dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



Jodhaa Akbar ภาพยนตร์เพื่อความสมานฉันท์ทางศาสนา
วันที่ 19/05/2013   19:00:10

 

webmaster@iseehistory.com


เดิมทีผมเคยทราบเรื่องราวของคนเชื้อสายมองโกลเพียงแค่ความยิ่งใหญ่ในยุคของเจงกีสข่าน – กุบไลข่าน และการสิ้นสุดของราชวงศ์มองโกลในจีนที่เราได้รับทราบผ่านนวนิยายและภาพยนตร์กำลังภายในบางเรื่อง  พออายุมากเข้าเริ่มอ่านเริ่มค้นคว้ามากขึ้นชักเริ่มเห็นว่า  ความยิ่งใหญ่ของคนเชื้อสายนี้มีมากกว่าที่เคยเข้าใจ  อย่างราชวงศ์โมกุลที่ปกครองอินเดียอยู่ก่อนจะตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษนั้น  ก็เป็นมุสลิมเชื้อสายมองโกลที่มาจากทางเปอร์เซีย  เรื่องราของกษัตริย์ในราชวงศ์นี้ผมเคยนำมาคุยกันผ่านเรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง ทัชมาฮาล รักเราเป็นนิรันดร์  ในครั้งนี้เราจะมาคุยกันเกี่ยวกับเรื่องราวของราชวงศ์โมกุลในรุ่นปู่ของ Shah Jahan ผู้สร้างทัชมาฮาล  คือ สมเด็จพระจักรพรรดิอัคบาร์มหาราช หรือ จาลาลอุดดีน มุฮัมหมัด อัคบาร์ กษัตริย์หรือจักรพรรดิองค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์นี้  และเป็นจักรพรรดิองค์แรกของราชวงศ์ที่ทรงถือกำเนิดในดินแดนที่เป็นประเทศอินเดียปัจจุบันหรือที่เวลานั้นเรียกว่า “ฮินดูสถาน” นั่นคือเรื่อง Jodhaa Akbar (2008/พ.ศ.2551)

ขอออกตัวสักนิดนะครับว่าในการเขียนชื่อต่างๆ ในอักษรภาษาไทยนี้ขอยึดตามบทภาษาไทยของภาพยนตร์ไปก่อนแม้จะไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่  ผิดถูกประการใดท่านที่รู้เรื่องอิสลามหรือภารตศึกษาช่วยชี้แนะผ่านคอมเมนต์ท้ายบทความหรือเว็บบอร์ดคุยกันหลังฉาก ด้วยนะครับ

ภาพยนตร์เกริ่นนำเรื่องด้วยเรื่องราวของประเทศอินเดียหรือฮินดูสถานในอดีตที่ถูกชนชาติต่างๆ เข้ามาปกครองจนถึงชนชาวมองโกลจากเปอร์เซีย  โดยราชวงศ์โมกุลที่ก่อตั้งโดยพระจักรพรรดิบาบูร และสืบต่อมายังพระจักรพรรดิฮูมายุน พระราชบิดาของยาลาลูดดิน ซึ่งจะเป็นพระเอกของเราในเวลาต่อมา  ในช่วงแรกดูเหมือนฐานอำนาจของราชวงศ์โมกุลจะยังไม่มั่นคง  พระจักรพรรดิฮูมายุนต้องเสด็จหนีข้าศึกไปนอกประเทศอยู่ถึง 15 ปี แล้วกลับมาครองราชย์ได้เพียงปีเดียวก็สิ้นพระชนม์ลง  ยาลาลูดดิน พระชันษา 13 ปีขึ้นครองราชย์โดยการบงการของไบรามคาน เสนาเอกของพระบิดา  ขณะนั้น กษัตริย์ฮีมูซึ่งเป็นชาวฮินดูเห็นเป็นโอกาสที่จะขับไล่มองโกลและครอบครองฮินดูสถาน  ยกทัพโยธามาหวังยึดครองเดลี  และฉากสงครามฉากแรกของภาพยนตร์ก็เป็นการระบที่ ปานีปัด (Panipat) ซึ่งตามเรื่องบอกว่าราชาฮีมูนั้นมีรี้พลเป็นสองเท่าของกองทัพมองโกล  แต่ดูจากภาพยนตร์เหมือนกำลังพลจะพอๆ กันนะครับ  แต่ช่างมันเถอะ  ไบรามคานเห็นว่าทางที่จะเอาชนะศึกได้คือต้องหาพลแม่นธนูมากำจัดราชาฮีมูโดยยิงให้ถูกที่พระเนตรซึ่งไม่มีเกราะกำบัง  ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามแผน ไบรามคานจับราชาฮีมูที่เหลือพระเนตรข้างเดียวกับท่าทางที่อิดโรยมาอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของยาลาลูดดิน  และกราบทูลให้ยุวจักรพรรดิตัดเศียรราชาฮีมูเสีย  ยาลาลูดดินทรงปฏิเสธด้วยเหตุว่าสภาพของราชาฮีมู “แย่กว่าศพ” ไบรามคานเลยต้องเช็คบิลตัดพระเศียรราชาฮีมูซะเอง 




การยุทธที่ Panipat ที่มองโกลได้ชัยชนะ
พระจักรพรรดิน้อยยาลาลูดดินไม่ยอมตัดพระเศียรราชาฮีมู ไบรามคานต้องลงมือเอง

อีก 6 ปีต่อมา  ไบรามคานพยายามขยายอำนาจด้วยการส่งสาส์นไปข่มขู่บรรดาเจ้าเมืองต่างๆ ให้ยอมอยู่ใต้การปกครอง  แน่ละครับว่าจะปฏิกิริยาก็มีกันไปต่างๆ  ทั้งที่ยอมแต่โดยดี  ที่ขัดขืน  และที่แทงกั๊กขอเวลาคิดก่อนอย่างเช่นเมืองอเมรของนางเอก  แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงคิวครับ  ฉากรบที่ดุเดือดอีกฉากหนึ่งเป็นการยกทัพไปสั่งสอนเมือง Mankeshwar ซึ่งเริ่มต้นด้วยฉากการดวลปืนใหญ่โบราณจนฝ่ายรับเริ่มจะน่วมแล้ว  ทางฝ่ายมองโกลจึงได้เคลื่อนพลเข้าบดขยี้จนได้รับชัยชนะ  ไบรามคานได้ขอให้ยาลาลูดดินตัดพระเศียรของราชาแห่งมานเคชวาร  แต่คราวนี้พระเอกของเราที่เจริญพระชันษาเป็นหนุ่มแล้วนอกจากจะปฏิเสธไบรามคานแล้วยังคว้าแขนของเขาไม่ยอมให้ไบรามคานตัดเศียรของพระราชาข้าศึกดังเช่นเมื่อ 6 ปีก่อน  ทรงประกาศให้ยกเลิกการเอาเชลยศึกมาเป็นทาสและบังคับให้นับถือศาสนาอิสลาม  และมีพระราชโองการให้ไบรามคานไปแสวงบุญเมกกะห์  ซึ่งในสมัยที่การเดินทางยังไม่สะดวกเช่นนั้นก็คงเท่ากับเป็นการเนรเทศอย่างกลายๆ  จากนั้นพระเอกของเราจะได้ขยายพระราชอาณาเขตไปยังเมืองใดมากน้อยแค่ไหนไม่มีรายละเอียด  ทราบแต่ว่าแคว้นราชพุทนั้นยังไม่ยอมอยู่ในอำนาจ  พระจักรพรรดิยาลาลูดดินเองก็ทรงทราบว่าชาวแคว้นนี้มีความเป็นนักรบเกินกว่าที่จะผลีผลามทำการใดได้เช่นกัน


ฉากดวลปืนใหญ่กับเมือง มานเคชวาร


ยาลาลูดดินทรงเมตตาต่อพระราชาฝ่ายข้าศึก

มากล่าวทางฝ่ายนางเอกบ้าง  พระราชกุมารีโยดานั้นเป็นพระธิดาของพระราชาบัรมาลแห่งกรุงอเมร์อันเป็นอาณาจักรหรือนครรัฐแห่งหนึ่งในแคว้นราชพุท  พระราชาบัรมาลนั้นครองราชย์ต่อจากพระเชษฐาซึ่งมีพระโอรสนามว่า สุยามาล   เจ้าชายองค์นี้ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระเชษฐาหรือพี่ของโยดานั้น  มีพระปรีชาสามารถอย่างยิ่ง  ทรงรักโยดาเหมือน้องแท้ๆ ของพระองค์และยังทรงเป็นครูดาบของนางด้วย  ทั้งสุยามาลและโยดาคาดหวังว่าพระราชาบัรมาลจะทรงแต่งตั้งสุยามาลเป็นรัชทายาทหรืออย่างน้อยก็น่าจะเป็นส่วนแบ่งในการปกครองบ้านเมืองบ้าง  แต่พระราชาบัรมาลกลับแต่งตั้งเจ้าชายบักวันดาสเป็นรัชทายาทโดยมีสุยามาลอยู่ในบังคับบัญชา  พร้อมกับประกาศการอภิเษกสมรสระหว่างโยดากับเจ้าชาย รัตตัน ซิงห์ ที่ทรงหมั้นหมายกันมาแต่เดิม  สุยามาลไม่พอใจที่ตนไม่ได้รับส่วนที่ควรจะได้จึงหนีไปพึ่งชารีฟุดดินฮุเซนซึ่งเป็นน้องเขยของพระจักรพรรดิยาลาลูดดิน  ชารีฟุดดินฮุเซนรับปากที่จะช่วยเหลือด้วยการทูลยาลาลูดดินให้เพื่อแลกกับการให้สุยามาลช่วยเหลือตนในการยึดครองกรุงเดลีในโอกาสหน้า  อันจะเป็นหนทางเข้าครอบครองฮินดูสถานทั้งหมด  ทางฝ่ายราชาบัรมาลทราบข่าวแต่ไปเข้าใจว่าสุยามาลกับชารีฟุดดินจะนำทัพมาชิงบัลลังก์  ทรงเกรงจะเกิดการเสียเลือดเนื้อ  จึงมีพระดำริที่จะไปขออยู่ใต้อำนาจของมองโกล  เมื่อทรงนำความไปปรึกษาราชาองค์อื่นในแคว้นราชพุท  ก็ทรงถูกพระราชาเหล่านั้นตำหนิและตัดความสัมพันธ์รวมทั้งเมืองอายับกัรของรัตตันซิงห์ซึ่งเป็นคู่หมั้นของพระธิดาโยดาด้วย  พระราชาบัรมาลจึงมีพระดำริที่จะเชื่อมความสัมพันธ์กับมองโกลโดยจะทรงยกพระนางโยดาให้กับยาลาลูดดิน  ทางพระเอกเราก็ยินดีที่เมืองอเมร์มาอ่อนน้อมแต่กับเรื่องแต่งงานนั้นขอคิดดูก่อน (นอกจากเรื่องศาสนาแล้วคงเป็นเพราะยังไม่เห็นว่านางเอกสวยขนาดไหน)  แล้วก็ต้องทรงยอมรับข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหาให้กับชาวมุสลิมที่ต้องเดินทางไปแสวงบุญผ่านเมืองอัจเมรที่ราชาบัรมาลครอบครองอยู่  ทำให้ชารีฟุดดินไม่พอใจ  ด้านนางเอกของเราซึ่งยังไม่เห็นความหล่อของพระเอกเช่นกัน  ก็รู้สึกเสียพระทัยที่พระบิดาคิดแต่จะยกนางให้คนนู้นคนนี้อยู่เรื่อย  โดยเฉพาะครั้งนี้จะต้องแต่งงานกับคนต่างเชื้อชาติและศาสนา  ถึงขนาดเขียนจดหมายเตรียมขอความช่วยเหลือจากสุยามาล  และรับขวดยาพิษจากพระมารดามาเผื่อจะเสวยเอง  แต่ในที่สุดก็ทรงหาทางออกโดยทรงทูลขอให้ยาลาลูดดินทรงทำตามเงื่อนไข 2 ประการ คือ ขอให้นางได้นับถือศาสนาฮินดูเช่นเดิม  ไม่มีการบังคับให้เปลี่ยนศาสนา  และขอนำเทวรูปพระกฤษณะเข้าไปบูชาและจะต้องสร้างวิหารสำหรับให้นางได้บูชาพระกฤษณะตามประเพณีตน  ถ้าพระเอกเราเป็นพุทธหรือคริสต์คงไม่ยากเท่าไหร่  แต่คนที่พอรู้เรื่องศาสนาอิสลามคงทราบว่าเขาไม่ยอมมีรูปเคารพใดๆ  ยาลาลูดดินคิดหนักอยู่ครู่หนึ่งก็ทรงยินยอมแต่โดยดี  แต่นี่กำลังจะเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาต่างๆ ที่จะตามมาอีกมาก


