..นโปเลียนไม่ได้วางแผนสงครามในระบบซีอีโอ ที่มอบส่งงานให้รับผิดชอบไปเป็นหน่วยๆ อย่างฮิตเล่อร์ที่มอบความไว้วางใจในสงครามบริเตนครั้งนี้ให้กับ
เกอริง..ที่ประกาศปาวๆด้วยความยะโสว่า..
" If Berlin is bombed, my name is Meyer"
หมายความให้กระจ่างว่า..
"ถ้าศัตรูหน้าไหนก็ตาม สามารถเข้ามาบอมบ์เบอร์ลินได้ละก้อ..ว่าชี้หน้าเรียกชั้นว่า ไอ้ชาติห-มมมม-าาาา ได้เลย"
คำว่า meyer หรือ meir ในภาษาเยอรมัน มีไว้เรียก ชาวยิว ซึ่งเป็นที่เกลียดชัง หรือลำดับชั้นว่าต่ำสุดๆอย่างไม่มีอะไรเปรียบเทียบได้
แต่ก็จริงๆด้วยนะ ที่ประวัติศาสตร์ของการเดินทัพของนโปเลียนในการที่ไปตีรัสเซียและ ยุทธภูมิ Trafalgar ที่นโปเลียน
พ่ายแพ้ให้กับคนแขนเดียว ตาเดียว ก็แสนละเอียดละออ ( เขาคือ..Lord Horatio Nelson)
ฮิตเล่อร์ก็ยังไม่รู้จักจดจักจำ
เพราะเขาเชื่อในเรื่องประสิทธิภาพของอาวุธมากกว่าอานุภาพแห่ง"มันสมอง"ของคน..
และนี่คือ ความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ !!


    Lord Horatio Nelson   





ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม โดย "วิวันดา"

ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบสาม (สมบูรณ์)
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบสอง
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบเอ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบ
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบเก้า
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบแปด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบเจ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบหก
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบห้า
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบสี่
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบสาม
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบสอง
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบเอ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนแปด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนเจ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนหก
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนห้า
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสี่
ฮิต เล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสาม
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสอง
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม



1

ความคิดเห็นที่ 1 (101558)
avatar
poann

ติดตามผลงงานอยู่นะครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น poann วันที่ตอบ 2011-05-19 11:09:29 IP : 118.173.252.177


ความคิดเห็นที่ 2 (102167)
avatar
นนท์

มัวแต่อ่านบทความชุดนี้ จนไม่ได้อ่านหนังสือสอบแล้วครับ ติดงอมแงม

ผู้แสดงความคิดเห็น นนท์ วันที่ตอบ 2014-12-08 20:22:26 IP : 180.183.155.231



1


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker