webmaster@iseehistory.com
รักเปรียบแจกัน จัดสรรวางเบื้องหน้า
องค์พระปฏิมา แท่นบูชามนุษย์กราบไหว้
ดอกดินดอกฟ้าจะมาเข้ากัน ณ ที่นั้นได้
หากเรารักและเข้าใจ มารร้ายใดใดก็พ่ายไปเอง
ท่อนสุดท้ายของเพลง “แจกันรัก” คำร้อง-ทำนอง พยงค์ มุกดา คัดลอกจาก http://www.oknation.net/blog/chai/2009/05/18/entry-1
ดร.ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
นักเขียนนามปากกา "วินนี่ เดอะ ปุ๊"
และอะไรอื่นๆ อีกมากมาย มาบรรยายในฐานะประธานโครงการเงินบริจาคเพื่อการศึกษาโรงเรียนเทพศิรินทร์
และในฐานะศิษย์เก่าคนหนึ่ง
ครั้งก่อนในบทความเรื่อง “แล้วผมต้องทำอะไรกับประวัติโรงเรียนเทพศิรินทร์?” ผมได้เขียนในแบบกึ่งๆ สารภาพความไม่รู้ของตัวเองว่าความเป็น “เทพศิรินทร์” ต่างจากความเป็นศิษย์โรงเรียนอื่นอย่างไร และกึ่งๆ ยั่วให้ท่านผู้รู้ได้มาแลกเปลี่ยนความเห็นกันว่า ความเป็นมาและความเป็นสถาบันของแต่ละโรงเรียนนั้นจะศึกษาและทำความเข้าใจได้อย่างไร น่าเสียดายว่าไม่ได้รับการตอบสนอง (Feedback) เท่าที่ควร
หลังจากการเขียนและเผยแพร่บทความดังกล่าวแล้ว ผมได้พยายามครุ่นคิดหาคำตอบในเรื่องดังกล่าวอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อได้รับคำเชิญจากท่าน ดร.ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ (ผู้เป็น “รุ่นพี่” ที่ผมกล่าวถึงในบทความที่แล้ว) ให้ไปฟังท่านบรรยายเรื่อง “โครงการพิพิธภัณฑ์โรงเรียนเทพศิรินทร์และกรณีศึกษาเชิงประวัติศาสตร์” ในวันที่ 9 มิถุนายน 2554 ยิ่งทำให้ผมรู้สึกตัวว่าต้องหาข้อมูลเป็นการบ้านไว้สักหน่อย ความที่ไม่มีเวลาจะไปห้องสมุดอื่นใดนอกจากการนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ไปวันๆ จึงต้องอาศัยที่พึ่งอันประเสริฐ (?) คือ วิกิพีเดีย ซึ่งมีผู้เขียนประวัติโรงเรียนเทพศิรินทร์ไว้ที่ http://th.wikipedia.org/wiki/โรงเรียนเทพศิรินทร์ แถมด้วยประวัติโรงเรียนสวนกุหลาบฯ ซึ่งอยู่ที่หน้า http://th.wikipedia.org/wiki/โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เนื่องจากมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ทางสวนกุหลาบฯ ประสบปัญหาด้านสถานที่เรียนจนนักเรียนของเขาส่วนหนึ่งต้องมาเรียนกัน ณ อาคารของโรงเรียนเทพศิรินทร์ ดังที่ผมได้ทราบและเคยเกริ่นไว้ในบทความที่แล้วครับ
ขอนำข้อความที่ใช้ประชาสัมพันธ์การบรรยายในวันดังกล่าวมาลงประกอบไว้ ดังนี้ครับ
การบรรยายพิเศษเนื่องในโอกาสวันเทพศิรินทร์
หัวข้อ โครงการพิพิธภัณฑ์โรงเรียนเทพศิรินทร์
และกรณีศึกษาเชิงประวัติศาสตร์
โดย ดร.ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ท.ศ. ๐๔-๐๖
วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๕๔ เวลา ๑๓.๓๐ น.
ณ.ห้องประชุมเทอดพระเกียรติ ร.ร. เทพศิรินทร์
ด้วยโรงเรียนเทพศิรินทร์ร่วมกับโครงการเงินบริจาคเพื่อพัฒนาการศึกษาโรงเรียนเทพศิรินทร์ และสมาคมนักเรียนเก่าเทพศิรินทร์กำลังดำเนินการจัดทำพิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษาของโรงเรียนเทพศิรินทร์ขึ้น เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ และเผยแพร่เกียรติภูมิของโรงเรียนที่ยาวนานมาถึง ๑๒๕ ปีแล้ว โดยจะสร้างขึ้นให้เป็นพิพิธภัณฑ์ยุคใหม่ที่ใช้สื่อหลากหลายชนิดในการเล่าเรื่อง และมีกำหนดจะเสร็จและเปิดให้ชมได้ในช่วงปลายปี ๒๕๕๕
ดร.ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ หัวหน้าโครงการจัดทำพิพิธภัณฑ์เทพศิรินทร์จะบรรยายให้ทราบถึงโครงร่างเนื้อหาและแนวทางนำเสนอเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของโรงเรียนในพิพิธภัณฑ์โดยแบ่งเป็นหัวข้อ ดังนี้ จุดกำเนิดจิตวิญญาณ การปลูกฝังความรู้และจริยธรรม การสร้างสรรค์ความสามารถ Hall of Fame ความผูกพันกตัญญู และแรงบันดาลใจสู่อนาคต
นอกจากนี้ดร.ชัยวัฒน์จะได้แสดงตัวอย่างของการศึกษาเชิงประวัติศาสตร์ของประวัติความเป็นมาของโรงเรียน อาทิ วิวัฒนาการระบบการศึกษาของโรงเรียน ความสัมพันธ์ของโรงเรียนเทพศิรินทร์กับสถาบันการศึกษาเก่าแก่ซึ่งจัดตั้งโดยรัชกาลที่ ๕ โดยเฉพาะโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ และปัญหาข้อบกพร่องของทะเบียนรายชื่อนักเรียนเทพศิรินทร์ เป็นต้น อันจะเป็นตัวอย่างให้เห็นถึงวิธีการที่จะนำเรื่องราวในพิพิธภัณฑ์มาใช้ประโยชน์ในการเรียนรู้
การบรรยายในวันนั้น เริ่มตั้งแต่เวลา 13.30 น. จนถึงราวๆ 16.30 น. แม้จะเป็นการบรรยายหลังอาหารกลางวัน แต่ผมฟังแล้วโรคเก่า (หนังท้องตึงหนังตาหย่อน) ก็มิได้กำเริบแต่ประการใด ด้วยตัวท่าน ดร.ชัยวัฒน์ฯ ผู้บรรยาย ตลอดจนทีมงานที่สนับสนุนด้านข้อมูลได้ทำการบ้านกันมาอย่างละเอียดถี่ถ้วนเป็นอย่างดี แม้กระนั้นก็ยังมีทีมงานบางท่านแอบกระซิบว่ายังมีการบ้านบางข้อที่ได้รับแจกมาแล้วยังหาคำตอบไม่ได้ ตัวผมเองก็เริ่มได้รับ “การบ้าน” มาบ้างเหมือนกัน แต่ยังไม่มีเวลาได้ช่วยอะไรท่าน เนื้อหาการบรรยายทั้งหมดผมคงจำมาเล่ากันไม่หวาดไม่ไหว (ขี้เกียจจดเองด้วยแหละครับ) ขอเล่าเฉพาะบางประเด็นก็แล้วกันครับ