เจ้าหญิงโยดา


เจ้าชายสุยามาล



คณะผู้แสวงบุญมาร้องเพลงและร่ายรำอวยพรในงานพิธีอภิเษก

แม้โยดาจะยอมเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับยาลาลูดดินแต่ก็ยังทรงกั๊ก ไม่ยอมให้ถูกเนื้อต้องตัว  อ้างว่าศาสนาและประเพณีต่างกัน  พระเอกเราก็สุภาพบุรุษพอที่จะไม่เอาแต่ใจตัวเอง  วันต่อมาโยดาได้เสด็จเข้าไปประทับในตำหนักในป้อมเมืองอักรา  ได้ทรงทำความรู้จักกับพระนางฮามิดา บานู เบกัม พระราชมารดาของยาลาลูดดิน กับ มาฮัม อังกา แม่นมของยาลาลูดดินผู้ดูแลเลี้ยงดูพระเอกของเราแทนพระราชบิดาและพระราชมารดาในช่วงวัยเยาว์  และยังเป็น “รัฐมนตรี” คนหนึ่งด้วย  ด้านพระเอกของเราเริ่มถูกต่อต้านจากบรรดาขุนนางเรื่องการที่ทรงอภิเษกกับหญิงฮินดูและทรงยอมตามเงื่อนไขของนางที่เป็นเหมือนการทำลายประเพณีของอิสลาม  ต่อมาโยดาเกิดขัดใจกับแม่นมมาฮัม อังกา เนื่องจากเธอขออาสาเป็นแม่ครัวในการทำอาหารเลี้ยงพระญาติชาวราชพุทที่มาเยือน  โดยแม่นมเห็นว่าเป็นการเข้ามาครอบงำราชสำนักและต้องการให้ทั้งสองแต่งงานกันแต่ในนามเท่านั้น  เมื่อนางกำนัลไปพบขวดยาพิษกับจดหมายที่โยดาเขียนถึงสุยามาลแต่ไม่ได้ส่ง  และนำมาให้แม่นมดู  แม่นมจึงแอบส่งจดหมายไปให้สุยามาลและเริ่มทูลยุยงจักรพรรดิยาลาลูดดินให้ระแวงโยดาว่าเธอยังผูกพันกับคู่หมั้นเก่า  ขอเล่าแทรกนิดนึงว่ามีอีกเหตุการณ์สำคัญที่ไม่ได้เกี่ยวกับโยดาแต่เกี่ยวกับนางมาฮัม อังกา คือบุตรชายของเธอได้ถูกประหารชีวิตเนื่องจากได้กระทำการทุจริตในเมืองที่ตนปกครองแล้วยังฆ่าปิดปาก “นายกรัฐมนตรี” เพื่อปกปิดความผิดของตนด้วย  ซึ่งอาจเป็นอีกแรงจูงใจที่เธอต้องเร่งล้างแค้นนางเอก  และแล้วสุยามาลก็ลักลอบมาพบโยดา  ยาลาลูดดินมาพบเข้า  สุยามาลหนีไปได้โดยเข้าใจว่าโยดาทรยศตนเอง  ส่วนพระเอกของเราเมื่อคิดว่านางเอกทรยศตามที่แม่นมยุยงไว้ก่อน  ก็มีพระบัญชาให้พระนางโยดาเสด็จกลับเมืองอเมร์ทันที


พระจักรพรรดินีโยดาพบกับพระราชมารดาของยาลาลูดดิน


ท่านหญิงมาฮัม อังกา แม่นมของยาลาลูดดิน

ความที่เรื่องซับซ้อนหน่อยเลยลืมเล่าไปว่าก่อนเกิดเรื่องพระราชมารดาของจักรพรรดิเสด็จไปธุระอยู่หลายวัน  พอกลับมาทรงทราบเรื่องเข้าก็ทูลชี้แจงยาลาลูดดินว่า  จดหมายนั้นโยดาเขียนไว้ก่อนแต่งงานแต่ไม่ได้ส่ง  และเป็นจดหมายถึงสุยามัลผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชาย  ไม่ใช่รัตตัน ซิงห์   พระเอกของเราเลยต้องตามไปง้อนางเอกที่เมืองอเมร์  แต่เรื่องก็ไม่จบง่ายๆ โดยนางเอกตั้งแง่ว่ายาลาลูดดินยังไม่รู้จักวิธีการปกครองที่จะชนะใจผู้คน  หากพระองค์เข้าใจเรื่องนี้เมื่อไหร่จึงจะชนะใจเธอด้วย  พระเอกเราจึงต้องเสด็จกลับไปตั้งหลักที่เมืองของตัว  แล้วก็เสด็จปลอมพระองค์ไปทรงสำรวจความเป็นอยู่ของชาวบ้านในตลาด  จนทรงทราบว่าประชาชนกำลังเดือดร้อนเนื่องจากข้าวของมีราคาแพงมาก  และที่สำคัญคือชาวฮินดูยังต้องจ่ายภาษีแสวงบุญในอัตราที่สูง  จึงมีพระราชโองการให้ยกเลิกภาษีดังกล่าวเสีย  ท่ามกลางความไม่พอใจของขุนนางที่ปรึกษาบางราย  แต่บรรดาประชาชนแว่นแคว้นต่างๆ  เมื่อทราบข่าวที่รวดเร็วเหลือเชื่อขนาดว่าในยุคเราที่มีทั้ง ข่าววิทยุ/ทีวี/SMS หรือ Facebook/Twitter ยังไม่รวดเร็วปานนี้  ต่างพากันยินดีแห่แหนกันมาแสดงความคารวะต่อองค์พระจักรพรรดิผู้ทรงพระเมตตา  และที่เหลือเชื่อพอๆ กันคือพระนางโยดาก็เสด็จมาถึงพอดีเช่นกัน  พระจักรพรรดิได้รับการถวายพระนามว่า “อัคบัร” (The Great) รวมกับพระนามเดิมเป็น “ยาลาลูดดิน โมฮัมมัด อัคบัร”


พระจักรพรรดิทอดพระเนตรพระจักรพรรดินีโยดาที่กำลังบูชาพระกฤษณะ



ง้องอนกันถึงขั้นใช้ดาบ!!!


ปลอมพระองค์มาดูความเป็นอยู่พสกนิกร


ส่วนหนึ่งของฝูงชนที่มาแสดงความยินดีที่พระจักรพรรดิยกเลิกภาษีแสวงบุญ

แต่ในขณะที่พระจักรพรรดิกำลังทรงม้าออกไปพบปะกับประชาชนที่แสดงความชื่นชมยินดี  ได้มีนักฆ่ารายหนึ่งทำตัวเป็นสไนเปอร์ยุคโบราณลอบยิงพระองค์ด้วยลูกธนูอาบยาพิษ  ถึงตรงนี้เชื่อว่าหลายท่านคงเดาได้ว่าเหตุการณ์นี้เป็นแค่ทำให้พระเอกของเราต้องนอนซมให้ได้ลุ้นกันอยู่ระยะหนึ่ง  แล้วก็ฟื้นขึ้นมาครับ  โดยนางเอกของเราก็ได้มีส่วนในการสวดมนต์ขอพรพระกฤษณะให้ทรงช่วยพระจักรพรรดิด้วย  แล้วนักแม่นธนูรายนั้นก็เป็นผู้ที่ชารีฟุดดิน  น้องเขยตัวร้ายของพระเอกส่งมานั่นเอง  เมื่อแผนการไม่ประสบผลสำเร็จ  คราวนี้ชารีฟุดดินก็ได้ชวนสุยามาลยกทัพโยธาไปหมายจะตีกรุงอเมร์  โดยกะว่าเมื่อสำเร็จก็จะเก็บสุยามาลซะ  แล้วยกทัพเข้าตีเดลลีและยึดฮินดูสถานต่อไป  ยาลาลูดดินทราบข่าวจึงให้ราชาบัรมาลยกส่วนที่สุยามัลควรได้ให้เขาไป แล้วพระองค์ก็เสด็จกรีธาทัพไปสกัดชารีฟุดดินที่เมอร์ตาซึ่งเป็นทะเลทราย  กองทัพทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันแต่ยังไม่ทันออกรบเนื่องจากยาลาลูดดินต้องการเจรจา  ฝ่ายสุยามาลบังเอิญไปได้ยินแผนการของชารีฟุดดินที่จะกำจัดตนภายหลัง  จึงให้ทหารนำกำลังไปเข้ากับยาลาลูดดิน  เมื่อถูกชารีฟุดดินจับได้ก็พยายามหนีและถูกยิงด้วยธนูได้รับบาดเจ็บสาหัส  ยาลาลูดดินกับโยดาที่ตามมาทีหลังได้พูดจาปรับความเข้าใจกับสุยามาลจนสุยามาลสิ้นใจ  จากนั้นยาลาลูดดินก็รับคำท้าต่อสู้กับชารีฟุดดินแบบตัวต่อตัว  และจบลงด้วยพระเอกชนะผู้ร้ายไปตามระเบียบ  แต่ก็ไม่ได้ทรงสังหารข้าศึกแต่ประการใด  แล้วก็ทรงกลับไปครองเมืองกับพระนางอย่างมีความสุขปราศจากการกดขี่ข่มเหงทางศาสนาแก่พสกนิกรอะไรประมาณนั้น


พระจักรพรรดินีทรงหัดเขียนชื่อพระจักรพรรดิให้ทอดพระเนตร
ปรากฏว่าพระจักรพรรดิทรงอ่านไม่ออก (แป่ว!...) เพราะไม่เคยทรงพระอักษร



ยกทัพมาประจัญหน้าข้าศึก

ว่าจะให้เรื่องย่อมันย่อจริงๆ ทีไรไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จ  ภาพยนตร์เรื่องนี้ทั้งยาวร่วม 3 ชั่วโมงกว่า  ทั้งมีตัวละครและเกร็ดปลีกย่อยซับซ้อนพอสมควร  ก่อนจะไปเรื่องอื่นขอคั่นด้วยการแปลศัพท์ในบทพากย์ภาษาไทยสักนิด  มีที่ชวนให้ฉงนอยู่หลายที่  เช่น Court ของพระจักรพรรดิที่ไปใช้คำว่า “ศาล” นั้น  ที่ถูกน่าจะเป็น “ท้องพระโรง”  คำว่า “เต็นท์” เป็นการแปลทับศัพท์  ซึ่งในภาษาไทยใช้ว่า “กระโจม” และกระโจมที่ประทับของเจ้านายนั้นต้องเป็น “พลับพลา”  คำว่า “นายกรัฐมนตรี” และ “รัฐมนตรี”  แปลมาทื่อๆ ซึ่งถ้าเป็น “อัครมหาเสนาบดี” และ “เสนาบดี” จะดูตรงตามยุคสมัยมากกว่า




ดวลกันตัวต่อตัวเพื่อไม่ให้ลำบากแก่ไพร่พล
ผลคือพระเอกชนะไปตามระเบียบ


ข้อโต้แย้งทางประวัติศาสตร์

ประการแรก เกี่ยวกับพระนาม อัคบัร (Akbar) ของพระจักรพรรดิที่แปลว่า “The Great” นั้น มีผู้อธิบายว่า ไม่ใช่พระนามที่ประชาชนมาถวายทีหลังดังที่เข้าใจกัน  แต่เป็นพระนามของพระองค์มาแต่ทรงถือกำเนิดแล้ว

ถัดมา พระนาม โยดา (Jodhaa) นั้น  มีการทักท้วงว่าเป็นพระนามของเจ้าหญิงราชพุทอีกองค์ที่มาอภิเษกกับ Jahangir พระจักรพรรดิผู้เป็นโอรสของพระจักรพรรดิอัคบัรต่างหาก  แต่ในตอนต้นของภาพยนตร์ได้มีข้อความแถลงว่าพระนางผู้เป็นจักรพรรดินีในพระจักรพรรดิอัคบัรซึ่งโดยทั่วไปรู้จักกันในพระนามว่า Mariam-uz-Zamani นั้น  ทรงมีหลายพระนามด้วยกัน  และพระนามหนึ่งที่รู้จักกันคือ "Jodha Bai"  แล้วก็ออกเนื้อออกตัวว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นประวัติศาสตร์เวอร์ชันหนึ่ง  ซึ่งสามารถจะมีเวอร์ชันอื่นได้เช่นกัน