ประเด็นแรก เกี่ยวกับเอกลักษณ์ อุดมการณ์ หรือจิตวิญญาณของ “เทพศิรินทร์” ดังได้กล่าวในบทความที่แล้วและในตอนต้นของบทความนี้ว่า ทีแรกผมยังนึกไม่ออกจริงๆ ว่าความเป็น “เทพศิรินทร์” มันมีอะไรแตกต่างจากความเป็น “สวนกุหลาบ” หรืออะไรอื่นๆ ในแบบที่แต่ละมหาวิทยาลัยเขามีกำเนิด ความมุ่งหมาย และอุดมการณ์บางอย่างแตกต่างกันหรือไม่ จากการที่ผมได้ย้อนกลับไปศึกษาประวัติของโรงเรียนเทพศิรินทร์เปรียบเทียบกับสวนกุหลาบโดยคร่าวๆ จากวิกิพีเดียแล้วมาฟังการบรรยายของ ดร.ชัยวัฒน์ฯ แม้โรงเรียนทั้งสองและโรงเรียนอื่นๆ ในรุ่นแรกๆ จะกำเนิดขึ้นจากการปฏิรูปการศึกษาในสมัยรัชกาลที่ 5 เช่นเดียวกัน ทางสวนกุหลาบนั้น แนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ในการพระราชทานกำเนิดในปีพ.ศ.2425 นั้นเป็นเรื่องของการให้การศึกษาแก่ “ลูกผู้ดี” หรือบุตรหลานของ “คนในวัง” ส่วนการพระราชทานกำเนิด “เทพศิรินทร์” นั้น อาจจะเรียกว่าครบทั้ง “วัง-วัด-บ้าน” คือ เดิมที ในปี พ.ศ. 2419 ได้โปรดเกล้าให้สร้างวัดเทพศิรินทราวาสขึ้นเพื่ออุทิศแก่สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชชนนี ต่อมาเมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2428 ได้มีการจัดตั้งโรงเรียนปริยัติธรรมบาลี ขึ้นภายใน วัดเทพศิรินทราวาส โดยช่วงแรกได้อาศัยศาลาการเปรียญภายในวัดเทพศิรินทราวาสเป็นที่ทำการเรียนการสอน ถัดมาได้มีเจ้านายพระองค์ต่างๆ ได้มาร่วมสร้างอาคารเรียนหลังต่างๆ ให้กับโรงเรียนเทพศิรินทร์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเทพศิรินทร์ฯ และอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้มีพระคุณต่างๆ รายละเอียดขออนุญาตไม่กล่าวถึงเพื่อไม่ให้บทความนี้ยาวเกินไป และอยากให้ท่านที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมได้ค้นคว้าต่อด้วยตนเอง มากกว่าที่จะเขียนอะไรที่สำเร็จรูปแล้วก็ลอกกันไปลอกกันมาตามเว็บตามบล็อกต่างๆ จนไม่รู้ใครเป็นต้นฉบับ กลับมาเรื่องประวัติโรงเรียนเทพศิรินทร์กันดีกว่าครับ ไม่ว่าการที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ท่านทรงสร้างวัดเทพศิรินทราวาสและโรงเรียนเทพศิรินทร์ หรือการที่เจ้านายต่างๆ ท่านทรงมาร่วมบริจาคเงินสร้างอาคารให้ลูกหลานประชาชนทั่วไปได้มีที่เล่าเรียนเพื่อเป็นบุญกุศลแก่บุคคลที่ท่านเคารพรักนั้น ดร.ชัยวัฒน์ฯ ถือว่านี่คือจิตวิญญาณของเทพศิรินทร์ที่เรียกได้ว่า “จากความรักและความกตัญญูสู่การสร้างประโยชน์ต่อสังคม” ครับ