เรื่องการนับถือศาสนาของพระนาง Mariam-uz-Zamani หรือโยดาในที่นี้นั้น  ไม่ว่าสมัยนั้น สมัยนี้หรือสมัยไหนๆ  เป็นไปได้ยากที่จะทรงนับถือฮินดูในครอบครัวมุสลิมไปได้ตลอด  ดังที่ผู้เขียนประวัติของพระนางในวิกิพีเดียภาษาอังกฤษ ไม่ได้กล่าวถึงเงื่อนไขการอภิเษกสมรสดังเช่นในภาพยนตร์  และยังระบุข้อมูลศาสนาของพระนางว่า “Hinduism, Islam”



และหากจะดูความบังเอิญในเนื้อเรื่องอีกบางประการ เช่น ทำไมนางเอกเขียนจดหมายไว้แล้วพอเปลี่ยนใจไม่ส่งก็ไม่คิดจะทำลายทิ้ง  ข่าวการยกเลิกภาษีแสวงบุญที่แพร่อย่างรวดเร็ว  บังเอิญที่สุยามาลไปได้ยินแผนการร้ายแล้วหนีมาสิ้นใจตายตอนรู้ความจริงทั้งหมดพอดี ฯลฯ  เชื่อว่าหลายๆ ประเด็นในภาพยนตร์เป็นเพียงการแต่งเติมขึ้นมาเพื่อสนับสนุนธีมหลักของเรื่อง  คือการเชิดชูพระจักรพรรดิอัคบัรในฐานะผู้ทรงปกครองฮินดูสถานโดยไม่แบ่งแยกศาสนา  ในขณะที่สถานการณ์โลกเวลานี้  ยังมีผู้คนจำนวนหนึ่งที่ยังอ้างหลักศาสนาอิสลามในการทำร้ายผู้อื่นด้วยวิธีการต่างๆ บังเอิญเหลือเกินว่าได้เขียนเรื่องนี้จบในคืนวันวิสาขบูชาปี 2554 นี้  แม้ไม่ได้เขียนเรื่องศาสนาตัวเอง  อย่างน้อยพุทธศาสนาก็ไม่มีหลักการที่จะบังคับให้ใครเปลี่ยนศาสนา  มีแต่จะสอนให้ผู้มีดวงตาเห็นธรรมเกิดศรัทธาด้วยตนเอง  ถ้าคนส่วนใหญ่เข้าใจได้อย่างนี้แม้จะมีกี่ศาสนาโลกคงสงบสุขกว่านี้เยอะ  โอกาสหน้าจะพยายามหาภาพยนตร์อินเดียดีๆ มาเล่าสู่กันฟังอีกครับ


เนื่องจากบทความนี้เป็นลิขสิทธิ์อัน ชอบธรรมของผู้เขียน และอาจะมีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลบ้างตามความเหมาะสม ในการนำบทความไปเผยแพร่ในเว็บไซต์อื่นๆ จึงขอความร่วมมือให้ใช้วิธีการคัดลอกเฉพาะ Link หรือ URL Address แทนการคัดลอกบทความทั้งหมด  หากมีการคัดลอกไปในลักษณะแอบอ้างเป็นผู้เขียน หรือมีเจตนาอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อทางเว็บ iseehistory.com แล้ว จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดตามกฎหมาย

คำคมชวนคิด

  • "น้ำและความทะเยอทะยานมีอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน  คือมันเพิ่มขึ้นเสมอ" (Water and ambition have one thing in common - they are ever-swelling.) ชารีฟุดดินฮุเซนตรัสกับสุยามาล
     
  • "ประเพณีของท่านอาจอนุญาต คุลลา แต่สำหรับเรา การแต่งงานเชื่อมสายสัมพันธ์เราไปถึง 7 ชาติ" (Your customs may permit 'khulla', but for us, marriage binds us for seven lifetimes.) พระนางโยดาทูลยาลาลูดดินในคืนวันแต่งงาน
     
  • "ฝ่าบาท, เหล่าเทวดาถูกถามว่า สวรรค์ คืออะไร พวกเขาตอบว่า ดวงใจทุกดวงที่มีความรักอยู่ก็คือสวรรค์นั่นเอง ... เหล่าเทวดาจึงถูกถามว่า นรกคืออะไร พวกเขาตอบว่า ดวงใจที่ไม่มีรักก็คือนรกนั่นเอง" (Your Majesty, the angels were once asked: 'What is heaven?' They answered: 'Every heart where love dwells is heaven itself'! ... The angels were then asked, 'What is hell?' They replied: 'A heart without love is hell itself'!) ครูสอนศาสนาในราชสำนักคนหนึ่งทูลยาลาล ลูดดิน
  • "ท่านรู้จักเพียงสู้รบยึดครอง แต่ท่านไม่รู้จักปกครอง" (You know how to wage war and conquer but do not know how to rule.)  โยดาตรัสตำหนิยาลาลูดดินที่เมืองอเมร์
     
  • "ภาษิตเปอร์เซียนกล่าไว้ว่า เหตุใดต้องตามหาสวรรค์ ในเมื่อมันปรากฏอยู่ตรงหน้าเราแล้ว" (There is a saying in Persian: 'Why seek Paradise? It is before me now!') ยาลาลูดดินกล่าวกับโยดาเมื่อพระองค์สามารถดึงผ้าคลุมหน้าและผมของนางได้ระหว่างการดวลดาบในเมืองอเมร์
     
  • "หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว การที่ให้ชาวฮินดูจ่ายภาษีเมื่อเขาเดินทางไปแสวงบุญนั้น  เป็นการชั่งน้ำหนักความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าด้วยเหรียญเงิน" (After much deliberation, I have come to realise that asking Hindus to pay a tax when they go on pilgrimage is asking to weighing God's glory in coins.) ยาลาลูดดิน ตรัสถึงเหตุผลในการยกเลิกภาษีแสวงบุญของชาวฮินดู
     
  • "เหรียญจะมีเสียงต่อเมื่อมันตก ไม่ใช่ตอนหยิบมันขึ้นมา" (A coin rings out only when it falls, not when picked up.) ยาลาลูดดิน ตรัสถึงเหตุผลในการยกเลิกภาษีแสวงบุญของชาวฮินดู
     
  • "สงครามที่ยิ่งใหญ่คือการเอาชนะโดยไม่เสียเลือดซักหยด" (A great battle is won without shedding a single drop of blood.) ยาลาลูดดิน ตรัสกับบรรดาขุนพลที่รอทำศึกกับชารีฟุดดิน


ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ : Jodhaa Akbar

ชื่อภาษาไทย :  อัศวินราชา บุปผาสวรรค์รานี

ผู้กำกำกับ : Ashutosh Gowariker

ผู้สร้าง : Ronnie Screwvala, Ashutosh Gowariker

ผู้เขียนบท :  Haider Ali, Ashutosh Gowariker

ผู้แสดง :

  • Hrithik Roshan as Jalaluddin Mohammad Akbar 
     
  • Aishwarya Rai as Rajkumari Jodhaa 
     
  • Sonu Sood as Rajkumar Sujamal
     
  • Kulbhushan Kharbanda as Raja Bharmal 
     
  • Suhasini Mulay as Rani Padmawati
     
  • Raza Murad as Shamsuddin Atka Khan
     
  • Poonam Sinha as Mallika Hamida Banu
     
  • Rajesh Vivek as Chugtai Khan
     
  • Pramod Moutho as Todar Mal
     
  • Ila Arun as Maham Anga 
     
  • Surendra Pal as Rana Uday Singh
     
  • Visshwa Badola as Saadir Adaasi
     
  • Prathmesh Mehta as Chandrabhan Singh
     
  • Shaji Chaudhary as Adham Khan
     
  • Manava Naik as Neelakshi
     
  • Disha Vakani as Madhavi
     
  • Abeer Abrar as Bakshi Banu Begum 
     
  • Indrajit Sarkar as Maheshdas / Birbal
     
  • Aman Dhaliwal as Rajkumar Ratan Singh
     
  • Nikitin Dheer as Sharifuddin Hussain 
     
  • Pradeep Sharma as Sheikh Mubarak
     
  • Balraj as Raja Balraj Singh
     
  • Sudhanshu Hakku as Raja Shimalgarh
     
  • Digvijay Purohit as Rajkumar Bhagwan Das
     
  • Yuri Suri as Bairam Khan 
     
  • Sayed Badrul Hasan as Mullah Do Pyaaza
     
  • Dilnaaz Irani as Salima
     
  • Tejpal Singh Rawat as Ni'Mat
     
  • Shehzor Ali as Raja Hemu
     
  • Ulhas Barve as Raja Mankeshwar
     
  • Jassi Singh as Raja Bhadra
     
  • Raju Pandit as Raja Bhaati
     
  • Bharat Kumar as Raja Chauhan
     
  • Rajiv Sehgal as Raja Viraat
     
  • Gurmmeet Singh as Raja Shundi

ควรอ่านเพิ่มเติม

กระทู้ที่เกี่ยวข้อง

 
เรียนเชิญสมาชิกร่วมแสดงความคิดเห็นที่ด้านล่างสุดของหน้าเว็บ (ต้องสมัครและ Login ก่อน) ผู้ชมทั่วไปหรือสมาชิกที่ต้องการโพสต์รูป เชิญร่วมแสดงความเห็นได้ที่เว็บบอร์ด "คุยกันหลังฉาก" ในกระทู้ที่มีอยู่แล้ว หรือ สร้างกระทู้ใหม่ (คลิกที่นี่) ครับ

Bookmark and Share

ภาพยนตร์ตัวอย่าง (Trailer) จาก www.youtube.com


ทางเว็บไม่มีนโยบายนำภาพยนตร์ฉบับเต็มมาให้ดูออนไลน์หรือให้ดาวน์โหลดเนื่องจากเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์และไม่มีพื้นที่สำหรับเก็บไฟล์ภาพยนตร์
 

 



เอเชียโบราณ

มังกรระห่ำ ดาบปราบพยัคฆ์ (Sino Dutch war 1661) แบบฉบับของการต้านชิงกู้หมิง วันที่ 19/05/2013   18:58:36
ฌ้อปาอ๋อง ขุนศึกลำน้ำเลือด วันที่ 19/05/2013   19:01:17
ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเขาเหลียงซาน ภาค 1-2 (The Water Margin/All Men are Brothers) วันที่ 19/05/2013   19:02:10
ฤทธิ์จักรพญายม ภาค 1-2 วันที่ 19/05/2013   19:03:07
ทัชมาฮาล รักเราเป็นนิรันดร์ วันที่ 19/05/2013   19:09:43
สามก๊ก ตอน โจโฉ แตกทัพเรือ มหากาพย์แห่งภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์สามก๊กอีก 1 เรื่อง วันที่ 19/05/2013   19:10:42
Mongol แต่งประวัติศาสตร์ใหม่กันอีกแล้ว! วันที่ 19/05/2013   19:11:32
Genghis Khan เวอร์ชันญี่ปุ่น : สงคราม กับ ผู้หญิง และ ครอบครัว วันที่ 19/05/2013   19:12:31
Genghis Khan BBC "จอมโหด" หรือ "ผู้พิชิต" วันที่ 19/05/2013   19:13:25
Marco Polo 2007 เมื่อครั้งตะวันออกยังเจริญกว่าฝรั่ง วันที่ 19/05/2013   19:14:31
Marco Polo ฉบับบู๊ลิ้ม วันที่ 19/05/2013   19:15:27
สารคดี The True Story of Marco Polo : มาร์โค โปโล ไม่เคยไปเมืองจีนจริงๆ ? วันที่ 19/05/2013   19:17:46
อโศกมหาราช (Asoka) จาก ทรราชย์ สู่ ธรรมราชา วันที่ 19/05/2013   19:18:37
ตามรอยพระพุทธเจ้า : คู่มือชาวพุทธฉบับ DVD วันที่ 19/05/2013   19:19:44
ขุนศึกหญิงตระกูลหยาง (Legendary Amazons) (ยังไม่มีบทวิจารณ์) วันที่ 19/05/2013   19:20:26 article
Genghis Khan (2004 TV series) (ยังไม่มีบทวิจารณ์) วันที่ 19/05/2013   19:21:12 article



1

ความคิดเห็นที่ 1 (101557)
avatar
คนเล่าเรื่อง

อ่าน ๆ ดูแล้ว หนังเรื่องนี้คงต้องการสร้างความสมานฉันท์ในการอยู่ร่วมกันของคนสองศาสนาดังที่ว่าครับ