กำเนิดของเทพศิรินทร์แบบ “วัง-วัด-บ้าน” นี้ ทำให้โรงเรียนมีสถานที่ที่แน่นอนมาตลอด ขณะที่ “สวนกุหลาบ” ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อการศึกษาของชนชั้นสูงโดยเฉพาะกลับประสบปัญหาด้านสถานที่ ต้องเคลื่อนย้ายกระจัดกระจายไปตามที่ต่างๆ รวมถึงส่วนหนึ่งที่มาเรียนร่วมกับพวกเราชาวเทพศิรินทร์ด้วย เทพศิรินทร์ได้กลายมาเป็นสถานศึกษาของชนทุกชั้น ศิษย์เก่ามีตั้งแต่ระดับสูงสุด คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ผู้นำต่างประเทศอย่างตนกู อับดุล รามาน มีศิษย์เก่าเป็นเชื้อพระวงศ์ตั้งแต่พระองค์เจ้ามาจนถึงหม่อมหลวง บุคคลจากทุกสาขาอาชีพ ในรุ่นผมมีเพื่อนทั้งที่เป็น หม่อมหลวง ลูกบุคคลระดับนักธุรกิจหรือคหบดียันพ่อค้าแม่ค้า คนหนึ่งเป็นลูกแม่ค้าขายไข่ไก่ อีกคนพ่อเป็นคนมีฐานะในต่างจังหวัดส่งลูกมาเป็น “เด็กวัด” เพื่อความสะดวกในการเดินทางมาเรียน รายหนึ่งมาจากสุพรรณ เพื่อนฝูงล้อเรื่องสำเนียงเหน่อมาตลอด อีกคนเป็นอิสลามที่เพื่อนฝูงล้อเลียนเรื่องไม่กินหมูมาตลอดโดยไม่เคยมีการตอบโต้ด้วย “คาร์บอมบ์” แต่ประการใด ฯลฯ โรงเรียนเทพศิรินทร์จึงเปรียบเสมือนแจกันดอกไม้บูชาพระที่เต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีนานาพันธุ์ แม้กระทั่ง “ดอกกุหลาบ” ยังเคยปักอยู่ในแจกันเดียวกันนี้ แต่จะมี “ใบเฟิร์น” ด้วยหรือเปล่าก็สุดแล้วแต่การตีความ ที่ใกล้เคียงกว่าคงจะเป็นเนื้อเพลงท่อนสุดท้ายของเพลง “แจกันรัก” ที่ผมนำมาเสนอไว้ในตอนต้นบทความ ก็ได้เฉลยกันซะทีว่าทำไมผมถึงขึ้นต้นบทความด้วยกลอนเพลงดังกล่าว
ศิษย์เก่าท่านหนึ่งแสดงความคิดเห็นตอนท้าย
เรื่องของกระดานทอง พูดถึงการที่นักเรียนสวนกุหลาบเคยมาเรียนร่วมกับโรงเรียนเทพศิรินทร์ มีประเด็นต่อเนื่องที่เคยเกริ่นไว้ในบทความคราวที่แล้ว คือเรื่องบุคคลที่มีชื่อเสียงที่เกิดความสับสนว่าเป็นศิษย์สวนกุหลาบหรือเทพศิรินทร์กันแน่ ผมหมายถึงรายชื่อนักเรียนดีเด่นที่ได้รับการจารึกชื่อไว้ในกระดานทองของโรงเรียน ซึ่งเราเคยเชื่อกันง่ายๆ ว่าเมื่อกระดานอยู่กับโรงเรียนเทพศิรินทร์ก็ต้องเป็นนักเรียนเทพศิรินทร์ แต่จากการศึกษาค้นคว้าของดร.ชัยวัฒน์และทีมงาน พบหลักฐานค่อนข้างแน่ชัดว่า กระดานทองนั้นเป็นสิ่งที่โรงเรียนสวนกุหลาบนำติดมาด้วยในช่วงประสบปัญหาสถานที่เรียน และพิสูจน์ได้ว่าผู้มีชื่อในกระดานทองรุ่นแรกๆ นั้นเป็นนักเรียนสวนกุหลาบ ความเห็นเช่นนี้ดร.ชัยวัฒน์ฯ กล่าวว่าเป็นผลให้ศิษย์เก่าเทพศิรินทร์บางท่านไม่ยอมรับและไม่ยอมมาร่วมสังฆกรรมกับท่าน เรื่องนี้ผมได้แสดงความเห็นไว้ในตอนท้ายการบรรยายของท่านไว้แล้วว่า เรื่องของหลักฐานประวัติศาสตร์แม้แต่ในประวัติศาสตร์ระดับประเทศที่เราเคยเชื่อถืออย่างพระราชพงศาวดารนั้น เมื่อระยะเวลาผ่านไป มีการค้นพบหลักฐานใหม่ๆ มีแนวคิดการวิเคราะห์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมา ความเชื่อหรือความรู้เดิมๆ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และแม้ว่าจะมีความเห็นใดๆ ไม่ตรงกันจริงๆ ก็ไม่น่าที่จะปล่อยให้เป็นอุปสรรคในการทำงานร่วมกัน ซึ่งดร.ชัยวัฒน์ฯ เองกล่าวว่าในประเด็นที่ยังคงมีความเห็นไม่ตรงกันเช่นนี้ ก็จะไม่มีการบันทึกไว้ในพิพิธภัณฑ์แบบตามใจท่านแต่ฝ่ายเดียว โดยจะให้เห็นว่าเป็นเรื่องที่ยังคลุมเครืออยู่
นอกจากประเด็นในการบรรยายแล้ว เรื่องที่ควรจะถ่ายทอดเล่าสู่กันฟังหน่อยก็เป็นเรื่องของบรรยากาศในงานครับ มีผู้เข้ามาร่วมฟังการบรรยายกันค่อนข้างจะพอดีห้อง ไม่โหรงเหรงแต่ก็ไม่ถึงกับแน่น มีทั้งนักเรียนปัจจุบัน ศิษย์เก่าบางคนจากบางรุ่น ผู้อำนวยการและคณาจารย์ปัจจุบัน และที่สำคัญคืออาจารย์เก่าๆ อีกหลายท่านทั้งที่เคยสอนผมและที่สอนห้องอื่นแต่ยังได้ทันเห็นหน้ากัน (หากเอ่ยชื่อไม่ครบหรือจำนามสกุลไม่ได้บ้างก็ขออภัย) ได้แก่ อาจารย์ยุพดี อาจารย์เกษมศรี กู้เกียรติ อาจารย์ยุราภรณ์ อาจารย์สมใจ นุชนาง อาจารย์บุญเลิศ เนียมสวัสดิ์ อาจารย์ดวงกมล เป็นต้น ซึ่งผมได้พยายามหาจังหวะไปยกมือไหว้ทักทายแทบจะทุกท่าน
ดร.ชัยวัฒน์ฯ รับดอกไม้แทนกำลังใจจากบรรดาผู้ฟัง
ด้านอาจารย์และศิษย์ปัจจุบันนั้น มีอาจารย์สุภาพสตรีท่านหนึ่งที่ยังอยู่ในวัยสาว บังเอิญผมได้ยินคำหนึ่งที่เธอพูดกับเพื่อนแบบขำๆโดยเรียกกลุ่มนักเรียนที่เธอคงจะเป็นครูประจำชั้นว่า “ลูกๆ เราทั้งนั้น”
ลองนึกถึงอนาคตในอีกหลายๆ ปีข้างหน้า เมื่อ “ลูกๆ” ประสบความสำเร็จแล้วกลับมาไหว้เธอในยามที่เธออายุมากขึ้นเหมือนที่ผมและใครอีกหลายคนกลับมายกมือไหว้อาจารย์ในวันสำคัญของโรงเรียนเช่นนี้ ความเป็นสถาบันการศึกษามันขลังเช่นนี้เองครับ