หนังเรื่องนี้คงมีการแต้่งเติมเรื่องราวของจักรพรรดิอักบาร์ให้ทรงภูมิธรรมอย่างมากมายและได้สร้างพระนางโยดาให้เป็นส่วนต่อเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ของสองชนชาติและศาสนาให้เกิดความสมานฉันท์ดังที่อาจารย์โรจน์บอกน่ะครับ

อันที่จริง กลุ่มชนมุสลิมเชื้อสายมองโกลนั้นมีความยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ด้วยการเข้าไปครอบครองและอยู่อาศัยจนกลายเป็นประช่ากรเชื้อชาติหลักเชื้อชาติหนึ่งในหลาย ๆ ประเทศของเอเชียกลางในขณะนี้ คือ จำพวกที่ลงท้ายด้วยสถานทั้งหลาย (อุซเบกิซสถาน คาซักสถาน ฯลฯ)

ประเด็นการให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาของชาวมุสลิมนั้น นักประวัติศาสตร์ำด้สรุปครับว่า พวกมุสลิมไม่ได้บังคับหรือกดขี่สิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาอะไรแก่ชนชาติที่พวกเขาปกครอง ตราบใดที่พวกนั้นยังดำรงตนเป็นผู้ถูกปกครองที่ดี และยอมจ่ายภาษี (ข้อนี้สำคัญที่สุด) แก่พวกเขา

อย่างไรก็ตามครับ  ประเด็นเรื่องศาสนายังไม่หนักเท่ากับเรื่องของชนชาติในความขัดแย้งของประเทศต่าง ๆ ในโลกนะครับ  อย่างกรณีภาคใต้ของเรานี่ ปมส่วนหนึ่งมันมาจากประวัติศาสตร์ของชนชาติและนครรัฐในอดีตมากกว่านะครับ  และผมเองก็เคยดูหนังแอ็คชั่นอินเดียอยู่เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับการปราบปรามผู้ก่อการร้ายในแคว้นแคชเมียร์ ซึ่งแน่นอนครับว่าผู้ร้ายคือ พวกปากีสถานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วก็เป็นผู้ร้ายแบบร้ายใจหายด้วยนะครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น คนเล่าเรื่อง ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-17 23:09:53


ความคิดเห็นที่ 2 (101565)
avatar
Leo53

เคยอ่านประวัติของกษัตริย์องค์นี้จากหนังสือ "Notable Horoscopes" ที่เขียนโดย ดร.บีวี รามัน โหรเอกของอินเดียยุคใหม่  ซึ่งท่านเป็นฮินดูที่เคร่งมาก  และปกติฮินดูที่เคร่งมากนั้นมักไม่ค่อยลงรอยกับมุสลิมนัก  ปรากฏว่าท่านเขียนยกย่องกษัตรยิ์องค์นี้มาก ไม่น้อยไปกว่าที่ท่านเขียนถึง มหาตมะคานธี และเยาวะหะราล เนรูห์ เลย 

ท่านบอกว่ากษัตริย์องค์นี้ สง่างามทั้งภายนอกและภายใน   ภายในคือคุณธรรม ความดี พระองค์ไม่มีอัคติต่อชนเชื้อชาติอื่น ศาสนาอื่นเลย  ไม่มีร่องรอยใดๆของความคลั่งศาสนา  ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงฮินดู เป็นคนประนีประนอม ทรงดำเนินนโยบายทุกประการเพื่อให้ประชาชนของพระองค์ไม่ว่าจะเป็นฮินดูหรือมุสลิมอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสันติและมีความสุข   พระองค์เป็นนักวางแผนทางการทหารที่เฉลียวฉลาด และเป็นนักรบที่เก่งกาจยิ่งในสนามรบ แต่ก็อ่อนโยน และปฏิบั่ติต่อผู้แพ้ด้วยความปราณี

ในส่วนภายนอกนั้น พระองค์มีร่างกายที่สง่างาม ผิวสีน้ำตาลเข้ม สูงโปร่ง ไหล่กว้าง แขนสองข้างแข็งแรง ทรงมีพละกำลังราวกับพญาราชสีห์ หน้าตาหล่อเหลามีเสน่ห์ องอาจกล้าหาญ แต่ก็อ่อนโยน และเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม เมตตาธรรมไปพร้อมๆกัน พระองค์ปฏิบัติต่อข้าราชสำนักและขุนนางอำมาตย์ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นมุสลิมหรือฮินดู อย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม

พระองค์น่าจะเป็นกษัตริย์ในอุดมคติที่หาได้ยากยิ่ง  และนี่อาจเป็นเหตุที่ทำให้ก่อนหน้ารัชสมัยของพระองค์นั้นไม่เคยมีอาณาจักรโมกุลมาก่อน  มีเพียงความพยายามที่จะสร้างอาณาจักรโมกุลขึ้นมา  แต่ ณ วันที่พระองค์สิ้นพระชนม์น้น แผ่นดินของพระองค์กว้างใหญ่ไพศาล ทางเหนือจากเทือกเขาฮินดูกูชถึงโคดาวารีทางใต้ และจากเบงกอลทางตะวันออกถึงคุชราชทางตะวันตก  ในการแผ่ขยายอาณาจักรของพระองค์นั้นจะพยายามใช้การฑูตโน้มน้าวให้ยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดีเป็นหลัก จะทำสงครามเฉพาะเมื่อจำเป็น ดังที่ปรากฏในเนื้อหาภาพยนตร์เรื่องนี้

เรื่องความหล่อของพระเอกนั้นคงต้องชมว่าหาพระเอกมาได้เหมาะสมกับคำบรรยายในประวัติศาสตร์ที่กล่าวถึงกษัตริย์องค์นี้จริงๆ  ในทุกแง่ทุกมุมอย่างเช่นฉากที่กษัตริย์อักบาร์ทรงฝึกร่ายรำเพลงดาบ และเบ่งกล้ามเกร็งพลังฟาดดาบนั้น สมกับคำบรรยายในประวัติศาสตร์ที่ว่าพระองค์ทรงพละกำลังราวกับพญาราชสีห์จริงๆ  และก็พอดีนางเอกมาเห็นเข้า ถึงกับตกตะลึงในความงามสง่าของพระเอก และเริ่มพอใจรูปกายของพระเอกตั้งแต่นั้นไป ก่อนหน้านี้นางเอกก็พอใจในส่ติปัญญา ความเฉลี่ยวฉลาด และคุณธรรมความดีของพระเอกไปบ้างแล้ว  พอมาหลงรักรูปกายเข้าอีก ก็เลยมอบหัวใจให้พระเอกเต็มร้อยไปเลย

ส่วนเรื่องความสวยของนางเอกนั้นไม่ต้องสงสัย ไอศวรรยา ราย  อดีตนางงามโลกที่สื่อและชาวอินเดียทั่วไปพากันชื่นชมถึงขนาดบอกว่า "ความงามของเธอเทียบได้กับความงามของทัชมาฮาล" (สิ่งมหัศจรรย์หนึงในเจ็ดของโลก!) ประเด็นก็คือ ประวัติศาสตร์ไม่ได้พูดถึงโจดาไว้มากนัก  ในภาพยนตร์เองก็ออกตัวไว้ตั้งแต่ต้นเรื่อง จนกระทั่งตอนจบว่าเรื่องราวระหว่างคนทั้งสองนั้นไม่ได้มีกล่าวถึงไว้มากนักในประวัติศาสตร์ แต่ทั้งสองคนต้องได้ช่วยกันสร้างสิ่งที่ดีให้แก่ประชาชนและชาติบ้านเมืองไว้แน่นอน อย่างเงียบๆ    ซึ่งผมเห็นด้วยเพราะดูจากผลงานที่อักบาร์มหาราชสร้างไว้ให้กับประเทศของเขาแล้ว  คนที่ไม่มีความสุขในชีวิตคู่ไม่น่าจะทำได้ขนาดนี้  และพระนางโจดาน่าจะต้องมีคุณลักษณะที่คู่ควรและส่งเสริ่มพระสวามีเป็นอย่างมากในทุกๆด้านดังที่แสดงให้เห็นในภาพยนตร์ รวมทั้งความงามของพระนางด้วย

 

ผู้แสดงความคิดเห็น Leo53 (chanchai-dot-d-at-chaiyo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-05-21 20:28:05


ความคิดเห็นที่ 3 (101767)
avatar
รอมเมล

ชอบมากเรื่องนี้ ผมกับพ่อติดใจมากๆเรื่องนี้ หนังอินเดียตั้งแต่ผมเกิดมาชอบ3เรื่องเองก็ช้างเพื่อนแก้ว(เด็กสุดๆๆ)กับเรื่องนี้เรื่องที่2 อีกเรื่อง จำชื่อไม่ได้แล้ว แต่เป็นเรื่องพวกฮินดูซิกที่ต่อสู้กับอังกฤษ

-    ไม่แปลกหรอกถ้าพระเอกของเราจะมีความคิดที่แตกต่างจากเหล่าขุนนางอิสลามหัวโบราณ  ฉากแรกจะเห็นได้ พระจักรพรรดิอัคบัรในวัยเด็กเห็นภาพสงคราม แล้วโดนบังคับให้ต้องฆ่าคนไม่มีทางสู้ และเติบโตมากับภาระที่ต้องรวบรวมแผ่นดิน สิ่งพวกนี้แหละทำให้พระองค์เบื่อกับแนวคิดเก่าๆที่ไม่เห็นจะเรื่อง รบตั้งแต่เด็กจนโต ก็ฆ่าไม่หมดเสียที   การที่พระจักรพรรดิอัคบัรถูกบันทึกว่ามีเชื้อสายจากเหล่าตระกูลเจิงกิสข่าน  พระองค์จึงเอาแนวคิดการปกครองของบรรพษุรุษที่เคยสำเร็จมาใช้    พระองค์ชั่งผิดแปลกจากพระญาติที่มีเชื่อสายจากเปอร์เซีย (แม่ของเจงกีสข่านมาจากเปอรืเซีย(พ่อไปฉุดมา) เลยกลายเป็นญาติกับฝั่งเปอร์เซียมั้ง)

-     ประวัติของพระองค์ คนไทยอ่านสับสน แต่การกระทำของพระองค์ชาวฮินดูกลับยอมรับ ทั้งที่ยังไงสองศาสนานี้ไม่มียอมรับกันง่ายๆๆอยู่แล้ว แต่เชื่อว่าการปกครองพระองค์เหมือนเฝงฮินดูเอามากๆ  แบบนี้มั้ง ชาวอินเดียถึงยอมรับพระองค์ได้ น่าจะเป็นแบบนั้น แต่เมื่อต้องทำหนังถึงพระองค์ นี้สิเรื่องใหญ่สุดๆๆ  เพราะพระองค์เป็นอิสลาม การทำหนังจะดูมองว่าสรรเสริญศาสนาอิลสามในทางอ้อมยิ่งทำให้เรื่องปัญหาภายในประเทศแน่ เรื่องศาสนาในอินเดียเรื่องใหญ่สุดๆๆ ครอบครัวคานธีต้องจบชีวิตจากเรื่องศาสนาส่ะงั้น  เรื่องนี้เป็นเรื่องน่าปวดหัวแทนจริงๆๆ  

-     แต่หนังทำออกมาได้ดีมากๆๆ  ดำเนินเรื่องไม่ให้สับสน ไม่งั้นเกิดปัญหาศาสนาแน่  ภาพความรักของสองพระองค์ทำได้อย่างงดงาม    ทั้งที่คนรอบข้างที่บ้าแต่คิดถึงคำว่า"ศาสนา" แถมหนังจะทำให้ชวนสงสัยที่แม่ของพระจักรพรรดิอัคบัร ทำไมเข้าใจความคิดของฮินดูได้ไง ออกมาต้อนรับลูกสะใภ้แบบยินดีสุดๆ ไม่มีเสแสร้งเอาเสียเลย   ผมเดาเอาว่า แม่ของพระจักรพรรดิอัคบัรเป็นอาจจะเป็นชาวฮินดู เมื่อแต่งงานจึงได้เปลี่ยนศาสนา นี้หรือป่าวที่กลายเป็ฯว่า แม่นมที่เป็นอิสลามแท้ๆจึงได้เป็นคนดูแลพระจักรพรรดิอัคบัรมากกว่าแม่ที่แท้จริง และแบบนี้อีกแหละ จิตใจแม่ย่อมถ่ายทอดสู่พระจักรพรรดิอัคบัรผู้เป็นลุกได้  ซึ่งอันนี้ ต้องให้คนอินเดียให้คำตอบ เพราะรู้ดีที่สุด

ผู้แสดงความคิดเห็น รอมเมล (goh_17-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-08-13 20:57:36



1


Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker